หน้าแรก>สารอโศก

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๙)
ถึงเวลาแล้ว อย่าช้า
เร่งรัดตัวเองเข้ามารวมกลุ่ม
มาช่วยกันทำ มาช่วยกันสร้าง


เมษายน ๒๕๔๕
งานปลุกเสกฯ มีเกร็ดเล็กน้อย ที่พ่อท่านหยิบเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม มาบอกเล่าสอนพวกเรา ในงานฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เอาเงินเดือนมากเป็นบาป? ตำหนิผู้ใหญ่ที่ให้รางวัลเยาวชนดีเด่น.....สายเดี่ยว?
นักเขียนที่มหาดัดจริต?

นอกจากนี้ในวงสนทนาเล็กๆ มีเรื่อง การขายรัฐวิสาหกิจให้ต่างชาติ เราจะทำอะไรได้แค่ไหน? ทิศทางหนึ่ง ของบริษัทภูมิบุญฯ เป็นอย่างไร? และเมื่อฝรั่งสนใจการบรรลุธรรมเร็ว อย่างเซ็น พ่อท่านเห็นอย่างไร?

สงกรานต์ปีนี้ พ่อท่านวิเคราะห์ความเป็นมาของวันสงกรานต์จากอดีต ที่เป็นวัฒนธรรม จนมาถึงปัจจุบัน ที่กลายเป็นหายนธรรม จารีตประเพณี อย่างทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ก็บานปลาย เป็นหายนธรรม ไปหมดแล้ว รายละเอียด เป็นอย่างไร?.......พลิกไปอ่านได้

ค่ายยุวพุทธทายาท ปีนี้กระจายแบ่งไปหลายๆที่ พ่อท่านยังคงรับเทศน์กับเด็กๆ เพื่อผู้ใหญ่ที่มาช่วยลุ้น และเด็ก ที่มาเข้าค่าย ยุวพุทธทายาท จะได้อะไร ในสายตาพ่อท่าน?

ผู้ที่กำลังคิดจะลาออกจากงานทางโลก เข้ามาช่วยงานทางธรรมหรืองานของหมู่ชาวอโศก เงื่อนไขเดียว ที่พ่อท่าน ให้ไปทบทวน ตรวจดูตนเอง คืออะไร?

เมื่อชุมชนอโศกได้รับการยอมรับว่าเข้มแข็ง เป็นแบบอย่างในหลายๆด้าน ที่กลุ่มองค์กร คณะต่างๆ จะมาเรียนรู้ บางคณะอาจจะละเมิดกฎระเบียบของชุมชนด้วยความไม่รู้ มาดูตัวอย่างหนึ่ง ของการ แก้ปัญหา เพื่อเป็นกรณีศึกษา ในการประยุกต์ปรับใช้ กับชุมชนอื่นๆ ที่อาจจะเจอ ปัญหาคล้ายๆกัน จากการประชุม ชุมชนสันติอโศก ๒๗ เม.ย.๔๕ พ่อท่านและชาวชุมชน สันติอโศก คิดแก้ปัญหากัน อย่างไร?

ความขัดแย้งเกี่ยวกับพ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ ของพุทธศาสนิกชน ๒ กลุ่ม พ่อท่านเห็นอย่างไร? เห็นด้วย กับกลุ่มไหน? สองเรื่องที่ชาวอโศกจะไม่ขอออกความเห็นคือเรื่องอะไร? แล้วถ้าถูกถาม ในสองเรื่องนี้จริงๆ จากสื่อมวลชน ควรวางตัวอย่างไร?

ปัญหาของวิทยุชุมชนคืออะไร อ่านข้อมูลเบื้องลึกจาก ดร.เอื้อจิต ที่เกาะติดกับเรื่อง วิทยุชุมชน ทำไมข้าราชการ และนักการเมือง จึงไม่จริงจังที่จะส่งเสริม? หากวิทยุชุมชนกลายเป็น แหล่งผลประโยชน์ ของนักการเมือง หรือนายทุน การแก้ปัญหา ในสายตาของ ดร.เอื้อจิตเป็นอย่างไร? พ่อท่านคิดอย่างไร กับเรื่องวิทยุชุมชน?

สุดท้ายสุขภาพร่างกายของพ่อท่านในเดือนเมษายนนี้เป็นอย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นปัญหา เล็กน้อย เรื่องความผิดปกติ ของท้อง อาการที่ขาซ้ายใต้เข่า ที่ยังร้อนอยู่ ความเห็นของอาจารย์หมอ ที่เชี่ยวชาญ โรคกระดูกเป็นอย่างไร? ความเห็นของอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านกายภาพบำบัด เป็นอย่างไร? ที่สำคัญ พ่อท่านบอกเล่า ถึงภาวะของตาขวา อย่างชนิดผู้ฟัง คิดตามเห็นภาพได้ชัด แม้ไม่ได้เป็นเอง ก็จินตนาการ ตามได้ และ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคตา คิดเห็นอย่างไร กับตาของพ่อท่าน?

