หน้าแรก>สารอโศก

ตอน....ต่อยอด....สู่บุญนิยม กับเกณฑ์การค้าและการทำสื่อ

พฤษภาคม ๒๕๔๖
คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา (๓-๕ พ.ค.) พ่อท่านเผยเหตุผลในการจัดงานนี้ว่าอย่างไร? คำถาม เจาะใจพ่อท่านรู้สึกอย่างไร ที่มีลูกหลานมากันเยอะๆ... นอกจากของที่ระลึกที่เป็นวัตถุแล้ว พ่อท่าน ย้ำฝากอะไรให้ศิษย์เก่าที่มาร่วมงาน......

การค้าบุญนิยมกับต่างชาติ (๘ พ.ค.) มูลนิธิวัดจีนในมาเลเซียต้องการผักไร้สารพิษ ของ เครือข่าย กสิกรรม ไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย สาขาภาคใต้ ประมาณ ๑๐ ตันต่อเดือน พ่อท่านเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้? กำลังการผลิตของพวกเราจะเป็นไปได้หรือ? ถ้าเป็นไปได้จะมาจากทางใด? แล้วราคาแบบบุญนิยม ควรมีสัดส่วนอย่างไร? จะถือเป็นหลักการคร่าวๆของบุญนิยมในการทำการค้ากับต่างชาติได้ไหม?

ระมัดระวัง!...ท่าทีต่องานสัปดาห์วิสาขะ (๙ พ.ค.) มีคณะผู้ร่วมจัดงานสัปดาห์วิสาขะ ที่สนามหลวงปีนี้ พยายาม คะยั้นคะยอนิมนต์ พ่อท่านไปเทศน์ ด้วยเหตุผลใด? แล้วพ่อท่านมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้? แถมด้วยเรื่อง การสมานฉันท์กับเถรสมาคมในอนาคตจะ เป็นอย่างไร? และเรื่องบ่อนคาสิโน ที่กำลังถูก ผลักดันพ่อท่านเห็นอย่างไร?

งานกสิกรรมไร้สารพิษ "เพื่อฟ้าดิน" (๑๖-๑๘ พ.ค.) มีเกร็ดเล็กๆ ก่อนงานเริ่ม.... เร่งไปทุกจุด! แม้มีปัญหา แต่พวกเราเหมือนมด...ใจสู้ทุกตัว การประชุมสรุปปัญหาต่างๆของการจัดงานครั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้ประเมินผลไว้ อย่างไร? ค.ก.ร.พวกเราเองมองเห็นปัญหาอย่างไร? พ่อท่านมองงานนี้เป็นอย่างไร? ประโยชน์และผลกำไรจากงานนี้เป็นอย่างไร?

ทำดีท็อกฯ[Detoxification]เกี่ยวอะไรกับการปฏิบัติธรรม....สัดส่วนการทำงานกับสังคม ระหว่าง สร้างสรรกับตำหนิ ควรเป็นเท่าใด? (๒๕ พ.ค.) จากการสนทนากับบรรณาธิการอาวุโส น.ส.พ. เส้นทาง เศรษฐกิจ ทำให้ได้ประเด็นที่น่าสนใจดังกล่าว พ่อท่านตอบอย่างไรเชิญพลิกไปหาคำตอบได้

วันสุดท้ายของการชำระค่าที่ดิน "ร่วมบุญปฐพีพุทธฯ" (๒๙ พ.ค.) พ่อท่านให้อะไรตอบแทน เป็นสินน้ำใจ กับคุณมนัส เจ้าของที่ดิน ลองคาดเดา ก่อนพลิกไปอ่าน เชื่อว่าผู้ไม่ รู้มาก่อน คาดเดาไม่ถูกแน่

ปิดท้ายบันทึกจากบางส่วนของโอวาทปิดประชุมชุมชนสันติอโศก (๒๔ พ.ค.)....พ่อท่านกลัวอะไร? และ แนะให้ขวนขวายปฏิบัติอะไร? เพื่อความเจริญ

คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา
๓ พ.ค. ๔๖ ที่ราชธานีอโศก ศิษย์เก่าที่มาลงทะเบียน ๔๑๗ คน เป็นผู้ที่จบ ม.๖ จำนวน ๒๕๘ คน และผ่านการเรียนในชั้นอื่นๆ ๑๕๙ คน พ่อท่านแสดงธรรมก่อนฉันกับศิษย์เก่าที่มาร่วมงาน โดยบอกถึง เหตุที่จัดงานนี้ว่า "....อาตมาอายุมากขึ้น และพวกเราก็กระเด็นกระดอน กระจัดกระจายกันไปมาก อาตมาจึงดำริ จัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อรวบรวมพวกเรา ให้เข้ามารวมหมู่รวมกลุ่ม อาตมาไม่อยากให้พวกเรา ต้องตกหล่น อยากจะให้ได้กันให้ครบๆ

อาตมาถือว่าพวกเราเป็นลูกจริงๆ แต่ใครจะทำตนเป็นลูกนอกไส้ก็แล้วแต่

อาตมาเห็นพวกเรายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็หวังว่าจะเป็นคนมีอายุยืนด้วย เพื่อจะได้ทำประโยชน์ได้มากขึ้น

ถ้าใครมาอยู่ใกล้อาตมาก็จะมีอายุยืน เหมือนร่มเงาไม้ที่อาศัยได้ นกก็จะมา

เชื่อไหมถ้าอาตมาอายุ ๑๕๐ ปี อาตมาจะดังทั่วโลก โดยที่อาตมาไม่ต้องอยากดังเลย ยิ่งถ้าอาตมา สร้างผลงานต่อไป ได้อีกไม่ใช่แค่นี้ อายุยืนก็จะมีนวัตกรรม ใหม่ขึ้นมามากขึ้น

วันนี้กลุ่มสังคมอโศกยังเล็กๆ แต่คุณลักษณะของสังคมมันขยายผลไปสู่ข้างนอกแล้ว เราเป็นสังคม ที่ไม่มีอบาย ไม่มียาม้า แล้วพึ่งตนเองรอด

อาตมารอพวกเราทุกคน ที่จะมาอยู่ในชุมชนอโศก เราต้องการพลังรวมอย่างมาก ขณะนี้ข้างนอก เล็งแล เรามาก จะมาเอาเรา เพราะพวกเรามีทั้งคุณภาพ คุณธรรม สินค้าก็ราคาถูกอีกต่างหาก

อาตมาสร้างราชธานีอโศก สันติอโศก ศีรษะอโศก หรือทุกๆแห่งไม่ใช่เพื่ออาตมา อาตมาสร้าง ให้พวกเรา ทุกคน อาตมาจะต้องตายจากไป เหลือใคร...เหลือพวกคุณที่จะมาดูแลและทำแทน...."

