หน้าแรก หน้าต่อไป
บันทึกปัจฉาสมณะ
โดย สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ
ตอน...
ฉลองน้ำ
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 230
เดือนพฤศจิกายน 2543
หน้า 1/2

๑ ก.ย. ๒๕๔๓ ที่ราชธานีอโศก น้ำยังคงท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ท่วมชั้นล่าง ของเฮือนศูนย์สูญแล้ว เมื่อวาน สมณะถ่องแท้ วินยธโร เพิ่งนำพาสมณะ, ญาติโยม และ นักเรียน สสธ.ช่วยกันขุดพื้นทราย และ ดิน รอบๆ เฮือนศูนย์สูญ เพื่อทำ คันกั้นน้ำ แบบคันนา สูงประมาณ ๑ ฟุต ก่อนหน้านี้ มีผู้เสนอความคิดเห็น ให้ซื้อทรายใส่ถุง นำมาทำคันกั้นน้ำ น้ำลดแล้ว เราก็สามารถเอาทรายมาใช้ได้ต่อ เพราะยังมีงานปูนที่จำ เป็นต้องใช้ทรายอีกมาก

พ่อท่านไม่เห็นด้วยว่า "สิ้นเปลืองแรงงานเปล่าๆ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย กว่า จะบรรจุทรายใส่ถุง ขนย้ายลงเรือ แล้วต้องขนจากเรือ นำมาใช้ ทำคันกั้นน้ำ พวกเราเอง ก็มีงานที่จะต้อง ขนกระเบื้องหลังคา ขึ้นบนดาดฟ้า ชั้น ๔ อีกทั้งขนย้าย ข้าวของ ที่โรงสี แค่นี้ก็เหน็ดเหนื่อย กันอยู่แล้ว ที่สำคัญ เฮือนศูนย์สูญ ชั้นล่าง ไม่มีอะไร ที่จะต้องลงทุน ไปทำคันกั้นน้ำถึงขนาดนั้น น้ำจะท่วมเข้าไป ก็ไม่เป็นไร ดีเสียอีก จะทำให้พื้นแน่น "

ช่วงบ่ายได้รับโทรศัพท์จาก อ.ประจัน มณีนิล คณะศิลปศาสตร์ ม.อุบลราชธานี นิมนต์พ่อท่าน ไปร่วมแสดงความคิดเห็น ในรายการ "ขอคิดด้วยคน" ที่จะมา ถ่ายทำรายการ ในวันอาทิตย์ที่ ๑๐ ก.ย.นี้ เวลา ๑๕.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. ร่วมกับ วิทยากรอื่นๆ มีทั้งนักวิจัย นักวิชาการ จากกรมประมง และ นักวิชาการ คณะสิ่งแวดล้อม จาก ม.มหิดล เนื่องจาก มีการตรวจพบ สารตะกั่ว และ ปรอทสูงขึ้นมาก ในลำน้ำมูล ซึ่งจะ เป็นอันตราย ต่อชุมชน และ สิ่งแวดล้อม อยากจะนิมนต์พ่อท่าน มาร่วม เพื่อให้ข้อคิด "ธรรมะกับวิถีชีวิต และ สิ่งแวดล้อม" นอกจากนี้ทาง ม.อุบลราชธานี ได้จัดนิทรรศการ แสดงผลงานวิจัย "กรณีเขื่อนปากมูล แนวโน้มต่อการพัฒนา " ซึ่งจะจัด ๘ - ๑๐ ก.ย.นี้ อยากจะเชิญ ชาวอโศกไปร่วม และ ให้ช่วยทำน้ำสมุนไพรเลี้ยงแขก ส่วนอาหารห่อ อยากให้ใช้ ใบตอง เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีเงินทุน ค่าอาหารให้

พ่อท่านแนะนำให้ อ.ประจัน มาพูดคุย ในรายละเอียด กับชาวบ้านราชฯ อีกที สำหรับการไปร่วม แสดงความคิดเห็น ในรายการ "ขอคิดด้วยคน " นั้น ในเบื้องต้นนี้ พ่อท่านรับที่จะไป

(ต่อมาพ่อท่านได้ปฏิเสธ ที่จะไปร่วมรายการ เนื่องจากคุณนิติภูมิ ป่วยกะทันหัน ไม่สามารถมาพูด กับชาวบ้านเครือข่าย ของศีรษะอโศก ในวันที่ ๑๐ ก.ย.ได้ พ่อท่านเห็นควร ที่จะไปพบชาวบ้าน แทนคุณนิติภูมิ มากกว่า )

๒ ก.ย. ๒๕๔๓ ที่ศีรษะอโศก เช้านี้เดินทางจากราชธานีอโศก ไปศีรษะอโศก เพื่อร่วมงานอบรมครู, ผู้ปกครอง และ นักเรียนจากขอนแก่น

ครูขวัญดิน และ ครูแก่นฟ้า บอกเล่าการไปพบชาวบ้าน เพื่อหาสมาชิก พรรคนั้น ประโยชน์ที่ได้ทันทีก็คือ โอกาสที่ได้พูดคุย เรื่องบ้านเมือง กับชาวบ้าน และ แนะนำให้ชาวบ้าน รวมตัวกัน พึ่งตนเองให้มาก อย่าได้หวังพึ่งอะไรๆ จากรัฐบาล หรือ หน่วยราชการใดๆ อีกเลย ประเทศชาติ กำลังวิกฤติหนัก มีหนทางเดียว ชาวบ้านต้องรวมตัวกัน แล้วพึ่งชาวบ้านกันเอง ให้ได้

