.


โดย สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ

หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 306


ฤาความดี จะมลายหาย
ความเลวร้ายจะครองเมือง

ตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๐

ต้นเดือนตุลาคมมีข่าวการมรณภาพของ พระพรหมมังคลาจารย์ หรือ “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” เจ้าอาวาส วัดชลประทาน รังสฤษฏ์ มรณภาพ ด้วยอาการ ปอดอักเสบ และไตวายเฉียบพลัน สิริอายุรวม ๙๖ ปี เมื่อ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ ที่โรงพยาบาล ศิริราช นับเป็นการสูญเสียขุนพล ของกองทัพธรรม อีกท่านหนึ่ง ขอนอบน้อม กราบนมัสการ ในคุณธรรม ที่หลวงพ่อ ปัญญาฯ มีมา ณ ที่นี้ด้วยเทอญ

วันปาติโมกข์ที่ผ่านมา ๑๑ ต.ค. ได้มีการพูดกันถึงเรื่องการไปร่วมงานศพ ของหลวงพ่อปัญญาฯ

เมื่อมองถึงหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมา สงฆ์กระแสหลัก ยังคงมีท่าที ไม่ประสงค์ ที่จะให้ มีชาวอโศก ไปร่วมสัมพันธ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็น โครงการจัดงาน วิสาขะโลก ที่พุทธมณฑล หลายปี ที่ผ่านมา สงฆ์กระแสหลัก ออกมาประสานเสียง กีดกัน ไม่ให้ชาวอโศก เข้าไปมีส่วนร่วมในงาน แม้แต่การจัดงาน ๑๐๐ ปีของหลวงปู่ พุทธทาส ที่สวนโมกข์ฯ ญาติธรรมตั้งใจ จะไปเปิดโรงบุญ มังสวิรัติ เพื่อแจกอาหาร กับผู้มาร่วมงาน ท่าทีของผู้ที่ดูแล เหมือนไม่อยากให้ ชาวอโศกไปร่วม ถ้าไป ก็ขอร้อง ให้แปลงกาย อย่าแต่งกาย ให้ผู้อื่นรู้ว่า เป็นชาวอโศก ได้ฟังเรื่องราวดังนี้ สมณะหลายรูป ที่ตั้งใจจะไป จำเป็นต้องระงับ การไปคารวะ เกรงผู้ดูแลวัด จะลำบากใจ นั่นเป็นเหตุการณ์ เมื่อปีเศษๆ ที่ผ่านมา

และเดือนที่ผ่านมา ในงานศพของพระเถระรูปหนึ่ง คุณสมาน ศรีงาม ผู้ที่เคย จัดทำรายการ สัมภาษณ์พ่อท่านฯ สัมภาษณ์ ท่านจันทร์ ทั้งรายการวิทยุ และโทรทัศน์ หลายๆ ต่อหลายครั้ง ได้ไปร่วมงานด้วย ปรากฏว่า มีเสียงตะโกน ขึ้นมา ท่ามกลาง พระเถรานุเถระ ที่มาร่วมงาน จำนวนมากนั้นว่า... สันติอโศก ก็มาโว้ย คุณสมาน ได้ส่งเสียง ตะโกนกลับไปว่า ...ไม่ได้มาโว้ย ทราบจาก ผู้ที่บอกเล่า เรื่องนี้ว่า เสียงตะโกนใส่คุณสมาน ก็คือ คุณเสถียร วิพรมหา ผู้ที่เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องที่ สน.ชนะสงคราม กล่าวหาว่าพ่อท่านฯ และสมณะชาวอโศก ไม่ได้เป็นพระ

แม้จะมีสงฆ์กระแสหลักส่วนหนึ่งไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ชาวอโศกก็ตาม แต่เพื่อความเหมาะสม ไม่ทำให้หลายฝ่าย ลำบากใจ ชาวอโศก ไม่ควรไปร่วม อย่างเป็นคณะใหญ่ เช่นที่เคยไปร่วมงานศพ ของญาติธรรม หรือ ศพของญาติๆ สมณะ ถ้าจะไป ให้ไปเป็นการส่วนตัว หรือเป็นคณะเล็กๆ ก็พอ จะได้ไม่เป็น จุดสนใจ อะไรนัก เพราะผู้คนที่ไปร่วมงาน ย่อมมีมากอยู่แล้ว

ก่อนจะทราบข่าวการมรณภาพ ของหลวงพ่อปัญญาฯ ที่กรมอัยการ พ่อท่านฯ และคณะทนายความ มีคุณทองใบ ทองเปาด์ คุณชำนาญ พิเชษฐพันธ์ และ ทนายความหญิง ที่ทนายนคร ชมพูชาติ ส่งมา พร้อมกับญาติธรรม ส่วนหนึ่ง ได้มาพบกับอัยการ เนื่องจากตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้ส่งสำนวนฟ้องพ่อท่านฯ มาที่อัยการ และนัดหมาย ให้มาพบกับอัยการ ในวันที่ ๑๐ ตุลาคมนี้

ท่านอัยการมีท่าทีงงๆกับคดีที่เกิดขึ้น โดยรูปการณ์แล้ว ไม่น่าจะเป็นคดีขึ้นมาได้ กลั่นแกล้ง หาเรื่องกันชัดๆ การสนทนา ใช้เวลาไม่ถึง ๑๕ นาที ท่านอัยการถึงกับ เอ่ยปากบอกว่า ผมเข้าใจประเด็นแล้ว และนัดหมาย ให้มาพบอีก ในเดือนธันวาคม เพื่อขอเวลา อ่านสำนวนฟ้อง ของตำรวจก่อน เงินและหลักทรัพย์ ที่ได้เตรียมไป ประกันตัว ก็ไม่ต้องใช้ ที่ต้องเตรียมเงิน และ หลักทรัพย์ ไว้ประกันตัว เผื่อว่า จะเคราะห์หาม ยามร้าย ต้องมาเจอกับอัยการ ที่มีทรรศนะคติ ที่เป็นลบ กับชาวอโศก อาจมีการใช้ อำนาจหน้าที่ ควบคุมตัวพ่อท่านฯได้ โชคดีที่ไม่เป็นเช่นนั้น

ด้านทนายดูมีความมั่นใจ ไม่มีความกังวลอะไรเลย กับคดีนี้

การที่ตำรวจรีบส่งฟ้องไปที่อัยการ ก่อนจะมีการเลือกตั้ง มีผู้สันทัดการเมืองมองว่า เขาคงเกรง อำนาจเก่า ที่มีท่าทีว่า จะกลับมา จึงรีบปัดๆ ให้พ้นๆหน้าตักเขาไปก่อน

การแสดงธรรมที่ชุมชนฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยอุบลฯ เมื่อ ๗ ต.ค. พ่อท่านฯได้กล่าวถึง เรื่องคดี อย่างที่เคยกล่าวมา ตั้งแต่ถูกฟ้องร้อง ดำเนินคดี ครั้งแรก เมื่อสิบกว่าปีก่อนว่า ถ้าอาตมา จะต้องติดคุก อาตมา ก็จะเขียนหนังสือ จากในคุกออกมา บอกถึงจิตใจของพ่อท่านฯ มิได้ท้อแท้ หรือหวั่นเกรงอะไร ใจยังคงมุ่งมั่น ที่จะทำงาน เท่าที่จะทำได้ เพื่อประโยชน์กับ มนุษยชาติต่อไป แม้จะมีอุปสรรค ยากลำบากอย่างไรก็ตาม

ในบ่ายของวันเดียวกันนี้ ๑๐ ต.ค. ทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติรับร่างหลักการ ร่าง พ.ร.บ. หวย บนดิน ด้วยคะแนน ๑๑๔ ต่อ ๓๖ เสียง งดออกเสียง ๕

น่าอัปยศกับมติที่ออกมาเช่นนี้ ส่อให้เห็นความเจือจาง ในภูมิธรรมของ ผู้สนับสนุน ยิ่งเหตุผลที่อ้าง ไม่คิดว่า เป็นการพนัน แต่เป็นเรื่อง ของความเสี่ยง ความตื่นเต้น หรือการแสวงหากำไร เล็กๆน้อยๆ เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆ ของประชาชน การอ้าง งานวิจัยปี ๒๕๕๐ ว่าเงินหวยใต้ดิน ๑.๕ แสนล้านบาท กลับมาเติบโตอีก ผลประโยชน์คือ กลุ่มผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น นักการเมือง ข้าราชการ บางส่วน การออกหวยบนดิน เพื่อจะได้ สะกัดกั้น เงินเหล่านี้ มิให้ไปถึงมือ ผู้มีอิทธิพลฯ แล้วจะได้ นำเงินนี้ มาเป็นรายได้ ของแผ่นดิน และจัดตั้งกองทุน เพื่อการศึกษา

นับเป็นความคิดที่พยายามแก้ปัญหาสังคมส่วนหนึ่ง แต่เป็นการมองเพียงเปลือกผิว เน้นเงินเป็นตัวตั้ง ดูแคลนกับ มิติทาง ศีลธรรม ...เชย ...คร่ำครึ. ..ล้าหลัง... ยุคนี้เป็นยุค โลกาภิวัตน์แล้ว

ในมิติทางศีลธรรม หลายท่านที่อภิปรายสนับสนุนบอกตนเองไม่ได้เล่นหวย แต่ส่งเสริม กฎหมายนี้ เพื่อความสุข ของชาวบ้าน แม้นี้ ก็เป็นบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก เมื่อตนเอง ไม่ได้หลงมัวเมาหวย แต่การสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้อื่น มัวเมาหวย ยินดีกับ การเล่นหวย ย่อมเป็นบาปแท้ แน่นอน

ไม่ต่างจากการที่ตนเองไม่ได้ฆ่าสัตว์เอง แต่ส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่าสัตว์ ยินดีกับ การที่ผู้อื่น ฆ่าสัตว์ ย่อมได้รับบาปมิใช่บุญเลย ดังนั้นการยินดีกับ การที่ชาวบ้าน มีความสุข จากการเล่นหวย (สุดท้ายแล้ว ชาวบ้านมีความสุข จริงๆหรือ) ก็ย่อมเป็นบาป มิใช่บุญ

ที่สำคัญบาปมิใช่แค่ครั้งเดียวในการยกมือรับรองกฎหมายหวยบนดิน บาปมันจะซับซ้อน ทับทวี ตราบเท่าที่ กฎหมาย ยังมีผล บังคับใช้ แม้ผู้สนับสนุน จะมรณาไปแล้วก็ตาม

ที่ผ่านๆมาคำว่า “กฎหมายขายชาติ” ได้รับการหยิบยกขึ้นมากล่าวถึง หลายต่อหลายครั้ง เมื่อนักการเมือง ผู้บริหาร เห็นแก่ ผลประโยชน์ของตน มากกว่า ผลประโยชน์ของชาติ การรับร่าง หลักการ พ.ร.บ. หวยบนดินนี้ อาจกล่าวได้ว่า เป็น “กฎหมาย ขายกิเลส” คือรู้อยู่ว่า หวยเป็นกิเลส การที่รัฐบาล ขายหวย ก็คือ รัฐบาลขายกิเลส ให้กับชาวบ้าน

การถกถียงกันด้วยเหตุผลไม่มีวันจบสิ้น อย่างที่พ่อท่านฯ เคยกล่าวไว้ ถ้าจะหา เหตุผล มาเถียงให้ ขี้ดีกว่าข้าว ก็ย่อมหา เหตุผล กันมาได้ ตราบใด ที่ไม่มีภูมิรู้กุศล -อกุศล ก็ย่อมหาเหตุผล ให้อกุศล ชนะกุศล ได้ทั้งนั้น และถ้ายังจำกันได้ เมื่อมีการ ถกเถียง ยกอ้าง เหตุผล สารพัด เพื่อเอาชนะ คะคานกัน พ่อท่านฯ เคยให้โศลกธรรม ให้ได้คิด “เหตุผล คือความบ้า อัตตา คือ ความจริง”

น่าจะได้มีการทำวิจัยเปรียบเทียบการมีหวยบนดินกับการไม่มีหวยบนดิน อย่างรอบด้าน ครอบคลุม ทั้งสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ (ได้กับเสีย อย่างไหน จะมากกว่ากันแท้) การเมือง (การออกหวยบนดิน การเมืองดีขึ้น หรือแย่ลงแท้) การศึกษา และศีลธรรม หรือ จิตใจของคน ในสังคมเป็นอย่างไร

การออกกฎหมายหวยบนดินด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวอ้างมานี้ จะกลายเป็น บรรทัดฐาน ที่ใช้อ้างกับ สิ่งผิดๆ อีกหลายๆ เรื่อง ที่จะตามมา นี่กำลังทำท่า จะขยายเวลา ให้การโฆษณาน้ำเมา มากขึ้นอีกแล้ว เฮ้อ...น่าสงสาร ประเทศชาติ น่าสงสาร ประชาชน คนไทย ที่กลายเป็น ข้าทาสของ เงินนิยม กันไปสิ้นแล้ว

รัฐบาลขิงแก่ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีธรรมมากกว่ารัฐบาลชุดใดๆ ประกาศนโยบายขานรับ พระราชดำรัส ปรัชญา เศรษฐกิจ พอเพียง ๑ ปีผ่านมา ผลปรากฏว่า ได้แค่ดีแต่พูด พฤติกรรม หรือการกระทำ ยังคงเดินตาม เศรษฐกิจทุนนิยม เป็นสรณะ ไม่ต่างจาก รัฐบาล ที่ผ่านๆมา