ช่วงบ่ายแบ่งกลุ่มศิษย์เก่าแยกย้ายกันไปทำงานตามจุดต่างๆ ทั้งกางเต็นท์.... เก็บกระเบื้อง.... ทำความสะอาด ทั่วๆไป เป็นการเตรียมงาน"เพื่อฟ้าดิน" (๑๖-๑๘ พ.ค.) ซึ่งเป็นงานใหญ่มาก ที่จะต้อง รองรับคนกว่า ๕,๐๐๐ คนมาอยู่กินด้วย

รายการภาคค่ำเป็นบันเทิง ที่เวทีชาวบ้านซึ่งเพิ่งจัดทำขึ้นใหม่ข้าง เฮือนศูนย์สูญ มีการ แสดง ดนตรี ของ วง I-ZAC ที่กำลังดัง ในกลุ่มวัยรุ่น โดยมี "แซค" หัวหน้าวงเป็นศิษย์เก่า ก.ศ.น.ปฐมอโศก รวม ถึงวงอื่นๆ ขึ้นมา ร่วมร้องเพลง ฝนฟ้าไม่อำนวย ต้องขนย้ายกันมาแสดงต่อในเฮือนศูนย์สูญ พ่อท่านอุตส่าห์เอื้อ มาร่วมนั่งฟัง จนถึงสามทุ่มกว่าจึงขอตัวไปพักนอน เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องเทศน์ทำวัตรเช้า ปล่อยให้รายการ ดำเนินต่อ โดยพ่อท่านอนุญาตล่วงหน้าให้ถึงห้าทุ่มก็ได้ แต่หลังจากพ่อท่านไปพักนอนแล้ว ส่วนใหญ่ ก็ทยอยกัน ไปนอนเช่นกัน เหลือร้องกันต่อไม่มาก เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้จะปล่อยให้บันเทิงกัน หนุ่มสาว ชาวอโศก เหล่านี้ ก็ไม่จี๊ดจ๊าดเช่นหนุ่มสาวทั่วๆไป

๔ พ.ค.๔๖ ที่ราชธานีอโศก การแสดงธรรมทำวัตรเช้าบางส่วนพ่อท่านฝากศิษย์เก่าทุกคนว่า "ชีวิตที่จะเป็นไป ขอให้มี ๔ อย่างนี้
๑. สังวรศีล แม้ไม่มีก็ขอให้สังวรไว้
๒. สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่าที่เรามีภูมิ
๓. โภชเนมัตตัญญุตา รู้ประมาณในของกินของใช้
๔. ชาคริยานุโยค......"

พ่อท่านอธิบายหลักปฏิบัติ จรณะ ๔ ซึ่งมีศีลและอปัณณกธรรม แล้วต่อด้วยฐานะ ๔ ในสังคมมนุษย์ได้แก่ นักผลิต...นักบริการ...นักบริหาร...นักบวช ช่วงท้ายบอกเล่าโครงการทำเรือ ประดับตบแต่ง มีโลหะหล่อหุ้ม ให้ดูงามสง่า แล้วให้ข่าวงาน"เพื่อฟ้าดิน".....

เสร็จจากทำวัตรเช้าพากันไปล่องเรือ แบ่งเป็น ๔ ลำ โดยมี ๒ ลำผูกติดกันไป เพื่อจะได้ฟังพ่อท่าน คุยเล่า หรือตอบคำถามต่างๆ ดูพ่อท่านพยายามสร้างบรรยากาศ พูดเสียงดังรวบรวมความสนใจ บอกเล่าเรื่อง ต่างๆ ตั้งแต่เด็กชายมะขามจนไปถึงเรื่องความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จากข่าวสารที่ได้รู้

มีคำถามที่แสดงถึงภพภูมิของผู้ถาม...หุ่นยนต์มีกรรมอะไรถึงมาเป็นหุ่นยนต์?

พ่อท่านก็อุตส่าห์ตอบให้ "หุ่นยนต์ไม่มีกรรม ไม่ใช่พีช ไม่มีจิต ไม่มีธรรม เป็นพลังงานอุตุ เป็นพวกอุตุ เช่นเดียวกับ ดวงอาทิตย์ที่ไม่มีชีวะ ไม่รู้จักกรรม ไม่ถือว่ามีวิบากกรรม...."

อีกคำถามหนึ่งที่เจาะใจพ่อท่าน....มีลูกหลานมาเยอะๆอย่างนี้ พ่อท่านมีความรู้สึกอย่างไร?

"อาตมารู้สึกอบอุ่น เห็นหน้าเห็นตาแล้วมีความหวัง หวังว่าพวกเราจะดี จะมีธรรมะของพระพุทธเจ้า...."

คำถามที่ผู้ถามคงมีอารมณ์ต่อเนื่องมาจากอเมริกาบุกถล่มอิรัก.....หากเราทำ กสิกรรมไร้สารพิษ จำนวนมากๆ แล้ววันหนึ่งถูกอเมริกามารุกเอาเหมือนเอาบ่อน้ำมันอิรักจะว่าอย่างไร?

"ให้เขาไปเลย ทรัพย์ของเราอยู่ที่....ความขยันและสมรรถนะ อาตมาจะดูซิว่า ถ้าเราเสียสละมากๆ แล้วยังจะมีใครมาปล้น เอาจาก เราอีก ถ้าเขาจะมา เอาก็ ให้เขาไปเลย แล้วเราก็สร้างเอาใหม่...."

ช่วงบ่ายมีการประชุมเพื่อเลือกกรรมการศิษย์เก่า ๑๕ คนจากพุทธสถานต่างๆที่มีศิษย์เก่า แล้วให้กรรมการ ไปเลือกผู้ทำหน้าที่ต่างๆกันเอง

พ่อท่านให้โอวาทปิดประชุมฝากย้ำถึงงานชมรมศิษย์เก่า ให้ช่วยกันทำให้มีรูปธรรมที่แน่น

มีเสียงเปรยแสดงความเห็นขึ้นมาว่า...การจัดงาน ถ้าจัดทุกปีจะไม่ขลัง นานๆจัดทีจะขลังกว่า

พ่อท่านชี้แจงว่า "หลายๆปีจัดทีนี่ อาตมาว่ามันไม่ดี จะขาดการติดต่อสัมพันธ์ จัดปีละครั้ง นี่แหละ ดีแล้ว....."

๕ พ.ค.๔๖ ที่ราชธานีอโศก ทำวัตรเช้าสมณะ สิกขมาตุ และคณะคุรุ กล่าวพรก่อนจาก เสร็จจาก ทำวัตร เช้าแล้วศิษย์เก่า ร่วมกันทำบุญตักบาตร ต่อด้วยการถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน ก่อนเข้าร่วมพิธีรับของที่ระลึก จากพ่อท่าน โดยผู้ที่จบ ม.๖ จะได้ทั้ง "จี้เงิน" และกรอบภาพที่มีลายมือของพ่อท่าน ส่วนผู้ที่ผ่านการเรียน ในชั้นอื่นๆ จะได้เพียงกรอบภาพฯอย่างเดียว

"จี้เงิน"รูปใบโพธิ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสัมมาสิกขานี้ มีผู้ปกครองนักเรียนคนหนึ่งนำมาเสนอว่าจะทำให้นักเรียนที่จบ ม.๖ รุ่นล่าสุดนี้ทุกคน โดยอาสาออกแบบ และ ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง ซึ่งพ่อท่านก็เห็นควรที่จะให้เป็นสัญลักษณ์กับผู้จบ ม.๖ ทุกรุ่นที่ผ่านมา และที่จะจบ ต่อไปด้วย สำหรับผู้จบ ม.๖ แล้วไม่ได้มาร่วมงานในปีนี้ จะมาขอรับได้ ก็ต่อเมื่อ มาร่วมงาน "คืนสู่เหย้าฯ" ในปีต่อๆไปเท่านั้น นอกงานนี้จะไม่แจกให้เด็ดขาด