๑. เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย จากงานปลุกเสกฯ
งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ ๒๖ ในวันแรก(๓๑ มี.ค.๔๕) มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัด ให้เกียรติ มาร่วมกล่าวเปิดงานหลายท่าน พ่อท่านอาศัยช่วงจังหวะเวลา ที่มีอยู่กล่าวธรรม จากเหตุการณ์จริง ของสังคมที่เกิด เหมือนเจตนา ให้ข้าราชการที่มาร่วมนั้น ได้รับฟัง เป็นสัมมาทิฏฐิ ในระดับหนึ่ง เพื่อจะได้ ไปปรับใช้ ในชีวิตต่อไป และเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ ต่อสังคม กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เงินเดือน ๗ แสนบาท ของหน่วยงานหนึ่ง หรือ การให้รางวัลเยาวชนดีเด่น กับผู้ไม่สมควร จะเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ควรได้รับ รางวัล ที่มีเกียรตินี้ หรือ จะเป็นเรื่องการตำหนิศิลปิน ที่ใช้วิชาชีพของตน ทำร้าย ทำลายสังคม อย่างไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าเห็นว่า จะเป็นประโยชน์ ในการถ่ายทอดความคิดเห็น ที่เป็นหลักการ ของพ่อท่าน แต่เพื่อ ความเหมาะสม ขอข้ามผ่านเรื่องตัวบุคคล

๑.๑ ได้เงินมากบาป?
"ล่าสุดมานี่ บอร์ดใหญ่ของ... ได้ข่าวว่า เจ้าตัวกำหนดเงินเดือนตัวเองเจ็ดแสนบาท เขาไม่รู้หรอกว่า เขาสร้างบาป เขาถือเป็นเรื่องสุจริต ยุติธรรม เขาถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ที่จริงมันเป็นเรื่องเลวร้าย เหลวไหล ขอยืนยันว่า เป็นเรื่องเลวร้ายของอวิชชา ความไม่รู้ เอาเปรียบเอารัด อะไรกันนักหนา เอาไปทำไม มากมายเกินการณ์ มันได้เปรียบเกินไป เงินเดือนแสนหนึ่ง ก็มากเต็มที่แล้ว ประเทศไทย ๖๒ ล้านคน คนที่จะได้เงินเดือน แสนหนึ่ง มีไม่ถึงล้านคนละมั้ง เงินเดือนหนึ่งพันบาท สองพันบาทก็ยังมี เงินเดือน บริษัทพลังบุญ ก็สองพันบาทเองสูงสุด ตั้งมา ๑๖ ปีแล้วเราก็อยู่รอด ถ้าผู้บริหารประเทศ มีแนวความคิด ที่ได้เปรียบ เอามามากๆอย่างนี้ ประเทศชาติไปไม่รอด อาตมาขอยืนยันว่า เป็นอวิชชา เป็นความเข้าใจผิด นึกว่าเป็น สิ่งที่ดีงาม โดยสัจจะ การได้เปรียบ มันดีหรือเลว เอาเปรียบมากๆ ก็เลวมากๆ แล้วไปยินดี ในสิ่งนั้น เป็นกุศล หรืออกุศล กรรมเป็นทรัพย์ ได้เปรียบเป็นกรรมเลว แต่คุณได้เงินมา เป็นของไม่จริง ยิ่งไปปล้นเขามา ไปคอรัปชั่นเขามา ได้เงินมามากๆ ไม่มีใครจับได้ จนตายไปแล้วร้อยชาติ ก็ไม่มีใครจับได้เลย ต่อให้ อย่างนั้นด้วย โกงเขามาร้อยล้าน หอบไว้จนตาย ไม่กระดิกเลย ขี้เหนียวไม่ให้ใครเลย ไม่กิน ไม่ใช้ กอดไว้ มันเป็นของคุณหรือ คุณได้จริงๆหรือ ตายแล้วได้ไหม แต่กรรมปล้นได้ไหม คุณได้กรรม ที่ไปปล้น ต่างหาก กรรมที่เอาเปรียบ กรรมที่ไปคอรัปชั่นต่างหาก นั่นคือของจริง คือไม่ศึกษาสัจธรรม อาตมาก็ ได้แต่สงสาร พยายามพูดแรง พูดดุ พูดกระทุ้งกระแทก ให้ไปถึงหู ให้ไปได้รับรู้ ศาสนาไม่ได้มี ในหัวใจเลย ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อวิบาก ไม่เชื่อกรรมเป็นของของตน ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า มันก็เลยยิ่งแย่ ลงทุกวัน เมืองพุทธนะ เมืองไทยนี่ มีแต่ยี่ห้อ มีแต่ชื่อว่าเมืองพุทธ แต่ไม่รู้พุทธศาสนาเลย อันนี้แหละ เป็นภัยม้ากมาก ชาวพุทธได้ปฏิบัติผิดเพี้ยน แต่เขายังชื่อว่าพุทธอยู่ มันก็เท่ากับ คุณฉุด ความเป็นพุทธ ลงไปเท่านั้นเอง...."

