หน้าแรก>สารอโศก

สืบสานภูมิปัญญาของพระพุทธเจ้า แก้ปัญหาสังคม
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


หมอบรรจบ บอกเล่าวิกฤตพุทธศาสนา
๒๐ ก.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก ช่วงเย็นขณะงานคอนเสิร์ต"ธารน้ำใจฯ" ยังคงแสดง น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล มีเรื่องขอสนทนากับพ่อท่าน ข้าพเจ้าถามหมอว่า มีเรื่องลับหรือเปล่า หมอหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วตอบว่า "ไม่ลับครับ" อาตมาขออัดเก็บไว้ใช้ประโยชน์นะ ข้าพเจ้าขออนุญาต "ได้ครับ" หมอตอบรับ

พ่อท่าน : ว่าไงหมอมีอะไร

หมอ : ท่านอาจารย์ จะมาขอถือโอกาสกราบเรียน เพราะว่ามีความไม่เข้าใจบางอย่าง เกี่ยวกับธรรมะ แล้วก็ปัจจุบันนี้ จะมีเรื่องที่สับสน ในสังคมไทย เกี่ยวกับความหมาย ของธรรมะ คิดว่ามันอาจเรียกว่า เกือบจะเป็นวิกฤตแล้ว ก็เลยถือโอกาส มากราบเรียน

สืบเนื่องมาจากว่า ปัจจุบันในวงการสุขภาพ กำลังมีการปฏิรูป สุขภาพกันมาก แล้วก็ด้วย ความปรารถนาดี ขององค์กร สำนักงาน สปรส. (สำนักงานปฏิรูปสุขภาพแห่งชาติ) เขาได้สร้างคำจำกัดความ ของสุขภาพ เสียใหม่ คือสมัยก่อนบอกว่า สุขภาพ แปลว่า ไม่เจ็บป่วย เดี๋ยวนี้ก็บอกว่าไม่ใช่ สุขภาพที่ดีเนี่ย ไม่ได้หมายถึง แต่เพียงว่า ไม่เจ็บป่วย แต่หมายถึง ความมีสุขภาวะของกาย ของจิต ของสังคม และของจิตวิญญาณ แรกทีเดียว ผมไม่ได้ใส่ใจ ความจริง คำว่าจิตวิญญาณ ผมก็เขียนถึง ผมใช้คำนี้มานาน นานทีเดียว จนกระทั่ง มาถึงทุกวันนี้ อาจารย์ของผม อาจารย์หมอ จีรพันธ์ มัธยมจันทร์ ท่านก็ศึกษา พุทธศาสนาด้วย ท่านติงผมว่า เอ๊ะ คำว่า จิตวิญญาณนี้ มันเหมือนจะไม่มีคำสอน พระพุทธศาสนา หมอเขียน หนังสือเยอะ หมอจะตีความว่าไง จากนั้นเอง ผมก็เลยพยายามหาโอกาส ศึกษาพุทธศาสนา ก็ได้ไปเจอคำว่า "จิต" คือ ตามที่ผมเข้าใจ ผมความรู้น้อยนะฮะ คำว่า "จิต" หมายถึง ธรรมะ ที่รับรู้อารมณ์ ซึ่งมันก็เป็นไวพจน์กัน กับคำว่า วิญญาณ วิญญาณก็แล้วแต่ เป็นมโนวิญญาณ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ก็แล้วแต่ แต่ก็คือ ตัวการรับรู้อารมณ์ ผมก็เข้าใจอย่างนั้นมาตลอด

ทีนี้บังเอิญผมมีโอกาสไปร่วมการสัมมนากับ สปรส. เขาจัดซาวเสียง เพื่อให้ประชาคม ออกข้อคิดเห็น เกี่ยวกับ พ.ร.บ.สุขภาพ ที่จะมีขึ้น ผมก็ถามในที่ประชุมว่า เราชินกับคำว่า สุขภาวะทางจิตอยู่แล้ว และ ตามที่ผมเข้าใจเนี่ย สุขภาวะทางจิต คือ จิตมันเป็นตัวรู้ ก็ประกอบด้วย เจตสิก คือ กุศลเจตสิก หรือ อกุศลเจตสิก กับเอกัคคตา ทีนี้ถ้าสมมุติ เราจะส่งเสริม ให้ประชาชนสุขภาพดี โดยเน้นเรื่องกาย เรื่องจิต ถ้าสุขภาวะทางจิตนี่ มีกุศล การสร้างกุศลจิต ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดี ของสังคมไทยอยู่แล้ว เรามาใส่คำว่า จิตวิญญาณ นี่ มันซ้ำกันหรือเปล่านะครับ ก็เวลาไปเรียนถามทาง สปรส. จัดสัมมนากันกับ ทางพวกศาสนา เขาก็บอกว่า ไม่มีผู้รู้มาให้คำอธิบาย ให้พวกเราวิพากษ์วิจารณ์กันไป เราก็พยายามหาผู้รู้ ที่ศึกษา ทางอภิธรรม กันอยู่มาก เราก็เข้าใจว่า จิตนี่ก็คือ ธรรมะที่รับรู้อารมณ์ สุขภาวะทางจิต สมมุติว่า ถ้าละ ซึ่งอกุศล ก่อกุศล ก็ได้กุศลจิต แต่ว่าสุดท้าย ที่ขัดเกลากิเลสสุดท้าย ก็เป็นเอกัคคตาจิต เป็นโลกุตรจิต ก็เป็นหนทางของพุทธศาสนา ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี ทำไมต้องมีคำว่า จิตวิญญาณด้วย ก็พยายามหา เอกสารของ สปรส.เอง เขาบอกว่า ไม่มีผู้รู้ สุดท้าย ก็เห็นเอกสาร ที่เขาแจกกันมา ก็น่าสนใจ เพราะว่า เขาได้ว่าไว้นะครับว่า สุขภาวะทางจิต ในความหมายของ สปรส. หมายถึง การมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ซึ่งเราเอง ก็ภูมิใจมากว่า สปรส.ได้ขยายความหมาย ของคำว่า จิตนี่ จากเรื่องของจิตเวชไปแล้ว สมัยก่อน ในวงการแพทย์ ถ้าพูดถึงโรคจิต ก็หมายถึง คนสติไม่ดี คนวิกลจริต แต่ สปรส. มาขยายความว่า จิตวิญญาณ สุขภาพจิตนี่คือ การมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เพราะว่านี่ มันเป็นการเอาแก่นแท้ ของพุทธศาสนามา ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี

ทีนี้ก็มาอ่านเจอคำจำกัดความของจิตวิญญาณ ที่สปรส.เสนอไว้อีก เขาก็บอกว่า หมายถึง การมีปีติสุข มีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว เออ เราก็อ่านว่าอย่างนี้ มันก็ซ้ำความกัน ทำไม ต้องมาแยก เป็น ๒ อันนะครับ ก็ได้ทำจดหมายท้วงติงไป แล้วผมก็ได้เขียนบทความ เสนอแนะ ข้อคิดเรื่องนี้ด้วย ซึ่งปรากฏว่า ทางผู้รู้ของ สปรส. ซึ่งจริงๆก็คือ อ.ประเวศ ก็เขียนออกมา ในหน้าหนังสือพิมพ์ ว่าที่หมอบรรจบเขียนนˆะ ไม่ถูกต้องหรอก จิตเนี่ยจิต บอกว่า จิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าจิต เป็นการเข้าถึงซึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือตน หมายถึง นิพพาน หรือ พระผู้เป็นเจ้า ผมก็ว่า เออ อย่างนี้มันจะไม่ค่อยถูกนะ ต่อมาอีก ก็ติดตามงานเขียน ของหลายองค์กร ที่เป็นองค์กร NGO ต่อเชื่อมกับ สปรส. ก็เจอข้อความ ที่น่าตกใจ บางประการ ก็เขียนไว้ว่า ...พอดีผมกำลังเก็บหลักฐานไว้นี่ อันนี้ตีพิมพ์ลงในมติชนรายวัน ในนี้จะใช้คำว่า จิตวิญญาณ เยอะเลยนะ บอกว่า... เหตุใดสุขภาวะจิต จึงไม่สมควร เป็นคำตอบสุดท้าย ให้กับปัญหาสุขภาพ ทั้งปวงของโลก ในยุคปัจจุบัน นะครับ ก็บอกว่า สุขภาวะทางจิตเนี่ย อาจจะหมายถึง ความเห็นแก่ตัว การรับตอบสนอง ทางวัตถุ ได้มาจากวิถีชีวิต ที่เบียดเบียนผู้อื่น นะครับ เพราะฉะนั้น ถึงไม่ได้เป็นคำโดยเฉพาะ วิถีวัฒนธรรม บริโภคนิยมนะครับ เพราะฉะนั้นนี่ องค์การอนามัยโลก จึงให้กรอบ ความคิดใหม่อันหนึ่ง คือ จิตวิญญาณ บอกว่า สุขภาพทางจิตวิญญาณ ตามกรอบ WHO อยู่เหนือกว่าระดับ สุขภาวะ ทางจิต แห่งโลกียวิสัย กล่าวคือ มีคุณสมบัติ ที่เรียกว่า จิตวิญญาณ อันนี้ คือ ๑-๒-๓-๔ ข้อ ๕ ที่ผมสะดุดใจ ข้อ ๕ "มีความเชื่อ ในพลังอำนาจ ที่เหนือกว่าตน ในพระผู้เป็นเจ้า แล้วบอกว่า ด้วยเหตุนี้ สำหรับผู้ที่มีศรัทธา ก็ต้องอาศัย พลังศรัทธา และความเชื่อ ที่มีอยู่ในพระเจ้าของตน" ทำให้ผมรู้สึกว่า อันนี้ชอบกล มันเหมือนกับว่า สิ่งที่เราจะพยายามจะช่วยกัน จรรโลง พระพุทธศาสนา ดีแล้วที่ตีความคำว่า จิต ว่าไม่ใช่เรื่อง คนวิกลจริต แต่ตีความคำว่า จิต ตามนัย พุทธศาสนา มีสติ สมาธิ มีปัญญา แล้วมาบอกอย่างนี้ ที่ในหน้า หนังสือพิมพ์ว่า ตีพิมพ์ให้คน ทั่วประเทศว่า จิต สุขภาพทางจิตนี่ ไม่ใช่ทางออก ของมนุษยชน ของคนไทย แต่หมายถึงว่า จะต้องสุขภาพ ทางจิตวิญญาณ ซึ่งหมายถึง เชื่อในพลังอำนาจเหนือตน เชื่อพระเจ้า อันนี้น่ากลัว

พ่อท่าน : ใครเป็นคนเขียน

หมอ : มูลนิธิสุขภาพไทย มูลนิธิเทีย คุณหมอสงวน นิตยรัมพงษ์ เป็นมูลนิธิ คุณรสนา ปัจจุบัน เป็นนายก

พ่อท่าน : ถ้าอย่างที่หมออ่านนี่ มันก็หมายถึง สภาวะเทวนิยม มันก็คนละลัทธิกับพุทธ คนที่บอกว่า นิพพาน คือพระเจ้า พระเจ้าคือนิพพาน คนนี้เข้าใจพุทธศาสนาไม่ได้ ศาสนาพุทธไม่ใช่

หมอ : ครับ อาจารย์ดูอันนี้นะครับ หลังจากที่เราท้วงติง นอกจากเขาจะไม่แก้ไข ก็ออกอันนี้มา แล้วก็ใช้เงิน งบประมาณของแผ่นดิน ของ สปรส. ตีพิมพ์ หนังสือเล่มนี้อีก ๒๕,๐๐๐ เล่ม เขียนโดยหลายคน ที่เขาพยายาม เชิญไปสัมมนา นี่บทความของ อาจารย์ประเวศ สู่สุขภาพ ๔ มิติ น.พ.ประเวศ วะสี "สัตว์นั้น มีจิตวิญญาณและสังคม แต่จิตของสัตว์นั้น เป็นจิตธรรมดา ประการสำคัญ สัตว์ไม่มีมิติทางจิตวิญญาณ จิตวิญญาณในที่นี้ หมายถึง จิตวิญญาณ ในขั้นสูง จิตที่ลดความเห็นแก่ตัว จิตที่เห็นแก่ผู้อื่น จิตที่เข้าถึง สิ่งสูงสุด คือ นิพพาน หรือ พระผู้เป็นเจ้า"

พ่อท่าน : ถ้าพูดถึงว่า นิพพานคือพระผู้เป็นเจ้านี้ก็จบ เป็นลัทธิของคนที่เข้าใจผิดเลย เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นตรรกศาสตร์ เพราะเขายังไม่รู้จักพระเจ้าจริง เขาเชื่อไปตามลัทธิ เทวนิยม ลัทธิเทวนิยมนี้ นับถือพระเจ้า แต่ลัทธิพุทธนั้น มีนิพพาน นิพพานเป็นอนัตตา พระเจ้าเป็นอัตตา คือ ปรมาตมัน มันคนละเรื่องกันเลย คนละฟากฝั่งกันเลย อาตมากำลังพยายาม จะขยายความอยู่ อย่างธรรมกายนี่ นิพพานไปอยู่ในอะไร ไปถวายข้าวอยู่ ยังมีภพ มีชาติ ออกไปนอกพุทธแล้ว เป็นเทวนิยมไปแล้ว เป็น God แล้ว เป็นพระเจ้า นิรันดรแล้ว ถ้าอย่างนี้ล่ะก็ เท่ากับ เปลี่ยนหัวใจพุทธศาสนา พูดก็พูดเถอะ อาตมาก็ยังเคยได้ผ่านๆ ตาว่า ท่านพุทธทาส ก็บอกว่า นิพพาน ก็คือพระเจ้าเหมือนกัน อาตมาคิดว่า อิทธิพลอันนี้ น่าจะมาจาก ท่านพุทธทาส

หมอ : ผมไปค้นคว้าต่อจากประเด็นอันนี้ หลังจากที่ผมโต้แย้งเรื่องนี้นะครับ เขาก็ตีพิมพ์ออกมา คือตอนนี้ สปรส. ใช้งบประมาณแผ่นดิน ซื้อหน้าหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะมติชน แล้วก็ตีพิมพ์ อันนี้ต่อมา บอกว่า อ้างท่านพุทธทาสว่า

พ่อท่าน : อาตมาเข้าใจไม่ผิด ท่านพุทธทาสว่าอย่างนี้ อาตมาเหมือนดูผ่านๆตา เหมือนกัน พระเจ้า หรือ God God หรือ นิพพานก็เหมือนกัน ถ้าอย่างนี้ละก็ อาตมาไม่อยากจะพูด เพราะว่า มุมดีท่านพุทธทาส ท่านก็มีอยู่ แต่ว่าท่าน เข้าใจอย่างนี้ อาตมาก็ว่า ท่านยังเข้าใจศาสนาไม่......

หมอ : ผมว่าเขาใช้คำขยายจากท่านพุทธทาสไปนอกแถว คือผมเข้าใจอย่างนี้นะครับ ผมก็ไป เปิดหนังสือ ที่เขาอ้างอิง ท่านพุทธทาส ของธรรมสภาเขียนไว้ ท่านพุทธทาส บอกอย่างนี้ คนเรานี้ มีโรคทางกาย มีโรคทางจิต มีโรคทางวิญญาณ โรคทางกาย ให้ไปหาหมอโรคทางกาย โรคทางจิตก็ไปหาหมอโรคจิต แต่ถ้าโรคทางวิญญาณ ต้องไปหาพระพุทธเจ้านะครับ ผมจับความได้ เมื่อสมัยผมเป็น นักเรียนแพทย์ ตอนนั้น ท่านพุทธทาส เริ่มเป็นที่รู้จัก ตั้งโรงมหรสพ ทางวิญญาณขึ้นมา ในเวลานั้นนี่ พ้นจากเรื่อง สุขภาพกาย มาพิจารณาเรื่อง สุขภาพจิต (Mental Health) แล้วก็ใช้กันมาก เรื่องโรคจิต ผมเข้าใจ เอาเอง นะครับว่า ท่านพุทธทาส ก็คงรู้สึก ถ้าใช้คำว่าจิต มันก็คงเป็นเรื่อง วิกลจริตครับ ยกให้เลยว่าบรรดาหมอ มาเอาคำว่า โรคจิตไปใช้แล้ว ท่านจึงขยายความคำว่า วิญญาณ ก็เลยใช้คำว่า โรคทางวิญญาณ แต่ท่าน ไม่เคยใช้ คำว่า โรคทางจิตวิญญาณ ท่านใช้คำว่า โรคทางวิญญาณเฉยๆ แล้วท่านก็ไม่เคย เอาคำว่า จิต กับคำว่า วิญญาณ มาต่อกัน อยู่ในสิ่งที่ มิติเดียวกัน แต่พวกนี้ พออ้างท่านพุทธทาส เรื่องโรคทาง จิตวิญญาณ ตัวเองก็มาสวมว่า ท่านพุทธทาส พูดถึง โรคทางจิตวิญญาณ ไปตู่เอาคำท่านอีกว่า เป็น จิตวิญญาณ ทั้งนี้ขยายความไปกว่านี้

ต่อมาก็มีดอกเตอร์ นายแพทย์ ซึ่งก็ สวรส.(สำนักงานวิจัยระบบสาธารณสุข) ได้ส่งเสริม ให้ไปเรียนเมืองนอก จบเป็นแพทย์ ไปทำดอกเตอร์มา เป็นฝ่ายวางแผน เกี่ยวกับการปฏิรูป ระบบสุขภาพ เขียนไว้อย่างนี้นะครับ ดร.โกมาตร เขียนว่า "ถ้าเรามาโต้แย้งกันเรื่องความหมายของคำว่า จิตวิญญาณว่า เราไปเลียนแบบ หรือ พยายาม แปลความหมาย มาจากคำว่า Spirit หรือไม่ และเป็นเรื่องเดียวกับจิตหรือไม่ มันคงไม่เกิดประโยชน์ สักเท่าไหร่ จิตก็คือความสบายใจ ความสนุกสนาน ไม่เครียด ครั้นพอเสนอคำว่า จิตวิญญาณ จึงนับเป็น การเปิดพื้นที่ใหม่ ในความคิด ให้คนเข้ามา แสดงความคิดเห็น เพราะเมื่อเราพูดถึงจิต ในความหมายเดิม เราคุ้นชิน ความหมายแคบลง คำว่า จิตวิญญาณ ทำให้คนนึกถึง มิติของชีวิต ที่คนมักจะหลงลืมไป สิ่งซึ่งเป็นเป้าหมาย สูงสุดของชีวิต ซึ่งมิตินี้คำว่า จิตไปไม่ถึง ความหมายของคำว่า จิตวิญญาณ อาจไม่หมายถึง กรณีแต่การมีปัญญา อย่างเดียว การมีปัญญาในพุทธศาสนา ไม่ใช่ความหมายของ จิตวิญญาณ แต่ต้องใช้คำหลายคำ มาช่วยอธิบายตอบโจทย์ คือหมายถึง จิตวิญญาณ ปัญญา ศรัทธา การมีสติ ความดี ความงาม ความจริง ลำพัง พุทธิปัญญาอย่างเดียว ไม่ช่วยให้คน พ้นทุกข์ได้ หากทำให้ จมจ่อม อยู่ในความทุกข์ ด้วยซ้ำไป พุทธิปัญญา ไม่ช่วยทำ ให้คนพ้นทุกข์ ทำให้คนจ่อมจมอยู่ในทุกข์ ต้องใช้จิตวิญญาณ ที่เขาเสนอ

ผมก็คิดว่า สังคมไทย มันมาถึงวิกฤติอีกอันหนึ่ง คือผมทำเรื่องสุขภาพ ผมสนใจเรื่องกาย มาให้ความสนใจ เรื่องจิต สนใจเรื่อง พระพุทธศาสนา ผมฝึกโยคะ ผมฝึกจี้กง แต่นั้นก็คือ เรื่องของการสงบ ทางจิตใจ เท่านั้นเอง แต่จุดหมายสูงสุดที่แท้ ผมก็ยังคิดถึง การพัฒนา ไปสู่ปัญญา ของพุทธศาสนา แต่เวลานี้ พวกนี้เอาฝรั่งมาครอบ แล้วก็เอาคำว่า จิตวิญญาณ ทดแทนคำว่า จิต แล้วจิตวิญญาณของเขา กำลังหมายถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจที่เกี่ยวกับ พระผู้เป็นเจ้า

สุดท้าย ดร.โกมาตร อีกเหมือนกัน "รื้อกระบวนทัศน์ สวรส." เดี๋ยวนี้มี ๒ องค์กรนะครับ คือ สวรส. สำนักงาน วิจัยระบบสุขภาพ กับ สปรส. ก็คือหัวหอกที่จะร่าง พ.ร.บ.สุขภาพ ที่ใส่คำว่า จิตวิญญาณ ลงไป สวรส. รื้อกระบวนทัศน์ สวรส.ชูพุทธสุขภาพ มาใหม่อีกคำหนึ่ง นะครับ เราเคยจะเจอแต่พุทธศาสนา มีพุทธสุขภาพ

ผมอยากให้สังคมสนใจแนวคิดตามหลักพุทธศาสนา เพื่อทำตามความเข้าใจ เรื่องชีวิต และ สุขภาพ โดยผม จะเสนอแนวคิด เกี่ยวกับการศึกษา เรื่องกระบวนทัศน์สุขภาพ ในสังคมไทย ว่าด้วย ชีวิต ความตาย และ จิตวิญญาณ

พุทธสุขภาพที่เขากำลังเสนอคือจิตวิญญาณ ซึ่งมันแสดงว่าทั้งหมดที่แสดง มันเป็นแผนงาน ทางความคิด ที่ต่อท่อ มาเป็นลูกโซ่ แล้วขณะนี้ กำลังจะร่างเข้าไปอยู่ใน พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ ว่า สุขภาพหมายถึง สุขภาพทางกาย ทางจิต ทางสังคม และ ทางจิตวิญญาณ ผมจึงจะมากราบท่านว่า เมื่อถึงวิกฤต ของสังคม แต่ละครั้งนี่ ก็คงจะต้อง มาศึกษาจากท่าน ว่าจะทำอย่างไรดี

พ่อท่าน : ทุกวันนี้ อาตมาพยายามพูดถึงลักษณะนี้กันอยู่ คือการใช้ทั้งคำว่า จิตวิญญาณ และก็คำว่า "จิต" และคำว่า "วิญญาณ" ในพระไตรปิฎกมีหมด จิตก็ใช้ วิญญาณก็ใช้ แต่คำว่า จิตวิญญาณใช้ควบกัน ก็ไม่ค่อยใช้เท่าไร แต่อาตมาเอาใช้ควบกัน จิตวิญญาณนี่ ก็เพื่อจะจูงนำ ให้คนรู้ คือ ถ้าใช้คำว่า วิญญาณ คนจะหมายถึง ลักษณะที่เป็นอัตตา เป็นอาตมัน ลอยออกจากร่างแล้วก็ไปมีอะไร เป็นผีสาง เทวดาไป แต่ในสภาพของ วิญญาณ พระพุทธเจ้าก็มี เช่น อยู่ในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ท่านไม่ใช้คำว่า จิต ท่านใช้คำว่า วิญญาณ ถึงแม้ที่สุด ท่านอธิบาย ถึงอะไรต่ออะไรพวกนี้ แล้วท่าน ก็ยืนยันว่า วิญญาณสุดท้าย ที่บริสุทธิ์จากกิเลสาสวะ วิญญาณเป็นอนัตตา ก็ไม่มีตัวตนอะไร ไม่ได้เป็น วิญญาณ อย่างที่เขาเข้าใจ อย่างเทวนิยม แม้แต่ที่สุด ท่านก็อธิบาย ลักษณะของ วิญญาณ อย่างอธิบาย คำสุดยอด ในพระไตรปิฎก ก็มีว่า วิญญาณัง อนิทัสสนัง อนันตัง สัพพโต ปภัง วิญญาณ เป็นสิ่งที่อธิบาย ให้เห็นแจ้งไม่ได้ง่ายๆ ไม่มีขอบ ไม่มีเขต ไม่มีที่กั้น กระจายอยู่ทั่วไป คำว่า วิญญาณนี้ ก็อยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ในคำสอน กล่าวถึงคำว่า วิญญาณ ก็มีเยอะแยะ หรือ แม้แต่วิญญาณ ไปสมาส หรือ ไปสนธิกับคำอื่นๆ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ อะไรพวกนี้ ก็ไม่ใช้ว่า จักขุจิต โสตจิต ก็ใช้คำว่าวิญญาณ เพราะฉะนั้น อาตมาจึงทิ้งไม่ได้ ทั้งคำว่า วิญญาณ ทิ้งไม่ได้ทั้งคำว่า จิต แต่ถ้าบอกว่า ปรมัตถ์แล้ว ศึกษาปรมัตถ์นี่ ต้องใช้คำว่าจิต ไม่ใช้คำว่าวิญญาณ เพราะในคำว่า ปรมัตถ์จะต้องเป็นจิต เจตสิก รูป นิพพาน ปรมัตถ์ หรืออภิธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วเวลาศึกษา ก็ใช้คำว่า จิต เป็นส่วนมาก จิตแล้วก็แบ่งเป็น อาการของจิต เป็นเจตสิก อธิบายละเอียดลออมาก อยู่ในพระอภิธรรม มีอยู่มากมาย เพราะฉะนั้น ถ้าจะใช้คำว่า จิต จะใช้คำว่า วิญญาณ มันต้องใช้ทั้ง ๒ คำ มันจะทิ้งก็ทิ้งไม่ได้ แต่อาตมาก็ดูว่า สังคมนี้ ก็ใช้คำว่า วิญญาณ โดยแยกต่างหาก พูดถึงคำว่าวิญญาณคำเดียว เขาจะไปเข้าใจ ว่าอาตมัน เป็น Soul เป็นอะไร ต่ออะไร อย่างนั้นเสมอ แต่พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนถึงเรื่อง วิจัยวิญญาณ ท่านเคยสอนให้ วิจัยจิต ไม่เคยไปวิจัยวิญญาณ มีแต่ว่า วิญญาณเป็นสภาพรับรู้ ถ้าไปรับรู้ที่ตาก็เป็น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เท่านั้น แต่ถ้าเผื่อจะวิจัยจิต เป็นต่างๆนานา อย่างนั้นอย่างนี้ กามาวจรจิต อกุศลจิต กุศลจิต วิปากจิต รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต โลกุตรจิต เป็นต้น เจตสิกต่างๆ ทั้งนั้นเลย ไม่ได้เอาคำว่า วิญญาณ มาขยายผลเลย

ลักษณะของพระพุทธเจ้าสอนทั้งจิตวิญญาณ ที่อยู่ในตัวร่างกายขณะนี้ สอนทั้งตายแล้ว จิตวิญญาณ ยังไม่เป็นอรหันต์ ก็ยังไม่สูญ แต่จะวนเวียน เกิดตายอะไรอีก ตั้งเยอะ ตั้งแยะ เพราะฉะนั้น ถ้าจะไปบอกว่า ตายไปแล้ว เป็นวิญญาณอย่างที่เขาเข้าใจ จะไม่ใช่ อาตมาเลย ต้องผนวกคำว่า จิตวิญญาณต่อกันไว้ อาตมาก็ไม่รู้ว่า จะเกิดวิกฤตถึงขั้น เอามาใช้ฟุ่มเฟือย ฟั่นเฝือ ขนาดนี้ อาตมาไม่รู้ในอนาคต หรือว่า ขณะนี้ มันเกิดแล้ว อาตมาไม่รู้ อาตมา ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ เลยไม่รู้ อาตมาก็ใช้ของอาตมา อยู่อย่างนี้ จิตวิญญาณ ถ้าเรียกว่า จิตวิญญาณแล้วนี่ จะได้ไม่ไปเข้าใจวิญญาณเป็น Soul เป็นอัตภาพไปอย่างเทวนิยม

หมอ : ผมก็เคยเขียนบทความบ่อยๆ หนังสือเป็นเล่มที่พิมพ์ไปรุ่นที่แล้วนะครับ ผมก็ใช้คำว่า จิตวิญญาณ จนกระทั่ง วันหนึ่งนี่ มันเกิดอันนี้ขึ้นมา

พ่อท่าน : อา....ถ้าเผื่อมันเกิดอันใหม่นี่ขึ้นมา ก็มาโมเมท้วงติง หรือ จะบัญญัติขึ้นมา อย่างที่หมอ ให้ข้อมูลนี่ ก็เป็นเรื่องของวิกฤตแน่

หมอ : เหมือนเราตกหลุมพวกนี้ไปแล้ว

พ่อท่าน : ไม่ใช่ตกหลุม พวกนี้ตีกินโดยความเข้าใจของเขา โดยความเข้าใจของเขาแล้ว เขาก็เอาคำนี้ มาตีกิน ใช้ไปเลย ซึ่งอันนี้ มันก็คงจะต้องมา ต่างคนต่างอธิบาย ถ้าจะบอกว่า ให้แยกซะ คงแยกไม่ได้ เพราะว่า เราจะต้องใช้ จิตวิญญาณนี่แหละ ถ้าใช้จิตเฉยๆ ไม่ใช้วิญญาณ มันก็ไม่ได้ มันทิ้งไม่ได้ เพราะมันมี ลักษณะของมัน ทั้ง ๒ คำ ที่มีทั้งนัยร่วมกัน และ นัยแยกกัน

หมอ : ตอนหลังสนุกมากนะครับ ในหนังสือพิมพ์ มีทั้ง ขอเชิญมาเที่ยวรีสอร์ต ที่นี่มี จิตวิญญาณ แบบ Country วันนั้น รายการโทรทัศน์ บอกว่า มีที่ไหน มีที่น่ากลัวในกรุงเทพบ้าง แล้วก็สรุปว่า ผีหรือ จิตวิญญาณ นั้นมีจริง ต่อมาอีก รับน้องใหม่ระบบ SOTUS เดี๋ยวนี้ สมัยก่อน Spirit ก็คือน้ำใจ คุณมี Spirit ไหม คุณมีน้ำใจไหม เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนเป็น จิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น มันเฝือไปหมดแล้วครับ เฝือไปหมด ไอ้หนังม้า วาดรูปม้า ไอ้หนังธรรมชาติ การ์ตูนนะฮะ แล้วพระเอก นางเอก ไปจนกระทั่ง หุบเหวภูเขาไฟ พอพระเอกนางเอก มีความรักแล้วเนี่ย ที่เป็นภูเขาไฟ ก็ดับไป มีลำธารมีอะไรนี่ ก็บอกว่า นี่คือจิตวิญญาณ ของแผ่นดินนะครับ ผมก็เลยรู้สึกว่า ขณะที่เราเอง ที่ผมใช้เอง ด้วยความเคยชิน ไปซักพักหนึ่งนี่ พอมา ศึกษาแล้วนี่ เอ๊ะ พระพุทธเจ้าพูดถึงจิต ถึงวิญญาณ ตอนนี้พอเรามาใช้ จิตวิญญาณ ตอนหลัง ผมก็ไม่กล้าใช้ เพราะถ้าใช้แล้ว พวกนี้กำลังเชิดชู กำลังเอาพระผู้เป็นเจ้า กำลังเอาอัตตา มาแทน อนัตตา ไปแล้วเนี่ย ถ้าอย่างนี้ เราก็เหมือนถูกเป็นแนวร่วม ของการที่จะทำให้ โอ! มันฟั่นเฝือ ไปหมดเลย เพราะว่า ตอนนี้ กำลังตราเข้าไปใน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ เขาก็บอก อย่างนั้นนะครับว่า WHO เดี๋ยวนี้อะไรก็ WHO เอาฝรั่งมาขี่คอเรา WHO บอกว่าอย่างนั้น WHO บอกว่าอย่างนี้ แต่ก่อนมี body remind เดี๋ยวนี้ก็มี spirit เราก็ต้องเอา spirit ตาม WHO หารู้ไม่ว่า WHO พวกนี้ มันก็มาจากฝรั่งตะวันตก ก็ศาสนาแบบอัตตาทั้งนั้น แล้วเมื่อจะมาถ่ายทอด มาสู่คนไทย ก็เลยต้องพยายาม แปลใส่เข้าไป แล้วแถมแปลใส่เข้าไป ยังไม่พอ ฝรั่งเขาบอกว่า Mental Health คือเรื่องวิกลจริต เรื่องจิตเวช ที่คุณมาแปลจิตว่า เป็นศีล สมาธิ ปัญญา แล้วยังไม่พอ คุณบอก จิตวิญญาณอยู่เหนือจิตของพุทธ มันหมายความว่ายังไง

พ่อท่าน : อาตมาก็เพิ่งได้รับประเด็นที่มันเกิดคราวนี้ อาตมาไม่ได้ติดตาม ไม่รู้เรื่องเลย ว่ามันเกิดปัญหา ทำอะไรต่ออะไรนี้ขึ้นมาแล้ว แสดงว่า เรื่องศาสนาพุทธนี้ วิกฤตขนาดหนัก ในสถาบันชั้นสูง สถาบัน ทั้งบริหารประเทศ อะไรต่ออะไรก็ตาม เพี้ยนเป็นเทวนิยมไปแล้ว เกือบสัมบูรณ์

หมอ : ที่สนุก วันสองวันที่แล้วก็เลยมีการสัมมนาขึ้นมา การแพทย์แผนไทย เขาสอนเรื่อง ธรรมานัง เอาพุทธศาสนาไปสอน มีการทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น พอผมยกประเด็น อันนี้ขึ้นมา เขาเลยจัด สัมมนานะฮะ เชิญ รมต.สุดารัตน์ มาเปิด รัฐมนตรีก็ไม่รู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น ก็มาเปิด ก็เลยมีการสัมมนา เรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งข้อสรุปก็น่าสนใจ อาจารย์หมอจิรพันธ์ ก็พูดไว้น่าสนใจ เดี๋ยวท่านดู Definition คำจำกัดความที่ สปรส.ให้ไว้ อ.จิรพันธ์ ก็ไปตีความ ที่เป็นเรื่องของเขา จิต นี่ มีความสุขเบิกบาน มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ใจสบาย ไม่เครียด ไม่บีบคั้น ท่านก็บอกว่า เออ นะ ! ถ้าจิตเนี่ยมีสมาธิ มีปัญญาก็แปลว่าเป็นจิต