หมู่สมณะศีรษะอโศก ขอเวลาพูดคุยกับพ่อท่าน บนโบสถ์ โดยไม่มีฆราวาส ร่วมด้วย

พ่อท่านกล่าวนำ "การเกิด ของเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยต่างๆ เป็นข้อมูล ของการเกิด สิ่งต่างๆ ในขณะนี้ การเมืองที่กำลังเกิดขึ้น ผมมองลึกไปถึง การเมืองที่จะเกิดไป โดยดี มีผู้นำพาไปดี สมัยโบราณ มีหัวหน้าเผ่า เป็นใหญ่ เหมือนเผด็จการ แม้ แต่ในโขลงสัตว์ก็ เช่น กัน

การเมืองที่ดำเนินมาอย่างนี้ จะมีคนช่วยคิด ช่วยทำ จนเป็น สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีการสืบสันตติวงษ์ เมื่อลูกมาทดแทนได้ ก็มาทดแทน หรือ แต่งตั้งผู้อื่นแทน ต่อมามีหลายๆ คนมาช่วย เป็นอำมาตย์ เมื่อมีหลายคน มาช่วยก็ดูดี เข้ามาบริหาร คนที่เข้ามา เป็นผู้นำ ก็ควรมีความรู้ หลากหลาย ไม่จำเป็นต้อง สืบสันตติวงศ์ อย่างระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น แต่ก่อน

การเมืองในสังคมมนุษย์ ต่อมามีความคิดเห็นในเรื่อง ของทรัพย์สิน ที่ดิน ข้าวของ จนมาถึงสิทธิ ในความเป็นมนุษย์ จึงมีกฎหมาย มีหลักเกณฑ์ มากำหนด มิให้คน ล่วงล้ำ สิทธิมนุษยชน ของผู้อื่น

แม้โลกจะแบ่งการปกครอง เป็น ระบบสังคมนิยม และ เสรีนิยม หรือ ทุนนิยม

แต่การวางหลักเกณฑ์ต่างๆ อยู่ที่ผู้มีอำนาจ เป็นผู้วางหลักเกณฑ์ เมื่อเกิดการ เอาเปรียบกัน ผู้ที่ถูกเอาเปรียบ คิดหาทางปฏิวัติ รุ่นแรกๆ ก็เกิดการกระจาย ได้บ้าง เป็นสาธารณโภคีได้บ้าง เอื้อเฟื้อแบ่งแจกกันได้บ้าง

พวกเราเองที่ได้มาปฏิบัติละล้าง ก็เกิดญาณปัญญา ที่จะไม่หอบหวง มาให้ตนเอง มากๆ อย่างแต่ก่อน จนเราเกิดหมู่กลุ่มของเรา คนที่เขายังไม่มา เขาก็รู้ว่า ดี แต่กิเลส ของเขา มันอดไม่ได้ แต่เชื่อไหม โลกจะบีบ ให้เขามาเอง โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเขาอยู่ไม่ได้ ผมไม่กลัวว่า เราจะไม่มีใครมา ผมกลัว แต่เขาจะแตกตื่น มากันมากๆ จนเข้ามาสลาย ความเข้มข้น ของเรา ตอนนี้มีอย่างเดียว ต้องเร่ง ตัวเราเอง แต่ละคน ให้แข็งแรง เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อรองรับ การทะเลทะลักเข้ามา จากภายนอก "

มีสมณะรูปหนึ่ง ถามพ่อท่านว่า บทบาท ของสมณะ ที่จะทำกับการเมืองนี้ ขอบเขตอย่างไร ขนาดไหน

พ่อท่านตอบ "การเมืองที่ เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เป็นอบายมุข ชนิดหนึ่ง ที่คนเขาเห่อ มีรสชาติกับสิ่งนั้น

สิ่งที่ผมจะทำนี้ ในรูปของนักบวช ต้องสังวรระวัง ให้มากเลย ทั้งกายกรรม วจีกรรม ต้องดูสังคมว่า หากไม่ได้รับ ความยอมรับมาก คุณต้องสังวร ให้ดีๆ อย่าทำล้ำ โลกวัชชะ อย่างผมเอง แต่งเพลง ผมมีฤทธิ์แรงพอ ในส่วนนี้ จึงทำล้ำโลกวัชชะ

พวกเราในอนาคต เมื่อสังคมยอมรับแล้ว นักบวชจะไปทำงาน การเมืองได้ สังคมอาจจะยกให้ ทำหน้าที่บริหารเลยก็ได้ ส่วนพวกที่ต้านเรา เขาก็จะว่า จะตีเรา ซึ่งก็เป็นเรื่องของเขา เพราะ เป็นนานาสังวาส อยู่แล้ว เขามองเรา เขามองอย่างนิกาย แต่เรามองเขา เรายังมองอย่าง นานาสังวาส ในอนาคต จะมีสงฆ์ฝ่ายโน้น เข้ามาสัมพันธ์ เข้ากับเราบ้าง เราเองก็พิจารณาดู เป็นรายๆ ไป จะรับจะสัมพันธ์กับเขา อย่างไรแค่ไหน "