๑.๒ ตำหนิผู้ใหญ่ที่ให้รางวัลเยาวชนสายเดี่ยว หมั่นไส้ นักเขียนที่... มหาดัดจริต
"....พิษในสังคมมันมีมาก พิษทางวัตถุ พิษทางจิตวิญญาณด้วย พิษทางสังคม อาตมาเรียก โรคระบาด ทางสังคม มันน่าสงสารมาก แม้แต่ผู้ใหญ่ในประเทศ ก็แนะนำส่งเสริมไปทางโน้น เช่น ยกตัวอย่าง วัยรุ่นเป็นเยาวชนดีเด่น คือใคร คือ..........ว่างั้น โอ๊ยต้องไปใส่สายเดี่ยว เปิดพุงอย่างงั้นแหละ อาตมาฟังแล้ว ก็สมเพชจริงๆเลย ผู้ใหญ่ทำยังไง ยกตัวอย่างได้ ไปเห่อไปหลงอะไร กับเด็กเต้นกินรำกิน อะไรกันนักกันหนา ก็ไม่รู้ ทั้งๆที่การเต้นกินรำกินทุกวันนี้ ไม่ค่อยได้สาระเลย ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม แต่ที่ทำเป็น อนาจารกัน เป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ศิลปะ อาตมาเรียนศิลปะมาโดยตรง โดยเฉพาะเรียนศิลปะ มาตามสาย พระพุทธเจ้า อาตมาไม่ได้เรียนศิลปะ แค่โรงเรียนศิลปะเท่านั้น นาย....จบเพาะช่างมา เป็นรุ่นน้อง เขียนหนังสือไม่กี่วันนี้ เขาบอกว่า หมั่นไส้พวกดัดจริต คือคน ท้วงนางงาม ที่ไปถ่ายรูปโฆษณา ต้นรักดอกงิ้ว แล้วก็ทำเป็นโป๊เปลือยหมดเลย เพื่อโฆษณาละคร คนก็ท้วง ไม่รักศักดิ์ศรี ของความเป็น ผู้หญิงเลย เป็นนางงาม มันน่าจะรักษาวัฒนธรรมไทย ไม่น่าจะไปถ่ายภาพ ไม่มีเสื้อผ้าเลย อะไรอย่างนี้ ถึงแม้จะไม่เห็น ภาพอวัยวะ ส่วนที่ควรจะปกปิดอะไร มันก็ดูไม่ดี แม้จะเป็น เทคนิค ในการตกแต่งภาพ เขาก็ท้วง นาย.......เขาก็บอกว่า หมั่นไส้นัก พวกดัดจริตเนี่ย มองดีดี ของสวยๆ งามๆนี่ มันไม่น่าจะมานั่ง ดัดจริตอะไร มองศิลปะเป็นเรื่องกาม เป็นเรื่องลามก อะไรต่ออะไร ไปหมดแล้ว ถ้าอาตมาจะหมั่นไส้ อาตมาไปหมั่นไส้ นาย.....ต่ออีกชั้นหนึ่ง ว่ามันดัดจริต มหาดัดจริตเลย ไอ้เรื่องไม่ดี เออ ควรจะท้วงจะติง เขาเจตนาไม่ให้เกิดลุกลาม สิ่งเหล่านี้ ตัวเองจะต้องไปประโคม มันทำไม มันมาก มันจัดจ้านอยู่แล้ว ไม่รู้จักกระแสสังคม ไม่รู้จักอะไร ต่อมิอะไรเลย ตัวเองอวิชชา อะไรต่ออะไร ก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาไม่อยาก แตะต้องคนเหล่านี้ อัตตามานะสูง ยิ่งเป็นศิลปิน คนพวกนี้ ความเป็นตัว ของตัวเองเยอะ ศิลปินเนี่ยะ อาตมามั่นใจว่า อาตมาเป็นศิลปินคนหนึ่ง แต่อาตมาไม่ได้เป็นคน ยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้ดูเอาตัวเอง เป็นหลัก และไม่ได้อยู่กองกิเลส ถ้าศิลปินไม่ได้อยู่กองกิเลส มันก็มีหลักประกัน ถ้าศิลปิน จมอยู่กองกิเลสนะ เสร็จ พวกนี้ไม่ใช่พวกศิลปินหรอก เป็นพวกทำลายสังคม ทำลายประเทศชาติ และ มันทำลายติดต่อ ยาวนานมามากแล้ว เนี่ยะพวกที่ถือว่า เป็นศิลปินนี่แหละ จะเป็นพวกเต้นกิน รำกิน หรือพวกวาด พวกเขียน อะไรก็ตาม อาตมาเคยยกตัวอย่างว่า ศิลปะมันจะช่วยให้คน ได้ลดกิเลส ช่วยพัฒนา สิ่งที่สงบสุข ในบ้านเมือง เป็นสังคมที่น่าชื่นชมยินดี อย่างนั้นคือศิลปะนำพา นี่พูดกว้างๆให้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า งานได้แสดงออกมาแล้ว ทำให้คนเกิดกิเลสจัดจ้านขึ้น นั่นไม่ใช่ศิลปะ นั่นอนาจาร สิ่งเหล่านี้แหละ ถ้าไม่เข้าใจ ถึงรากฐาน สัจจะลึกๆ ไม่มีวิชชา มีแต่อวิชชา มันก็พาลพาอะไร บานปลายเยอะแยะ สังคมไปไม่รอด เพราะเหตุนี้...."