พ่อท่านให้พรสุดท้ายก่อนจาก ยังคงย้ำให้มี จรณะ และมีอปัณณกธรรมกันให้ดีๆ "..ขอให้พยายามตั้งใจ เปลี่ยนแปลง ชีวิตตนเอง เพื่อไปสู่โลกุตระให้ได้ เพื่อให้เกิด ความเจริญ แก่ตนและสังคม ให้ทุกคน ได้รับประโยชน์ จากธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกคนเทอญ"

การค้าบุญนิยมกับต่างชาติ
๘ พ.ค.๔๖ ที่สันติอโศก ได้รับโทรศัพท์จากหาดใหญ่ คุณภาณุ พิทักษ์เผ่า โทร.มาปรึกษาว่า กลุ่มมูลนิธิ วัดจีนในมาเลเซีย ติดต่อมาว่าขอให้ทางเครือข่าย กสิกรรมไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย ภาคใต้ช่วยจัดหาผัก พืชผลไม้ ไร้สารพิษ เป็นจำนวนเดือนละ ๑๐ ตัน โดยทางมูลนิธิวัดจีน ในมาเลเซีย ยินดีจะมารับเอง ซึ่งเรื่องกำลังการผลิต ไม่มีปัญหา ด้วยได้พูดคุยกับเครือข่ายที่มาอบรมกับเราบ้างแล้ว เพื่อช่วยให้เกษตรกร มีรายได้ ทั้งจะได้ช่วยปลดเปลื้องหนี้สินให้เกษตรกร ส่วนรายละเอียด จะคุยกันเที่ยงวันนี้ พ่อท่าน จะเห็นอย่างไร?

"หากทางเราสามารถผลิตได้เหลือพอส่งออกก็เอา แต่ระวัง!อย่าให้มีข้อผูกมัด จนเราลำบาก" พ่อท่าน ให้คำแนะนำสั้นๆ

ครู่ต่อมาคุณภาณุโทร.มาปรึกษาอีกว่า ถ้าพูดถึงเรื่องราคาพ่อท่านเห็นควรอย่างไร? เนื่องจาก ทางมาเลเซีย ที่ดินมีราคาแพงมาก เขาไม่มีที่ดินจะปลูก ส่งผลให้ราคาพืชผักผลไม้มีราคาสูง ถ้าราคาตลาดในไทย ๒๐ บาท ราคาตลาดที่มาเลเซียจะเป็น ๗๐ บาท

พ่อท่านให้หลักคิดราคาคร่าวๆว่า "ถ้าจะทำเป็นบุญนิยมระดับต้น คือต่ำกว่าราคาตลาด ยังเกินทุนอยู่ ไม่ใช่ระดับ เท่าทุน หรือระดับต่ำกว่าทุน หรือแจกฟรีเป็นที่สุด จะทำในระดับ นั้นอยู่ก็เอา ถ้าราคา ตลาด ในไทย ๒๐ บาท แล้วราคาตลาดในมาเลเซีย ๗๐ บาท เราจะ ขายสัก ๒๐-๓๐ บาท ก็ถือว่ามากแล้ว อย่าให้เกินกว่านี้ มันจะน่าเกลียด ถ้าคนซื้อเขาก็ไม่ลำบากเดือดร้อนก็เอา.."

ข้าพเจ้าซักถามคุณภาณุเพิ่มเติมว่าเขารู้จักกลุ่มเราได้อย่างไร? ได้รับคำตอบว่า ทางมูลนิธิวัดจีน เขามาซื้อ ที่ดินประมาณ ๑๐๐ ไร่ อยู่หาดใหญ่ เพื่อทำมหาวิทยาลัย พุทธศาสนานานาชาติ มีชื่อว่า "กลิ่นเทียนธรรม" ที่รู้จักก็เพราะมีคน ของเขา มากินอาหาร ที่ร้านของคุณภาณุ แล้วก็ได้ร่วมกิจกรรมบางอย่างกันบ้าง เขาไว้วางใจ ผลผลิต พืชผักผลไม้ ของพวกเราว่าจะปลอดภัยจากสารเคมี จึงติดต่อเรามา

พ่อท่านระลึกได้ว่า ชื่อ "กลิ่นเทียนธรรม" นี้พ่อท่านเป็นคนตั้งให้เอง โดย มีคน มาบอก ขอให้ตั้งชื่อ ว่าจะตั้ง มหาวิทยาลัย พุทธศาสนา นานาชาติในไทยทำนองนี้ ก็เลยตั้งให้ไป

ระมัดระวัง!....ท่าทีต่องานสัปดาห์วิสาขะ
๙ พ.ค.๔๖ ที่สันติอโศก คณะช่วยงานมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ได้พยายามนิมนต์พ่อท่านไปเทศน์ในงาน สัปดาห์วิสาขะ ที่สนามหลวง ในเต็นท์ที่มูลนิธิฯได้รับสิทธิ์ให้จัดกิจกรรมต่างๆได้ เนื่องจากทาง มูลนิธิฯ ได้รับอนุญาตให้ไปร่วม งานมา ๔ ปีแล้ว แต่ปีนี้ผู้ใหญ่ ที่ดูแลการ จัดงานขอมา....อย่าให้ สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ได้มาแสดงธรรมเลย ข้าพเจ้าไม่ทราบเหตุผลที่ชัดเจน ได้ยินคน ของมูลนิธิฯ พูดกันว่า ที่ผ่านๆ มา สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ไปครั้งใดเป็นเด่นกว่าเขา กิจกรรมต่างๆ ที่มูลนิธิฯ จัดก็ได้รับความสนใจ มากกว่าที่อื่น โดยปีนี้ได้เชิญ พล.อ.สายหยุด เกิดผล ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง คุณชินกร ไกรลาศ คุณทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์

หนึ่งในคณะช่วยงานมูลนิธิฯแสดงความเห็น.....เราก็มีความเห็นว่า บ้านเมืองนี่มันขาดการนำ ทางดีนี่ แทบไม่มี ที่มีนี่ฐานะทางจิตวิญญาณมันไม่ถึง พลังด้านนี้มันไม่มี จึงนำไม่ได้ พ่อท่านนี่สู้ อย่างอหิงสา คือไม่ได้ท้าทาย เท่าที่ผมดูพ่อท่านออกต่อสาธารณะนี่ มีการอ่อนน้อม ถ่อมตน อย่างยิ่ง แล้วก็พลิก ความคาดหมาย ของพวกเขาอย่างแรง เพราะฉะนั้นการออกไปสนามหลวงนี่ เราไม่ได้คิดว่า จะมานิมนต์ พ่อท่านไปท้าทาย ส่วนถ้าไปแล้วพวกที่กิเลสหนาปัญญาทึบนี่ อาจจะคิดว่าเราไปท้าทาย ก็อาจจะเป็นได้ แต่มอง อีกด้านหนึ่ง ก็น่าจะถึงเวลาอันควรที่สัจจะ ได้เข้าไปสถาปนาการนำที่ถูกต้อง และเป็นหลัก ของบ้านเมือง