“การเมืองของภาคประชาชนโดยรวมดีขึ้น แต่นักการเมืองเลวลง” พ่อท่านฯ ตอบคำถามของ หลายต่อหลายครั้ง ที่มีผู้ถาม เข้ามา อาจเป็นเพราะว่า ประชาชน หมดความหวัง กับนักเลือกตั้ง เหล่านี้ การผสมพันธุ์ ย้ายพรรค เปลี่ยนขั้ว รวมก๊ก ร่วมก๊วนใหม่ เป็นเรื่องปกติ ก่อนจะมีการเลือกตั้ง ประชาชนไม่ได้อะไร เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่า นักลากตั้งหน้าเดิมๆ จะกลับเข้ามาอีก นโยบาย อุดมการณ์ กลายเป็นหลักการเท่ๆ ตอนหาเสียง

“เพื่อแผ่นดิน” For The Earth ชื่อสถานีโทรทัศน์ของชาวอโศก มีกลุ่มการเมือง ฉวยเอาไปตั้ง เป็นชื่อพรรค ทางเราไม่ทราบ จริงๆ ว่าเจตนา เบื้องลึกเบื้องหลัง ของกลุ่มการเมืองนี้ เป็นอย่างไร ทำไมเจาะจง จะต้องมาใช้ชื่อ ซ้ำกับชื่อ สถานีโทรทัศน์ ของเรา แม้พวกเรา จะทักท้วง คัดค้าน แต่ก็ไม่ได้รับ ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น กกต. หรือสื่อต่างๆ แสดงให้เห็นว่า เขาไม่ได้มี ความเกรงใจ เขาอาจมองว่า ชื่อของพรรคการเมือง กับชื่อของสื่อสารมวลชน มันแยกกัน เป็นคนละส่วน อยู่แล้ว แต่การอนุมัติ ให้ใช้ชื่อซ้ำกันได้ อย่างนี้ ต่อไป ถ้าจะมีการตั้งชื่อ พรรคไทยรัฐ พรรคมติชน พรรคไทยทีวี พรรค อสมท. ฯลฯ ย่อมได้ทั้งนั้น เพราะมี บรรทัดฐาน ของเหตุ เพื่อแผ่นดิน นี้แล้ว

พอดีได้จังหวะที่จะได้มีการปรับปรุงสถานี ทั้งเทคนิก และช่องสัญญาณ เพื่อให้ได้คุณภาพ ที่ดีขึ้น พ่อท่านฯ จึงได้คิดตั้งชื่อ สถานีโทรทัศน์ ขึ้นมาใหม่ มีชื่อว่า “เพื่อมนุษยชาติ” โดยมีบริษัท ที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ เข้ามาดูแล เป็นเจ้าของสถานี แทนบริษัท “ถอยหลัง เข้าครรลอง”จำกัด เบื้องต้นนี้ จะใช้ชื่อว่า บริษัท ”ก้าวหน้าสู่มหาสมุทร” จำกัด แต่พ่อท่านฯ เห็นว่า คำว่า ก้าวหน้า ฟังแล้ว แข็งๆ จึงเปลี่ยนมาเป็น “เดินหน้า สู่มหาสมุทร” ในเบื้องต้น และที่สุด ก็เห็นดีเห็นชอบกับชื่อ “เดินหน้า ฝ่ามหาสมุทร” และ สุดท้าย ก็ไม่ตั้งบริษัทใหม่ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อ จากบริษัท “ถอยหลังเข้าครรลอง” จำกัด มาเป็นชื่อใหม่ว่า บริษัท “เดินหน้า ฝ่ามหาสมุทร” จำกัด

อาทิตย์ที่ ๑๔ ต.ค. พ่อท่านฯอธิบายเรื่องชื่อใหม่ของสื่อนี้ ดังนี้ สื่อที่เป็นอยู่ ไปสู่ความเฟ้อเกิน ไปสู่ความจัดจ้าน เราจึงจำต้อง มีโทรทัศน์ เพื่อให้กลับมาสู่ ครรลองครองธรรม เพื่อสื่อความจริง ไปสู่มวลมนุษยชาติ แต่กระนั้น ก็ยังต้องมีอะไร ที่ต้องปรับปรุง

เรามันเป็นพวกที่ต้องยอม ต้องแพ้เขา มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถูกไล่บี้ไล่แบน แม้เราไม่ผิด แต่เราก็ต้องยอม ต้องแพ้ ไม่ให้เรา ใช้นาม เรียกตนเองว่า พระ เราก็ต้องยอมถอยร่น มาเรียกตนเองว่า สมณะ แม้มาตั้งพรรคการเมือง เหตุปัจจัยอะไรในที่นี้ ไม่ขอเล่า ทั้งๆที่เรา ไม่ได้เต็มใจ จะตั้งพรรคการเมือง แต่มีเหตุปัจจัย ที่จะให้ได้ตั้ง เราก็เลยต้องตั้ง เขาตั้งชื่อมาแล้ว ก่อนที่จะมาให้เรา เราไม่ได้ตั้งชื่อ พรรคเองเลย คือพรรคสหกรณ์ แต่เมื่อได้เป็นพรรค สหกรณ์ เรียบร้อย สันนิบาตสหกรณ์ไม่ยอม ท้วงมาว่า เป็นชื่อของเขา ไม่ยอมให้เราใช้ชื่อว่า พรรคสหกรณ์ เราก็ยอมถอยให้เขาไปอีก เราก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น พรรคเพื่อฟ้าดิน เราต้องถอย ต้องแพ้ มาเรื่อย ไม่ได้ไปรุกรานใคร จากชุดที่นุ่งห่ม ครองจีวร ด้วยสีย้อมน้ำฝาด มาเป็นชุดสีขาว เราก็ต้องถอย ต้องอนุโลม สารพัด จนหมดเรื่องคดีแล้ว เราก็เปลี่ยนจากสีขาว เพราะพระพุทธเจ้า ไม่ส่งเสริม ให้ใช้สีขาว ซึ่งเป็นสีของ พราหมณ์ มาเป็นสีน้ำตาล คล้ำๆ เป็นต้น

จนมาได้มีสื่อโทรทัศน์ เราก็ตั้งชื่อเพื่อแผ่นดิน มันจะเป็นชื่อที่เพราะ หรืออย่างไร ก็ไม่รู้ได้ แล้วก็มีกลุ่มการเมือง มาตั้งชื่อ พรรค เพื่อแผ่นดินอีก เราก็ท้วงไปถึง กกต. คล้ายสหกรณ์ เขาท้วงต่อ กกต. ให้เราอย่าเอาชื่อเขา มาตั้งซ้ำ นี่แหละ เราก็คิดว่าทาง กกต. ก็คงจะคิด เหมือนคราว สหกรณ์ท้วงเรา เราไปยื่นหนังสือ ท้วงกับ กกต.ว่า มันจะทำ ให้สับสนนะ ถ้าเอาชื่อ สื่อสารมวลชน ที่เราก็ตั้งแล้ว ใช้กับสังคม มาก่อนแล้ว มาเป็นชื่อ พรรคการเมือง ซ้ำกันอย่างนี้ ถ้าใครเอาชื่อ ไทยรัฐ มติชน ไปตั้งชื่อ เป็นพรรค การเมืองบ้าง จะว่าอย่างไร แต่ทาง กกต. ก็อนุมัติ จนพรรคการเมือง เขาก็ตั้งชื่อพรรค เพื่อแผ่นดิน ได้สำเร็จเรียบร้อย

จึงเห็นว่า เพื่อความเหมาะสม ไม่สับสน เราขอเปลี่ยนชื่อเป็น เพื่อมนุษยชาติ For Mankind และจำเป็นต้อง ขอปิด เพื่อปรับปรุง สถานี สองยามของวันที่ ๒๐ ที่จะถึงนี้ แล้วจะไป ทดลองส่งสัญญาณอีกที วันที่ ๑ พ.ย. ผู้ที่มีจานดาวเทียมอยู่แล้ว ก็เพียงแต่ตั้ง รหัสสัญญาณใหม่ แล้วทางเทคนิก จะบอกให้ทราบกันอีกที ยังไม่รู้ว่า จะถอยอีกกี่ครั้ง เราเป็นนักสู้ ที่ไม่ปะทะ ไม่ราวี อรณะ จึงต้องถอยมา แพ้มาเรื่อย เราจะต้อง ถอยหลังเข้าครรลอง ไปอีกนานแค่ใดหนอ แล้วเราก็มา คิดถึงท่าน พระมหาชนก ที่ท่านอดทน ยอดๆสุดๆ เราก็คงต้องตั้งจิต อดทนให้ยอดๆ สุดๆบ้าง เดินหน้าฝ่ามหาสมุทร เอาอย่าง พระมหาชนก ที่ฝ่ามหาสมุทร ไปอย่างไม่รู้ว่า ฝั่งอยู่หนใด ท่านก็ตั้งหน้าอดทน ฟันฝ่าไป ไม่เคยท้อ ก็เลยเอาชื่อใหม่ว่า “เดินหน้าฝ่ามหาสมุทร” เป็นร่องรอย แห่งตำนานชีวิต ของชาวอโศกซะเลย

กฎเข้มๆน้อยๆนิดๆของกกต.
ท่ามกลางความมืดมิด ของการเมืองไทย

ช่วงปลายเดือนตุลาคม ข่าวการออกกฎเข้มของ กกต.ได้รับการตำหนิกันไปทั่ว โดยเฉพาะบรรดา นักการเมือง ทั้งหลาย แม้แต่ สื่อมวลชน ส่วนใหญ่ ก็ติงว่าเข้มงวดเกินไป

รายการพุทธที่ไปนิพพาน หรือชื่อใหม่ว่า “วิถีอาริยธรรม” ๒๘ ต.ค. ๒๕๕๐ ได้หยิบเอามาเป็นประเด็น ในการกล่าวธรรม จากเนื้อหา ของการสนทนา บางส่วนดังนี้

ท่านจันทร์ : พุทโธธัมโมสังโฆ กราบขอโอกาสนมัสการพ่อท่าน ด้วยความเคารพครับ นมัสการสมณะ ทุกรูป เจริญธรรม สิกขมาตุ และ ฆราวาสญาติโยม ทุกผู้ทุกคน ณ โอกาสนี้ จักนำพา ท่านทั้งหลาย ไปสู่พุทธที่ไปนิพพาน ดังที่เราทราบกัน เป็นอย่างดีว่า นิพพานนั้น เป็นเรื่องที่ อยู่กับชีวิต เป็นเรื่องที่อยู่ กับทุกๆกาล ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน ก็เป็นการทำงาน เพื่อนิพพาน การประกอบ อาชีพ ก็เป็นไป เพื่อนิพพาน การบำเพ็ญ ความเพียร ก็เป็นไปเพื่อ นิพพาน การพูดจา ก็เป็นไป เพื่อนิพพาน การไปการมา การดำรงชีวิต ในรูปแบบใดๆ ก็แล้วแต่ ต้องเป็นไป เพื่อนิพพาน แม้แต่การเมือง ก็ยังเป็นไป เพื่อนิพพาน คำว่านิพพาน หลายคน ไปเข้าใจว่า มีความหมาย สูงส่ง จนสุดสอย หรือไม่ก็ แปลกประหลาด อัศจรรย์ แบบลึกลับ ที่พิสูจน์กันไม่ได้ ในชีวิตเป็นอยู่ ของคน ของสังคม แต่สำหรับนัยะที่

พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ นำพาอยู่เสมอๆ นิพพานคือสิ่งที่สูงส่ง แต่ไม่สุดสอย ยังอยู่ในวิสัย ที่เรา ซึ่งแม้จะเปรียบ เป็นหมาวัด และ นิพพาน เปรียบเป็นดอกฟ้า แต่ก็เป็นดอกฟ้า ที่หมาวัดต้องเอื้อม ดังที่มีบทเพลง สัจจะชีวิต ที่ชื่อว่า “ดอกฟ้า ที่หมาวัด ต้องเอื้อม” ส่วนเนื้อเพลงก็ว่า จะหอมอะไรในฟ้าดิน เหนือกลิ่นดอกฟ้า เปรียบเราเท่าหมา ก็จะคว้ามาให้ได้ จะไม่ย่อท้อ ตะเกียก ตะกาย จะป่ายจะปีน ปานใดจะขอ จะตายไปก็ จะต่อตามจอง เอื้อมครองชื่นเชย ในเมื่อดอกฟ้า ผลก็คือ ซื่อสละขยัน สรรสร้าง อดออม ส่งกลิ่นหอม ทวนกระแส แค่ฟังเฉลย ก็เกินกลิ่น กว่าดอกดินใด ไม่เทียบเปรียบเปรย โอ้ดอกศีลเอ๋ย เจ้าชื่อดอกฟ้า ที่หมาวัดควรปอง นัยะประการหนึ่ง ก็คือศีล แปลว่า ข้อกำหนด งดเว้น ต่างๆนั้น เป็นเบื้องต้น แห่งพระนิพพาน