ก่อนฉัน พ่อท่านแสดงธรรม กับบรรดาผู้ปกครอง,ครู และ นักเรียน จากขอนแก่น ที่มาอบรม จากบางส่วน ดังนี้

"วันนี้จะได้ฟัง อินทรีย์ ๕ พละ ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ทั้ง ๕ ตัวนี้ จะทำงานร่วมกัน ไม่ได้แยกจากกัน

คนมีศรัทธา เชื่อถือ ก็จะมีเชื่อฟัง แล้วพยายาม ทำตาม คือมีวิริยะ กินเหล้า เอาเปรียบ ไม่ดี ก็เลิกละมา เมื่อเริ่มต้นปฏิบัติ ก็มีสติ ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ เมื่อปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ จะสั่งสมเกิดฌาน เกิดสมาธิ เป็นใหญ่ ในตัวเอง เรื่อยๆ สมาธิแปลว่า ความตั้งมั่น คือ แข็งแรง ขึ้นมาเรื่อยๆ มีผลในการ ลดละกิเลส จะขัดเกลา กายวาจา โดยเฉพาะ ขัดเกลากิเลสในจิต ในองค์ ๕ ที่ปฏิบัติมา จะเกิดปัญญา ตลอดสาย ปัญญารู้ว่า เราปฏิบัติมา เป็นอย่างไร จิตใจเป็นอย่างไร อ่านจิต เจตสิก รูป นิพพาน มีภูมิทาง ปรมัตถธรรม ปัญญาจะเกิด รู้แจ้งไปหมด จนสามารถปฏิบัติ ลดละได้ อินทรีย์จะดี

เมืองไทย เป็นเมืองพุทธ แต่คนไทยส่วนใหญ่ ไม่เคยศึกษา ศาสนาพุทธ จนถึงขั้น มีศรัทธินทรีย์ อย่างเป็น สัมมาทิฐิเลย "

๓ ก.ย.๒๕๔๓ ที่ราชธานีอโศก ก่อนฉัน พ่อท่านให้พวกเรา ที่ไปร่วมฟัง คุณนิติภูมิ นวรัตน์ พูดที่สถาบันราชภัฏ อุบลราชธานี เมื่อค่ำวานนี้ ได้บอกเล่า บรรยากาศ และ เนื้อหา สรุปให้ฟัง เนื่องจาก เมื่อวาน พ่อท่านเปลี่ยนใจ ไม่ได้ไปร่วมฟังด้วย ดังที่ตั้งใจ แต่แรก เพื่อให้คุณนิติภูมิ พูดได้เต็มที่

ขณะที่พวกเรา ที่ไปร่วมฟัง เล่าเหตุการณ์ พ่อท่านก็ให้ความรู้เสริม เป็นช่วงๆ มีอยู่ช่วงหนึ่ง พ่อท่านกล่าวถึง "อนาคตังสญาณ " เป็นความรู้ ที่ข้าพเจ้า ไม่เคยได้ยิน พ่อท่าน กล่าวมาก่อน จึงได้บันทึกไว้ แต่เสียดาย ที่ข้าพเจ้า ระลึกไม่ได้ว่า มีเหตุมาจาก เรื่องอะไร จึงกล่าว ขออภัย ที่บันทึก ไม่สมบูรณ์ ตอนนั้น อาจจะกำลังง่วงๆ อยู่หรือเปล่า ก็จำไม่ได้แล้ว เอาเป็นว่า ความรู้ใน

"อนาคตังสญาณ " ที่พ่อท่านกล่าวมี ดังนี้

"... เมื่อเราทำได้แล้ว ๑ เรากำลังทำอยู่อีก ๑ เรารู้อนาคต ล่วงหน้าได้เลยว่า จะ เป็น ๒ แต่คนทั่วไปนั้น ทำได้แล้ว ๑ กำลังทำอยู่อีก ๑ แต่เขาฝัน เขาหวังไป ๔... "

ต่อมามีเสียงพวกเราหลายคนชื่นชม คุณนิติภูมิว่า รู้มากรู้กว้าง... พ่อท่าน เสริมว่า "ที่คุณนิติภูมิทำ เป็นรอบกว้าง แต่ของเรา ตามไปเก็บ รายละเอียด กรองเอา แล้วสร้าง ตอนนี้พวกเรา อย่าเพิ่งไปหลงทิศ เราอยู่ในฐานะ รับความรู้เพิ่ม 'การจะเป็น' อะไร เราไม่ต้อง ’อยากเป็น' 'ควรจะเป็น' ต่างกับ 'อยากเป็น' เมื่อรู้ว่า 'เหตุที่จะเป็น' อย่างนี้ 'ควรเป็น' อย่างไร แล้วลงมือ สร้างเอาเลย นี่คือวิธีการ หาเหตุแล้วสร้าง

เรามีหน้าที่ตรวจสอบว่า เหตุปัจจัยอย่างนี้ จะสร้างได้ไหม แล้วร่อน เอาข้อมูล

คุณนิติภูมิเขามีข้อมูลเยอะ แล้วก็เปิดโปงมาก็มาก อาตมาเกรงว่า คุณนิติภูมิ อาจจะถูกเก็บ เสียก่อนกาลอันควร ก็อาจ เป็นได้