พ่อท่านกล่าว....ต้องดูเหตุปัจจัย จะไปนี่ไม่ใช่เราดันออกไป ถ้าเราดันออกไปนี่ไม่ดีหรอก มันเหมือนกับ หักด้ามพร้าด้วยเข่า ถ้าเราจะออกไปก็ต้องมีทางด้านโน้นประสานมาก่อน เราก็จะไป แต่นี่มันไม่ใช่ คราวนี้ ยังไม่มีกาละอย่างนั้น เหตุปัจจัยยังไม่ถึงขั้นนั้น มันต้องมีสัดส่วนที่มันดีกว่านี้ แม้แต่ท่านจันทร์ เขาก็ไม่ยินดี ที่จะให้ไป เขาก็ให้สัญญาณอยู่แล้ว เราก็ต้องฉลาดพอที่จะรู้เรื่องนี้

อีกคนช่วยเสริม....แล้วถ้าจะนิมนต์สมณะรูปอื่นได้ไหมครับ

พ่อท่าน....ไม่ดีหรอก อย่าเลย บอกแล้วไง เขาให้สัญญาณอยู่แล้ว

มีเสียงต่อรองอีก....ควรจะลองนิดหนึ่งนะครับ

พ่อท่านยืนยัน....ไม่ดีหรอก อย่าไปแสดงว่าเราดิ้น ไม่ได้อันนี้ ก็จะเอาอันนั้น ไม่ได้อันนั้นมัน ก็จะเอา อันนี้ อย่าไปดิ้นเลย อย่าไปทำให้เขากระเทือนอะไร เราควรเป็นแบบแมวเซื่องๆ เขาก็จะตายใจ ไม่จำเป็น ต้องไปดิ้น ขลุกขลักๆ เราสงบไปดีกว่า เขาอยู่บนบัลลังก์ มันเหมือน หนังน้ำเน่า ทั้งๆ ที่นางร้าย รู้แล้วว่า ดีสู้นางเอกไม่ได้ แต่ก็ต้องดิ้นเป็นธรรมดา ธรรมชาติ เขาจะทำเป็นยอมรับ ต่อสาธารณะ มันทำได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้หรอก วิธีที่เรายอม อย่าไปรุก เขานี่แหละ เขาจึงอ่อนจึงยอมให้ แต่ถ้าเขายอมแล้วก็ไปรุก ได้ที ขี่แพะไล่นี่ เดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาเท่านั้นเอง ทีนี้ก็เลยไม่ยอมรับอะไรเลย แล้วเขาก็ไม่ได้ผล ไม่ได้ประโยชน์อะไร งานของเรา ก็ไม่ก้าวหน้า ถ้าไม่เข้าใจจิตวิทยานี้ มันไปยาก

การสนทนาวันนั้นยังมีประเด็นอื่นที่น่าสนใจแถมดังนี้...

ถาม....พ่อท่านมีมุมมองในอนาคตกาลอย่างไรครับเกี่ยวกับเรื่อง จะไปสมานฉันท์กันระหว่างเถรสมาคม กับอโศก หรือว่าแยกกันชัดเจน จนกระทั่งฝ่ายหนึ่งเจริญ อีกฝ่ายหนึ่งด้อยลงไปเลย

พ่อท่าน....จะเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง ถ้าพูดไปแล้ว ก็จะไปเบ่งข่มเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปพูดหรอก ก็ดูกันอีก ๕๐๐ ปีไง บอกไว้แล้ว

ถาม....เรื่องคาสิโน อาจารย์มั่นใจไหมว่าจะต้านเขาได้

พ่อท่าน....อย่าไปกังวลเลย ถ้าฤทธิ์แรงทางด้านโลกเขายังแรง เขายังอยากจะพิสูจน์ ก็ให้เขาพิสูจน์ คางคก เลือดหัวไม่ตกยางไม่ออก มันไม่รู้ตัวหรอก ก็ต้องปล่อยเขาไป มันเป็นธรรมชาติของสิ่งนั้น จริงเราพยายาม เท่าที่มันสมควร เราจะทำได้ มีคนมาบอกว่า เอ้า..จะให้อาตมา ไปต่อต้านคาสิโน อาตมาก็บอกว่า อาตมาไม่ต่อต้านหรอก เพราะคนที่รู้ว่าไม่ควรจะเปิดคาสิโนนี่มีอยู่เยอะ ก็ให้เขาออกมาทำสิ ถ้าเขาออกมา ทำแล้ว อาตมาจะดูว่าเหตุปัจจัยที่เขาออกมาทำนั่นน่ะ พร้อมพอสมควรที่อาตมาจะเข้าไปร่วมด้วย อาตมาจะไป แต่ถ้าเอาไม้สั้นไปรันขี้เฉยๆ เสียเวลา ปล่อยเขาไปเถอะ เดี๋ยวมันก็พัง ของมันจนได้แหละ ก็เหมือนกับ อเมริกาน่ะ อ้างไปถึง UN ก็แล้ว สุดท้าย ฟังที่ไหนเล่า หมาป่าน่ะ จะกินลูกแกะแล้วบอกว่า ลูกแกะผิด อย่างโน้น ลูกแกะผิด อย่างนี้ มีอาวุธร้ายแรง เขาไม่ฟังหรอกถ้าหมาป่าจะกินจริงๆ ก็กินจนได้ เสร็จแล้วเป็นไง เอาเข้าจริง มันมีที่ไหนล่ะ อาวุธร้ายแรง

งานกสิกรรมไร้สารพิษ "เพื่อฟ้าดิน"
๑๒ พ.ค. ๔๖ เดินทางจากสันติอโศกมาราชธานีอโศก ก่อนงานเพื่อฟ้าดิน(๑๖-๑๘ พ.ค.) เพื่อประชุม ชุมชน แต่เนื่องจากการเตรียมงานยังไม่เรียบร้อย จึงเลื่อนการประชุมออกไปก่อน

หลังฉันพ่อท่านเดินดูงานตามจุดต่างๆ ตั้งแต่งานไฟฟ้าที่เฮือนศูนย์สูญ....ห้องเสียงใหม่....ที่ชั้น ๔ ทำฝ้า และปูพื้นปาเก้....หน้าเฮือนศูนย์สูญ เวทีภาคค่ำปูพื้นหินทราย และเทปูนเสา (สำหรับแสงสีเสียง)..... งานทำถนน ในหมู่บ้าน....การทำห้องน้ำเพิ่ม....การติดตั้งกางเต็นท์ เหล่านี้เป็นงาน ที่ต้องเร่งไปทุกจุด ขณะที่ ๑๕ พ.ค.นี้ก็จะมีเกษตรกร และ ธ.ก.ส.ทยอยเข้ามากันแล้วร่วม ๓,๐๐๐ คน

ข้าพเจ้ามองดูเด็กๆที่มาช่วยกันทำงานตามจุดต่างๆ แม้ยังไม่จัดงานแค่พวกเราได้มาร่วมกัน ก็เป็นพลัง สร้างสรร สามัคคีที่น่าประทับใจยิ่งแล้ว ขณะที่เด็กๆกำลังช่วยงานโดยปราศจากรายได้ใดๆ ไม่ห่างกันนัก ก็มีชาวบ้าน ที่เป็นคนงานรับจ้างจากผู้รับเหมามาทำงานด้วยกัน ดูเด็กๆไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปมด้อย ที่ต้อง มาทำงาน ใช้แรงกายอย่างนี้ กลับดูสนุกสนาน ภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำ ที่ได้มีส่วนช่วยงานใหญ่ๆ อย่างนี้

๑๕ พ.ค.๔๖ ที่ราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา พ่อท่านแสดงธรรมทำวัตรเช้า จากบางส่วน "....อาตมา ยิ่งเห็นระบบสาธารณโภคี ระบบภราดร พี่น้อง เรามาช่วยกันเป็นเจ้าภาพ เศรษฐศาสตร์อย่างนี้ เพิ่งจะเกิด เมื่อหมื่นปี ที่แล้วยังไม่มี....."