พ่อท่านฯ : และเป็นที่สุดด้วย

ท่านจันทร์ : เป็นเบื้องต้นแล้วก็เป็นที่สุดแห่งพระนิพพาน ตามที่มีปรากฏใน กิมัตถิยสูตร ชัดเจนมากเลย ทีเดียว “ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยัง อรหัตผล ให้เกิดขึ้น บริบูรณ์ โดยลำดับ” ด้วยประการฉะนี้แล ในสีลวรรค เถรคาถา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ ยังกล่าว ไว้ว่า ศีลเป็นประมุข ศีลเป็นมารดา ศีลเป็นหัวหน้า แห่งธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น การที่จะไปถึงที่สุด แห่งธรรม จะต้อง ชำระศีล ให้บริสุทธิ์ ในสังคมเรานี่ จำเป็นจะต้องมีศีลออกมา เป็นข้อกำหนด แม้แต่ในการเลือกตั้ง ก็ต้องมีศีล สำหรับ การเลือกตั้งว่า จะต้องมีข้องดเว้น แบบนั้นแบบนี้ ต่างๆนานา ในช่วงที่ผ่านมา กกต. ได้มีมาตรการ ออกมา ค่อนข้าง จะเข้มงวด บางคน เขาบอกว่า เป็นกฎเหล็ก แต่อาตมาเรียกว่า เป็นกฎเล็ก ไม่ใช่กฎเหล็ก แต่ประการใด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของ การต้อง งดเว้น การให้สัมภาษณ์ สื่อมวลชน งดเว้น การจัดงานเลี้ยง งดเว้นการลง สป็อตโฆษณา ผ่านสื่อทีวี ผ่านสื่อต่างๆ ทุกพรรค เปิดเผย นโยบายได้ แต่จะต้องเปิดเผย บนเวที ที่ กกต. กำหนดไว้ และ ก็ไม่ต้องเสีย สะตุ้งสะตังค์ แต่ประการใด ทุกๆคน ก็ไม่ต้อง ไปแสดงตัว แสดงตนอะไร มากมายนัก เพียงแต่เปิดเผยว่า ตนเอง อยู่เบอร์ไหน ก็เพียงพอแล้ว ปรากฏว่า มีเสียง อุทธรณ์ เสียงตู่ท้วง กกต. กันมากเลยทีเดียว ว่าเป็นกฎเหล็ก ที่จะปิดกั้น การรับรู้ ของประชาชน ปิดกั้น โอกาสแห่ง การแสดงออก ตามระบอบ ประชาธิปไตย ซึ่งข้อตู่ท้วงนี้ ทำให้ กกต. ดูเสียงอ่อน ลงมาก กกต. ก็บอกว่า ถ้ามีอะไร จะให้เปลี่ยนแปลง ก็แสดงความเห็นกันมา เดี๋ยวจะนำมาพิจารณา ปรับปรุงแก้ไขให้

ตอนนี้พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ในฐานะที่ท่าน เป็นผู้นำเสนอ ทฤษฎี เกี่ยวกับ การเมือง บุญนิยม ในรูปแบบ ที่ดูเหมือนว่า จะสอดคล้อง อยู่บ้าง กับแนวทางของ กกต. ที่ออกมา ในลักษณะที่ ไม่ให้มีการหาเสียง หรือ ไม่มุ่งเน้น ไปสู่การหาเสียง เราต้องเข้าใจนะว่า พ่อท่านเคยนำเสนอ เรื่องสื่อ ในช่วงที่ผ่านมา โดยนำเสนอว่า ท่านไม่เห็นด้วย กับการโฆษณา ทางสื่อใดๆ ก็ตาม สื่อจะต้องเป็น ทรูธมีเดีย (truth media) หมายความว่า เป็นไปเพื่อ การนำเสนอความจริง ชี้แจงความจริง ให้เป็นที่ประจักษ์ แต่ไม่โฆษณา ถ้าระบบการเลือกตั้ง เป็นแบบนี้ คือ ไม่มุ่งโฆษณา หาเสียง คุยโม้ โอ้อวดให้คนมาเลือกเรา แต่มุ่ง การนำเสนอ ความจริง ให้เป็นที่ประจักษ์ รายงานความจริง ต่อสังคมเท่านั้น ก็น่าจะเป็น ประชาธิปไตย หรือเป็นการเมือง ในแนว บุญนิยม ที่พ่อท่าน ได้แนะนำ มาโดยตลอด จึงเห็นว่า โอกาสนี้ น่าจะเป็น เวลาสมเหมาะ สมควร ที่จะนิมนต์ พ่อท่าน อรรถาธิบาย สืบเนื่อง เพื่อประโยชน์เพื่อความสุข แก่บรรดาผู้ที่ สนใจ ทางด้านธรรมะ กับการเมือง สืบต่อไป นมัสการครับ

พ่อท่านฯ : เรื่องการเมืองกับธรรมะหรือศาสนานี้เป็นปัญหา เกือบจะทุกประเทศ ทั้งๆที่โดยสามัญสำนึกแล้ว อาตมาว่า ทุกคน คงไม่ปฏิเสธว่า นักการเมือง ถ้าไม่มีธรรมะนั้น ไม่ดีแน่ แต่ก็ยังมี คนไม่น้อย ที่กีดกัน ไม่ให้การเมืองกับธรรมะ หรือ กับศาสนานี่ เข้าไปสัมพันธ์กัน เข้าไปส่งเสริมกัน ทั้งๆที่ธรรมะนี่ ต้องเป็นไปเพื่อ ให้เกิดความเป็นธรรม เกิดความเจริญ ของสิ่งที่ ประเสริฐ แต่เมื่อ การเมือง ซึ่งเป็นเรื่องของ สังคมมนุษยชาติ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ในทุกประเทศ กลับถูกขีดคั่น ถูกกันออก จากธรรมะ มันก็เลย ทำให้เกิด ความเลวร้าย ความเสียหาย จนทุกวันนี้ หลายๆประเทศ ต้องล้มละลาย ต้องพังพินาศไปเลย

โดยสามัญสำนึกของคนนี่มีปฏิภาณมีปัญญารู้ พวกเขาก็จะใช้จิตวิทยา เพื่อที่จะสื่อ หรือแสดงออกว่า ฉันรู้ว่า ดีคืออะไร ถูกต้อง คืออะไร ฉันรู้นะ ฉันยืนยัน อยู่ในทิศทางที่ดี ทิศทางที่ประเสริฐนะ และเขาก็จะพยายาม แสดงลีลา ลวดลาย ทั้งพูด ทั้งแสดง กิริยา พฤติกรรมต่างๆ ให้คนดูรู้สึกว่า นี่เป็นเรื่องดี แต่ลึกๆนั้น เขาไม่ได้ลดกิเลส ออกไปจากจิต ได้จริง กิเลสมันมีอยู่ ในจิตจริงๆ กิเลสมันก็ต้อง แสดงบทบาท แสดงฤทธิ์ แสดงอำนาจ ของมันจริงๆ และมันก็บังคับคน

อาตมาพูดซ้ำพูดซากบ่อยๆ ว่าคนเรานี่รู้ดี แต่สู้กิเลสไม่ได้ คนที่จะโกง รู้ดีว่า โกงนี้ชั่ว โกงนีไม่ดี คอร์รัปชั่นมันชั่ว แต่ก็ต้องโกง ต้องคอร์รัปชั่น เพราะเขา สู้อำนาจ ของกิเลส ในตัวเขาไม่ได้ เขาจึงทำชั่ว ทั้งที่รู้ๆ ชัดเจนเลย ไม่ได้มีการข้องขัด ไม่มีอะไร ที่คลางแคลง สงสัยเลย รู้แท้ๆชัดๆเลยว่า การโกง การคอร์รัปชั่น นี่มันชั่วมันเลว ถ้าถูกจับได้ ก็ติดคุก ขายขี้หน้า รู้แสนรู้ แต่เขา ก็ทำชั่ว นั่นได้ลงคอ แล้วหาทางกลบเกลื่อน ปกปิด อำพราง ทุกอย่าง ให้มันเป็นความลับ เป็นความลวง เป็นความพราง นี่เป็นสิ่ง ที่ยืนยัน ให้เห็นว่า มนุษย์นี่อย่าไป เก่งนัก เก่งหนาเลย มันสู้กิเลสไม่ได้จริงๆ ถ้ากิเลส มีในจิต ของคุณ จริงๆแล้ว มันแสดงอำนาจ เหนือคุณได้จริงๆ เมื่อถึงคราวกิเลส มันเอาจริง มันมีอำนาจเหนือคุณจริง คุณก็เสร็จมัน คุณก็ละเมิดได้ คุณทำชั่วได้ ต่อให้เฉลียวฉลาด เป็นอัจฉริยะ จบดอกเตอร์ มา ๑๐ ใบ หรือว่าอัจฉริยะ มาตั้งแต่อ้อน แต่ออก จนกระทั่ง อายุมาก มาบริหารประเทศ แล้วก็ตาม จะอัจฉริยะระดับไหน ถ้าไม่ได้ล้างกิเลส ในจิตใจ ของคุณจริงๆ คุณจะซุกซ่อน อำพราง คุณจะปิดบัง จะกลบเกลื่อน อย่างไร ก็ตาม มันก็ต้องแสดงฤทธิ์ แสดงเดชจนได้ เมื่อมันมีอำนาจ เหนือคุณ ขณะใด มันจะ หาช่อง หาเวลา หาโอกาส กระทำทั้งนั้น นี่อาตมา พูดถึงโทษภัย ของกิเลสว่า ถ้าเราไม่ละไม่ล้าง กิเลสให้ได้จริงๆ แล้วนี่ จะมาทำงาน กับสังคม เพื่อสังคม โดยเฉพาะ มาอาสาทำงาน ช่วยสังคม มันไม่แน่นอนหรอก มันมีแต่ จะบำเรอตัวเอง บำเรอลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข ให้แก่ตัวเอง ได้อย่างเป็นเรื่องสามัญ

คุณจะใช้มันเป็นแหล่งแสวงหาลาภยศ แสวงหาสรรเสริญต่างๆ เพื่อเป็นองค์ประกอบ ในการเสพโลกียสุข

กามสุข หรืออัตตทัตถสุขให้แก่ตนเอง เพราะคุณยังอยู่ใต้อำนาจของโลกียะ ยังไม่ได้เรียนรู้ สัจธรรม ขั้นโลกุตระ ของพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ ลดกิเลส เข้าถึงโลกุตระ โลกุตระขั้นโสดาบัน เป็นอย่างต่ำ จึงจะแน่นอน เชื่อมั่นได้ สัจธรรม ระดับนี้ เป็นธรรมะ ที่คุณเรียนรู้ กิเลสโลกียะ แล้วฆ่าเหตุ ที่เป็นกิเลส แห่งโลกียะนี้ได้ จนได้ชื่อว่า เป็นอาริยะ ที่แท้จริง หรือ คนประเสริฐ หรือ คนศิวิไลซ์ ที่แท้จริง

คำว่า ศิวิไลซ์(civilized)เป็นภาษาอังกฤษแปลว่า เป็นผู้ที่พัฒนาแล้ว และพัฒนาจริงๆ จนถึงขั้น สำรอกกิเลส ออกจาก จิตวิญญาณ ได้จริงตามลำดับ ซึ่งจะได้จากธรรมะ ได้จากศาสนานั่นเอง แม้แต่ในเรื่องของ การเมือง การศึกษา หรือกิจการ กิจกรรมอะไร ก็แล้วแต่ ต้องมีธรรมะ ประกอบด้วยเสมอ โดยเฉพาะการเมืองนั้น จะต้องศึกษา จะต้องมีกิจกรรม มีวิธีการ ที่จะพัฒนา ให้การเมือง มันเจริญ ด้วยธรรมะ ไม่ใช่ปล่อย ให้มันเป็นอย่างไรก็ได้ เพราะตัวมันเอง ถ้าไม่มีธรรมะ เข้าไปประกอบ เข้าไปเป็น ตัวจักรกลสำคัญ ในการที่จะให้เกิด การพัฒนา ในระบบการทำงาน ด้านการเมือง อาตมา ขอยืนยันว่า มีแต่จะมี เล่ห์เหลี่ยม มีหลุมพราง มีเล่ห์กล ที่จะไปเอารัด เอาเปรียบ ที่จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวก จะล่าลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข ที่เป็น โลกธรรม นั้นแหละ ทั่วโลก ที่ไหนก็ตาม ศาสนาไหนก็ตาม ถ้าไม่เน้นเข้าไปหา ตัวโลกุตรธรรมที่แท้จริง ที่จะต้องอยู่เหนือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่แท้จริง ก็จะมีแต่เรื่อง ลับลวงพราง เสนอหน้า อวดเปลือก สร้างภาพดีๆ แต่ในจิตลึกๆ ที่มีตัวจริง เป็นบทบาท แท้จริง ของเจ้าของ จิตวิญญาณ ที่ทำงานอยู่ในสังคมนั้น มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่โลกธรรม ทั้งสิ้น ไม่เป็น โลกุตรธรรมแน่ๆ

การกันธรรมะ กันศาสนาออกจากการเมือง จึงเป็นการกระทำผิด ที่เลวร้ายที่สุด ในโลก เพราะทำให้ สังคมเสื่อม สังคมเสียหาย จนถึงทุกวันนี้ เสียหายอย่าง พรางลวงด้วยนะ เสียหายอย่าง ไม่ค่อยรู้จริง ไม่ค่อยรู้เรื่องกันว่า มันเสียหาย อย่างไร เพราะว่า ถูกกลบเกลื่อน ถูกอำพราง ถูกปกปิด ถูกเสแสร้ง ถูกสร้างภาพ จนเพี้ยนๆ พรางๆ ลวงๆ ดูเหมือน จะทำดี มุ่งหมายดี แต่จริงๆ แล้วไม่ดี และไม่จริง นี่คือ สภาพที่เกิดขึ้น ซึ่งอาตมาก็เห็นว่า เป็นเรื่องที่น่าสงสาร