พ่อท่าน : (หัวเราะ) โรคจิตไม่มีอะซิ

หมอ : เสร็จแล้วมาบอกว่า จิตวิญญาณหมายถึง มีปีติ สุข ดังนั้นแสดงว่า ถ้าเผื่อคุณอยู่ มีสมาธิ คุณเป็นจิต พอเมื่อไหร่คุณปีติ สุข คุณเป็นจิตวิญญาณ แล้วพอคุณเกิดมีปัญญา คุณกลายเป็นจิตอีก นี่มันไม่ผิด สับสนกันตายหรือ

พ่อท่าน : (หัวเราะ) นี่คือ เข้าใจลักษณะอะไรไม่ถูก แล้วก็พยายามจะแบ่ง ให้มันมีอะไรๆ หลายๆอย่าง หลายๆอัน มากเรื่องมากราว

หมอ : เพื่อรับใช้ฝรั่ง เพื่อรับใช้ WHO เพื่อรับใช้ Spiritual ยังไม่รู้นะครับ เบื้องลึกไปกว่านั้น มันหมายถึง การจะเบียดเบียน พุทธศาสนาไปทีละน้อยอีกหรือเปล่า ก็เป็นวิกฤต เมื่อไหร่มีวิกฤต ผมก็มากราบท่าน ทุกครั้ง (หัวเราะ)

พ่อท่าน : เออ นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว จริงๆแล้ว อาตมาก็รู้อยู่ว่า เรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องที่ ลึกซึ้งมาก มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ง่ายๆ อาตมา ทุกวันนี้ก็พยายาม เขียนหนังสือ ให้เป็นหลักฐานไว้ บรรยายนี่ เขาก็อัดเท็ปไว้ แต่บรรยายมันก็ไม่ดี ไม่เท่าเขียน เขียนมันได้เรียบเรียง มันหาคำตอบอะไร ต่ออะไรมาก ได้ชัดเจน ได้คม ได้แม่น เวลาพูด เวลาบรรยาย เวลาพูดมันใช้อัตโนมัติ เป็นปัจจุบันธรรม ไม่ได้มีอ้างอิง ไม่ได้มีค้นคว้า ไม่ได้ตรวจสอบอะไร มันก็สับสนหน่อย ก็เอาถูกอย่างชัดเจนจริงจัง ไม่ได้หรอก แต่เขียนนี่ มันได้ตรวจสอบ มันได้ค้นคว้า มันได้อะไรต่างๆนานา ทั้งอ้างอิง ทั้งตรวจทาน ติดตาม ละเอียดลออ ก็พยายามเขียน พยายามสื่ออยู่ ในลักษณะที่มันชัดเจน ทุกวันนี้ อาตมาเห็นเลยว่า ศาสนาพุทธ มันเพี้ยน ไปตรงที่ มันไปเป็นเทวนิยมแล้ว อาตมากล้าพูดได้ว่า มันเป็นเทวนิยมแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนบาน ก็อ้อนวอน ร้องขออะไร ตลอดเวลาเลย ทุกวันนี้ มันเป็นเทวนิยมแล้ว แล้วถ้ายิ่งมันเป็นมาอย่างนี้ ยังไปเอาอิทธิพล ของจีน ของฝรั่ง ของตะวันตก ซึ่งเป็นศาสนา ทางด้านเทวนิยมทั้งนั้นเลย บอกได้เลยว่า เทวนิยมเกือบทั้งนั้น นอกจากพุทธ ไม่มีอะไรเป็นอเทวนิยม ไม่มี ศาสนาทุกศาสนา เป็นเทวนิยม กับ ศาสนา อุจเฉททิฐิ คือ ศาสนา ที่ไม่เอาอะไรเลย ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ไม่มีทั้งวิญญาณ ไม่มีทั้งพระเจ้า และไม่มีทุกอย่าง เป็น Nothing ไม่มีอะไรเลย อย่างที่อินเดียก็มีอยู่ ยังมีเยอะ เป็นศาสนา อุจเฉททิฐิ คือท่านเรียกว่า อเหตุกทิฐิ หรือ นัตถิกทิฐิ เป็นพวกศาสนา ที่มีความเห็นว่า อะไรก็ไม่มี แกไม่มีอะไร แกก็อยู่ตามความพอใจของแก แกไม่เอาอะไร สักอย่าง พระเจ้าก็ไม่มี นิพพานก็ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มีทั้งนั้น นั้นก็มีอยู่บ้างในอินเดีย และ ในคนทุกวันนี้ เชื่อกันอย่างนี้ คนสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้ก็มีเยอะ

หมอ : ใช่เลย ใช่เลย ตายแล้วก็สูญ

พ่อท่าน : แบบที่บอกว่าอะไรๆก็ไม่มีหรอก ชีวิตก็อยู่กันอย่างตัวใครตัวมัน แล้วตายไป แล้วก็สูญ นี่อันหนึ่ง นอกนั้นก็เป็น เทวนิยม ทั้งนั้น มีพุทธเท่านั้น ที่เป็นอเทวนิยม มีนิพพาน

หมอ : มันมีอยู่อันหนึ่งนะครับ พวกนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งที่ศึกษา Quantum นะครับ ผมก็ไปอ่าน อยู่เหมือนกัน Quantum นี่ก็กำลังพูดถึง ระหว่างมวลสาร อนุภาค ก่อนอนุภาคเป็น ควาค (quark-อนุมูล น้อยที่สุด ที่ประกอบขึ้น เป็นอนุภาค ของปรมาณู) ควาคที่เป็นอนุภาค ซึ่งเดี๋ยวภาวะหนึ่ง เป็นตัวตน เดี๋ยวภาวะหนึ่ง ไม่เป็นตัวตนนะครับ สุดท้าย ก็บอกว่า Quantum ก็คือกำลังเป็นจุดเชื่อมโยง ระหว่างวิทยาศาสตร์ กับ ศาสนานะครับ และ สุดท้าย ก็เสนอว่า ในจักรวาล มีสิ่งที่เรียกว่า จิตจักรวาล เมื่อมีจิตจักรวาล (Universal wisdom) ทุกสิ่งที่เราทำอยู่ เนี่ย.... ลงล็อคเขาอีกแล้ว ซึ่งก็ความจริงนี่ ผมก็คิดว่า Quantum ก็คืออนุภาค เปลี่ยนระหว่าง มวลสารกับพลังงาน

พ่อท่าน : ใช่

หมอ : แต่ถ้าเผื่อคุณใช้ Quantum คุณก็แปลว่า Quantum ก็คือ ภาคเปลี่ยนระหว่าง มวลสาร กับ พลังงาน

พ่อท่าน : Quantum เป็นศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ ที่นักวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์วิจัยศึกษา อย่างหมอว่า นั่น ทางวัตถุธรรม แต่ไม่ใช่จิตวิญญาณ จะเอาภาษา ทางวัฒนธรรม มาเรียก จิตวิญญาณ อย่างสนิท มันก็ไม่ได้ จะได้บางอย่าง บางอัน แต่ลึกซึ้งแล้ว มันไม่ได้

หมอ : ทีนี้ก็มาแปลความอย่างง่ายๆว่า จิตวิญญาณสากล จิตจักรวาลบ้าง ตัวนี้ละครับ ที่กำลัง จะทำให้เฝือ

พ่อท่าน : อย่างนี้เป็นปรมาตมัน เรื่องนี้ขอบคุณหมอมาก ที่มาบอกเรื่องนี้กับอาตมา อาตมา จะได้รู้ตัว เดี๋ยวนี้ มันเป็นวิกฤตจริงๆ แล้ววิกฤตยิ่งกว่าเศรษฐกิจ อันนี้ร้ายแรงมาก เป็นวิกฤต ที่ร้ายแรงน่าดู ก็คงจะต้องรณรงค์ หรือคงจะต้องอธิบาย หรือว่าพูด หรือว่าประกาศ อาตมาก็ไม่ใช่ คนที่เขายอมรับ ในสังคมแล้วทีเดียว เป็นแต่เพียงว่า อาตมาพิสูจน์ ธรรมะพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้ แม้แต่ชุมชน กลุ่มอะไร มีวัฒนธรรม อาตมาก็ยืนยันว่า คนพวกเรานี่ มีธรรมะของพระพุทธเจ้า มีศีล สมาธิ ปัญญา และก็มี การละลดได้ และ ก็มีวิมุติ ถ้าละลดไม่ได้ อาตมาอยู่ไม่ได้หรอก ท่ามกลางเศรษฐกิจ บ้าๆบอๆ แบบนี้ แล้วอาตมา จะขายของ ต่ำกว่าทุน อาตมาไม่มีทางทำได้หรอก

หมอ : แล้วชุมชนนี้ยังสามารถ เลี้ยงคนนอกชุมชนได้อีก

พ่อท่าน : ได้ เลี้ยงกันมาวันนี้ กินกันไม่ได้หยุดหย่อนเลย ก็มาวันนี้กินฟรี ใครกินได้กินไปเลย

หมอ : วันก่อนสัมมนา ผมก็เจอชาวอุบล ราชธานีอโศก บอกเมื่อไหร่ คุณจะครอบครอง ประเทศไทย ทั้งประเทศ ก็คือ เราจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้ใคร

พ่อท่าน : ไม่ง่ายหรอก เราก็ทำไป คือเราทำไปอย่างนี้ เราก็พิสูจน์ อาตมาก็ยืนยันว่า ที่ทำไปนี่ เพื่อยืนยัน ศาสนาพระพุทธเจ้าว่า พิสูจน์ว่า จิตวิญญาณเรา อาตมาก็ใช้คำว่า วิญญาณ จนติดน่ะแหละ จิตวิญญาณ ที่ได้ลดกิเลส ที่ได้ล้างแล้วมีจริง เพราะฉะนั้น อาตมาตัดคำว่า วิญญาณออกไปเลยทีเดียว ก็ไม่ได้ แต่หลายๆ ครั้งแล้วเวลาอธิบาย วิจัยวิเคราะห์ คำว่า จิต อาตมาไม่ได้ไป นิยามทีเดียว แต่ว่าอาตมาเจตนา ไม่ใช่เจตนา คือให้เข้าใจถึง Concept ของอาตมา จิตนี่ ถ้าใช้ในลักษณะของคนเป็น แล้วก็เอามาศึกษา วิเคราะห์ วิจัยต่างๆนานา ถ้าจะพูดไปแล้ว จิต คือพลังงาน จิตคือพลังงานที่แปรรูป ที่ผสมผสาน ทั้งสังเคราะห์ ทั้งปน ทั้งเปลี่ยนแปลง อะไรได้ แปลงให้เป็นดี แปลงให้เป็นชั่วได้ทั้งนั้น ส่วนวิญญาณ คล้ายๆสภาพที่เป็นตัวกำหนด บอกลักษณะ มันอยู่ในด้าน Static คือในด้าน ที่มันเป็นลักษณะ ที่เหมือนกับ พลังงานศักย์ เป็น static มันไม่ใช่พลังงานจลน์ วิญญาณเนี่ย เพราะฉะนั้น จะบอกลักษณะ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ก็ใช่

หมอ : คือตัวขณะที่รับรู้

พ่อท่าน : ก็เป็นของอันนั้น อย่าเอาไปฟั่นเฝือไปอย่างอื่น ท่านไม่แตกตัวไป ท่านใช้เฉพาะ เหมือนความ เป็นธาตุ

หมอ : ผมก็เพียงแต่ว่า คือเกรงว่าตอนนี้ ผมก็เลยไม่กล้าใช้คำว่า จิตวิญญาณอีก

พ่อท่าน : อาตมายังคงต้องใช้อยู่ แต่ว่าก็คงจะต้องรณรงค์ ต้องแก้ไขกับกลุ่มนี้ ว่าจะมา เข้าใจ จิตวิญญาณผิด เข้าใจนิพพานผิด ไปตีความเป็นเทวนิยม นิพพานเป็นพระเจ้า อย่ามาเอา ของพระพุทธเจ้า ไปพูดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่ เทวนิยม

หมอ : พวกนี้อ้างนะครับ ไปเชิญท่านพิศาลธรรมวาที (พระพยอม) และท่านก็เป็นนักพูด ก็ชอบใช้คำ ให้มันทันสมัย อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็พูดว่า จิตวิญญาณพันธุ์ใหม่ ปั๊บ พวกนี้คว้าเลย คว้าเลย ว่าท่านพิศาลฯ ท่านก็ใช้ เหมือนกับท่านพุทธทาส เพียงท่านพูดว่า โรงมหรสพ ทางวิญญาณ พวกนั้นก็คว้า ว่าท่านพูด จิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น พวกนี้กำลังมองหา บุคคลระดับเด่นๆ ในวงการศาสนา ถ้าเหมือนเมื่อไหร่ ใช้อย่างเขา เขาจะรีบคว้า รีบอ้าง ผมก็คิดอย่างนี้นะฮะ

พ่อท่าน : อาตมาคงต้องกันไว้เรื่อยๆ ถ้าใช้คำว่า จิตวิญญาณเมื่อไหร่ มันเหมือนกับ อาตมากันคำว่า นิพพานไม่ใช่พระเจ้า ศาสนาพุทธ สิ่งสูงสุดยอด ของศาสนาพุทธ ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่พระเจ้า ศาสนาพุทธ สิ่งสูงสุดของชาวพุทธ ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่พระเจ้า ใครไปเบ่งเป็นอัตตา นิพพานไม่ใช่อัตตาจริง นิพพานนี้ มั่นคงยั่งยืน sustainable จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็น อัตตา อันนี้เป็นรายละเอียด ใครมีใครได้ จริงๆแล้ว ถ้าจะให้ชัด นิพพานคือกิเลสดับ นิพพานนี้คือ กิเลสดับ หรือจะแปลว่า ความดับก็ได้ นิพพานคือคำว่าไม่มี นิพพานคือความไม่มี ความดับสูญ เพราะฉะนั้น จะไปแปลเป็นอัตตา เป็นจิตวิญญาณ มันไม่ใช่, นิพพาน ไม่ใช่จิตวิญญาณ นิพพานเป็นลักษณะอันหนึ่ง ในจิตวิญญาณ แต่ไม่ใช่จิตวิญญาณ แต่จิตวิญญาณ มีลักษณะเป็นนิพพานได้ จิตวิญญาณ มีลักษณะที่ในจิตวิญญาณนี้ มีกิเลส โดยสามัญ จิตวิญญาณ มีกิเลส ยังไม่ถึงนิพพาน เมื่อใด ในจิตวิญญาณ มีลักษณะที่จิตวิญญาณนี้ ดับกิเลสหมดสิ้น ในจิตวิญญาณ เมื่อนั้นคือ จิตวิญญาณ ถึงนิพพาน จิตวิญญาณนั้นถึงนิพพาน เมื่อนั้นถึง แต่ไม่ได้ หมายความว่า จิตวิญญาณนั้นเที่ยง จิตวิญญาณนั้น ไม่ได้เป็นอาตมัน ไม่ได้เป็นปรมาตมัน ไม่ใช่ จิตวิญญาณถึงนิพพานแล้ว ก็ไม่ใช่อาตมัน ไม่ใช่อัตตา ที่สุดเป็นอนัตตา

หมอ : ครับ ก็คงมาเรียนท่านไว้

พ่อท่าน : ขอบคุณมากเลย ขอบคุณมาก ที่ได้เอาเรื่องราวมาบอก

หมอ : ต่อไปผมคิดว่า องค์กรพุทธต่างๆ คงจะมีความเคลื่อนไหว

พ่อท่าน : นี่อาตมาคงต้องเคลื่อนไหวแน่ๆเลย ต้องพูด ต้องกล่าว ต้องพาดพิงถึงแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มันคงจะฟั่นเฝือ ทำให้คนเข้าใจผิด

หมอ : ตอนนี้เขาก็พยายาม เขียน เขียน เขียนเข้าสภาให้ได้

พ่อท่าน : ศัพท์คำนี้ มันเป็นศัพท์ของศาสนา ศัพท์คำที่ใช้ ทุกคนจะต้องรู้ว่า หมายถึงอะไร พอพูดถึงคำนี้ว่า หมายถึงอะไร เขาก็ต้องรู้ แต่ถ้าเผื่อไปนิยามอย่างนี้แล้ว แล้วก็ตีความกันไป ฟั่นเฝือ มันก็เท่ากับ กลืนพุทธศาสนา ไปอีกเหมือนกัน

หมอ : เดี๋ยวขอตัวกราบลาท่าน

พ่อท่าน : ขอบคุณมาก ขอบคุณมากเลย


ภูฟ้า ผู้ลาลับ
๒๓ ก.ค.๔๕ ใกล้วันเข้าพรรษาแล้ว น่าจะได้อยู่ที่บ้านราชฯ ตามที่พ่อท่านดำริไว้ ตั้งแต่เดือนก่อน แต่ก็มีเหตุ ปัจจุบันทันด่วน ทำให้ต้องเดินทางไปๆมาๆ แทบไม่ได้อยู่ ที่บ้านราชฯ วันนี้ก็จะไปเชียงใหม่ เพื่อร่วมเผาศพ คุณภูฟ้า (ยุทธนา คงสุข อดีตพระอยุทธโย ปัจฉาสมณะ รุ่นก่อนข้าพเจ้า ๑ ปี)

ที่สนามบินดอนเมือง ในช่องตรวจหาอาวุธ ตอนแรก เจ้าหน้าที่ ทำท่าจะยึด มีดโกนผม เอาไว้ให้ไปรับ ปลายทาง ตามระเบียบที่เข้มงวด หลังจากกรณีตึกเวิร์ลเทรด ที่อเมริกาถูกถล่ม แต่เจ้าหน้าที่คนนั้น เกิดเปลี่ยนใจ คืนให้ เข้าใจว่า เขาคงยืดหยุ่น อนุโลมให้ ที่ผ่านมา มีบางครั้ง ก็จะพบกับเจ้าหน้าที่ ที่เข้มงวดมาก อะไรที่เข้าข่าย จะเป็นอาวุธได้ ก็จะยึดไว้หมด แม้มีดโกน จะเป็นอัฐบริขาร ของพระก็ตาม คงเป็นเพราะ ข่าวที่พระ ทำเรื่องเสื่อมเสียไว้ มีอยู่บ่อยๆ รูปแบบของพระยุคนี้ จึงยังไม่น่าไว้ใจ ได้ทั้งหมด แม้กระนั้น พ่อท่านยังคง เป็นตัวอย่าง ยืนยันความเป็นนักบวช มีดปลงผมติดตัวทุกครั้ง ที่เดินทาง แม้จะต้อง ถูกตรวจค้น เช่นนี้ก็ตาม เรื่องอัฐบริขารของพระทุกวันนี้ เป็นเพียงหลักการ ที่เรียนรู้กัน เปล่าๆ เท่านั้น เวลาเดินทางจริงๆ ก็อาศัยความสะดวกสบายเข้าว่า จึงมีน้อยรูป ที่จะปฏิบัติตาม ได้หมด

๙.๔๒ น. ถึงภูผาฟ้าน้ำ กำลังมีรายการระลึกถึงคุณความดี ของคุณภูฟ้า

หลังฉันมีรายการให้ญาติพี่น้องของคุณภูฟ้า และชาวบ้านหัวเลา และแม่เลา กล่าวถึง คุณความดี ของคุณภูฟ้า

๑๔.๐๐น. พ่อท่านแสดงธรรม กล่าวถึงการเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ได้พยายาม ช่วยกัน สุดที่แล้ว ย้ำเรื่องกรรม เป็นของของตน และหลักบุญนิยมกับทุนนิยม "ลัทธิที่พาให้ คนไปรวยนั้น เป็นลัทธิ ที่ทำให้คน เสียความเป็นคน มีประโยชน์คุณค่า เพราะมี ความมีประโยชน์คุณค่า ถูกเจ้าตัวแลกเป็น "ค่าตัว" เอาคืน มาหมด แถมโกงเอามาเกินด้วย"

๑๕.๓๐ น. พ่อท่านหยุดการเทศน์ แล้วเดินนำขบวนแห่ศพเวียนซ้าย รอบกองฟอน ๓ รอบ มีคนมา ร่วมด้วย กว่า ๔๐๐ คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในช่วงเวลา กะทันหันอย่างนี้ มาได้ขนาดนี้ ก็จัดว่ามากแล้ว ในสถานที่ การเดินทาง ไปมาลำบาก สำหรับคนเมืองหลายคน ด้วยคุณภูฟ้า เป็นที่รักของคน ทุกกลุ่ม ทั้งชาวบ้าน แม่เลา ที่อยู่ข้างล่างปากทางเข้า และทั้งชาว ปกากะญอ บ้านหัวเลา ที่อยู่บนภูสูงขึ้นไป ต่างก็รัก คุณภูฟ้า หลายคนร้องไห้ ด้วยความอาลัย กว่า ๑๐ ปี ที่คุณภูฟ้า มาอยู่ ความเอื้อเฟื้อ ความมีน้ำใจ ช่วยเหลือ ชาวบ้าน ในทุกๆด้าน ทำให้คุณภูฟ้า ได้ใจของชนทุกเผ่า แม้แต่พวกเรากันเอง ก็มากัน อย่างกะทันหัน ทุลักทุเล อ.ขวัญดี ก็อุตส่าห์ กระย่องกระแย่ง หอบสังขารมา คุณขวัญบุญ ที่ไม่ค่อย จะไปไหนง่ายๆ ก็อุตส่าห์มาเช่นกัน หลายคณะ ไม่ได้ตั้งใจมา แต่ปุบปับก็มากัน แม้ใกล้เข้าพรรษาแล้ว สมณะจากหลายที่ ก็มากันร่วม ๔๐ รูปขึ้น ชาวสันติอโศก เช่ารถบัส มาร่วมงาน โดยเฉพาะ เผาเสร็จก็กลับ ไม่ได้ค้างคืน หลายคนมาจากที่ไกลๆ หาไม่ง่ายนัก ที่หลายๆคน จะมีใจ ให้อย่างนี้ แม้พ่อท่านเอง ก็ยังสละเวลา เปลี่ยนแปลง การเดินทาง จากสีมาอโศก ไปราชธานีอโศก กลับมาที่ สันติอโศก เพื่อเดินทางมา ร่วมงาน เผาศพนี้

ค่ำ มีรายการเอื้อไออุ่น พ่อท่านพูดคุยตอบข้อซักถาม ของผู้ที่ยังไม่รีบเดินทางกลับ "เราทำดี คนเขา จะไม่เห็นดี ไม่เอาดี ไม่มีหรอก ความจริงมันค่อยๆคืบ คนเขาจะไม่กรูกันเข้ามา เอาหรอก ความดี ตราบใด ในใจคนมีกิเลสมาก นอกจากคนดี กิเลสในใจน้อย จึงจะรีบมาเอา ที่สำคัญคือ เราให้เขาพึ่งตน ไม่ใช่มา พึ่งที่เรา อาตมาพยายามทำตัวเป็นเงาะ แต่คนตาดี เขาก็เห็นรูปทองเนื้อใน แล้วเขาจะมาเอา อาตมา ไม่กลัวเลย ว่า สิ่งนี้จะไม่มีใครมาเอา......"

๒๔ ก.ค.๔๕ วันอาสาฬหบูชา ที่ภูผาฟ้าน้ำ พ่อท่านแสดงธรรมก่อนฉัน มีศัพท์ใหม่ ที่พ่อท่านใช้ ในวันนี้ คือ "เมตตาวิธี" แทนคำที่เขาใช้กันเกร่อว่า "สันติวิธี" อีกคำหนึ่ง ที่พ่อท่านใช้เมื่อ ๒-๓ วันก่อนคือ "สังคมร่วมมือ" แทนคำว่า "ขบวนการกลุ่ม" แต่วันต่อๆมา ก็แทบไม่ได้ใช้ คำทั้งสองนี้อีก


ให้โอวาทสมณะ วันเข้าพรรษา
๒๕ ก.ค.๔๕ วันเข้าพรรษาที่ราชธานีอโศก ๑๗.๐๐ น. หมู่สมณะร่วมอธิษฐานพรรษา ที่เรือโบสถ์ หลังจากพ่อท่าน แจ้งเขตอาวาส ให้สมณะ และพระอาคันตุกะ ที่อยู่ร่วมจำพรรษา ได้ทราบโดยทั่วแล้ว จึงให้โอวาท

"ตอนนี้ งานของเรามันมากขึ้นนะ เพราะฉะนั้น พวกเราจะต้องพยายามศึกษา สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน ให้ดีๆ แล้วมี อิทธิบาท พยายามเอาใจใส่ มีฉันทะ ในการที่จะปฏิบัติ ถ้าปล่อยเฉยไป เป็น ยถา สุขัง โข เม วิหรโต ปล่อยตัวตามสบาย ก็ผ่านไปวันๆ อกุศลธรรม ก็เจริญๆยิ่งๆขึ้น มันก็เสียเวลาเปล่า พระพุทธเจ้า ท่านเตือนไว้แล้ว บัดนี้ เวลากำลังล่วงไปๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ ท่านเตือนให้ปัจเวกขณ์ หมั่นพิจารณา เนืองๆ แล้วเราเอง เป็นผู้ไม่เหมือน ฆราวาสเขาแล้ว ตั้งใจมาในทางนี้แล้ว ก็จะต้องสังวร ระวัง สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน ต้องเพิ่มอิทธิบาทกันให้ดี จะรู้เสมอว่า เราเอง อินทรีย์พละ ของเราดีขึ้น ศรัทธาเรามีกำลังขึ้น ไม่ใช่อยู่ๆไป แล้วศรัทธาถอย นั่นมันชักจะ ไม่ค่อยดี แล้วนะ มันจะกลาย เป็นทุรพล ก็จะกำลังอ่อนไปเรื่อยๆ ถ้าศรัทธาเราก็ดีขึ้น วิริยะก็ตามมา หรือมีฉันทะ วิริยะก็จะตามมา ถ้าศรัทธามันเป็นสัทธินทรีย์นะ มันเป็นมรรคเป็นผล หรือ เป็นประโยชน์ ที่เราได้ เกิดศรัทธา มีวิริยะ มีสติ สติของเรา จะแข็งแรงขึ้น มีอินทรีย์ของสติ มันเป็นกำลัง เป็นอำนาจ มีน้ำหนัก น้ำเนื้อของมันเรื่อยๆขึ้นมา สมาธิก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อินทรีย์ ๕ เลื่อนขึ้น จนกระทั่ง ถึงขั้นพละ ๕ นั่นแหละ พละก็คือสมบูรณ์ มีกำลังมีศรัทธาเต็ม วิริยะเต็ม สติเต็ม สมาธิเต็ม ปัญญาเต็ม อินทรีย์ ๕ พละ ๕ สูงขึ้นไป โพชฌงค์ ๗ มรรคองค์ ๘ ทางปฏิบัติอะไร เราก็ต้องเข้าใจแล้วล่ะว่า เราจะต้องปฏิบัติ สติก็ให้เป็น สัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยก็ให้เป็น สัมโพชฌงค์ ให้ได้จริงๆนะ วิริยะก็เป็นสัมโพชฌงค์ มันจึงจะเกิดปีติ ที่เป็นสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิเป็นสัมโพชฌงค์ สมาธิเป็นสัมโพชฌงค์ อุเบกขาเป็น สัมโพชฌงค์ เมื่อจิตตั้งมั่น เป็นสมาธิ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือเป็นองค์ของการตรัสรู้ ไม่ใช่เป็น สมาธิอะไรก็ไม่รู้ สมาธิโลกีย์ อุเบกขาโลกีย์ ปีติโลกีย์ ปัสสัทธิโลกีย์ ของศาสนาไหนๆ ลัทธิอื่นๆใดๆ เขาก็ทำเหมือนกัน ไม่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ แนวทาง ที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้มาแล้ว พวกเรา ก็ได้ศึกษา ถึงรายละเอียด ก็ไปทำให้เห็นจริง เห็นจัง คนเพิ่มเข้ามา ก็ต้องอาศัยแกน เราเป็นสมณะ เราต้องเป็นแกน ถ้าเราเป็นแกนให้เขาไม่ได้ เขาไม่เคารพ ไม่ศรัทธา บางคนแก่วัด นานๆเข้า ก็จะเสื่อม ไม่ศรัทธา ในพระผู้น้อย ผู้กลางอะไร แม้พระผู้ใหญ่อย่างงี้ พูดถึงอัตตามานะ ก็เป็นได้ ถ้าเผื่อว่า เราเองปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีการเจริญในธรรม เป็นอาริยะสูงขึ้นๆ แม้แต่ฆราวาส ที่เขาอยู่ชิด หรือไกลห่าง ได้มารู้มาเห็น ในอาการที่เลื่อมใส เขาก็จะศรัทธา ขึ้นมาด้วย ตอนนี้ เราต้องการพลัง ที่จะเป็นพลัง แห่งความแน่น ของธรรม เมื่อมวลเราเพิ่มมาก เราก็ต้องเพิ่มพลังอันนี้ ทำคุณภาพให้มากขึ้น เราจะต้องเอาใจใส่ กิจน้อยใหญ่ ของพรหมจรรย์ เราจะมีการเพ่งเล็งกล้า อยู่กะอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาของเรา ผู้ใด ที่ยังรู้สึกว่า ตัวเองยังทำไม่ได้ ตามธรรม ของพระพุทธเจ้า ที่ได้อธิบายมา ก็เคร่งครัด พัฒนากัน เอาเอง ตอนนี้กระแสทาง ข้างนอกนี่มาแรง ผมรู้สึกกลัวจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น กลัวมันจะ ฮือฮาขึ้นมา"


เอาแนวทางอโศกเป็นหลักในการพัฒนา?
๒๗ ก.ค.๔๕ พ่อท่านและปัจฉาสมณะ ขอสัตตาหะกรณียะ ไปประชุมองค์กรภายใน ของอโศก หลายๆ องค์กร ที่สันติอโศก เป็นการประชุมประจำเดือน ระหว่างเดินทาง ไปสนามบิน อุบลราชธานี พ่อท่าน บอกเล่าให้ฟังว่า คุณอรพิน จำปาเนตร สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศส.) โทรมาบอกเล่าว่า ในบรรดาสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ คุยกัน ต่างเห็น ร่วมกันว่า ควรเอาแนวทาง ของอโศก เป็นหลักในการพัฒนา แต่ไม่รู้รายละเอียดว่า เป็นความเห็น บางส่วน ของสมาชิก สภาที่ปรึกษาฯ หรือ เป็นความเห็นของ สมาชิก สภาที่ปรึกษาฯ ทั้งหมด

ที่สนามบินอุบลราชธานี ขณะรอขึ้นเครื่องบิน อ.สุเทพ อัตถากร มากราบนมัสการ สนทนากัน อยู่ครู่หนึ่ง ได้เวลาขึ้นเครื่องบิน

บนเครื่องบินพบ อ.วิชัย รูปขำดี อาจารย์จากนิด้า ซึ่งทำวิจัยชาวอโศก และช่วยงานอยู่กับ สภาพัฒนา เศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติมานาน อ.วิชัย บอกเล่าว่า พาเกษตรกร จากสุพรรณบุรี มาอบรม ที่โรงเรียนโรงนา ซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำมูล เยื้องๆกับบ้านราชฯ ต่อมา ได้พูดถึง คุณอรพิน จำปาเนตร เมื่อวานก็เจอกัน ที่โรงเรียนโรงนา แต่ไม่ได้คุยกัน เรื่องที่ สมาชิกสภาที่ปรึกษา จะเอาแนวทาง ของชุมชน อโศก เป็นหลักในการ ทำแผนพัฒนาฯ จึงไม่ทราบว่า เป็นความเห็น เฉพาะกลุ่ม หรือทั้งหมด แต่ อ.วิชัยคาดว่า น่าจะเป็นความเห็น ของสมาชิกสภา ทั้งหมดมากกว่า หากเจอคุณอรพิน จะซักถามดู ให้แน่อีกที มาถึงขณะนี้ กระแสสังคม ยอมรับชาวอโศก มีมากขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเทียบกับ เมื่อกว่า ๑๐ ปี ที่ผ่านมา ต่างกันลิบลับ ยุคนั้น แทบจะถล่มอโศก ให้จมดิน ข้อหานานาสารพัด บ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาถึงวันนี้ เริ่มมีผู้ตอบรับว่า เป็นทางเลือกหนึ่ง ที่ถึงขั้นตอบรับ ยอมรับ ให้ค่ามากๆ ว่าเป็นทางรอด ของสังคมก็มี ไม่ว่าจะทางเลือก หรือ ทางรอด ก็ถือว่า ดีกว่าก่อน มากแล้ว

ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ จากบางส่วนที่พ่อท่านให้โอวาทปิดประชุม ชุมชนสันติอโศก ๒๗ ก.ค. ๔๕

".....กระแสจากสังคมภายนอกเข้ามาเยอะ งานก็มีมาก ทุกวันนี้อาตมาก็พูด ให้พวกคุณ เร่งตื่นตัว และ ขวนขวาย เป็นโอกาสที่จะได้สร้างกุศล เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ตอนนี้ เราลงไม่ได้แล้ว เขาจับเรา ขึ้นหลังเสือ จะลงก็ใช่ที่ จะไม่ขึ้นก็จับเราขึ้นแล้ว พวกเรา จึงต้อง ขมีขมัน ทำให้ดีๆ ตอนนี้ ก็ไม่รู้ จะเน้นย้ำอะไร นอกจาก เรื่องนี้ ให้เราทำให้ดีๆ เพราะ กระแสมันมา ซึ่งแตกต่างกับ สมัยก่อน ที่ออกมา ในเชิงต่อต้าน คว่ำบาตรเรา หรือ ไม่แยแสว่า เราจะทำอะไร ไม่ว่าเราจะดีอย่างไร แต่กระแสต่างๆ ในทุกวันนี้ เปลี่ยนไปแล้ว ทั้งใน ระดับสื่อ และระดับบริหาร เราจะต้องปรับตัว ให้เป็นหลักเป็นฐาน ให้เป็นความเจริญ ทุกด้าน ทั้งในความควบแน่น และ ทั้งงดงาม เป็นระเบียบ ขอย้ำให้ทุกคนปรับตัว ในการรับภาระ ที่หนักทั้งระบบ และ องค์กรต่างๆ"

- อนุจร -

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๓ ตุลาคม ๒๕๔๕)