นอกจากนี้พ่อท่านได้เตือนความคิดหลงใหญ่ จากการที่มีผู้คิดเชิญนายกฯทักษิณมาเปิดงาน เพื่อฟ้าดินนี้ พอดีนายกฯ มีกำหนดการต้องไปศรีลังกา จึงมอบหมาย ให้ผู้อื่นมาแทน แต่มีเหตุที่นายกฯไปศรีลังกา ไม่ได้ มีพวกเรา บางส่วนคิดอยากจะให้เชิญนายกฯมาเปิดงานอีก พ่อท่านจึงติงพวกเราว่า "เป็นความคิด หลงใหญ่ ติดยึด สำคัญตนใหญ่...สิ่งที่อาตมาทำทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ พาณิชย์ศาสตร์ ฯลฯ อาตมา ยังไม่ได้รับความยอมรับ จากสังคม สักเท่าไหร่เลย แล้วเราจะใหญ่ตรงไหน ไม่ต้องไปอาศัย ใหญ่มาทำให้เราใหญ่ แต่อาตมา ไม่ได้น้อยใจ เลยนะ เพราะอาตมาเข้าใจความจริง และอาตมามั่นใจ ว่าสิ่งที่อาตมาทำนี้เป็น สิ่งจริงและดีกว่า อาตมา ไม่โง่ ที่จะต้องไปคิดว่า ทำไมเขาได้ ทำไมเราไม่ได้ อาตมาสรุปได้ว่าอาตมา ไม่ต้องอยาก อาตมา ตัดสินได้ว่า สิ่งนี้ดีหรือไม่ดี ถ้าดีแล้วสร้างแล้วทำ ก็จบ สร้างสิ่งที่ดีตามภูมิปัญญาที่แท้จริง สร้างแล้วก็ให้ ให้กับผู้ที่ควรให้ ส่วนจะมีผลสะท้อนตอบกลับมา นั่นก็เป็นเรื่องใหม่ แม้จะเกิดจาก เหตุที่เราทำก็ตาม แล้วพิจารณา กันใหม่ ถ้าไม่ดี ทำใหม่ให้ดี ถ้าดี ก็ทำใหม่ ทำอีกให้ดีกว่าเก่า....."

ที่ห้องทำงานดูข่าวโทรทัศน์ ภาพที่พุทธมณฑล มีการวิ่งวิสาขบูชา ถือศีล ๕ ลดละอบายมุข ขึ้นป้ายผ้า ตัวใหญ่ ถ่ายทอดโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ คำว่า "ถือศีล ๕ ลดละอบายมุข" ไม่มีสำนักปฏิบัติธรรมที่ไหน เน้นเป็นสำคัญ เมื่อ ๒๐-๓๐ ปีก่อนนี้ พ่อท่านพาพวกเรามาฝึก ย้ำการถือศีล จนได้รับการขนานนาม จากหมอประเวสว่า เป็นสำนักที่เน้นศีล มาถึงวันนี้ไม่ว่าจะเป็น มังสวิรัติ ศีล ๕ ลดละอบายมุข หรือคำว่า ญาติธรรม มีผู้นำไปใช้กันทั่วแล้ว ขณะที่ความยอมรับในพ่อท่านและชาวอโศกยังไม่ได้มากอย่างผลงานที่สังคมเอาไปใช้

ก่อนรายการ "เวียนธรรม" ภาคค่ำ ขณะเดินดูงานที่เวทีการจัดเตรียมยังไม่เรียบร้อย พ่อท่านช่วย ให้คำ แนะนำ ในการจัดเวที และช่วยยกเรือบ้าง....ตั่งบ้าง เมฆมืดครึ้มแต่ไกลทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีเสียงหนึ่ง พูดว่า "ผมเชื่อบารมีพ่อท่าน ฝนไม่ตกหรอก" ครู่ต่อมาลมแรงฝนเริ่มตกเบาๆ แล้วหนักขึ้นเรื่อยๆ

๑๗.๔๐ น. ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จากกำหนดเวลา ๑๘.๐๐ น. จะเริ่มรายการ "เวียนธรรม" แล้ว เหลือเพียง ๒๐ นาที คงไม่ทันแน่ ข้าพเจ้าถอดใจแล้ว จึงเสนอให้ย้ายตั่งกลับไปจัดรายการ ในอาคารศูนย์สูญเถอะ แต่พ่อท่าน ใจยังสู้ ยืนยันให้จัดเวทีที่หน้าอาคารศูนย์สูญ ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นห่วงว่า ที่นั่งของคนฟัง ยังเปียกแฉะอยู่ ชาวบ้านจะนั่งลำบาก พอดีมีผู้นึกได้ว่ามีม้วนพลาสติกที่กันเปียกอยู่บ้างแต่ไม่รู้จะพอไหม

๑๗.๕๐ น. ฝนหยุดตก ขณะรอผู้ไปหาพลาสติกมาปู ข้าพเจ้ายังคงถอดใจด้วยมองไปที่พื้นทางเดิน หน้าเวที ยังคงเฉอะแฉะมาก แต่ดูพวกเราไม่ท้อเลย พอดีมีกองทรายอยู่ข้างๆ เนื่องจากคนของเราเยอะ คนนั้นช่วยคิด คนนี้ช่วยทำ ทั้งเอาทรายถมเกลี่ยและปูพลาสติกเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พ่อท่าน ก็ช่วยขึงปู พลาสติก ด้วย ใช้เวลากว่า ๔๐ นาที ก็เอาชนะปัญหาที่เฉอะแฉะ จนเดินและนั่งได้ แม้จะเลย เวลา ไปกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ก็ช่วยให้บรรยากาศของรายการ "เวียนธรรม" ได้ภาพที่น่าประทับใจ สวยงามกว่า จัดในอาคารศูนย์สูญ

ในหลายๆงานของชาวอโศก ภาพที่ทั้งเด็ก....หนุ่มสาว.... ผู้ใหญ่และนักบวช ช่วยกันทำทุกอย่าง ที่จะทำ ให้งานไปได้ เปรียบพวกเราเหมือนมดงาน ที่ช่วยกันทั้งลากทั้งแบกสิ่งของ ที่ทั้งใหญ่ และหนักกว่าตัวมด แม้จะยากลำบาก แต่ดูเหมือนใจมด....สู้ทุกตัว