ประเด็นที่จะหยิบขึ้นมาพูดนั้น ท่านจันทร์พูดไว้ก่อนแล้วว่า กกต. ตอนนี้ถูกถล่ม เพราะพยายาม ที่จะออกกฎเหล็ก ที่ท่านจันทร์ เรียกว่า กฎเล็ก ออกมาให้คนปฏิบัติ ประพฤติ เพื่อไม่ให้แสดงความเห็นแก่ได้ ไม่แสดงความเห็นแก่ตัว ไม่แสดงความ ได้เปรียบ เสียเปรียบ กันเกินไป ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีมาก อาตมาสนับสนุน ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยที่ กกต. ทำอย่างนี้ อาตมาว่า เข้มงวด ขนาดนี้ ยังน้อยไป อาตมายืนยันมานานแล้ว ว่า การเลือกตั้ง ส.ส. นี่ ถ้ายังมีการหาเสียงกันอยู่ ยังไม่ใช่ ประชาธิปไตย ฟังอีก ร้อยครั้ง แต่อาตมา จะพูดครั้งเดียวนะ สมมุติว่า อาตมาใส่ไม้ยมก ๑๐๐ ครั้งก็แล้วกันว่า คนที่ยังหาเสียง ให้แก่ ตัวเองอยู่ ก็คือ คนเห็นแก่ตัว คนไม่จริง ไม่ใช่ประชาธิปไตย ยังไม่เป็นประชาธิปไตย การหาเสียง ด้วยวิธีใดๆ ทั้งปวง ยังไม่ใช่ ประชาธิปไตยที่แท้ ประชาชน จะเลือกตัวแทน เข้าไปทำงาน แทนตัวเอง ก็เป็นอำนาจของประชาชน เป็นความเห็น ของประชาชน ไม่ต้องไป บอกเขาว่า มาเลือกฉันสิ ฉันดีนะ ฉันประเสริฐนะ ไม่อายเขาบ้างเหรอ พูดอวดตัวเอง กันโครมๆ อย่างนั้น หน้าไม่อาย จริงๆเลย ในเขตที่คุณ จะเป็นตัวแทน สังคมเขา ที่เขาจะเลือกคุณ ไปเป็นตัวแทน ถ้าคุณดี เขาก็ต้องรู้ว่า คุณดี ประชากร ในสังคมนั้น ก็ต้องรู้จริง ไม่ใช่ต้องไป โฆษณาตัวเอง แล้วเขาก็จะเลือกคุณ เรื่องเอาเงินไปจ้าง ไปหลอกลวง ไปหาวิธีการ เพื่อที่จะให้คน ไปลงคะแนนเสียงให้น่ะ อย่ามาพูดกันเลย….. เละเทะขี้กะโล้โท้ อย่างนี้ ไม่ต้องพูดหรอก

คนดีจริง คนที่เหมาะสมจริง ที่ประชาชนจะเลือกไปเป็นตัวแทน ก็ต้องเป็นความจริง ของประชากร ในสังคมนั้นๆ เขารู้จริง มันต้อง อย่างนี้ คือ ประชาธิปไตย มันจึงจะเป็น ความจริง ใช่ไหม เพราะฉะนั้น การที่ยังหาเสียงอยู่ การไปโพนทะนา ว่ามาเลือก ฉันเถอะ ขอให้เลือกฉันเถอะ หรือยิ่งไปติดสินบน ฉันจะทำอย่างนี้ อย่างโน้นให้ ยิ่งไม่ต้องพูดเลย เขาต้องรู้แล้ว ประชาชน เขาต้องไว้ใจ คุณแล้วล่ะว่า คุณจะต้องมีปัญญา มีสมรรถนะ มีวิธีการ มียุทธศาสตร์ มีนโยบาย ที่จะต้อง ทำให้เขาดี ได้ยังไง ให้สังคม สุขเย็นยังไง คุณไม่ต้องไปพูดเอาหน้าหรอก ตอนนี้คนที่ดีจริงเขาก็จะทำมาแล้ว ซึ่งไม่ใช่แค่ ลงพื้นที่ แบบนักการเมือง ทุกวันนี้ ที่แค่ไป ร้อยจมูก ประชาชนไว้เท่านั้น มันต้องแสดง ฝีมือจริงมาแล้ว ทำจริงมาแล้ว จริงๆ เขาจะมี วิธีการ มีแนวคิด มีวิสัยทัศน์ ของเขาอยู่แล้ว ประชาชน ก็เห็นแล้วว่า คนนี้แหละ คือ ผู้แทนของเรา ใช่เลย คนนี้นี่ล่ะ คนที่เหมาะสมจริง ที่จะต้องเป็น ตัวแทน ของเรา ขึ้นไปทำงาน ในสังคม เพื่อจะได้สร้างสรร เพราะเป็น คนซื่อสัตย์ สุจริต มีปัญญา มีสมรรถนะ มีความรอบรู้ มีสิ่งที่ จะไปทำงาน ช่วยเหลือมวลชน อย่างแท้จริงได้ นั่นคือความจริง ประชาชนจะรู้

เพราะฉะนั้น ที่ กกต. ออกกฎ ไม่ให้ออกป้ายหาเสียงนี่ เป็นแต่เพียงมองว่า คนรวยมาก มันก็จะทำป้ายใหญ่ จะออก โฆษณา เยอะ มันก็จะโพนทะนา กรอกหูคนได้มากกว่าคนอื่นๆ เกิดการได้เปรียบ เสียเปรียบกัน ก็เป็นแต่เพียง เหตุผลน้อยๆ เป็นปลายเหตุ ไม่ใช่เหตุผลหลักเลย มันก็ไม่ผิดหรอก แต่มันเป็น ปลายเหตุเท่านั้น แต่แม้แค่นี้ เขาก็พากันร้อง โวยวาย โหวกเหวก แล้ว เพราะคน ที่มีเงินมาก มีคณะมีพวกมาก เสียงดังมาก เขาได้เปรียบน้อยลง คนมีพวกน้อย มีเงินน้อย เขาจะได้ กระเตื้อง ขึ้นมาบ้าง เพราะพวกนี้ ต้องลดการเอาเปรียบลง เห็นไหมว่า พรรคเล็ก พรรคน้อย ไม่มีใคร ร้องโวยวาย เพราะเขา จะได้ มีสถานการณ์ ตีตื้นขึ้นมาบ้าง มีแต่พรรคใหญ่ ที่เดือดร้อนกับกฎนี้

เพราะเขาไม่ยอมเสียสละและบอกว่า เป็นสิทธิของเขา อาตมาว่าโดยแนวลึก ของคำว่า ประชาธิปไตยนั้น มันทำผิด มาหมด ทั้งโลกเลยนะ ที่มันยังต้อง หาเสียงกันอยู่ มันยังไม่ใช่ ประชาธิปไตย ทั้งนั้นแหละ ใครจะว่ายังไง ก็แล้วแต่ อาตมา ขอพูด อย่างนี้ ขอล้มล้าง รัฐศาสตร์ ที่เขาเรียนอยู่ ทุกมหาวิทยาลัยในโลก การหาเสียงอยู่นี่ ยังไม่ใช่ ประชาธิปไตย อย่าว่าแต่ หาเสียงเลย แม้แต่ การที่ต้องบังคับกัน ให้ตั้งพรรคนี่ ก็ยังไม่ใช่ ประชาธิปไตย พรรคมันจะเกิดเอง ตามธรรมชาติ ยิ่งมีวิป ควบคุมเสียง ไม่ให้แตกแถว อีกด้วย มันยิ่งเหลวไหล ห่างไกลประชาธิปไตย ไปกันใหญ่ มันบังคับกันแล้ว แล้วมันจะเป็น ประชาธิปไตย ได้ยังไงกัน แล้วทำกันอยู่ ทั่วโลกนะวิธีนี้ อาตมาว่า มันยังไม่เป็น ประชาธิปไตยเลย ในโลก ขณะนี้นี่

ธรรมนูญของ”พรรคเพื่อฟ้าดิน” ซึ่งชาวอโศก บังเอิญมีพรรคการเมือง กับเขาด้วย พรรค เพื่อฟ้าดิน มีแนวทาง แนวคิด ของพรรค ที่ไม่เห็นด้วย และไม่ส่งเสริม วิธีการหาเสียง อย่างที่พูดไปแล้ว

แม้แต่เรื่องจะตั้งเป็นพรรคเป็นอะไรต้องจดทะเบียน เราก็เพียงแค่ ทำตามกฎหมายที่ว่า จะต้อง ตั้งพรรคก่อน ก็ตั้ง เพราะมันยัง ไม่ก้าวหน้า ไปไหน ก็ให้รวมกันไป ช่วยทำงาน โดยนิตินัย ก็ให้จด ความจริงไว้ก่อน ที่จริง การจะมา รวมหมู่ รวมตัวกัน เป็นพรรค รวมตัวกัน มาทำงานร่วมกัน ก็เป็นสัจจะอันหนึ่ง ที่คนมีแนวคิด ตรงกัน เขาจะมาหากันเอง โดยไม่ต้อง ไปบังคับ ให้ตั้งพรรค มันเป็นธรรมชาตินะ คุณพอใจ คุณก็มารวมกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ คุณไม่พอใจ คุณก็ออกไป ไม่ต้องไปผูกมัด ไม่ต้องไป จดทะเบียน ไม่ต้องไปเขียน ไปกรอกบัญชี กรอกระเบียบ อะไรมัดเอาไว้ อย่างที่เป็นอยู่ ตอนนี้ ก็ถ้ามีอะไรบังคับ ผูกมัดเอาไว้น่ะ มันอิสร เสรีภาพ ตรงไหน ประชาธิปไตยนี่ ต้องเคารพ นับถือ อิสร เสรีภาพ ใช่ไหม แต่ก็ตีกรอบ เพื่อที่จะกั้น อิสรเสรีภาพกัน แล้วมาเรียกว่า ประชาธิปไตย ประชาธิปตายน่ะสิ หลายคน อาจรู้สึกว่า อาตมาพูดแรงเกินไป เข้มเกินไป ก็ไม่เป็นไร อาตมาว่า มันถึงเวลาแล้วล่ะ ถ้าเผื่อว่า อาตมาจะอายุ ร้อยห้าสิบ ตอนนี้ มันก็ ครึ่งชีวิตแล้ว ๗๔-๗๕ ปี มันเข้าไป ครึ่งชีวิตแล้ว จะกลัว ทำไม ก็อายุ มันครึ่งชีวิตแล้ว แต่หลายคน บอกไม่ใช่ครึ่ง มันจวนตายแล้ว มันใกล้ฝั่งแล้ว ไม่ใช่ ๑๕๐ หรอก ๑๐๐ ปี ก็ไม่รู้จะถึง หรือเปล่า ส่วนมาก เขาไม่ถึง กันหรอก ร้อยปีนะ เราไม่ว่ากัน I will try อาตมาจะพยายาม ให้มันได้เกินร้อย อาตมาจะลองดู

นักการเมืองต้องเข้าใจลักษณะพวกนี้ในสังคมในมนุษยชาติ แล้วก็ไปช่วยกัน โดยเฉพาะ นักการเมืองนี่ จะต้องเป็นคน เสียสละ เป็นคน ยิ่งไปอาสา สมัครใจว่า จะลงไปช่วย ไปรับผิดชอบสังคม จะไปทำงาน ช่วยมนุษยชาติ ไปรับใช้ปวงชน แหม.... ใช้คำ เท่มากนะ จะไปรับใช้ปวงชน แต่จริงๆแล้วนะ ช่วยซักคนหนึ่ง จะได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย จะไปรับใช้ปวงชน โฆษณา .... มาเลือก ผมไป เลือกดิฉัน ไปเป็นตัวแทนท่าน ก็ว่ากันไป แต่แล้ว ก็ยังไม่รู้ความหมาย ชัดเจน ของคำว่า ประชาธิปไตย ที่มีคำว่า อิสรเสรีภาพ เป็นแกนหลักที่สุด ประชาธิปไตยนี่ ต้องไม่เห็นแก่ตัว คนที่จะไป ช่วยสังคม ไปช่วยผู้อื่น ต้องไม่เห็นแก่ตัว นี่เป็น ตัวดัชนี ชี้ความจริง ผู้ใดยังมี ความเห็นแก่ตัว จริงๆ จึงทำหน้าที่นี้ ไม่จริง ยิ่งมีความเห็นแก่ตัวมาก ยิ่งไม่ใช่ ผู้ที่จะไปเป็น นักการเมือง ผู้ที่จะไปช่วย มนุษยชาติ ต้องเป็นคน ที่มีความเห็นแก่ตัว น้อยๆ กระทั่งที่สุด ไม่มี คนที่จะมี ความเห็นแก่ตัวน้อย จนกระทั่ง ไม่มีเลย ก็คือ อาริยบุคคล ยิ่งเป็นระดับ พระอรหันต์ ยิ่งแท้เลย พอพูดยังงี้ หลายคนก็หัวร่อ ฟันเกือบร่วงแล้ว พระอรหันต์ มีที่ไหน ในโลกนี้ มีแต่ในนิยาย ถ้าคุณบอกว่า มีแต่ในนิยายนะ คุณลาออก จากพุทธได้เลย เพราะคุณลบหลู่ ศาสนาพุทธ ทันที ใช่ไหม เพราะ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า มีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติถูกต้อง สัมมาทิฏฐิ อยู่ตราบใด โลกไม่ว่างจาก อรหันต์ ศาสนาพุทธเป็น อกาลิโก คนบรรลุได้ อย่างไม่จำกัดว่า ยุคไหน หากมีคนที่ สัมมาทิฏฐิจริงๆ ปฏิบัติถูก ปฏิบัติถึงจริง ต้องมีมรรคผล พระพุทธเจ้า ตรัสว่า มีถึงอรหันต์ เชียวนะ