อาตมาก็อยู่ในฐานะนั้น ถ้าอาตมา ทำแรงกว่านี้ เปิดโปงมากกว่านี้ ทุกวันนี้ ฝ่ายต่อต้าน เขายังไม่ได้ถึงขั้น ต้องการให้อาตมาตาย ทางร่างกาย เขาเพียงเจตนา ทำให้อาตมา หมดโอกาส...ทำอะไรไม่ได้ แต่ที่อาตมา อยู่รอดได้ มาถึงวันนี้ ก็เพราะความจริง ความจริงอาตมาคือ มักน้อยสันโดษ ซึ่งต้องพิสูจน์ ถึงจิตได้จริง แล้วอาตมาพาพวกคุณ มามักน้อยสันโดษ ให้ได้ถึงจิตกัน กระทั่งได้จริงด้วย "

๔ ก.ย. ๒๕๔๓ ที่ราชธานีอโศก วันนี้ เป็นวันจันทร์ ไม่มีทำวัตรเช้า แต่จะมีรายการ นิสิตสัมมาสิกขาลัย วังชีวิต (มวช.) พบสมณะ เพื่อฟังธรรม และ สนทนาธรรม เป็นพิเศษ ต่างจากการทำวัตรเช้าปกติ ส่วนนิสิตคนไหน จะติดกิจอันใด ไม่ได้มาร่วม ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ความสมัครใจ และ ทุกวันจันทร์ ร้านค้า ที่อุทยานบุญนิยม และ ที่สหกรณ์บุญนิยมฯ ก็ปิดร้าน อยู่แล้ว นิสิต มวช. ที่ไปช่วยงาน ทั้งสองแห่ง จึงได้มีโอกาส มาร่วม รายการด้วย จันทร์นี้ พ่อท่าน ได้รับนิมนต์ มาให้ความรู้ กับนิสิต มวช. เป็นกรณีพิเศษ จากบางส่วน ที่พ่อท่านกล่าว ให้ความรู้นำ ก่อนเปิดโอกาส ให้มีการซักถาม ดังนี้

"นิสิตสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต พื้นฐานต้อง เป็นโสดาบัน ผู้ที่จะจบ อย่างน้อย ก็ต้องเป็น อนาคามีภูมิ

ที่หลายๆ คน เป็นกังวลว่า สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต ไม่เห็นจะมี หลักสูตร อะไรเลย อย่างนี้ไม่รู้ จะจบปัญญาบัตร กันอย่างไร

อาตมาอยากจะเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า แต่ก่อนนี้ มหาวิทยาลัย ศิลปากร ตั้งขึ้นมา ก็ไม่มีอะไร มี อ.ศิลป์ พีระศรี เพียงคนเดียว รุ่นแรก ก็ยังไม่มี ปริญญา จบแล้ว ได้อนุปริญญา ก็ไปเรียนต่อ เมืองนอกมากัน สุดท้าย ม.ศิลปากร ก็มีหลักสูตร อย่างในปัจจุบัน พวกเราเอง ก็เหมือนกัน รุ่นแรกๆ อาจจะไม่มี ความชำนาญ ในวิชาการ อะไรมากนัก แต่จะมีความเชี่ยวชาญ ในการทำงาน

สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต จะ เป็นที่ยอมรับ ของโลกได้ ก็ต่อเมื่อ พวกคุณ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีจริง คนพวกนี้ มักน้อย สันโดษ สงบ ซื่อสัตย์ เสียสละจริง

รุ่นแรกๆ นี่ ๗ ปีอาจไม่จบหรอก แต่ เมื่อจบแล้วจริงๆ คนนั้น ก็จะไม่ออกไป จากสังคมชีวิต อย่างนี้หรอก

ผู้ที่จบปริญญา โดยทั่วไป ทุกวันนี้ จะมีถึง ๕๐% ไหม ที่มีความรู้ ความสามารถ "ทำเป็น "ตามหน่วยกิต ที่สอบได้ เอาเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ของหน่วยกิต ทั้งหมดก็พอ ไม่มีหรอก เพราะเขาเน้น แต่วิชาการ อย่างเดียว

ขณะที่ การศึกษา ของสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต จะมีมรรคองค์ ๘ และ โพชฌงค์ ๗ ด้วย อาชีพ ของสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต จบแล้วมีงานทำ ทันที อาชีพ คืองาน ที่เราถนัด เราชำนาญ ทำได้อย่าง มีคุณค่า สามารถเลี้ยงตน และ ผู้อื่นด้วย อย่างน้อย จิตของเรา ต้องแข็งแรง กัมมันตะ ก็แข็งแรง

วิริยารัมภะ แปลว่า เริ่มต้นความเพียร โดยสัจจะแล้ว เราได้เริ่มต้น ที่จะเพียร ที่จะทำแล้ว หรือยัง หากได้แค่รู้ แต่ไม่มีตัวเริ่มทำเลย ก็ได้แค่รู้ ยังไม่มีวิริยารัมภะ เช่น คนในสังคม รู้ภาษาธรรมะ มากมาย แต่ยังไม่มี วิริยารัมภะเลย คนไทย ๖๒ ล้านคน ให้ใครไปทำโพล สำรวจดูเลยว่า คนเหล่านั้น มีตัวเริ่มที่จะทำ ที่จะเพียรสังวร อะไรแล้ว หรือยัง มีอิทธิบาทกัน หรือเปล่า

ศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่น ที่มิใช่เรียนรู้ แต่ความดี แล้วทำเท่านั้น ศาสนาพุทธ ยังเรียนรู้ความไม่ดี แล้วรีบเลิกหยุด เลิก ทำลายความไม่ดีนั้น ด้วย

พุทธนั้น ให้รู้แจ้งในสิ่งที่ไม่ดี แล้วเอาไม่ดีออก นี่ เป็นปรัชญา ของศาสนาพุทธ

นิสิต : ดิฉันถูกมองว่า อัตตาจัด ในขณะที่เรายึด แล้วจะทำอย่างไร เพื่อออกจาก ตรงนั้น คะ

พ่อท่าน : ในขณะใด ที่เรายึด จะเอาให้ได้ดั่งใจ โดยไม่ฟังเสียงผู้อื่น นั่นแหละผิด เมื่อเราอยู่กับหมู่คนดี ที่เราเลือกแล้วว่า มีปัญญา เราก็ต้องเอาหมู่ เป็นใหญ่ ต้องยอม หากเราไปอยู่กับ กลุ่มคนโง่นั้น เราต้องนำเขาแน่ แต่คุณจะทำอย่างไร ที่จะทำ ให้คนโง่ ยอมคุณ มีอะไร ทำให้คุณแน่ใจ แล้วใครจะตัดสิน หมู่นั้น หมู่นี้ โง่ หรือ ฉลาด

กรณีสัญชัย เวลัฏฐบุตร ที่พูดประชดพระสารีบุตรว่า ตนจะขออยู่ กับคนโง่ แล้วมันจะโง่ อยู่กับคนโง่ ไปทำไม ใช่ไหม ลองคิดดูสิ

ใครจะตัดสินว่า หมู่ไหนโง่ หรือ ฉลาด ก็อยู่ที่เวลากาละ ความจริง ที่จะพิสูจน์ ตัวเองนั่นแหละ เป็นตัวตัดสิน เลือกเอาตามปัญญา ของเรา

นิสิต : สิ่งที่ เป็นทุกข์อยู่ก็คือ พยาบาทกับกามสัญญา

พ่อท่าน : คนที่รู้ว่า นี่คือ พยาบาท นี่คือกามสัญญานั้น ได้ นี่แหละดีแล้วที่รู้ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ทั้งๆ ที่เขามีอยู่เขรอะ ขณะใดที่เรารู้ความ เป็นจริง ที่เกิดอยู่ ในปัจจุบัน ก็จะทำให้อกุศลหยุดชะงักชั่วคราวก่อน แล้วเราต้องทำการปฏิบัติ ลดละมา ให้ได้จริงๆ

กรณีที่เราสู้ไม่ได้เรื่องผู้หญิงผู้ชาย สัมผัสทีไรแล้วก็แพ้ เราก็ต้องไปเก็บ ในส่วน เบี้ยบ้ายรายทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในอาหาร ในชีวิต ประจำวัน กินอยู่ หลับนอน ลดละการเสพบำเรอ สิ่งที่เกี่ยวข้อง ในชีวิตประจำวัน ลงมาให้ได้ก่อน ในกามคุณ ๕ ทั้งหลายนั่นแหละ พากเพียร เห็นผล โดยปฏิบัติ ลดละกามคุณต่างๆ สะสมมาได้ จะ เป็นกำลังช่วยหนุน

นิสิต : ในภาวะน้ำท่วมนี่เห็นทุกข์กับการมีสมบัติ ข้าวของมากๆ แล้วก็ทุกข์ เสียดายกับสิ่งที่ ต้องสูญเสียไป

พ่อท่าน : เสียดายนั่นคือ ความขี้ตระหนี่ ของเรา น้ำท่วมมัน เป็นภาวะ ธรรมชาติ ไม่รู้จะไปโทษใคร เราไม่ควรเอาทุกข์ทับถมตน ที่มีทุกข์อยู่แล้ว จะปัดกวาด เช็ดถู เก็บรักษา ดูแล ทำความสะอาด อะไรก็ทำไป ไม่มีใครมาช่วย ก็ไม่เป็นไร เราทำเท่าที่ เราทำได้ เท่านั้น ก็พอ

ส่วนเรื่องความประณีตประหยัด ที่เราขาดพร่องนั้น เป็นเพราะพวกเรา ผิวเผิน ขาดความใส่ใจ กับสิ่งเล็กสิ่งน้อย เนื่องจากเราหลงเงิน หากมีเงิน หล่นอยู่ ๑๐ - ๒๐ บาท เราจะเก็บทันที แต่ทีข้าวของ ตกหล่นเสียหาย มีราคามากกว่า ๑๐ - ๒๐ บาทด้วยซ้ำ เรากลับเฉย ปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้น ผ่านไปเฉยเลย

นิสิต : กรณีการเช็คศีล ของนิสิต แต่ละคน ให้คะแนนตนเอง มีเกณฑ์ต่างกัน เช่น ช่วงเข้าพรรษา ตั้งตบะกินมื้อเดียว เมื่อล้มพลาด ก็ไม่ได้คะแนน ๔ แต่บางคน ไม่ตั้งตบะ กิน ๒ มื้อ เมื่อไม่พลาด ก็ให้คะแนนตนเอง ๔ ตกลงคนที่ ไม่มีตบะเลย ให้คะแนน ๔ จนจบ อย่างนี้พ่อท่าน จะเห็นอย่างไร จะให้จบหรือเปล่า?