รายการ "เวียนธรรม" เป็นที่ประทับใจของผู้มาร่วมงานอย่างมาก ทั้งเนื้อหาธรรมและองค์ประกอบ ของรายการ ก่อให้เกิดปัญญาและศรัทธาที่ดี เริ่มจากสมณะสิกขมาตุเทศน์ นำจบท้ายด้วย พ่อท่าน แสดงธรรม แล้วตอบคำถาม แม้เป็นเรื่องพื้นๆที่พวกเราได้รับฟังมาบ่อย แต่ในบรรยากาศอย่างนั้น ก็ได้อรรถรสใหม่

๑๖ พ.ค.๔๖ ที่ราชธานีอโศก ๙.๐๐ น. พ่อท่านแสดงธรรม ก่อนที่ คุณวราเทพ รัตนากร รมช.กระทรวง การคลัง จะมาเป็นประธานกล่าวเปิดงาน ช่วงท้ายพ่อท่านพูดถึงระบบเศรษฐกิจบุญนิยม ไม่ใช่ทุนนิยม ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ก่อนจบพ่อท่านฝากข้อคิดที่แรง ข้าพเจ้าคิดไม่ถึงว่าพ่อท่านจะพูด "..อาตมามีส่วนแย้ง กับท่านทักษิณ ที่ท่านจะทำให้คนรวย อาตมาจะพาคนมาจน แต่เป็นคนจนอย่างขยัน สร้างสรร เสียสละ ไม่ใช่จน อย่างงอมืองอเท้า......"

จบการแสดงธรรม รมช.วราเทพ ได้มานมัสการพ่อท่าน แล้วออกตัวว่า....ไม่มีเวลาได้เข้ามาที่นี่ ปีที่แล้ว ท่านนายกฯมา ตัวท่านเองไม่ได้มา ติดงานไปต่างจังหวัด ต่อจากนั้นพูดถึง ธ.ก.ส. ได้จากราชธานีอโศก ที่เป็นตัวอย่าง ให้เกษตรกรที่ดีครับ....พ่อท่านยิ้มแย้มต้อนรับ ไม่พูดอะไรมาก มีเพียง..... ขอบคุณมาก.... ตามสบาย....

๑๘ พ.ค.๔๖ วันสุดท้ายของงาน จากสถิติผู้มาลงทะเบียน ผู้มาร่วมงานที่พักค้าง ๔,๖๖๗ คน แบ่งเป็น เกษตรกร ๑,๘๘๙ คน เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ๘๐๖ คน ค.ก.ร.(ญาติธรรม) ๑,๔๔๑ คน นักเรียนสัมมาสิกขา ๕๓๑ คน ประชาชนทั่วไป(ไม่ได้พักค้าง) ๓๓๓ คน จึงมีผู้มา ร่วมงาน ทั้งหมด ๕,๐๐๐ คน

การประชุมสรุปงาน ตัวแทน ธ.ก.ส. รายงานการประเมินผลของฝ่าย ธ.ก.ส.ว่า เกษตรกร ๘๐% พอใจ ค.ก.ร.(เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษแห่งประเทศไทย)แก้ปัญหาได้ดี เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ยิ้มแย้มรับฟัง ตัวอย่างเรื่องปัญหาน้ำไม่ไหล มีการสื่อบอกให้รู้ตลอดเวลาว่าเกิดอะไรขึ้น กำลังแก้ปัญหาอย่างไร? สิ่งนี้ทำให้เรื่องที่เป็นปัญหา ชาวบ้านที่มา ได้รับความเข้าใจอย่างนี้ก็เลยวางใจ แม้จะขาดน้ำ แต่ก็ไม่ถือ เป็นปัญหา
- การจัดฐานงานต่างๆ ทำได้ดี
- ธ.ก.ส. ที่ยังไม่เคยจัดเกษตรกรมาอบรม ทึ่งกับการจัดงานอย่างนี้ และอยากให้ไปจัดงานอย่างนี้ในที่ที่ตนดูแล

ข้อบกพร่องที่ ค.ก.ร.มองกันเอง คือ
- การได้รับข้อมูลจากเครือข่ายไม่ชัดเจน ทำให้การเตรียมงานล่าช้า
- คนมาช่วยเตรียมงานน้อย ทำให้งานหนัก
- จุดนิทรรศการ ขาดโต๊ะ กระดาน ไฟฟ้า
- การประชาสัมพันธ์ในตลาดขาดอุปกรณ์

เมื่อมีผู้มองว่าให้วิชาการมากเกินไปในจำนวนวันอบรมน้อยๆอย่างนี้ เวลาไม่พอ

พ่อท่านอธิบายว่า....การที่มีผู้มองว่าวิชาการมากเกินไป นั่นเขามองจากตัวเอง เท่าที่ฟังจากผู้เข้าอบรม เขายังรู้สึกกระหายอยากรู้ เขาไม่รู้สึกว่าหนัก เป็นเพราะเขาเคยมาอบรมกับเราแล้ว เขาเข้าใจ เขารู้แล้วว่าดี เขามาอีก เขาจึงกระหายที่จะรู้อีก.....

หน่วย ต.อ.(ตรวจสอบสินค้าและผลิตภัณฑ์ของชาวอโศก) รายงานว่า ตรวจพบสารเคมีในระดับปลอดภัย ที่พบมี กระชายแดง ลองกอง มะม่วงแก้ว เนื่องมาจากดินที่เคยใช้สารเคมีมาจากปีก่อนๆตกค้าง พืชยัง ดูดซึมติดมาบ้าง แต่ก็ไม่มากอะไร

ตัวแทนฝ่ายครัวแจ้ง ค่าใช้จ่ายเรื่องอาหาร ๑,๒๒๒,๔๙๔ บาท (ค่าวัตถุดิบประกอบอาหาร)

ฝ่ายบัญชี การเงิน รายงานว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของงานนี้ ประมาณ ๒,๓๖๑,๒๖๙ บาท

พ่อท่านเสริม...ถ้าคิดค่าแรงงานด้วยก็คงจะกว่า ๓ ล้าน

คุณศุภชัย สถาการ รองผู้จัดการใหญ่ ธ.ก.ส. กล่าว..งานนี้คนระดับบริหารของ ธ.ก.ส.หลายคน ได้มาฟัง พ่อท่านเทศน์ และชมว่าพ่อท่านเทศน์ดีมาก นอกจากนี้คุณศุภชัย ยังได้แนะให้พวกเราทำ วิสาหกิจชุมชน โดยจะหา เงินสินเชื่อมาช่วย และรับรองว่าจะไม่เป็นทุนนิยม จะหามาให้เป็นอย่างบุญนิยม....