ถ้าใครว่าผู้บรรลุมีไม่ได้ คนนั้นดูถูกศาสนาของตนจริงๆ โดยเฉพาะศาสนาพุทธ เพราะว่า คนเรานี่ ถ้าไม่เข้าใจศาสนา ที่ตนเอง นับถือ ก็ไม่ควรที่จะเป็น ศาสนิก ของศาสนานั้น ถ้าเรานับถือ ศาสนาพุทธอยู่ ก็ต้องรู้ว่า พุทธเป็นศาสนา ที่จะพัฒนาคน ให้เจริญเป็น อรหันต์ เป็นอาริยะ เพราะอรหันต์ คือ คนเจริญสูงสุด อนาคามี ก็เกือบสุด สกิทาคามี ก็เจริญรองลงมา ตามลำดับ ส่วนโสดาบัน ก็คือ ความเจริญในลำดับต้น ของศาสนาพุทธ ถ้าแค่ระดับต้น ของศาสนาพุทธ คุณยังเจริญขึ้น ไม่ได้เลย แล้วคุณ จะเอาอะไร จากศาสนา อะไรเป็น ”อาริยะ” อะไรคือ ”ความเจริญ” หรือ ศิวิไลซ์ ที่เป็นของ ศาสนาพุทธ ถ้าไม่ใช่อาริยะ ที่แปลว่า ความเจริญ คุณก็ไม่ได้อะไร จากศาสนาเลย พออาตมา พูดเช่นนี้ หลายคน บอกว่า แค่โลกียธรรม มันก็ดีแล้ว โลกุตระนี่ อย่าไปพูดเลย มันสูงเกิน เขายอมรับว่า ศาสนาพุทธ มีโลกุตรธรรม และมันสูง แต่เขาไม่จำว่า พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ถ้ามี ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หรือ ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ อยู่ตราบใด โลกไม่ว่างจาก พระอรหันต์ ท่านไม่ได้ บอกว่า มีได้แค่ โสดาบันนะ ท่านพูดถึง อรหันต์แน่ะ แม้แต่ในสวากขาตธรรม ก็บอกว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นอกาลิโก ไม่จำกัด กาละ สามารถ ปฏิบัติธรรม แล้วบรรลุได้ ไม่ว่ายุคไหน กาลไหน ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติถูกตรง เป็นสัมมาทิฏฐิ ย่อมได้มรรค ได้ผล อย่างน้อย ก็ได้พื้นฐาน ก็คือ โสดาบัน ได้เป็นคนเจริญ แน่นอน นับถือศาสนานี้ ต้องเอาความเจริญ ของศาสนานี้สิ แล้วพระพุทธเจ้า ท่านก็ตรัส ว่าคนของท่านคือ โสดาฯ -สกิทาฯ -อนาคาฯ -อรหันต์ หรือผู้ที่เป็น สาวกสงฆ์ นั่นคือ อาริยชน

เพราะพุทธทุกวันนี้ ไม่มีผู้มีคุณธรรมถึงขั้นโสดาบัน ขึ้นไปจริง มันจึงเป็น อย่างที่เป็น อยู่นี้แหละ ทั้งๆที่เป็นเมืองพุทธ ยิ่งผู้ไปอาสาทำงาน ให้ประเทศ ไม่มีพุทธธรรม ที่เป็นอาริยะจริง เห็นไหมล่ะ หลอกกันได้ลึก ลับ ลวง พราง กันได้แสบสัน ขนาดไหน ?

(เนื้อหาโดยละเอียดของรายการพุทธที่ไปนิพพาน หรือ วิถีอาริยธรรมนี้ ติดตามได้ที่ ฝ่ายเผยแพร่)

การจัดทำรายการโทรทัศน์สด สามารถทำได้เฉพาะ ที่สันติอโศก เท่านั้น ทำให้พ่อท่านฯ เข้าพรรษาปีนี้ ต้องเดินทางไป - มา ระหว่าง สันติอโศก กับราชธานีอโศก ตลอดพรรษา เดือนหนึ่ง ๔ สัปดาห์ก็ไป -มาทั้ง ๔ สัปดาห์ สัตตาหะ เต็มเวลาทุกครั้ง พรรษานี้ จึงกล่าวได้ว่า จำพรรษาบ้านราชฯ ครึ่งพรรษา และที่สันติอโศก อีกครึ่งพรรษา

เทศการเจปีนี้ (๙-๑๙ ต.ค.)ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่รู้สึกว่า อยู่ในช่วงเทศกาล เจเลย พ่อท่านฯ มีโอกาสแวะ ที่อุทยาน บุญนิยม และ ร้านสหกรณ์บุญนิยม เพียง ๓ ครั้ง ๒ ครั้ง คือก่อนและหลัง ลงจากเครื่องบิน อีกครั้ง ก็ตอนไป ร่วมรายการ วิปัสสนาข่าว ก่อนหมดเทศกาลเจ ในช่วงค่ำ (๑๖ ต.ค.)

ปีนี้มีชุมชนอื่นได้มาร่วมช่วยงานในเทศกาลเจ ร้อยเอ็ด เลไลย์ ยโสธร ได้ส่งคน มาช่วยงาน ด้วยเหมือนกัน แค่คนจาก ชุมชนอื่น ส่งมา ก็เป็นจำนวนถึง ๑๕๐ คนแล้ว เมื่อรวมกับ ชาวบ้านราชฯเอง ก็ปาเข้าไป เกือบ ๓๐๐ คนเข้าไปแล้ว เป็นร้านอาหารเจ ในประเทศ เพียงร้านเดียวกระมัง ที่มีคนช่วยกันทำงาน มากถึงขนาดนี้

ยอดจำหน่ายของร้านอุทยานฯขึ้นหลัก ๒ แสนหลายวัน มีเพียงสองวันแรกๆ เท่านั้นที่ไม่ถึง

สำหรับร้านสหกรณ์ฯ ร้านเล็กๆ แม้พื้นที่มีจำกัด แต่อาหารดูหลากหลายเหมือนกัน คนช่วยงาน ก็มีทั้งเด็ก เล็กๆ น้อยๆ จนถึง แก่เฒ่า เหมือนกัน ยอดขายอยู่ที่ วันละ ๔-๕ หมื่นขึ้น ถึงแสนมีบ้าง ทำเอา อาหารแห้ง ในร้าน ขายดีไปด้วย ร้านสหกรณ์ฯ ขายถึง ๕ โมงเย็นเท่านั้น ขณะที่อุทยานฯ ขายถึงหนึ่งทุ่ม

น้ำท่วมปีนี้อยู่ในระดับที่ใช้รถใหญ่เข้า-ออกไม่ได้ ใช้เรือใหญ่ก็ไม่ได้ ใช้ได้เพียง เรือเล็กๆ เรือท้องแบนเป็นหลัก ในการเดินทาง เข้า - ออกชุมชน เกือบจะออกพรรษา อยู่แล้ว เพิ่งจะมีดำริ คิดทำเรือ ท้องแบนใช้เอง มีสมณะหินกลั่น อดีตช่างนำคณะ สมณะ อีก ๒ รูป ไปจัดหาอุปกรณ์ และทำกันที่ ปฐมอโศก เสร็จได้เอามาทันใช้งาน ก่อนน้ำจะลด เฉพาะค่าวัสดุ อุปกรณ์ ลำละ ๔ หมื่น พ่อท่านฯ ได้มีโอกาส นั่งเข้า-ออก ๒ ครั้ง ก่อนเดินทางกลับสันติอโศก

พ่อท่านฯแจวเรือชำนาญกว่าปัจฉาฯทั้งสอง วันไหนที่จะเดินเร็วๆบริหารกายที่เฮือนศูนย์สูญ พ่อท่านฯ จะแจวเรือไปเอง ทุกเช้า หลังฉัน ก็แจวเรือ ไปดูกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ บางที เดินทางออกไปภายนอก กลับมาค่ำมืด พ่อท่านฯ ก็แจวเรือ กลับที่พักเอง

ต้นเดือนพฤศจิกายน ๑ พ.ย. พ่อท่านฯได้รับนิมนต์ให้ไปตรวจภาวะทางเดินอาหาร ที่โรงพยาบาลศิริราช

สืบเนื่องจากต้นปี๕๐ พ่อท่านฯมีอาการมีรสชาติในปากเป็นรสต่างๆ คันคอ และไอแรง ขณะอยู่ในท่านอน และบางช่วงเวลา ของวัน จากการสังเกต อาการของ พ่อท่านเอง เมื่อได้รับสื่อ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในรายการสุขภาพ ทางโทรทัศน์ และ หนังสือพิมพ์ ทำให้เมื่อได้พูดคุย และบอกเล่าอาการ กับญาติธรรม สองหมอ คือ นพ.สมพงษ์ โชติพันธ์วิทยากุล และ รศ.นพ. สุรินทร์ ธนพิพัฒนศิริแล้ว จึงได้รับการวินิจฉัย เบื้องต้นว่า เป็นกรดไหลย้อน และนิมนต์ พ่อท่าน ไปตรวจร่างกาย เกี่ยวกับ ระบบ ทางเดินอาหาร ที่โรงพยาบาล ศิริราช หลังจากที่ได้ถวายยา รักษาเบื้องต้นแล้ว ช่วงหนึ่ง ประกอบกับ พ่อท่านฯ ลดลง อย่างมาก ในช่วงหนึ่งปี ที่ผ่านมา จากที่เคยมีน้ำหนัก ๖๓ ก.ก. ปัจจุบัน ๕๒-๕๓ ก.ก. ทำให้ฝ่ายดูแลสุขภาพ เกรงว่า อาจจะมีปัญหา ภายในช่องทางเดินอาหาร เพื่อความไม่ประมาท จึงได้นิมนต์พ่อท่านฯ ไปตรวจกับแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ

วิทยาการแพทย์ที่ก้าวหน้า สามารถใช้กล้องเข้าไปตรวจดูทั้งหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และ ลำไส้ใหญ่ เห็นไปหมด ว่าภายใน เป็นอย่างไร แล้วยังสามารถ ตัดเอาชิ้นเนื้อเล็กๆ ออกมาตรวจได้ อย่างน่าอัศจรรย์

ผลการตรวจ พบการอักเสบในลำไส้เล็ก เป็นแผลที่หลอดอาหาร และริดสีดวงทวาร ๒ ตำแหน่ง หมอสมชาย แพทย์ผู้ เชี่ยวชาญ บอกการอักเสบ ในลำไส้เล็ก อาจมาจาก ยาที่ฉัน ก็ได้ (น่าจะหมายถึง ยาโรคกรดไหลย้อน) หรือ อาจมาจาก เหตุอื่นๆ ซึ่งยัง ไม่สามารถ ให้คำตอบได้ชัด ในตอนนี้ ขอเอาชิ้นเนื้อ ไปตรวจดูก่อน ว่าจะมีปัญหาอะไร ร้ายแรง หรือไม่ วันนี้ ยังไม่พบ อาการ มะเร็ง ในลำไส้ ถ้าจะระมัดระวัง ป้องกัน อีก ๑๐ ปี ค่อยมาส่องกล้อง ตรวจใหม่ หรือ จะเก็บ อุจจาระตรวจ ปีละครั้ง ก็ได้

สมณะนานุ่ม กัสสโก และ สมณะปองสูญ โฆสิตธัมโม มรณภาพในเวลา ไม่ห่างกันนัก สมณะ นานุ่ม มรณภาพ ที่ปฐมอโศก สมณะปองสูญ มรณภาพ ที่ราชธานีอโศก พอดีเป็นช่วง ก่อนงาน มหาปวารณา จึงได้ประชุมเพลิง พร้อมกันที่ ปฐมอโศก ๔ พ.ย. พ่อท่านฯ หมู่สมณะ และญาติธรรม จำนวนมาก มาร่วมงาน พร้อมด้วยญาติๆ ของทั้งสองท่าน

วันที่ ๕ พ.ย.ได้ไปร่วมงานเผาศพน.ส.วราวดี พรหมพิทักษ์ มีศักดิ์เป็นน้องสาว ของพ่อท่านฯ คนหนึ่ง เป็นลูกของ ลุงหมอ สุรินทร์ พรหมพิทักษ์ ญาติๆ นิมนต์ให้พ่อท่านฯ ได้แสดงธรรม โปรดญาติๆ และแขกเหรื่อ ที่ไปร่วมงาน ที่วัดธาตุทอง เสียดาย ฝ่ายแสงเสียง ประมาทไปหน่อย ไม่ได้ทดลอง สัญญาณเสียงก่อน ทำให้ขาดหายไป ในช่วงแรก ประมาณ ๑๐ นาที

 

ประชาเอย---ประชาเอ๋ย
ประชาธิปไตย...ตายแล้ว

เสร็จจากงานมหาปวารณา พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้นิมนต์พ่อท่านฯ ไปค้างที่ โรงเรียนผู้นำ กาญจนบุรี ดูจะเป็น ธรรมเนียม ไปแล้ว เพราะนิมนต์อย่างนี้ มาหลายปี แถมนิมนต์ล่วงหน้า ข้ามปีไปถึงปีหน้าด้วย

ปีนี้ที่โรงเรียนผู้นำมีอาคารใหม่ สำหรับการอบรม ราคา ๑๐ ล้าน เครื่องเสียง ใหม่เอี่ยมอีก ๓ ล้าน พ่อท่านฯ กล่าวชม พลตรี จำลอง ว่ามีผู้ที่พร้อม จะเกื้อหนุน มากกว่าพ่อท่านฯ ผู้ที่มาเข้ารับ การอบรม ก็ล้วนแต่มี ยศศักดิ์สูง เป็นข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่ ระดับบริหารก็มี ต่างจากชุมชน ของชาวอโศก มีแต่ชาวบ้าน ระดับล่างมาอบรม

คุณสมพงษ์ ฟังเจริญจิตต์ ผู้ทำหน้าที่จัดตารางการอบรม พลาดไปนิด ที่จัดการอบรม ในช่วง ที่พ่อท่านฯ ไปโรงเรียนผู้นำ ทำให้ผู้ช่วยครู หลายท่าน ต้องไปต้อนรับ ผู้เข้ารับการอบรม จึงไม่ได้มาร่วม ฟังธรรม

การแสดงธรรมก่อนฉัน ๑๒ พ.ย. พ่อท่านฯได้กล่าวเตือน การหลงงาน จนละเลย การฟังธรรม ทำแต่งาน ขาดการศึกษาเพิ่ม งานทำให้ ได้โลกธรรม ทำงานเพราะได้เสพ โลกธรรม อย่างนี้ ต่อไปจะเสื่อม นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับ จรณะ ๑๕ อปัณณกธรรม ปฏิจจสมุปปบาท แถมท้ายด้วยคำเตือน อย่างแรงๆว่า ผู้ที่ทั้งฉลาด ทั้งมีอำนาจ ระวังตัวให้ดี คุณจำลอง ควรแบ่งอำนาจ ให้คนอื่น ใช้อำนาจเป็น อำนาจคือฤทธิ์แรง ในการทำงานได้ เพียงเท่านี้ ก็น่าสนใจ ไม่น้อยแล้ว แต่ยังมีเนื้อหา ที่น่าสนใจอีก ช่วงต้นของ การแสดงธรรม พ่อท่านฯ ได้นำเอา บทความของ ไมเคิล ไรท์ มาอ่าน และอธิบายเสริม จาก หนังสือพิมพ์ มติชนสุดสัปดาห์ พาดหัวเรื่องว่า “วิกฤตการณ์ประชาธิปไตย ระดับโลก-ระดับไทย” จากเนื้อหา บางส่วน พอเป็น น้ำจิ้ม ยั่วให้น่าติดตาม บทความดังนี้

ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่สูตรสำเร็จที่จะนำไปสู่ยุคพระศรีอาริย์...