พ่อท่าน : ก็ให้จบ เขาเอาคะแนน ก็จบอย่างได้คะแนน ส่วนคนที่มีเพียร มีตบะ เพิ่มขึ้นด้วย ก็จบอย่างมีความจริง ที่ตนเองด้วย แม้คะแนนจะน้อย ก็ไม่เป็นไร หรือ กรณีที่คนนั้น ทำงานรับผิดชอบดี ถือศีลก็ดี แต่เขาไม่ยอม มาวิกัป หรือ มาเช็คศีล กับสมณะ สิกขมาตุเลย แล้วเขาก็ไม่จบ ก็ไม่จบ ก็ เป็นนิสิตอยู่อย่างนั้น ไปเรื่อยๆ เพราะเขาพอใจ จะทำอย่างนั้น เอาแค่นั้น ถ้าจะให้ดี เขาก็ควร จะเช็คศีลด้วย ทำให้ครบพร้อมหมด แต่สัจจะ ก็เกิดกับสัจจะ ใครทำอะไรจริง ใครทำแค่ไหน ได้อย่างไรบ้าง นั่นคือ สัจจะ การได้โดยสัจจะ ไม่ใช่มนุษย์ เป็นคนให้คะแนน สัจจะละเอียด และ ตรงประเด็น ของสัจจะเอง ใครโกงสัจจะไม่ได้ และ สัจจะไม่ตกหล่น หรือ ผิดพลาด

นิสิต : ที่พ่อท่านบอกว่า ผู้ที่จะจบสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต จะต้องมีคะแนน การมีมนุษยสัมพันธ์ ที่ดีด้วย

พ่อท่าน : การมีมนุษยสัมพันธ์ เพื่อสร้างคุณค่า สร้างความสัมพันธ์ ในสังคม แล้วก็วาง ความผูกพัน ความห่วงหา เมื่อวางได้แล้ว ก็ต้องมา ปฏินิสสัคคะ เข้าไปเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ เข้าไปรัก เข้าไประลึกถึงกันใหม่ แต่ต้องมีผลธรรม ที่แข็งแรง พอแล้วจริง ซึ่งความสัมพันธ์อันนี้ ต้องดูตัวเอง อย่าเตี้ยอุ้มค่อม เกินการณ์ เราจะช่วย คนตกบ่อ เราต้องรู้น้ำหนัก ของเราว่า มีเท่าไหร่ หากไม่ไหวจริงๆ ก็ปล่อย ให้เขาตาย ต่อหน้าต่อตา ก็ต้องยอม ทุกวันนี้ เรากำลังจะสัมพันธ์ กับคนนอก ในทางสังคมการเมือง มากขึ้น ประชาธิปไตย จริงๆ ยังไม่เกิดในยุคนี้ มันจะเกิด ในอนาคต เราเอง ก็ทำไปเถอะ เพื่อคนรุ่นหลัง เป็นประชาธิปไตย ที่เห็นแก่ มวลมนุษยชาติ ไม่ใช่เห็นแก่ตัว

นิสิต : จุดอ่อน ของสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต ราชธานีอโศก คืออะไร

พ่อท่าน : พวกเรายังไม่ละเอียดพอ แต่ละคน ต้องตรวจสอบ ความบกพร่อง ของตนเอง อย่างละเอียด แล้วแก้ไขจริงๆ มาถึงวันนี้แล้ว อาตมามั่นใจ ในพวกเราว่า เป็นไปได้แน่นอน แต่พวกคุณต้องระวัง เขตเขาจะแซงหน้า เราไป โดยเฉพาะ เขตศีรษะอโศก

๕ ก.ย.๒๕๔๓ ที่ราชธานีอโศก ตอนค่ำ คุณน่านไท ศิลปายะ พา

อ.อำนวย วรพงศธร อาจารย์วิทยาลัยเทคนิค อุบลราชธานี ซึ่งเชี่ยวชาญ ศิลปกรรม สิ่งก่อสร้างพื้นบ้าน ของอีสาน มาสนทนากับพ่อท่าน เรื่องการก่อสร้างบ้าน แบบอีสาน ที่อุทยานบุญนิยม คุณอำนวย เป็นคน กรุงเทพฯ แต่มาอยู่อีสาน ๑๗ ปีแล้ว เป็นศิษย์เพาะช่าง รุ่นหลังพ่อท่าน หลายปี แต่ เป็นคนอนุรักษ์ วัตถุโบราณ ชอบศึกษาวัฒนธรรม งานพื้นบ้าน ของชาวอีสาน โดยอยู่กับวัด อยู่กับชาวบ้าน รู้สึกเสียดาย ที่คนอีสาน ไม่รู้ค่าสิ่งดีๆ ของคนอีสาน โดยเฉพาะ โบราณวัตถุ ถูกทิ้งขว้าง เห็นแล้ว น่าเสียดาย ทุกวันนี้ ความเป็น ตะวันตก เข้ามาเรื่อยๆ แทบไม่เห็นเอกลักษณ์ ของคนอีสาน บ้านแบบอีสาน เดิมๆ มี แต่บ้านทรงสเปน หรือ ทรงไทย ภาคกลางเข้ามา ของอีสานจริงๆ หายไป ที่เห็นมีอยู่บ้าง ที่มหาสารคาม เขาสร้างขึ้น เพื่ออนุรักษ์ แต่ไม่มีคนไปอยู่ จึงไม่มีวิญญาณ "ผมว่า ที่นี่ ราชธานีอโศก น่าจะทำ น่าจะสร้างบ้าน ให้เป็นศูนย์วัฒนธรรมอีสาน " คุณอำนวยกล่าว

๘ ก.ย.๒๕๔๓ ที่ราชธานีอโศก หลังจากพ่อท่านลุกตื่น ขณะช่วงพับมุ้ง เก็บเสื่อ ข้าพเจ้าได้เรียน ซักถามพ่อท่าน ประเด็นต่อจาก ที่พ่อท่าน พูดกับนิสิต สัมมาสิกขาลัย วังชีวิตว่า ผู้จะจบปัญญาบัตรทุกคน จะต้องผ่าน คะแนน มนุษยสัมพันธ์ ที่ดีด้วย

ข้าพเจ้า : การสร้างความสัมพันธ์อันสนิท จะต้องมีความผูกพันหน่อยๆ ด้วย หรือ ไม่

พ่อท่าน : ใช่

ข้าพเจ้า : ถ้าอย่างนั้น ก็จะมีทุกข์หน่อยๆ ด้วยใช่ หรือ ไม่

พ่อท่าน : คุณไม่เข้าใจ ความสัมพันธ์อันสนิทนั้น มีหลายมิติ ความสัมพันธ์ อันสนิท ที่ผูกพัน อย่างไม่ทุกข์ก็มี ที่สำคัญ ต้องอ่านเวทนา อ่านรส ที่เกิดขึ้นจริงๆ ความสัมพันธ์อันสนิท ที่เกิดขึ้นกับ เพศตรงข้าม ที่เรารักนั้น ก็มีเวทนา มีรสอย่างหนึ่ง ความสัมพันธ์อันสนิท ที่เกิดกับ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ก็มีเวทนา มีรสอย่างหนึ่ง ความสัมพันธ์อันสนิท ที่เกิดกับคนที่ ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่เพศตรงข้าม ที่เรารักใคร่ ก็มีเวทนามีรส เป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งความสัมพันธ์ อันสนิท อย่างหลังนี่ เกิดจริง ตามหลัก สาราณียธรรม ๖ ที่มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา เป็นผลทำให้เกิด ความระลึกถึงกัน รักกัน เคารพกัน ช่วยเหลือกัน ไม่ทะเลาะ วิวาทกัน มีความพร้อมเพรียงกัน มีความ เป็น น้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน

ข้าพเจ้า : อย่างญาติพี่น้อง หรือ คนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง เมื่อเราเห็นเขา เดือดร้อน แล้วเรา จะมีความห่วงใย อยากจะช่วยเหลือ เหมือนกันด้วย หรือไม่

พ่อท่าน : ได้ ห่วงใยได้ แต่เราจะไม่กังวล ไม่ทุกข์ด้วย อย่างเช่น เราเห็น ญาติพี่น้อง ของเราเดือดร้อน แล้วเราก็ช่วยญาติพี่น้อง ของเรา ก่อนช่วย คนอื่น อย่างนั้น ก็ธรรมดา คนส่วนใหญ่ ก็ทำอย่างนั้น เป็นโลกีย์ธรรมดาๆ แต่โลกตุระแล้ว กับคนที่ไม่ใช่ญาติ เมื่อเรามีความสัมพันธ์ อันสนิท เราก็จะห่วงใย ช่วยเหลือ ก่อนคนอื่น ที่ไม่ได้สัมพันธ์ด้วยได้ ช่วยเพราะ เห็นเหมาะควรว่า ผู้นี้สมควรจะช่วย ช่วยเพื่อให้เขา ได้ไปทำประโยชน์ ที่มีคุณค่า กับสังคมต่อ ก็มีคุณลักษณะ อันพึงพิจารณา ตามความมีคุณค่า อันสมควรกว่า

ในโลกุตระ มีความระลึกถึง มีความรัก มีความเคารพ มีการเกื้อกูล ช่วยเหลือ แต่ไม่มีติดยึด ผูกพัน ทำตามความเหมาะควร ด้วยปัญญา เพราะรู้ว่า เป็นคุณค่าประโยชน์ อันพึงควรทำให้เกิด โดยเฉพาะ ไม่มีรสโลกีย์ เสพในใจ มี แต่ความรู้ว่า ยินดี แล้วก็จบ ก็วางเฉย ไม่มีความติดยึด

แต่ในโลกียะ มันมีความโลภ ความเห็นแก่ตัว มันมีตัวตน ทำเพื่อ ผลประโยชน์ อันพึงได้ มาบำเรอตน ผสมอยู่ ไม่รูปธรรม ก็นามธรรม

เช้านี้ไปบิณฑบาต สายโรงพยาบาล สรรพสิทธิ์ แวะที่ อุทยานบุญนิยม รอคุณน่านไท ไปรับคุณชูสาร สถาปนิก ที่จะออกแบบ งานก่อสร้าง ของอุทยานบุญนิยม มีคุณธำรงค์ แสงสุริยะจันทร์ เดินทาง โดยเครื่องบิน มาด้วย

เมื่อทั้งหมด มาพร้อมกัน อ.อำนวย ซึ่งได้รับการยอมรับ จากจังหวัด ให้ เป็นผู้จัด แต่ง เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม ของอีสาน ในงานใหญ่ๆ ของ จ.อุบลราชธานี พูดคุย ทำความเข้าใจร่วมกัน ถึงทิศทาง ก่อสร้างบ้าน แบบอีสาน ที่อุทยานบุญนิยม อ.อำนวย ชี้งานสถาปัตยกรรม ของอีสาน จะมีลักษณะป้านๆ บึกบึน เหมือนคน อีสาน ไม่สูงชะลูด อย่างฝรั่ง มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน มีความอดทน เรียบๆ ง่ายๆ แข็งแรง ไม่อ่อนช้อย อย่างภาคเหนือ หรือ ภาคกลาง

เสร็จจากการสนทนา คุณชูสาร เดินถ่ายภาพทั่วๆ บริเวณอุทยาน บุญนิยม รวมไปถึง อาคารสถานที่ บ้านรอบๆ อุทยานบุญนิยม เข้าใจว่า เป็นความละเอียดลออ ในการออกแบบ เพื่อให้งานก่อสร้างดูดี ในทุกๆ มุมมอง

พ่อท่านตัดสินใจฉันอาหารที่อุทยานบุญนิยม เพื่อร่วมไปดูงาน สถาปัตยกรรมอีสาน ตามวัดต่างๆ เช่น วัดหนองไหล วัดหัวเรือ วัดทุ่งขุนใหญ่ โดย อ.อำนวย เป็นผู้นำ ไปดู ร่วมกับคุณชูสาร พบศาลาวัด เก่าแก่ ใหม่ตา มีทั้งสิ่ง ของเก่าๆ ช่อฟ้า หัวนาค ของอีสานที่ เป็นรูปหัวนาค ชัดๆ ไม่อ่อนช้อย อย่างช่อฟ้า ภาคกลาง ตัวกลองเก่าๆ ตั่งโบราณเก่าแก่ วางอยู่ ระเกะระกะ เหมือนสิ่งไร้ค่า นับวัน มีแต่จะสูญหาย และ สูญเสียไป จากสังคม เพราะฝรั่ง ต่างชาติ และ คนร่ำรวย จะซื้อหาเอาไว้ทำ ของประดับ

๑๕.๐๐ น. กลับมาถึงท่าเรือ ที่บ้านคำกลาง นั่งเรือกี๊บหยก เรือจาก ฝั่งลาว ที่ญาติธรรม หนองคาย ซื้อหามาให้ ระหว่างทางน้ำมันหมด ต้องช่วยกันพาย ประคองเกาะกันมา กับเรือราชธานี ๒ ฝนปรอยๆ พ่อท่าน กลับถึงที่ห้องทำงาน ๑๖.๐๐ น.เศษ

ค่ำคณะจากสีมาอโศก เดินทางมาถึงบ้านราชฯ ขณะที่เรือ "แงกเบิงแน" นำชาว สีมาอโศก มาทางบุ่ง ได้ยินเสียงร้องเพลงเห่เรือ ดูครึกครื้น สร้างบรรยากาศ ได้เก๋ดี ต่อมาทราบข่าวว่า คุณนิติภูมิ ต้องเข้าโรงพยาบาล วันที่ ๑๐ ก.ย.นี้ จึงมาพูดไม่ได้ การติดต่อกับ คุณอัมรินทร์ คอมันต์ ให้มาพูดแทน ก็ยังไม่เป็นผล

๙ ก.ย.๒๕๔๓ ที่ราชธานีอโศก วันแรก ของงาน "ฉลองน้ำ" หรือ ชื่อ เป็นทางการว่า การอบรม โครงการ ชุมชนกู้วิกฤติชาติ รุ่นที่ ๑๕ - ๑๖ "พัฒนาคุณภาพชีวิต ยามวิกฤติน้ำท่วม " โดยชุมชนราชธานีอโศก ร่วมกับ กองทุนเพื่อสังคม จากบางส่วน ที่พ่อท่านแสดงธรรมก่อนฉัน ช่วงแรก บอกเล่า ปัญหากับชาวบ้าน "เรือเราไปทำให้ตาข่ายหาปลา ขาด หลายครั้ง เราต้องไป เจรจากับเขา อย่างอ่อนน้อม ถ่อมตน จนที่สุดชาวบ้าน ก็ยอมเปิดทาง ให้เรือเดิน สะดวกขึ้น หากเราใช้อำนาจ ไม่อ่อนน้อมกับเขา เราอาจจะได้รับผล ไม่ดีก็ได้ "

เมื่อพูดถึงความมักน้อยสันโดษ และ ชุมชนเข้มแข็ง ในทัศนะ ของพ่อท่าน ที่ต่างไปจาก ความเข้าใจ ของคนส่วนใหญ่ ดังนี้

"ตามทฤษฎี ของพุทธแล้ว หากคนมักน้อยสันโดษได้จริง ยิ่งจะมี ประสิทธิภาพ ยิ่งสร้างได้มาก ยิ่งเอาน้อยลงๆ มัน เป็นปฏินิสสัคคะ เป็น "สัจจะย้อนสภาพ " มันดูเหมือน มีการย้อนแย้ง เช่น ‘ยิ่งให้ไป ยิ่งได้มา... ยิ่งเล็ก ก็ยิ่งใหญ่’ เป็นต้น และ ปฏินิสสัคคะ ยังเป็น "สัจจะย้อนสภาพ " นัยอื่นอีก

 

คลิก...อ่านต่อ
หน้าแรก หน้าต่อไป