๑.๓ การขายรัฐวิสาหกิจให้ต่างชาติ เราจะทำอะไรได้แค่ไหน?
หลังรายการ'ปฐมนิเทศน์' ในภาคบ่าย (๓๑ มี.ค.) ก่อนประชุมกรรมการบริษัทภูมิบุญฯ คุณร้อยแจ้ง ถามพ่อท่าน เกี่ยวกับเรื่องการขาย รัฐวิสาหกิจให้ต่างชาติ เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้แค่ไหน

พ่อท่านตอบ "จะไปยุ่งอาไร้ ถ้าจะไปยุ่ง หนึ่งเราต้องมีมวลมากพอ สองเรามี good will มีอิทธิพล มากพอไหม ขนาดหลวงตาบัวทำ ยังไม่มีผลอะไรเท่าไหร่เลย นั่นเขามีมวลเป็นแสนเป็นล้านนะ อาตมาไม่เห็นผลดี มีแต่ผลเสีย คนที่เขามีความพร้อม มากกว่าเรา เขายังทำอะไร ไม่ได้เท่าไหร่เลย

คุณคิดกว้างๆ ต่อให้ประเทศไทยเป็นรัฐๆหนึ่งของอเมริกา เราก็ทำของเราอย่างนี้ อเมริกา จะมาทำอะไร เราได้

คนนิวยอร์กไม่ได้มีความสุขกว่าคนฮาวาย ทั้งๆที่ฮาวายก็ได้ชื่อว่าเป็นของอเมริกา แต่อเมริกา ก็ทำอะไร เขาไม่ได้ คนฮาวาย เขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้น มีวิถีชีวิต มีวัฒนธรรมของเขา ไม่ต้องไปกังวล อะไรมากเลย ถึงอย่างไร เราก็อยู่อย่างเรา เราไม่เป็นอย่างอเมริกา แต่จริงๆอเมริกา ก็มีปัญญาเห็นว่า สิ่งที่เราทำนี้ดี....."

๑.๔ ทิศทางหนึ่งของบริษัทภูมิบุญฯ
การประชุมบริษัทภูมิบุญฯ (๓๑ มี.ค.) ที่ศีรษะอโศก เมื่อพูดถึงเรื่องการจ่ายสด ไม่ใช้เครดิต ตามหลักการ บุญนิยม เกิดมีข้อสงสัยว่า เราจะทำถึงขั้นไหน ถ้าให้ของ ต้องเอาเงินสดเลยไหม ถ้าเขาจ่ายเช็ค ก็ถือว่าใช้ได้ เช็คจ่าย ภายใน ๑๐ วันก็ถือว่าเร็วแล้ว และควรมีเงินมัดจำล่วงหน้า

"เราจะทำบริษัทการค้า ที่มุ่งหมายเปลี่ยนแปลงเขาให้มาทำอย่างเรา ซึ่งบริษัทที่จะมาติดต่อค้าขายกับเรา เขาจะต้องเปลี่ยนระบบการซื้อขายเรื่องเงินจ่ายสด ซื้อสด ขายสดอย่างที่เราทำ ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นได้ สินค้าเราต้องดี จนเขาต้องมาง้อ ยอมปรับมาอย่างเรา เราจะเปลี่ยนแปลงโลก ไม่ใช่เราจะไปเป็น อย่างโลก"

ต่อมามีการพูดถึง การจัดซื้อเครื่องทำเต้าหู้จากไต้หวัน มาใช้ที่โรงเต้าหู้ปฐมอโศก ราคาเครื่องใหญ่ สองล้านกว่า รวมภาษีด้วย ก็ประมาณสามล้านบาท ส่วนเครื่องเล็ก ราคาหกแสนกว่า ขณะที่ทาง
ปฐมอโศก ต้องมีค่าใช้จ่าย หลายด้าน การคืนทุนในเวลา ๑ ปี อาจจะลำบาก จึงมีผู้เสนอว่า ระยะต้น บริษัทภูมิบุญฯอาจจะออกทุน ให้ปฐมอโศก เป็นผู้ผลิต แล้วบริษัทภูมิบุญฯ จัดหาตลาดเอง จนกว่า
ปฐมอโศก จะหาทุนคืนได้ ก็จึงค่อยขายกิจการ ให้ปฐมอโศก สรุปก็คือ บริษัทภูมิบุญฯ จัดตั้งขึ้นมา ก็เพื่อให้องค์กร ของอโศก มีงานเดินไปได้ เมื่อแข็งแรงพอ จึงจะผ่องถ่าย ขายกิจการคืนให้ องค์กรอโศก

๑.๕ ฝรั่งสนใจการบรรลุธรรมเร็ว
๕ เม.ย.๔๕ ที่ศีรษะอโศก หลังเสร็จทำวัตรเช้า ที่พ่อท่านได้นำหนังสือ อีคิวโลกุตระ มาอ่านอธิบาย มิสเตอร์ทรอย ชาวอเมริกัน ที่มาร่วมปฏิบัติอยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำร่วม ๒ ปีแล้ว เข้าเรียนถาม ปัญหาพ่อท่าน เรื่องการบรรลุธรรมเร็ว อย่างผู้ที่ศึกษาเซ็นเป็นอย่างไร?

พ่อท่านอธิบายว่า "คนบรรลุธรรมเร็วนั้น เกิดจากการสั่งสมคุณธรรม มาหลายชาติแล้ว เปรียบดังเพชร ที่มีความเป็นเพชร อยู่แล้วในตัว ขัดถูฝุ่นโคลนออกนิดหน่อย ก็เห็นเป็นเพชร มิใช่ตนเองเป็นก้อนอิฐ ก้อนหิน แล้วจะหลงตน ว่าเป็นเพชร แค่เช็ดถูทำความสะอาด ด้วยวิธีเดียวกัน แล้วจะคิดว่า ตนเองเป็นเพชร

ทรอย : บรรลุธรรมแค่นิดเดียวเอง อย่างที่เซ็นเขาบอก

พ่อท่าน : นั่นเป็นความเข้าใจผิด เหมือนตัวอย่าง ในสมัยพระพุทธเจ้า ผู้ที่บรรลุธรรม โดยเอาผ้า ไปเช็ดถู แล้วบรรลุ อย่าไปแสวงหา อย่าไปปฏิบัติอย่างเซ็น มันจะงมงาย ถ้าเราปฏิบัติธรรม ไปเรื่อยๆ ตามมรรคองค์ ๘ นี้แล้ว จะบรรลุเอง

ถ้าจะปฏิบัติธรรม จงศึกษาปฏิบัติธรรมทั่วๆไป อย่าไปปฏิบัติอย่างเซ็น เซ็นเขาจะไม่ปฏิบัติศีล สมาธิอะไร เขาจะมักง่ายว่า คิดเอา แล้วก็บรรลุเร็ว

ทรอย : ผมไม่อยากเชื่อ ชาติก่อน ชาติหน้ามีได้อย่างไร?

พ่อท่าน : ก็ไม่ง่ายสำหรับคนไม่มีพื้นภูมิอย่างเอเชีย แต่เราก็ไม่เชื่อเป็นนิจจัง อย่างธิเบตทีเดียว

ทรอย : อย่างพระพุทธเจ้า บอกอย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าจะพิสูจน์แล้ว

พ่อท่าน : ใช่ นั่นเป็นคำสอนในกาลามสูตร โดยปรัชญา คนที่ไม่เชื่อชาตินี้ ชาติหน้านั้น จะทำบาปง่าย

๒. วันสงกรานต์
๑๔.เม.ย.๔๕ ที่สันติอโศก เป็นวันอาทิตย์ มีญาติโยมมาทำบุญฟังธรรมกัน มากกว่าวันอื่นๆ พ่อท่าน แสดงธรรม ก่อนฉัน วันนี้พ่อท่านพูดถึง ความเป็นมาของวันสงกรานต์ ในทรรศนะของพ่อท่าน จากบางส่วน ที่พ่อท่านกล่าวดังนี้

".....เรื่องของสงกรานต์ เดือนเมษาเนี่ย มันหน้าร้อนก็ไม่ค่อยมีน้ำ แต่ทุกวันนี้เพี้ยนกันไปใหญ่แล้ว เอาน้ำ มาสาดกันเล่น สาดกันเสียหาย ทิ้งขว้างกันมหาศาล โง่หรือฉลาด ความจริงแล้ว การรดน้ำ ดำหัวเนี่ย เป็นวัฒนธรรม สาดน้ำกันเล่น ไม่ใช่เป็นวัฒนธรรมหรอก เป็นหายนธรรม พวกเราชาวอโศก อย่าอวดอุตริ ไปสาดน้ำกันเล่น เป็นอันขาด มันเป็นความเสียหาย มันเป็นความโง่ เพราะความมีกิเลส หลงเล่นหลงสนุก หลงเพลิดเพลิน ความจริงมันเกิดจาก การที่น้ำไม่ค่อยมี ถ้าใครได้อาบน้ำ ใครได้มีน้ำมารด มันก็เย็นชื่นใจ จึงเกิดความคิด ของผู้ฉลาด มีพิธีกรรมรดน้ำ ผู้ประเสริฐ รดน้ำผู้ใหญ่ รดน้ำผู้มีบุญคุณ เขาจะรดน้ำ ผู้ที่น่าเคารพ เท่านั้น ไม่ใช่ไปสาด สุ่มสี่สุ่มห้า ตัวเล็กตัวน้อย ก็สาดกันเรื่อยไป คนไหนได้รดน้ำ ถือว่า มีเกียรติ เพราะน้ำมันน้อย มันหน้าร้อน เมื่อจะมารดน้ำดำหัว ผู้ใหญ่คนนี้ สมควรจะได้รับน้ำ ได้รับ ความชุ่มเย็น ในวันร้อนๆ นี่นะ ก็เอาน้ำมาคนละจอก คนละแก้วมาแชร์ เป็นวิธีการแชร์ ไม่เปลือง มีน้อยๆ แต่แสดงออก เสียสละ เอามาเทรวมในขันใหญ่ กะละมังใหญ่ ตุ่มใหญ่ ใครมีมาก ก็เอามารวมๆ แล้วก็เอามารด มาราดผู้ใหญ่ ที่น่าเคารพนั้น นี่เรียกว่า รดน้ำดำหัว เป็นการให้เกียรติ เป็นพิธีอันดีงาม แล้วก็เพี้ยนสิ ข้าก็ผู้ใหญ่ ข้าก็น่าจะได้รับ การเคารพนะ ก็แอ็คสิ จากผู้ใหญ่น้อยคน ก็เป็นผู้ใหญ่หลายคนขึ้น แย่งกันไป ข้าก็ผู้ใหญ่ๆๆ แย่งกันไปแย่งกันมา หนักเข้าก็เล่นสิทีนี้ เล่นกันคือกิเลส เหมือนเด็กๆ เอาไปรด คนนั้น รดคนนี้ สาดกันไป สาดกันมา หนักเข้าก็เลย เรื่องไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรดี ก็เลยสาดกันเล่น ใหญ่เลย หนักเข้า ก็เป็นเรื่อง ของทุนนิยม พอหน้าสงกรานต์ก็เอาสิ เตรียมตัวค้าขาย อะไรจะค้าขายได้ เล่นเอาแป้ง ไปทาผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่ จะทาให้เด็ก เป็นการให้พร เดี๋ยวนี้กลายเป็น เอาแป้งมาลูบหน้า ลูบตากัน แต๊ะอั๋งสิ เล่นอะไร ลามกไปหมดเลย เลอะๆเทอะๆกันใหญ่ มันเป็นความเลวทราม ไม่ได้เป็นวัฒนธรรมเลย อันนี้ อาตมา พูดมานานแล้ว อาตมาขี้เกียจจะไปเอาเรื่อง สังคมส่วนใหญ่เขา ไปรื้อจารีตประเพณี วัฒนธรรมนี่ อาตมาก็ไม่มีแรง จะไปทำมากขนาดนั้น ก็พูดไปอย่างนี้ ฝากลมฝากแล้งไป เพราะฉะนั้น เราอย่าไปร่วมมือ อย่าไปร่วมกระทำ เข้าใจให้ได้ว่า มันเป็นเรื่องหายนธรรม ไม่ใช่เรื่องดีงาม วัฒนธรรม หรือว่าจารีต ประเพณี หลายๆอย่าง ทุกวันนี้ มันบานปลาย ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เป็นเรื่องหายนธรรม กันไปหมดแล้ว..."

๓. เด็กเข้าค่ายยุวพุทธทายาทได้อะไร?
ปีนี้เป็นปีแรก ที่งานเข้าค่ายยุวพุทธทายาทของเด็กๆ กระจายแบ่งกันจัดทำไป ตามพุทธสถานต่างๆ ด้วย แทนที่จะเป็น ที่ปฐมอโศกแห่งเดียว ที่จัดกันมานานกว่า ๑๖ ปี ด้วยเป็นเพราะการบ่มเพาะเด็ก ที่มาเข้าค่าย ให้เติบโตขึ้นมารับภาระ งานอบรม แทนผู้ใหญ่ แทนรุ่นพี่ๆได้ลงตัว และมีปริมาณ มากขึ้นเรื่อย

งานยุวพุทธฯที่ผ่านๆมา พ่อท่านจะได้รับนิมนต์ให้เทศน์โปรดเด็กๆทุกครั้ง เท่าที่สังเกตดู พ่อท่าน ต้องปรุงมาก ใช้เสียงดัง แข่งกับเด็กๆ เพื่อดึงความสนใจของเด็ก ในวัย ๕-๑๕ ปี ให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่อง ยากมาก แต่ก็ผ่านมา ได้ดีทุกครั้ง แม้ครั้งนี้ จะเป็นครั้งแรก ของสันติอโศก ที่จัดงาน ยุวพุทธฯ แต่คณะทำงาน ที่เป็นพี่เลี้ยง ดูแลเด็กๆ เคยกับงานนี้มา ตั้งแต่ครั้งแรกๆ สมณะสิกขมาตุ จึงไม่หนักอะไร พ่อท่าน ก็เพียงแค่ มาเทศน์เท่านั้น การทำกิจกรรมอื่นๆ พี่เลี้ยงพาน้องๆ ทำกันได้หมด จากบางส่วน ที่พ่อท่านเทศน์กับเด็กๆ ที่มาเข้าค่าย ยุวพุทธฯ ๒๐ เม.ย.๔๕ ที่สันติอโศก

"....สุขจากความไม่โกรธ เป็นความสุขอันดีงาม ไม่ใช่สุขจากการได้กินขนมอร่อย จะทำให้กิเลสอ้วน กิเลสได้ใจ จำไว้ อย่าไปบำเรอใจกิเลส

กิเลสคือ ความอยากที่พาให้เราเสียหาย เสื่อมเสียตกต่ำเลวร้าย แต่ถ้าเป็นความอยาก ไปในทางที่ดี อยากเป็นคนดี อยากเป็นคนเก่ง ความอยากอย่างนี้ เรียกว่า ฉันทะ หรืออีกคำหนึ่ง เรียกว่า อากังขาวจร..."

แม้เนื้อหาการเทศน์ในหลายๆครั้งจะยาก สำหรับเด็กๆจะรับรู้ และคิดตามได้ แต่พ่อท่าน ก็ยังคงรับเทศน์ กับเด็กๆ ทุกครั้งที่มีงานอบรม เข้าค่ายอย่างนี้ โดยเหตุผลลึกๆ ก็เพื่อผู้ใหญ่ ที่มาลุ้น เอาใจช่วยเด็ก และ อาจจะเผื่อเด็ก บางคน ที่มีบารมี ในทรรศนะของพ่อท่าน งานอบรมเข้าค่ายยุวพุทธฯ พ่อท่านไม่ได้หวังผล ที่การฟังเทศน์ ฟังธรรมของเด็ก พ่อท่านประเมินผลขั้นต่ำ ของงานอบรม ยุวพุทธฯนี้ เพียงแค่ "...มาอบรม อย่างนี้ อย่างน้อยๆ ก็ได้ฝึกอดทน ไม่ได้ทำอะไรตามอยาก ไม่มีพ่อแม่ให้อ้อน..."

๔. เงื่อนไขเดียวสำหรับผู้ที่จะลาออกจากงาน
๒๓ เม.ย.๔๕ ที่ปฐมอโศก คุณสนธิพงษ์ สนธิมิโน เจ้าหน้าที่ สจส. ช่วยงาน ธ.ก.ส. ในการอบรม เกษตรกร ที่พักหนี้ อีกทั้งเป็นญาติธรรมห่างๆ มาหลายปี วันนี้มีเรื่องกราบเรียน ปรึกษาพ่อท่าน โดยมีคุณธีชัช นำพามาพบ

สนธิพงษ์ : ผมอยากจะลาออก จากงาน ธ.ก.ส.ครับ ซึ่งผมรับผิดชอบอยู่ ๒๒ จังหวัด ทั้งภาคใต้ และ ภาคตะวันออก โดยผมได้ไปติดตาม ชาวบ้านที่มาอบรม และผมเห็นว่า ถ้าไม่ต่อยอดให้ชาวบ้าน คงยากมาก บอกตรงๆ ผมไม่แน่ใจว่า ทางธนาคาร จะจริงแค่ไหนกับงานนี้

พ่อท่าน : ทำอยู่กับธนาคาร ดูๆไปก่อนก็ได้นี่ ถ้าจะมาอยู่ทางนี้เลย ต้องหมายความว่า เรามีฐานมีภูมิธรรม พอเพียง ถ้าไม่เช่นนั้นจะยุ่ง

สนธิพงษ์ : ผมมีที่อยู่ครับ

พ่อท่าน : มีที่เท่านั้นไม่พอ

สนธิพงษ์ : ผมมีที่อยู่สองแห่ง ที่ร่อนพิบูลย์ ไม่ห่างจากทักษิณอโศกครับ

พ่อท่าน : ถ้าแยกกลุ่มออกไปทำ มันจะยาก อาตมาว่าคุณไปรวมที่ทักษิณอโศก ถ้าจะให้ทำ ก็ต้องเป็น ส่วนกลาง ถ้าเป็นส่วนตัวแล้ว ไม่มีใครกล้าไปทำหรอก ขนาดเจ้าของที่สละ แล้วให้เป็น ของมูลนิธิแล้ว แต่ไปเจ้ากี้เจ้าการ ชาวอโศกก็ยังมีคนไม่ชอบ ไม่อยากไปยุ่ง ถ้ายังหวงแหนเป็นของฉัน มีอัตตามานะอยู่

ธีชัช : คุณสนธิพงษ์เห็นว่า ถ้ายังทำงานอยู่กับ ธ.ก.ส. จะไม่สามารถวิ่งรอบกว้างได้

พ่อท่าน : ก็เข้าใจล่ะ อยู่ที่เงื่อนไขเดียวคือ ภูมิธรรมของคุณเอง ถ้าลาออกมาแล้ว ไม่มีรายได้แล้ว เราก็ต้อง กินน้อยใช้น้อยได้ สำคัญที่สุด อยู่ที่ภูมิธรรมของคุณ ถ้าแข็งแรงพอ ต้องประมาณตน มันจะหนักนะ ถ้าออกมาแล้ว จะกลับไปต่ออีกก็ไม่ได้ จะต้องประมาณให้ดีๆ แม้เราจะมีเงิน ออกมาด้วย แต่เราจะแข็งแรง ไปได้แค่ไหน เราจะไหวไหม อโศกก็มีสมรภูมิเหมือนกันนะ เสือ สิงห์ กระทิง แรด ก็มีบ้างเหมือนกัน

สนธิพงษ์ : ผมทำงานส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษมาเป็นสิบๆปี ได้แต่แนะนำคนอื่น จึงอยากออกมา ทำเองบ้าง

พ่อท่าน : จะส่งเสริม หรือจะทำเองก็เถอะ ถ้าภูมิธรรมไม่ถึง ก็อยู่ไม่ได้นะ ถ้าอยู่ทำงานทางโน้น ก็มีผลดี อยู่บ้าง แต่ก็เป็นด้านนอก ถ้าจะเข้ามาก็มีผลดีด้านใน แต่ต้องแน่ใจจริงๆนะ

๕. เข้มกฎ อย่างมีน้ำใจ รู้มารยาทสังคม
๒๗ เม.ย.๔๕ ที่สันติอโศก ขณะประชุมชุมชนสันติอโศก มีประเด็นเรื่องคณะผู้มาดูงานชุมชน จะทำผิด กฎระเบียบชุมชน ให้ที่ประชุมได้พิจารณา ก็คือ คณะศูนย์พิทักษ์สิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๐๐ คน จะมาขอ เรียนรู้ศึกษา โดยจะนำอาหาร ที่มีเนื้อสัตว์เข้ามาทาน อาหารได้สั่งทำไว้แล้ว เขาไม่รู้มาก่อนว่า ชุมชนเรา ห้ามนำอาหารเนื้อสัตว์ เข้ามาทาน เมื่อเขารู้ จึงคิดที่จะกินอาหารกันในรถ จะได้ไม่ผิดกฎระเบียบของเรา

พ่อท่านแสดงความเห็นในประเด็นปัญหานี้ว่า "ถ้าเราจะให้เขากินในรถ จะมีคนที่จะรู้สึกไม่ดี เราจะถูก มองว่า เคร่งเกิน ไม่อนุโลม ไม่รู้สมมุติสังคมเลย อย่างนี้ก็คงต้อง อนุโลมเขา แต่ทีนี้เราจะอนุโลม ให้เขากิน ที่ไหนดี"

มีเสียงเสนอ ให้เป็นที่ตะวันงาย อีกเสียงหนึ่งก็เสนอ ที่ชั้นล่างตึกฟ้าอภัยใหม่ เสียงส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับ ชั้นล่าง ฟ้าอภัยใหม่

พอดีผู้ประสานงานของศูนย์พิทักษ์สิ่งแวดล้อม ก็อยู่คุยกับสมณะ ที่ใต้โบสถ์พอดี เขาได้ยินเรื่องราว ที่กำลังประชุม จึงเดินเข้ามากราบพ่อท่าน แล้วแจ้งว่า เรื่องอาหาร ตกลงทางศูนย์พิทักษ์สิ่งแวดล้อม จะจัดหาอาหาร ที่ไม่มีเนื้อสัตว์ เข้ามาได้

โอ่! ดีเลย เรากำลังคิดจะหาทางออกกันอยู่พอดี" พ่อท่านกล่าว

มีเสียงสาธุ! จากชาวชุมชน ที่นั่งร่วมประชุมอยู่

'เพื่อเป็นน้ำใจตอบแทน ทางเราน่าจะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวมังสวิรัติ กับพวกเขาเพิ่มค่ะ ' คุณอาภรณ์ วิชัยดิษฐ์ รองประธานชุมชน กล่าวเสริม

๖. พ.ร.บ.คณะสงฆ์ จะเป็นอย่างไร?
๖ เม.ย.๔๕ ที่ศีรษะอโศก ในงานปลุกเสกฯ หลังทำวัตรเช้าแล้ว พ่อท่านพูดคุยกับญาติโยม มีผู้บอกเล่าว่า ได้อ่านข้อเขียน ของนักเขียนท่านหนึ่ง ที่อดีตเป็นพระเปรียญธรรม ๙ ประโยค ในช่วงที่มีความขัดแย้ง เรื่องพ.ร.บ. คณะสงฆ์ ฉบับใหม่ นักเขียนท่านนั้น ได้เขียนพาดพิงถึง สันติอโศกว่า พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับใหม่ จะจัดสันติอโศกไว้อย่างไร จะลอยก็ไม่ลอย จะจมก็ไม่จม ผู้บอกเล่าได้สรุป ท่าทีของผู้เขียนว่า เหมือนอยาก ให้อยู่ เป็นคณะสงฆ์อื่นไปเลย เหมือนจีนนิกาย และอนัมนิกาย

(มีต่อหน้าถัดไป)

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๙ มิถุนายน ๒๕๔๕)