ส่วนรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ใช่พระคัมภีร์ที่ใครๆ ต้องบูชา...

ระบอบทุนนิยมได้แซงหน้าประชาธิปไตยไกลลิบลิ่ว นายทุนไทย (ไม่ว่าจะดี หรือชั่ว) สามารถซื้ออำนาจรัฐได้ทั้งนั้น ไม่ว่า จะมีกลไก เลือกตั้ง ถูกต้อง ตามหลักประชาธิปไตย หรือไม่ก็ตาม...

ประชาชนชาวไทย ส่วนใหญ่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และถูกหลอกลวง ครั้งแล้วครั้งเล่า จนหมดสิ้นศรัทธา ในระบอบ ทุกระบอบ...

เป็นเนื้อหาที่น่าสนใจมาก หลังการแสดงธรรมพ่อท่านฯ แนะให้ชาวโรงเรียนผู้นำ เอาไปฟังทวนเป็น ๑๐๐ เที่ยว ที่จริง ก็เหมาะ กับทุกท่าน ที่หวังความเจริญพัฒนา ผู้สนใจเนื้อหา โดยละเอียด ติดตามได้ที่ ฝ่ายเผยแพร่

ที่น่าเป็นห่วงยิ่งก็คือ โรงเรียนผู้นำ ไม่มีทายาทวัยหนุ่มสาว มีแต่คนวัยเกษียณ ๖๐ ปีขึ้น อีกทั้งอยู่ประจำ ไม่กี่คน ทั้งๆที่ อาหาร อากาศ สถานที่ สัปปายะไปหมด บ้านพัก มีมากมาย ให้เลือกอยู่ได้สบายๆ มีสระว่ายน้ำ ชั้นดี มีภูเขา มีถ้ำ มีป่าไม้ ไม่ได้น้อยหน้า ไปกว่า รีสอร์ตทั้งหลาย พลตรีจำลอง ก็ดูมีความสุข กับการได้ต้อนรับ แขกเหรื่อ ที่มาเยือน ไม่ว่าจะเป็น สมณะ ญาติธรรม หรือ เด็กนักเรียน แต่ทำไม จึงมีผู้อยู่น้อย

จะเป็นเพราะว่าพลตรีจำลองและชาวโรงเรียนผู้นำมีระเบียบวินัยที่ดี ขณะที่ชาวอโศก ส่วนใหญ่ ค่อนข้าง จะขาด ระเบียบวินัย สบายๆ ตามใจฉัน คือไทยแท้ หรือชาว โรงเรียนผู้นำหลายท่าน ยังเอาภาระน้อย ทำให้พลตรีจำลอง ต้องเอาภาระ มากกว่าควร จนเกิดภาพ รวบอำนาจ แต่ผู้เดียว พ่อท่านฯ จึงต้องมาแนะ “คุณจำลอง ควรแบ่งอำนาจ ให้คนอื่น ใช้อำนาจเป็นบ้าง” หรือ พลตรี จำลอง เอาใจใส่ดูแล เอาภาระมากเกินไปจริงๆ จนเลยขีด ไปสู่โอฬาริกอัตตา หรือไม่

ทั้งหมดเป็นปัญหาที่น่าขบคิด หลายฝ่ายต้องหาทางช่วยกันแก้ไข จะได้ไม่ย้ำรอย ปราการอโศก ที่ต้องยุบเลิกไปแล เหตุหนึ่ง มาจาก เจ้าของที่ดิน มีโอฬาริกอัตตามาก ยากที่ใครจะเข้าไปช่วยคิด ช่วยทำอะไรได้

ผู้รู้หลายท่านมองการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง ๒๓ ธ.ค.นี้ จะเกิดความวุ่นวาย จนเกิดวิกฤตการณ์ อีกครั้ง กลุ่มอำนาจเก่า มีความพยายาม อย่างเต็มกำลัง ที่จะกลับมา มีอำนาจ ดังเดิม หัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่ง ถึงกับออกมา เปิดเผยราคา ในการดูด ส.ส. เข้าร่วมพรรคอยู่ที่ ๓๐-๔๐ ล้านต่อคน ผู้สันทัดกับการเลือกตั้ง หลายท่านประเมินว่า จะมีการใช้เงิน เพื่อแย่งชิงอำนาจ ถึง ๒ หมื่นล้าน การทุจริต ในการเลือกตั้ง จะซับซ้อน มากยิ่งขึ้น ส.ส.หน้าเดิมๆ จะกลับเข้ามาในสภา อุปถัมภ์นิยม ทุนนิยม ยังคงเป็นปัจจัยหลัก ในการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่ง อำนาจนิยม

ประชาธิปไตย...ประชาธิปไตย...ประชาธิปไตย
อำนาจเก่า...อำนาจนี้...อำนาจหน้า
เฮ้อ หวังอะไรในหล้า...?????
ประชาธิปไตย...ตายแล้ว

ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พ่อท่านฯหยิบเอาอุปกิเลส ๑๖ ของนัการเมือง มาอธิบาย ให้ความรู้ทาง จิตวิญญาณ ประกอบ เข้าในเหตุการณ์ บ้านเมือง เรียนสภาวะธรรม จากวิถีชีวิตจริง พร้อมกับ ให้ความรู้ ถึงนักการเมืองที่ดี ควรมีการประพฤติ ตามหลัก วรรณะ ๙ ในรายการ วิถีอาริยธรรมบ้าง เจาะลึกฝึกธรรมบ้าง ผู้สนใจ ติดตาม รายละเอียดได้ที่ ฝ่ายเผยแพร่ เป็นการเปิดตัว ใช้สื่อวิพากษ์วิจารณ์ นักการเมือง อย่างเผ็ดร้อน ชนิดที่ไม่เคยมี นักการศาสนาใด ทำถึงขนาดนี้ ญาติธรรม หลายคน เป็นห่วง ความปลอดภัย บรรดาสมุน นักการเมืองเหล่านั้น อาจจะไม่พอใจ ถึงขนาดเข้ามา ก่อเหตุร้าย มาทำร้าย หรือ มารวน ทำให้ญาติธรรมชาย หลายคน หารือกัน หามาตรการป้องกัน จัดเวรยาม และ ผู้คอยติดตาม รักษาความปลอดภัย เพิ่มขึ้นมา

มีผู้สมัครลงเลือกตั้งและผู้รู้ที่สนใจปัญหาบ้านเมือง เข้าพบบ้าง สนทนา และให้ข้อมูล ถึงสถานการณ์บ้านเมือง ด้วยความ เป็นห่วง กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หลังการเลือกตั้ง ๒๓ ธ.ค. มีการนัดหมาย เครือแห ชุมชนต่างๆ รวมถึงหนุ่มๆ สาวๆ ลูกๆ หลานๆ ศิษย์เก่า สัมมาสิกขาบ้าง อดีตนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมบ้าง อดีตนักเรียน พุทธธรรมบ้าง สนทนาถึง ปัญหาบ้านเมือง และ สิ่งที่ควรจะช่วยเหลือ ในฐานะ ประชาชน จะทำอะไรกันได้บ้าง

คณะทำงานที่ทำหน้าที่ประสานเครือแหชุมชนต่างๆ ได้ขอให้พ่อท่านฯ ช่วยเขียนข้อความ ที่จะใช้สื่อ เชิญชวนตัวแทน ชุมชน ต่างๆ มาร่วมปัญหาบ้านเมือง และหาวิธี ในการเคลื่อนตัว ร่วมกัน พ่อท่านฯ ใช้เวลา ประเดี๋ยวเดียว ในการเขียน ข้อความ สื่อความ ไปยังชุมชนต่างๆ ข้าพเจ้าขอนำมาลงไว้ เป็นประวัติศาสตร์ดังนี้

เหตุการณ์บ้านเมืองไทย ณ ขณะนี้ กำลังจะเกิดเหตุการณ์ที่แรงร้าย เนื่องมาจาก การเมือง ชาวอโศกทุกคน จะได้รับ ผลกระทบ จากเหตุการณ์ การเมืองนี้ด้วย เลี่ยงยากยิ่ง ดังนั้นจึงขอให้ ชาวอโศก ทั้งหลาย ต้องช่วยกัน ช่วยเหตุการณ์ ที่จะเกิด ในประเทศไทย คราครั้งนี้กัน อย่าปล่อยปละละเลย เป็นอันขาด เพราะไม่เช่นนั้น ประเทศไทย ถึงขั้นรุนแรง โหดร้ายแน่ๆ ที่ชาวอโศก จะต้องทำ ก็คือ ต้องออกไป ลงคะแนน เลือกตั้งกันทุกคน อย่ากาช่อง ไม่ออกเสียง (No vote) และ ที่สำคัญคือ เลือกพรรค เดียวกัน ตรงกันทุกคน คือพรรคที่เราได้พิจารณากันแล้วว่า ควรรวมคะแนน มาให้พรรคนี้ พรรคเดียว เพื่อสู้กับ พรรคของ อำนาจเก่า ได้สำเร็จ คะแนนเสียง จะได้ไม่แตก จึงจะสามารถป้องกัน เหตุการณ์ร้ายแรง ที่จะเกิด ในประเทศไทย ครั้งนี้สำเร็จ ไม่เช่นนั้น เหตุการณ์ร้ายโหด รุนแรงเกิดแน่.

สมณะโพธิรักษ์
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

 

บทเรียนของความเฉยเมย เฉื่อยชา

เนื่องจากพรรษานี้เดินทางไปมากรุงเทพ-อุบลฯ ตลอดพรรษา ทำให้แทบไม่มีเวลา ให้กับ ชาวชุมชน ฝึกฝน เศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัย อุบลฯ มากนัก ไปแต่ละครั้ง ก็ไม่ค่อยจะได้พบ นักศึกษาใหม่ ที่จบจาก สัมมาสิกขา เหมือนกับ จะเฉยชา ไม่กระตือ รือร้น ไม่แสดงออกว่า ยินดีกับการมา ของพ่อท่านฯ และสมณะเลย

๑๘ พ.ย. มีการนัดหมายไว้ล่วงหน้าว่า พ่อท่านฯจะไปเทศน์ และประชุมกับ ชาวชุมชน ประจำเดือน แต่เมื่อเดินทางไปถึง พบแต่ผู้ใหญ่ เด็กนักศึกษา ก็พบแต่นักศึกษาชาย ส่วนนักศึกษาหญิง ไม่เห็นเลยสักคน ทำให้พ่อท่านฯ ถึงกับต้องสื่อ ดุๆ ตำหนิ กระทุ้ง สำนึก ขอนำบางส่วน มาถ่ายทอด สู่กันดังนี้

พระพุทธเจ้าท่านศึกษาค้นคว้าจน ไม่รู้ใช้เวลาตั้งเท่าไหร่ อาตมาก็ค้นคว้าตาม ศึกษาตาม ทางพระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ เนี่ย อาตมา ไม่ได้กล่าวเล่นว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ หรือเป็นโพธิสัตว์ปลอมๆ หรือเป็นโพธิสัตว์ หลงๆ เป็นโพธิสัตว์ เลอะๆ ไม่ใช่ อาตมาเป็นโพธิสัตว์จริงๆ พวกคุณจะรู้จักคำว่า โพธิสัตว์ หรือความเป็นโพธิสัตว์ มากน้อย สูงต่ำแค่ไหน ก็ตามแต่เถอะ แต่อาตมา บอกได้แต่ว่า โพธิสัตว์ก็คือ คนที่ศึกษาตามความตรัสรู้ โพธิ แปลว่า ความตรัสรู้ของ พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์