พ่อท่านให้โอวาทปิดการสรุปงานว่า "งานนี้พิสูจน์ความก้าวหน้าของสังคมอีกชนิดหนึ่ง ค่ารวม เมื่อมีคน มาร่วมงานเกือบ ๕,๐๐๐ คน กินอยู่โดยไม่มีเรื่องวุ่นวาย แม้จะมีข้อบกพร่อง มีปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องไฟฟ้า เรื่องที่นอน ที่พัก แต่ก็อยู่กันได้

ซึ่งงานที่เราทำอยู่นี่ จะมีความสัมพันธ์ต่อโครงสร้างของสังคมขึ้นไปเรื่อยๆ งานนี้เป็นงานต่อยอดคน ไม่ใช่งานเผยแพร่ (คุณศุภชัยเสริม ปีต่อไปจะไม่ลงทุนโฆษณา เอาเงินโฆษณามาเป็นทุน กับการอบรม ดีกว่า) {ข้าพเจ้า...ลงทุนโฆษณาคือการจัดทำป้ายผ้าติดประกาศไปทั่วเมืองอุบลฯ และเช่าเวลา ถ่ายทอด โทรทัศน์ ฯลฯ เป็นเงินกว่าล้านบาท}

งานนี้ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่มาช่วยกัน อาตมาซาบซึ้ง ที่พวกเรามาช่วยกัน ทำให้งานดำเนินไปได้ โดยไม่หวัง เงินทอง รายได้ตอบแทน

มีคนมองว่า เราใช้แรงงานคนมากไป....เฟ้อ ถ้ามองอย่างทุนนิยมก็สูญเสีย แต่เขาไม่รู้ว่า งานของเรา ไม่ได้มุ่งการเพิ่มรายได้ สงวนรายจ่าย งานของเราเป็น งาน"สร้างคน"

ประโยชน์จากงานนี้ก็คือ พวกเราเองจะได้ฝึกฝน ได้สัมพันธ์ เป็นเรื่องของการเสียสละ เป็นเรื่องน้ำใจ การสร้างสรรของสังคม พลังของคนที่ได้แสดงออก เป็นองค์รวมไปทิศทางเดียวกัน เป็นทิฐิสามัญตา ศีลสามัญตา

งานนี้เป็นการสร้างความหวังให้แก่อนาคตของสังคม สิ่งนี้เป็นสิ่งจริง ที่จะทำต่อเนื่องให้ยิ่งไปอีก ไม่ใช่ทำ แค่ครั้งเดียว

ผลกำไรของงานนี้คือ จิตวิญญาณ ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่โลกุตระ ไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น....."

ทำดีท็อกฯ [DETOXIFICATION] เกี่ยวอะไรกับการปฏิบัติธรรม?
สัดส่วนของการทำงานสร้างสรร....สร้างเนื้อใน
ต่อการวิพากษ์วิจารณ์

๒๕ พ.ค.๔๖ ที่สันติอโศก คุณสมาน ศรีงาม และคุณวิทยา วิทยอำนวยคุณ บรรณาธิการ อาวุโสของ น.ส.พ. เส้นทางเศรษฐกิจ ได้มากราบนมัสการและสนทนากับพ่อท่าน เนื่องจากคุณวิทยากำลังสนใจการ ทำดีท็อกฯ(การสวนล้างพิษทางลำไส้ใหญ่) จึงซัก ถามถึง ประสบการณ์ที่ พ่อท่านได้ทำมาแล้ว บอกเล่า ผลการทำของตนว่า...ของผมทำประมาณ ๓ เดือน น้ำหนักลดไป ๕-๗ กก. ผลปัสสาวะ และผลเลือด มันดีขึ้นแบบที่หมอก็งง ก่อนนี้ ค่า BUN มันขึ้น ๓๓ หมอที่รักษาผม บอก อีกสองปี ผมจะใช้ชีวิต ปกติสุข ไม่ได้ เพราะว่ามันต้องฟอกเลือด ผมเป็นโรคไต ถ้าอัตรา ก้าวหน้า อย่างนี้ อีก ๖ ครั้ง ๑๘ เดือน ไปทำงาน ไม่ได้แล้ว...

สมาน : อยากจะกราบเรียนถามพ่อท่านว่า เรื่องการทำดีท็อกฯมันไปช่วยในการปฏิบัติธรรมอย่างไรบ้าง? สัมพันธ์กันอย่างไร ในสองสิ่งนี้? เราอาจจะกลัวตายไปหรือเปล่า?

พ่อท่าน : เป็นได้ ที่จริงเราก็ควรให้สรีระของเราแข็งแรง มันช่วยได้มุมหนึ่ง ที่มันช่วยได้ก็คือ เป็น การปฏิบัติธรรม กรรมกิริยา อิริยาบถทุกอย่าง ถ้าเข้าใจ แล้วเป็นการ ปฏิบัติธรรม ทั้งสิ้น ลมหายใจเข้าออก ถ้าเราสามารถ ที่จะมีญาณปัญญารู้ว่า เราจะอ่านอะไร พิจารณา อะไร วิเคราะห์วิจัยอะไร ลดอะไร เพิ่มอะไร เป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการทำดีท็อกฯ ถ้าเราขี้เกียจ เราก็ต้องหาเหตุหาผล หาหลักฐาน ทำให้ตัวเองมีปัญญา รู้ว่ามันไม่ควร ขี้เกียจ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมในตัว เราลดความขี้เกียจ มันก็เป็นการปฏิบัติธรรม ในตัวอยู่แล้ว ต้องบอกจิตใจของเรา มันเป็นประโยชน์ คุณค่าต่อชีวิต ก็คือสิ่งที่ มันจะต้อง ดูแลมันเหมือนกัน ที่จะต้องจัดการให้มันดูดี หลายๆอย่างมันทำเองไม่ได้ เราจะต้องช่วยมัน เพราะเราเป็นคน เรามีปัญญาที่จะช่วยมัน ถ้าไม่ช่วยมัน มันก็เหมือนต้นไม้บางต้น ที่มีอะไร ไปทำลาย คนต้องไปช่วยมัน เพราะมันคิดเองไม่ได้ แต่คนนี่คิดเองได้ รู้วิธีทำแล้วไม่ทำ มันก็โง่เท่านั้นเอง

บางทีเราอาจจะยังไม่ศรัทธา หรือว่าความเชื่อมันยังไม่เกิด ไม่อยากทำ เสียเวลา เสียแรงงาน สกปรก เลอะเทอะ มันแฉะ เปื้อน อะไรต่างๆนานา ถ้าเราเข้าใจสภาพจริงๆแล้ว เราก็จะลดความน่ารังเกียจ ลดความติดยึด ไม่ยึดมั่นถือมั่น

ถ้าคนติดยึดอยู่มากก็ถือสา จึงไม่อยากทำ แต่ถ้าเราหัดทำไป แล้วมันก็จะปล่อย จะวาง จะลดได้ อย่างนี้ เป็นต้น

เหมือนกับการดื่มน้ำปัสสาวะ ก็ดื่มไม่ได้ง่ายๆ คนที่ติดยึดแค่แตะมือ ติดมือ ก็รู้สึกสกปรก เลอะเทอะ ล้างกัน จะเป็นจะตาย นี่เอามาดื่ม โอ้ย....กินไม่ลง ถ้าเราทำความเข้าใจปล่อยวางได้ จริงๆมันก็ไม่มีอะไร ที่อันตราย มันก็ดื่มได้ จนกระทั่งจิตคลาย....เฉย อย่างนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรม ลดละ ความติดยึดถือสา จริงๆ มันไม่มีโทษ แต่เราถือสา มันเปื้อน น้ำไหลออกมาจากก้น หรืออุจจาระ ออกมาบ้าง ก็เลอะ ขยะแขยง มันเหม็น ด้วยสมมุติที่เราติดยึดอยู่