อาตมาก็เดินมาสายนี้ จนมาถึงขณะนี้ ก็เป็นพระโพธิสัตว์ระดับนึง ที่ก็ไม่ใช่ระดับ ตื้นๆ ต้นๆ อะไรนัก เท่าไหร่หรอก มีความรู้ พอที่จะมา สืบสานศาสนา ศาสนาพุทธ ได้ล้มเหลวแล้วจริง มันไม่มีเนื้อแท้ ไม่มีปรมัตถ์ ไม่มีโลกุตระเลย ไม่มีอาริยธรรม อาตมา .... เป็นหน้าที่อย่างนึง เหมือนกัน ที่อาตมามาชาตินี้ ทำงานอันนี้ ซึ่งพวกเรา คบคุ้นกับ อาตมาไป ก็จะรู้ จะค่อยๆรู้ อาตมาเอง ทำงานศาสนานี้ มีพระออกมาบวช เป็นชาวอโศกนี่ ยี่สิบเอ็ดรูป ตั้งต้นด้วย หลักยี่สิบ นี่นักศึกษา ป.ตรี เราก็ ยี่สิบกว่าคน แล้วก็ทำมา จนป่านนี้ ได้ขนาดนี้ อันนี้ก็เริ่มต้น ที่จะประสานกับสังคม ด้านโลกโลกีย์ ถือว่าระดับ มหาวิทยาลัย อุดมศึกษา ก็เห็น รูปรอยว่า เออ มีเด็กมาถึง ยี่สิบกว่าคน

อาตมาก็ยังคิดอยู่ว่า เออ ยังชื่นใจว่าเด็กยี่สิบกว่าคนนี้ คงจะเป็นเนื้อ เป็นแก่นได้ แต่อาตมา จะเข้าใจผิดรึเปล่า ก็ยังไม่รู้ เสร็จแล้ว อาตมาเนี่ย พูดกันโดย ภาษาโลกๆ เลยว่า มาถึงวันนี้ อาตมาชักไม่แน่ใจแล้วว่า ยี่สิบกว่าคนนี้ คือเนื้อแท้รึเปล่า รึว่า พวกเหลวๆ ไหลๆ มาเหลาะแหละ หลอกๆ อาตมา

อาตมาเนี่ยเป็นมนุษย์ เป็นคนมีหัวจิตหัวใจ เรื่องของจิตวิญญาณ คุณรู้สึกอย่างไร อาตมาเข้าใจได้ แต่อาตมา เป็นผู้ที่ ปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่สุข ไม่ทุกข์ เท่านั้น แต่อาตมารู้ ว่าต่ำ ว่าสูง รู้ว่าดูดดึง ชิงชัง ผลักไส หรือว่า ดูดดึงเข้ามา คืออะไรอย่างไร อาตมารู้ อาตมาเข้าใจหมด ถ้าคนเรารักกัน นับถือกัน มันจะดูดดึงกัน ถ้าคนเรา ชังกัน ไม่นับถือกัน มันก็จะผลักกัน มันก็จะไม่แยแสกัน

อาตมาก็คิดว่า อาตมาคงมีค่าบ้าง ก็นึกว่าเด็กๆ ที่เรียนมาหกปีแล้ว ก็มาเรียนต่อที่นี่ จะรู้จักอาตมา ว่าอาตมา เป็นคนมีค่าบ้าง ศรัทธา หรือนับถือ อาตมาบ้าง อาตมาก็พยายาม ที่จะสัมพันธ์ พยายามสร้างก่อให้ดีๆ แต่อาตมา เห็นท่าที กิริยา ประพฤติ ของเด็กพวกเรา ยี่สิบกว่าคนเนี่ย เหมือนอาตมาเนี่ย เป็นสิ่งไร้ค่า เป็นสิ่งที่ ไม่น่านับถือ ไม่น่า ... ไม่เห็นมี ความสำคัญอะไร อาตมามา เออ..ถ้ารักอาตมา เออ.. คนรักก็ต้องมาหา โอ้..พ่อท่านฯมา รึว่า เออ..พ่อท่านฯ เป็นคนมีค่า ท่านจะเอาอะไร มาให้เรา ก็ต้องมาเอา ก็ต้องมาดูดดึง แต่นี่เฉยเมย ดูดาย ไม่เห็นความสำคัญ อาตมาเป็น ลูกพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่รัก ไม่ชังหรอก แต่อาตมารู้ว่า ดูดยังไง ผลักยังไง อาตมาเห็น และรู้ แล้วหยิบมาพูด ให้คุณฟังชัดๆ อาตมาก็ต้องรู้ และ รู้สึกเลยว่า ทำไมเราถึงไร้ค่า กับเด็กๆ เด็กๆพวกนี้ เห็นเราไร้ค่าขนาดนี้ อาตมาว่า เด็กพวกนี้ มันโง่ถึงขนาด ไม่รู้จักค่าอะไร ที่เป็นสาระ เป็นค่า ขนาดนี้หรือ

อาตมาเองอาตมารักใคร่พวกเรา เป็นลูกเป็นหลานจริงๆ ปรารถนาดี ไม่ได้ทำ เพื่อที่จะมา เป็นโลกียะ มาเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นอามิสอะไร ไม่ได้ทำ เพื่อสิ่งเหล่านี้จริงๆ ทำเพื่อสร้างสรร ความเป็เลือดเนื้อเชื้อไข ของอาริยบุคคล สร้างคน ให้เป็นอาริยบุคคล ให้เป็นคนประเสริฐ จริงๆ

ชุมชน ม.อุบล เนี่ย ไม่ใช่ชุมชนที่เล่นๆ ขอให้พวกเราได้ทำความเข้าใจ แล้วก็เห็นให้ได้ ถึงเชื่อให้จริง อาตมาบังคับ ความเชื่อ ไม่ได้หรอก ขอให้เห็น ขอให้ทำความเข้าใจ จริงๆ ให้ได้ว่า เรื่องนี้ขอให้พวกเรา พยายามเห็น แล้วก็ตั้งใจทำ ถ้าใคร มั่นใจว่า นี่ทิศทางนี้ เป็นทิศทางประเสริฐ เป็นเรื่องที่จะต้อง ลงหลัก ปักแหล่ง ที่จะต้องทำ ก็ต้องให้เอาจริง เอาจัง ลงหลัก ปักแหล่ง แล้วทำ ให้เต็มที่เถอะ เด็กของเรา ยี่สิบกว่าคน เข้ามารวม ประสาน จะบอกว่า หวังก็หวัง ว่าเด็กพวกนี้ จะเป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นวิญญาณ ของชาวอโศก ต่อไป แต่เสร็จแล้ว อาตมาอกหัก เห็นความเฉยเมย อาตมา... ถ้าเป็นโลกๆ อาตมาก็เศร้า อาตมา ก็จะเสียใจ ว่าทำไมหนอ ลูกเราหลานเรา มันถึงไม่ได้เห็นเรา มีค่าเลย ไม่ได้รักเราเลยหรือ ไม่เห็นค่า ของเราบ้างเลยหรือ ทำไม เรามาเนี่ย เหมือนกับ ตัวอีแร้ง ตัวสัตว์ ไส้เดือนกิ้งกือ แทนที่จะรีบเข้ามา โอ้....แหม.... พ่อมา อะไร... มันคนละเรื่องเลย มันเหมือนกับ ...มาทำไมวะ มาก็เดี๋ยวมาเรียกมาแล้ว อะไรคล้ายๆอย่างงั้นหนะ อาตมาก็เลยเห็นว่า เอ๊.... มันทำไม มันถึง เป็นได้ ถึงปานนี้ นี่อาตมา หยิบความจริง มาพูดให้ฟังนะ พวกเราจะรู้สึกอย่างไร ก็ฟังดีๆ

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาตมาขอบอกว่า อะไรที่ช่วยได้ช่วย อะไรที่เกื้อกูลได้เกื้อกูล อะไรที่ปรารถนาดี อาตมาอยากจะให้ได้ สิ่งที่ดี นั้นๆ จริงๆ พวกคุณจะเอา หรือไม่เอา เป็นสิทธิของพวกคุณ จะขวนขวาย หรือ ไม่ขวนขวาย ก็แล้วแต่ อาตมาจะทำ เท่าที่ อาตมาทำได้ อาตมาไม่ได้พูดพ้อ ต่อว่าต่อขาน มาดุมาด่า อะไรหรอก พูดสัจจะให้ฟัง

ถ้าเด็กอีกยี่สิบกว่าคน ที่ขณะนี้ ได้เริ่มต้นเข้ามาประสาน กับความเป็นอาริยบุคคล สายที่อาตมา กำลังทำนี่แล้ว จะหลุดออกไป อาตมาก็ไม่ได้ น้อยใจหรอกว่า จะไม่มีเด็ก ในรุ่นอย่างนี้จะมาอีก อาตมาก็ยังเชื่อว่า จะมีเด็กอื่น ที่จะมา แม้เด็ก ที่เข้ามาแล้ว ยี่สิบกว่าคนนี่ ไม่อยู่ อาตมาก็ไม่ได้เสียใจ แต่เสียดาย ทำไม มันเข้ามาแล้ว อยู่กับเรามา ตั้งหลายปี ทำไมมัน ไม่ใช่เลือดเนื้อเรา มันจะเป็นกาฝาก จริงๆหรือ

อาตมาก็อยากจะให้เป็นเลือดเนื้อ ไม่อยากจะให้เป็นแค่กาฝาก ซึ่งอาตมา ก็ยังไม่รู้ได้ว่า เด็กแต่ละคน ที่ฟังอยู่ วันนี้เนี่ย จะเข้าใจ ที่อาตมาพูดนี่ แค่ไหน แล้วจะรู้สึกแค่ไหน จะปรับตัวปรับใจ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อีกหรือไม่ อาตมาได้แต่พูด ความจริงนี้ ไปเท่านั้นเอง อาตมาไม่ชอบบังคับ ใครมีปัญญา เลือกเฟ้นเอาเอง เห็นว่าดี..เอา ไม่ดีก็ไม่เอา อาตมามีเลือด พระพุทธเจ้า อาตมา ไม่ได้หาบริวาร ไม่ได้มาพูดนี่ เพื่อประเล้าประโลม เพื่อให้คนมารัก มาชอบ ให้คนมา ยกย่องนับถือ ไม่ได้มา ประเล้าประโลม ไม่ง้อไม่งอนกัน ไม่มีอิตถีภาวะ ไม่สะดิ้งไม่งอน ไม่เล่นเล่ห์เล่นอะไรโลกๆ มันไม่ดูดี

ขอสรุปให้ชัดๆว่า เราจะต้องกอบก่อชุมชนนี้ ให้แข็งแรงขึ้นไป พวกเราผู้ใหญ่ ก็รับซับทราบ ให้ดีๆด้วย อาตมาหวังอยู่นะ กับหมู่กลุ่ม พวกเรา ที่มาลงหลัก ปักแหล่งแล้ว ว่าเราจะได้สืบสาน ชุมชนพอเพียง ชุมชนที่จะแสดง ความเป็น วรรณะ ๙ เป็นคน เลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย ไม่ต้องไปรวย คนมักน้อย ก็คือคนจน ต้องกล้ามาจน แล้วจนกระทั่ง เป็นคน จนสำเร็จ โน่นแหละ จนคือ ไม่ต้องมีทรัพย์ ศฤงคาร เป็นอนาคาริกชน เป็นคนไม่มี บ้านช่อง เรือนชาน เป็นของตน ไม่มีทรัพย์สิน เป็นของตน มีแต่ตัวล่อนจ้อน มีแต่สมรรถนะ มีคุณงามความดี กับน้ำใจ ภูมิปัญญา และ เป็นสุข อยู่ไหนก็เป็นสุข ไปไหน ก็เป็นสุข

บ่ายของวันเดียวกัน ๑๘ พ.ย. มีประชุมชุมชนฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัย อุบลฯต่อ หลังจาก จบวาระต่างๆ ของ การประชุม ประจำเดือนแล้ว พ่อท่านฯ ให้โอวาทปิดการประชุม จากบางส่วน ที่น่าสนใจ ดังนี้

ที่พวกเรากำลังเป็นอยู่นี้เป็นเรื่องยาก เป็นการศึกษาแบบใหม่ บูรณาการ ระหว่าง ทฤษฎีและการศึกษา ปฏิบัติจริง พิสูจน์ให้เป็น เรื่องราว

๑. ต่างคนต่างไม่รู้ ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะปรับกันอย่างไร
๒. ต่างคนต่างใหม่
๓. เรายังจัดสรรในชุมชนของเราเองไม่ได้
๔. คณะของเรายังไม่เต็ม ยังไม่สมบูรณ์
๕. ยังไม่นิ่ง ยังก่อร่างสร้างตัว จึงต้องรอเวลาในการจัดสรรเวลาให้ลงตัว

ทั้งหมดนี้คือเหตุปัจจัยที่ยังไม่ง่าย ยังไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่างได้ ไม่มีอะไรให้ศึกษา ยังไม่ทันตั้งตัว ยังไม่ทัน ตั้งหลัก

พวกเราเองก็ยังไม่เคยทำรูปนี้เลย นักเรียนก็จะเรียน จะอยู่กับชุมชน คิดว่าจะต้อง ปรับไปปรับมา คิดว่าน่า จะเป็นไปได้ ถ้าผ่าน ไปได้ ๕ ปีก็คิดว่าจะลงตัว พวกเรา ก็จบกันออกมา มีใบรับรองแล้ว ทางมหาวิทยาลัยก็เถอะ เราก็จะมีตัวจริง ของแขนงนี้

ที่อื่นเขาจะ ช้ากว่าเรา หนึ่งก้าว เอาดีๆ คิดว่าทุกคน มีกำลังใจมุ่งมั่น

ความสุขที่ยิ่งใหญ่

๒๑ พ.ย. ๒๕๕๐ ที่ “ดินหนองแดนเหนือ” อุดรธานี จัดงานบุญลอมข้าว พ่อท่านฯ ได้รับนิมนต์ให้มาโปรด ญาติธรรม ชาวอุดรฯ แต่น่าเสียดาย กลุ่มอุดรฯ ที่เคยยิ่งใหญ่ ปัจจุบันเหลือไม่เกิน ๕๐ คนกระมัง ทำให้ช่วงหนึ่ง ของการแสดงธรรม พ่อท่านฯ กล่าวถึง การแสดงธรรม กับชาวชุมชน ฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง ที่มหาวิทยาลัย อุบลฯ วันที่ ๑๘ พ.ย. ที่ผ่านมา ญาติธรรม ชุมชน อื่นๆ ก็น่าจะฟัง รวมถึงชาวอุดรฯ ด้วย

นอกจากนี้พ่อท่านฯได้กล่าวถึงปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น และการเลือกตั้ง ที่กำลังจะมี ไม่ควรเลือกกลุ่ม ที่สนับสนุน อำนาจเก่า และ เป็นครั้งแรก ที่พ่อท่านฯ ถึงกับระบุ ให้เลือกพรรคเก่าแก่ ที่ชัดเจน กับการปฏิเสธ อำนาจเก่า

ปัญหาที่พบก็คือ ญาติธรรมที่มีจิตใจกว้างเกื้อ เชิญชวนคนพิการ ทางสายตา มาร่วมงาน นับเป็นจิตใจที่ดี หวังให้คนพิการ เหล่านี้ ได้ประโยชน์ จากการฟังธรรม ถ้าเป็นการเชิญชวน ให้มาฟัง ในช่วงปกติ ของรายการ ที่นิมนต์พ่อท่านฯ เทศน์อยู่แล้ว ก็ไม่กระไร แต่การเสริม แทรกรายการเข้ามา โดยไม่ปรึกษา ไม่ประมาณวัย และอายุ หรือ สุขภาพทางกาย ของพ่อท่านฯ เป็นอย่างไร ความควร ไม่ควร เป็นอย่างไร โดยคิดเอาเองง่ายๆว่า ช่วงเวลาหลังฉัน ไม่มีรายการอะไร พ่อท่านฯ ยังว่าง ไม่ได้คิด อีกนิดว่า เช้าพ่อท่านฯ ก็เทศน์ ๒ ชั่วโมง ค่ำอีก ๒ ชั่วโมง (อาจจะกว่านั้น) จึงแทรกเพิ่มรายการ ให้พ่อท่านฯ ได้เทศน์โปรด คนพิการ โดยที่คนเหล่านั้น ไม่ได้เรียกร้อง ไม่ได้ประสงค์ ที่จะฟังธรรมพ่อท่านฯ ส่วนใหญ่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พ่อท่านฯ เป็นใคร แม้จะเอ่ยชื่อ บอกแล้ว พ่อท่านฯ เป็นโพธิสัตว์ ที่มีอัชฌาสัย ทนไม่ได้ต่อความกรุณา อยู่แล้ว จึงรับเทศน์ โปรดคนเหล่านั้นต่อ

ข้าพเจ้าไม่ได้รังเกียจคนพิการ เข้าใจถึงความปรารถนาดี ของญาติธรรม ที่มีให้กับ คนพิการ และเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า พ่อท่านฯ เทศน์ คนฟังย่อมได้ประโยชน์มากกว่า ลูกๆเทศน์ แต่เหมือนกับเรา ใช้อุปกรณ์ชั้นดี กับทุกเรื่อง ทุกอย่าง มันจะทำให้ อุปกรณ์ ชั้นดี สึกหรอ เร็วกว่าควร อายุการใช้งาน จะน้อยกว่าควร ทั้งๆที่บางกาละ บางกลุ่ม คนใช้อุปกรณ์รองๆ ลงมา ก็ได้ผลคุ้ม ประโยชน์สูง ประหยัดสุด กับทุกฝ่ายแล้ว

ปัญหาอย่างนี้กับที่ชุมชนอื่นๆ ก็มีคล้ายๆกัน การจัดงานของ ชุมชนต่างๆ มักจะมี ผู้กว้างเกื้อ เสริมแทรกกิจกรรม เน้นกว้าง กับคนภายนอก ควบมาด้วย อาจจะเป็นเพราะ ต้องการให้ดูงานใหญ่ คนมากันมากๆ เพื่อให้สมกับ ที่นิมนต์ พ่อท่านฯ ไปก็เป็นได้ แต่การเน้นกว้าง เน้นงานใหญ่ ทำให้คนในชุมชน ต้องใช้กำลัง เวลา ไปกับการต้อนรับแขก จำนวนมากด้วย โอกาสที่คน ในชุมชน จะได้ประโยชน์ โดยตรง จากพ่อท่านฯเองจะน้อย

๒๒ พ.ย. ๒๕๕๐ ที่ดินหนองแดนเหนือ ฉันอาหารกัน ตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เพื่อเดินทางไป วัดหินหมากเป้ง หนองคาย ร่วมงาน ที่คณะของ อาจารย์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้จัด โดยมีชาวต่างชาติ ทั้งลาว จีน กัมพูชา พม่า ทิเบต ศรีลังกา ภูฏาน ฝรั่ง และ ต่างศาสนา ทั้งคริสต์ อิสลาม จากหลายๆ ประเทศ แม้กระทั่ง ชาวปะกากะยอ ในไทย ก็มาร่วมกัน เสวนาเกี่ยวกับ ความสุข มวลรวม ของประชาชาติ ควรเป็นอย่างไร เพื่อแลกเปลี่ยน และแบ่งปัน ประสบการณ์ แก่กันและกัน พ่อท่านฯ ได้รับนิมนต์ ให้เข้าร่วม แลกเปลี่ยน ให้ความรู้ โดยมีอาจารย์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ พระไพศาล วิสาโล เป็นตัวหลักของงาน

อาจารย์สุลักษณ์กล่าวเป็นภาษาอังกฤษ แล้วมีคนไทยเป็นล่าม แปลอีกที ส่วนพระไพศาล วิสาโล กล่าวเป็น ภาษาอังกฤษ และ แปลเป็นไทย ด้วยตนเอง ส่วนพ่อท่านฯ กล่าวเป็นภาษาไทย อาจารย์ขวัญดี ช่วยเป็นล่าม แปลให้ อาจารย์ขวัญดี และ คุณจุฬา อุตส่าห์ เตรียมการ มาอย่างดี เป็นอาทิตย์ ร่างประเด็นต่างๆ ให้พ่อท่านฯ ใช้กล่าวนำเสนอ เพื่อจะได้ค้นหา คำศัพท์ ที่จะนำ มาใช้ ได้ถูกต้อง แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ พ่อท่านฯ หยิบเอาประเด็นที่ อาจารย์สุลักษณ์ ได้กล่าวผ่านๆ เกี่ยวกับคำว่า นิรามิสสุข มาเป็น ประเด็นสำคัญ ในการกล่าว ปาฐกถานี้ ดังข้อความต่อไปนี้

เจริญธรรม ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน อาตมาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ (I could not speak English I am sorry.) ก็จะขอพูด ภาษาไทย และจะมีผู้แปล ตามไปด้วย

เรามาที่นี่กันด้วยหัวข้อว่าต้องการความสุข เราจะต้องเข้าใจคำสอนของ พระพุทธเจ้า ในความหมายคำว่า ความสุขนี่ ความสุข ที่พระพุทธเจ้า ค้นพบนั้น เป็นความสุข ที่ตรงกันข้ามกับ ความสุขที่คนทั้งหลาย ในโลกเข้าใจ ความสุข ของพระพุทธเจ้า ก็คือ ไม่มีสุข และไม่มีทุกข์ เรียกว่า ความสงบ หรือเรียกว่า ความสุขอันสัมบูรณ์

และความสุขอันสัมบูรณ์นี้ เกิดได้อย่างไร ก็เกิดได้จากการรู้ ความสุขของสามัญ คนทั่วไป ความสุขของคน ทั่วไปนั้น เป็นความสุข ที่มีความทุกข์ อยู่ด้วย ความสุขของคนทั้งโลก ถ้าได้ความสุขแล้ว ไม่มีความทุกข์ ไม่มี เพราะความสุข กับความทุกข์ เป็นสิ่งที่คู่กัน เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงตรัสรู้ความสุข ที่เกิดจาก “เหตุ” คือทุกข์ ความทุกข์ที่ว่านี้ คือหัวใจ ศาสนาพุทธ เรียกโดย ภาษาว่า ทุกขอาริยสัจ ทุกขอาริยสัจมี ”เหตุ” ก็คือ หลงสุข เพราะฉะนั้น ท่านจึงดับเหตุ ที่มันหลงสุข เหตุที่หลงสุขก็คือ เหตุที่มันทำให้ เกิดทุกข์นั่นเอง คำสอนของ พระพุทธเจ้า สุดยอดก็คือ จะต้องมีปัญญา หรือว่าจะต้อง มีความรู้พิเศษ ที่เข้าไปรู้ ตัวเหตุแห่งทุกข์ ในจิตใจ ซึ่งตัวเหตุแห่งทุกข์ ในจิตใจนี่ก็คือ กิเลส หรือตัณหา หรืออุปาทาน ผู้ปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า ต้องมีดวงตา แห่งธรรม หรือว่า มีปัญญา หรือ ญาณ หรือวิชชา ต้องสัมผัส เห็นกิเลส หรือ ตัณหา หรืออุปาทาน นั้นจริงๆ ตัวนี้แหละ เรียกว่า ตัวตน ที่พระพุทธเจ้า ท่านเรียกว่า สักกายะ หรือ อัตตา ในเวลาสั้นๆนี่ คงจะพูดไปอีกไม่ได้แล้ว มันยาก ก็ขอสรุปสั้นๆ ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้านี่ เป็นผู้ที่ปลดปล่อย ความติดอยู่ในความสุข - ความทุกข์ พระพุทธเจ้า จับตัว “เหตุ” ที่มันทำให้เกิดสุข เกิดทุกข์นี้ได้ ท่านเป็น นักวิทยาศาสตร์ทางจิต และท่าน ก็กำจัด หรือประหาร ตัวนี้แหละ ตัวตน หรือ ตัวกิเลส ตัณหา อุปาทาน นี้จนดับสนิท หรือตายสนิท กิเลสหรือว่าตัวตัณหา หรือว่า ตัวเหตุแห่งทุกข์ ตายสนิทนี่แหละ เรียกว่า นิพพาน

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ต้องมีญาณ หรือมีปัญญาเห็นเหตุ แล้วมีวิธีตาม พระพุทธเจ้าดับเหตุ หรือ ดับกิเลสนี้ ตายอย่างรู้ๆ อย่างเห็นจริง เป็นนักวิทยาศาสตร์จริงๆ การฆ่ากิเลสตาย นี่ก็คือ การพ้นจากสุข จากทุกข์ การไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ เช่นนี้คือ “สุข” ที่พระพุทธเจ้า ค้นพบ เรียกว่า นิรามิสสุข อย่างที่อาจารย์ สุลักษณ์ ได้กล่าวถึง เป็นความสุข ที่ยิ่งใหญ่ และยั่งยืน ซึ่งผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติ อย่างรู้แจ้ง เห็นจริง มันมีอยู่ในตัวคน ทุกคน ถ้าเรียนรู้ อย่างถูกต้อง ที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติถูกต้อง อย่างสัมมาทิฏฐิ ผู้นั้นก็จะถึงความสุขนี้ ด้วยตนเอง ผู้ที่สุขทุกข์ หรือว่าต้องการ ความสุขอย่างโลกีย์ หรือ อย่างที่คน ในโลก ทั้งหมด หลงผิดกันอยู่นั้น ผู้ที่ยังมีสุข มีทุกข์อยู่ พระพุทธเจ้า ยังถือว่า ยังไม่อิสระ เพราะงั้น ผู้ที่ฆ่า หรือ ทำลายกิเลส ดับสนิท หรือ นิพพานได้ นั่นคือ ผู้อิสระ ผู้ที่อิสระ ดังกล่าวนี้คือ ผู้พ้นความเป็นทาส ที่วิเศษที่สุด พระพุทธเจ้า เป็นผู้ประกาศ การเลิกทาสนี้ ในยุคทาส ในยุค ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ซึ่งเป็นยุค สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส ซึ่งคนยังไม่รู้จัก เรื่อง สิทธิมนุษยชนเลย แต่พระพุทธเจ้า ก็ประกาศ การเลิกทาสได้ ตั้งแต่ยุคนั้น แม้พระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเป็น สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในยุคนั้น ก็ต้องยอมยกให้ พระพุทธเจ้า นำคนมาปลดปล่อย ความเป็นทาส ให้แก่คนได้ ซึ่งพระพุทธเจ้า ประกาศ รัฐอิสระ หรือ ประกาศ อธิปไตย ที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่ยุค พระพุทธเจ้า ซึ่งในยุคนั้น พระเจ้าแผ่นดิน ทุกองค์ ในแคว้นต่างๆ ต่างก็ยอมยกให้

ก็สรุปว่า ความยิ่งใหญ่ของความสุข เป็นความสุขที่วิเศษที่สุด ซึ่งเป็นความสุข ที่ไม่ขึ้นกับ ความรวย หรือ ความจน ที่จริงแล้ว เป็นความสุข ที่จะอยู่กับ ความจนด้วย พระพุทธเจ้า เป็นคนรวย แต่ท่านที่สุด ก็มามีความสุข อยู่กับการเป็น คนจน จึงขอฝาก ท่านทั้งหลาย เอาไว้ว่า ขอให้ทุกคน ศึกษาให้พบความสุข ที่พระพุทธเจ้า ค้นพบนี้เทอญ ความสุข อันนี้แหละ จะเป็นความสุข ที่ท่านทั้งหลาย ที่มานี้ได้จริง ตามประสงค์ ขอให้ทุกคน พบกับความสุขนั้น ทุกคนเทอญ

รักข์ราม.
๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐

- บันทึกจากปัจฉาสมณะ สารอโศก อันดับที่ ๓๐๖ ธันวา ๒๕๕๐ - มกรา ๒๕๕๑ -

end of column
.