ถ้าเราล้างความติดยึด หัดปล่อยวาง มันเป็นสามัญ เวลาเราล้างก้น เราก็จับอุจจาระของเราอยู่แล้ว ก็เปื้อน อุจจาระ เราก็ล้างให้สะอาด ล้างแล้วก็จบ เพราะฉะนั้นการที่เราอ่านความติดยึด แล้วปล่อยวางได้ นี่คือ ปฏิบัติธรรม

อีกประเด็นหนึ่งของการสนทนา พ่อท่านได้เผยสัดส่วนของการทำงานสร้างสรร....สร้างเนื้อใน....สร้างคน ต่อการวิพากษ์ วิจารณ์สังคม ควรมีสัดส่วนเท่าใด? ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อท่านไม่เคยพูดมาก่อน

สมาน : หนังสือพิมพ์บ้านเราทุกวันนี้ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องสัจธรรม มันเพิ่มกามเข้าไปทุกวัน

พ่อท่าน : หากินกันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะยักษ์ใหญ่ยักษ์รอง แม้จะมีบางฉบับพยายามย้อนแย้ง เอารูปพระ ขึ้นหน้าปก วันอาทิตย์ แทนรูปคนเปลือย แต่เนื้อในเขา ยังมอมเมา กาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จัดจ้าน แม้แต่เขาจะโฆษณาสินค้าอะไร ก็ยังเอาคนเปลือยมาเป็นแบบโฆษณา ทั้งๆที่มันไม่เกี่ยวอะไร กับเนื้อหนัง มังสาเลย แล้วเราจะไปต่อต้านสังคมโลกีย์ เราก็ต่อต้านไม่ได้

อาตมาไม่ได้ต่อต้านอะไรเขา เพียงแต่เปรยปรายว่าเขาบ้าง ไม่ได้ไปว่าให้เขาโกรธ ว่าให้พอคันๆ ว่าให้พอ สำนึกหน่อย ไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา แล้วเราสร้างสิ่งที่ถูกต้องอย่างเดียว Communication การสื่อสาร ที่อาตมาทำ ต้องมีองค์ประกอบสัดส่วนที่...
๑. ตำหนิเหมือนกัน กระทบว่าให้คนอื่นรู้สึกตัวบ้าง ประมาณ ๓๐%
๒. สร้างสรรในสิ่งที่เรามุ่งมั่นเป็นแกน สร้างสรรประมาณ ๗๐%

ถ้าเราสร้างเนื้อเราแค่ ๓๐ โตไม่พอที่จะไปสู้เขา อีก ๗๐ ไปด่าไปวิจารณ์เขา ชักศึกเข้าบ้านอย่างนี้ เขาเหยียบ เราแน่ ไม่ได้หรอก อันนี้ผิด

ข้าพเจ้าเห็นว่าสัดส่วนที่พ่อท่านกล่าวข้างต้นนี้ ชาวอโศกทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงาน เผยแพร่กับ คนทั่วไป คงจะได้ประโยชน์ที่มีตัวอย่างเป็นหลักเกณฑ์ในการทำงานกับสังคมต่อไป

วันสุดท้ายของการชำระค่าที่ดิน "ร่วมบุญปฐพีพุทธฯ"

๒๙ พ.ค.๔๖ ที่สันติอโศก คุณมนัส หลิมขยัน และลูกชาย เจ้าของที่ดินด้านหน้าสันติอโศก หรือที่พวกเรา เรียกว่า โครงการ "ร่วมบุญปฐพีพุทธฯ" โดยการนำของคุณวัลลภ เทพไพฑูรย์ และ คุณเบญจวรรณ เจริญวงษ์ นำพามากราบนมัสการพ่อท่าน หลังจากเสร็จธุระจากการไปโอนที่ดินที่ ส.น.ง.ที่ดินเขตบางกะปิ วันนี้ เป็นการโอนครั้งสุดท้าย และทางเราได้ชำระเงินค่าที่ดินหมดในวันนี้ด้วย เร็วกว่ากำหนด ที่ได้ทำ สัญญาไว้ (๓๐ มิ.ย.) เนื่องจากญาติธรรมได้ต่างเสียสละให้มาเกินคาด

พ่อท่านได้มอบพระพุทธรูป เท็ปธรรมะ และหนังสือธรรมะ ให้คุณมนัส และลูกชายอีกหนึ่งหอบหนักๆ เพื่อเป็น สินน้ำใจตอบแทนคุณมนัส ที่ได้ขายที่ดินให้ชาวอโศกในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมินของ ส.น.ง. ที่ดินเขตฯ

ในส่วนพระพุทธรูปนั้น พ่อท่านไม่รู้ว่าจะเป็นรุ่นที่คนในวงการพระพุทธรูปนิยมหรือไม่ เพียงแต่เห็น รูปทรงดูดี อยู่ในห้องทำงานที่บ้านราชฯนานแล้ว

เมื่อมีผู้ตั้งข้อสมมุติว่าถ้าเป็นรุ่นที่ตลาดพระพุทธรูปนิยม ราคาจะสูง ก็น่าเสียดาย ซึ่งพ่อท่านก็เห็นว่า แม้จะเป็น เช่นนั้นจริง ก็สมควรให้เขา

ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ จากบางส่วนที่พ่อท่านให้โอวาทปิดประชุมชุมชนสันติอโศก(๒๔ พ.ค.) "..ตอนนี้ อาตมากลัวว่า พวกเราจะเหลิง เพราะอะไรๆก็ดูขยายผลขึ้นมาในเชิงบวก ต้องพยายามระมัดระวัง อย่าเหลิง อย่าหลงตัวเอง ต้องถ่อมตนไว้ ต้องขยันหมั่นเพียร ทำให้ยิ่งขึ้นไปอีก ต้องขวนขวาย ในหลัก ของบุญนิยม ภาคปฏิบัตินี้มีทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย แต่ภาคที่จะเจริญต่อคือ อปจายนมัย กับ เวยยาวัจจมัย ถ้าขาดอปจายนมัยกับเวยยาวัจจมัย เสียแล้ว ก็ชะงักการเจริญอยู่แค่นั้น

อปจายนมัย คืออ่อนน้อมถ่อมตนลง เจริญเท่าไหร่ก็เจริญไป มันจะวิเศษวิเสโสยังไง เราก็จะต้อง อ่อนน้อม ถ่อมตน และขวนขวาย มันจึงจะเจริญไปได้ ถ้าไม่เช่นนั้น ไม่มีการก้าวหน้าต่อแล้ว มันจะเหลิง จะหลงตัว เสร็จแล้ว ก็ประมาท อันนี้สำคัญ

คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ดีแล้ว ปฏิบัติตามเถอะ ปฏิบัติให้ถูกหลักถูกเกณฑ์ รับรองไปรอด และ จะพัฒนาไปเรื่อย บุญอื่นๆจะตามมา ไม่ว่าจะเป็น ปัตติทานมัย ปัตตานุโมทนามัย ธัมมัสสวนมัย ธัมมเทสนามัย จะเติมเข้ามาเอง ครบความเจริญ ครบสิ่งที่ดีงาม ก็ขอขอบคุณ ทุกคน..."

อนุจร
๒๙ มิ.ย. ๔๖

(สารอโศก อันดับที่ ๒๖๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖)