(ต่อจากหน้าก่อน)


มหกรรมกู้ดินฟ้า ที่หินผาฟ้าน้ำ พัฒนาการเมือง เศรษฐกิจ สังคมอย่างบูรณาการเป็นอย่างไร

๘ พ.ค. ๒๕๔๗ ขึ้นเครื่องบินไปขอนแก่น ก่อนต่อรถไปหินผาฟ้าน้ำ มีคุณถึงไท ร่วม เดินทาง ไปด้วย ขณะรอขึ้นเครื่องบิน มีเพื่อนเก่าของคุณถึงไทมาทักทาย ทราบภายหลัง ว่าเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เชียงใหม่

ขณะเดินขึ้นเครื่อง พบทนายทองใบและภรรยาร่วมไปขอนแก่นด้วย ดูทนายทองใบหนุ่ม เนื่องจากตัดผมสั้นและผมดำ ทนายทองใบ บอกด้วยอารมณ์ดีว่า ที่ดูหนุ่มก็เพราะ ปฏิบัติตน ตามแนวสันติอโศก

ถึงสนามบินขอนแก่น ได้รับนิมนต์ให้เข้าในห้องรับรองแขกพิเศษ เนื่องจากผู้ดูแล เป็นญาติธรรม มีญาติธรรมมารอรับประมาณ ๒๐ คน ภรรยาทนายทองใบ ได้มาสนทนา ด้วยเล็กน้อย ถึงหินผาฟ้าน้ำก่อน ๙ นาฬิกาเล็กน้อย มีชาวบ้านและข้าราชการ ตั้งแต่ปลัดจังหวัด มานั่งรอแล้ว

คุณม่านพรกล่าวรายงาน ต่อด้วยคุณถึงไทในฐานะประธาน คกร. แล้วส่งต่อให้ ปลัด จังหวัด ที่ให้เกียรติมาแทนผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวเปิดงาน มหกรรมกู้ดินฟ้า ครั้งที่ ๑

ท่านปลัดจังหวัดได้กล่าวชมว่าการจัดงานอย่างนี้ถือเป็นนิมิตใหม่ของจังหวัดชัยภูมิ มีรูปแบบที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการจัดตลาดบุญนิยม ขายผลผลิตที่ต่ำกว่าทุน ที่ได้กำไร นั้นก็คือบุญกุศล นักเรียนก็เรียนฟรี ครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้รับค่าตอบแทน ดูจากปรัชญา การศึกษาของโรงเรียนแล้ว แปลกกว่าโรงเรียนทั่วๆไปนะครับ อาคารเรียนก็เป็นอาคารดิน เป็นที่น่าสนใจและประทับใจ ถ้าสังคมเป็นอย่างนี้ก็จะเป็นสังคมที่ยั่งยืน โดยส่วนตัวแล้ว เห็นว่าประเทศเรายังมีการพัฒนาที่ไม่ได้ดุลยภาพ ในเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคม

การเมืองเรามีการเลือกตั้งในทุกระดับเยอะมาก แต่ยังเป็นการเมืองที่ก้าวไปแบบมีปัญหา ทำอะไรเร็วเกินไป อันที่สองก็คือเศรษฐกิจพัฒนาอย่างไรทำไมจึงมีหนี้สินเยอะ ขณะที่ ตัวเลขของ GDP เติบโตสูงขึ้น แสดงว่าการเมืองและเศรษฐกิจมีปัญหา พัฒนาสังคม ก็ดูจากเด็กมีผมแดงกันเยอะแยะไปหมด แสดงว่าการพัฒนาไม่ได้ดุลยภาพ สรุปว่า การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมยังมีปัญหามากมาย เราจึงต้องมาดูกันเรื่องของเศรษฐกิจ และ สังคมให้มาก

ประการต่อมาที่หินผาฟ้าน้ำนี่กำลังบุกเบิกในเรื่องของพืชผักปลอดสารพิษ ที่จริงต้อง ระลึกถึงบุญคุณของพ่อท่านโพธิรักษ์ให้มากทีเดียว เพราะเท่าที่ผมทราบ ท่านเป็นผู้ริเริ่ม ในเรื่องของอาหารปลอดสารพิษ อาหารมังสวิรัติอาหารที่มีคุณภาพและไม่ทำร้ายร่างกาย และเดี๋ยวนี้ดอกผลจะเริ่มออกแล้ว เพราะประเทศไทยนี่จะประกาศเป็นครัวโลก จะผลิต อาหารเลี้ยงคนทั้งโลก ไทยเรากำลังทำสัญญาเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ซึ่งเขา ก็ต้องการผักปลอดสารพิษ นั่นคืออนาคตของผู้ผลิต ผักปลอดสารพิษ สดใสแน่นอน อันนี้ก็ต้องขอ ชื่นชมพ่อท่าน อะไรที่ผมจะสนับสนุนได้ ผมก็จะส่งเสริมนะครับ

พ่อท่านแสดงธรรมต่อ จากบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้

"เมื่อกี้ท่านปลัดจังหวัดกล่าวเอาไว้ว่า เราจะต้องมาบูรณาการ หรือว่ามาพัฒนาเรื่องของ เศรษฐกิจกับสังคม อันนี้ก็จริง เพราะว่าคนอยู่ร่วมกัน เป็นสังคม

เรื่องของสังคมนี่มีการมอมเมา สื่อสารก็ตาม ครอบงำทางความคิด ครอบงำทางรสชาติ เหล่านี้เป็นกิเลสทั้งสิ้น เขาปรุงแต่ง เรียกว่าสังขารธรรม ผู้บริหารบ้านเมืองก็ดี นักวิชาการ นักรู้ก็ดี แม้ที่สุดนักการศาสนา ไม่เห็นออกมาต้านโต้อะไร ทั้งๆที่มีหน้าที่ มีตำแหน่ง มีฤทธิ์ ที่จะทำกับสังคม

อาตมานี่เป็นสมณะ หรือเป็นพระผู้น้อย น้อยกระจิริดเลยอยู่ในสังคมประเทศไทย ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีอำนาจ ไม่มีตำแหน่ง ทำไปตามประสา แต่คนที่เข้าใจสัจธรรมมาฟังก็รู้เรื่อง ว่ามันเปลี่ยนแปลงทางความคิด ถอดตัวถอดตนให้มันหลุดพ้นออกมาจากวงจร ที่เขา มอมเมา เรื่องนั้นอร่อย เรื่องนี้สนุก เรื่องนี้เลิศเลอ พวกเรารู้ทัน แล้วก็ฝึกปรือ ฝึกใจ ลดละ กิเลสนั้นลงมา ได้ชั่วคราว เป็นขนิกสมาธิก็ตาม ได้ดีขึ้นเป็นอุปจารสมาธิ คือ มันลดละ ได้จริง มากขึ้น ใกล้อุปจารสมาธิก็คือจิตที่ได้พัฒนา ลด ละ ล้างกิเลสลงได้ ใกล้ถึงขั้น ถาวร ถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ถึงขั้นตั้งมั่น สมาธินี่แปลว่าใจที่ตั้งมั่น หรือจิตที่ตั้งมั่น ในสภาพ ที่เราได้ฝึกฝน รู้ว่าไอ้นี่มันอบายมุข ไอ้นี่มันเฟ้อมันเกิน ไอ้นี่มันครอบงำเรา ล้วนแล้วแต่ จะหาเรื่องมาหลอกล่อทางจิต ให้จิตเราหลงใหลตาม

พอเราเรียนรู้กิเลสแล้ว พระพุทธเจ้านี่สอนให้รู้จักกิเลส แล้วก็ล้างกิเลสให้ถูกตัวตน เรียกว่า สักกายะ หรืออัตตา หรือเรียกว่าอาสวะ หยาบ กลาง ละเอียด จับตัวตน ของกิเลสได้ ล้างตัวตนด้วยวิธีปฏิบัติมรรคองค์ ๘ นี่แหละ หรือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ เอามาอธิบาย ให้พวกเราปฏิบัติให้มันถูกต้องเป็นสัมมาทิฐิ จนเกิดศีล สมาธิ ปัญญา เกิดวิมุติ เกิดวิมุติญาณทัศนะ ได้อย่างแท้จริง จึงเกิดคนที่มั่นใจ เลิกจริงๆ แล้วก็เห็นผลว่า เราเลิกได้ ละได้ มันพาสบาย พาเราอยู่เป็นสุข

ที่อาตมาพาทำนี่มันเป็นลักษณะสละออก เรียกว่าจาคะหรือเนกขัมมะ เลิกจากโลกีย์ ที่เขามอมเมา หลุดพ้นออกมา มาเป็นคนที่ไม่เหมือนโลกเขา จะต้องสวย เราก็มาไม่สวย จะต้องรวย เราก็มาไม่รวย เมื่อเราไม่ต้องไปแย่งชิงแม้แต่ความร่ำรวย เราอยู่รอดไหม เราก็ได้มาพิสูจน์ เอออยู่รอด รอดยิ่งกว่า

ฟังให้ดีนะตรงนี้อาตมากำลังจะค้านแย้งกับในโลกและนายกรัฐมนตรีปัจจุบันนี้ เพราะ นายกฯ จะให้รวยกันทั้งประเทศ แต่อาตมามาบอกให้จน มาบอกให้เป็นคนจน การมาจนนี่ มันทำให้เกิดเศรษฐกิจดี คนตั้งใจมาจน คือคนสร้างเศรษฐกิจให้แก่สังคม คนไหนตั้งใจ ไปรวยนี่ เป็นคนทำลายเศรษฐกิจให้แก่สังคม เพราะทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตา กอบโกย เอาเปรียบ มันถึงจะรวย สร้างน้อยก็เอามาก สร้างของไม่ค่อยดีก็ตั้งราคาแพงๆ วิธีทำ เศรษฐกิจ ทุนนิยมนี่ เป็นเศรษฐกิจทำลายโลก

เรากำลังประกาศเศรษฐกิจบุญนิยม เป็นเศรษฐกิจช่วยเหลืออุ้มชูโลก เพราะว่าเป็น การสะพัด เศรษฐกิจต้องมีหลักการเฉลี่ย แต่เศรษฐกิจทุนนิยมทุกวันนี้น่ะมันผิด ต่างคน ต่างโลภ ต่างคนต่างดูดเอาให้มาก เศรษฐกิจมันก็เลยเอียงไปข้างขี้โลภ เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว มันก็เลยเกิดความระส่ำระสาย เกิดความเดือดร้อนแย่งชิง แล้วก็เกิดวิธีโกง เพื่อที่จะเอาเปรียบผู้อื่นให้ได้มากที่สุด สรุปก็คือไม่ลดกิเลส ไม่ลดความเห็นแก่ตัว ไม่มา เรียนรู้สัจจะว่า จิตคนนี่กิเลสมันเลว มันไม่ช่วยสังคมมนุษยชาติ ทำบาปให้แก่ตัวเอง

วิธีคิดของทุนนิยมนี่ บาปทั้งนั้นแหละ เป็นวิธีที่เอาเปรียบ เอาเปรียบมันก็บาปแล้ว ขายเกินทุน นี่คือการเอาเปรียบ ซึ่งต้นทุนนี่เขาคิดหมดเลยนะ ทั้งวัตถุดิบ ทั้งค่าโสหุ้ย ทั้งค่าเสื่อมเข้าของเครื่องใช้ ทั้งค่าแรง ค่าความรู้ ค่าจัดการ นอกจากนั้นยังมีค่าบวกเผื่อไว้ เพราะยังไม่รู้ว่ามันมีอะไรอีกที่มันอาจจะขาดหกตกหล่นยังคิดไม่ออก เขาเรียกว่าเออเร่อ [Error] บวกเข้าไปอีก ๕ %% และถ้าขายได้เกินราคาทุนมากเท่าไร เขาก็ยิ่งดีใจ แล้วถือว่า ยุติธรรม ถือว่าสุจริต ซึ่งโดยสัจจะนั้นทุจริตตั้งแต่ต้นทาง ยุติธรรมนั้นคืออะไร ยุติธรรมก็คนจำนน ยุติแปลว่าหยุด แปลว่าพอ แปลว่าเลิกรา แปลว่าไม่มีปัญหา ไม่ทะเลาะวิวาท ยุติ แต่ความจริงมันไม่ได้ยุติหรอก มันจำต้องยุติเพราะจำนนเท่านั้น อาตมาจะไม่ขยายความ ให้มันลึกไปกว่านี้แล้ว

เมื่อเราเอาเปรียบเขา เป็นสุจริตตรงไหน ทุนพันนึง คุณก็เอาเงินพันแลกมา อย่างนี้ จะเรียกว่า สุจริตก็สุจริต ไม่มีทุจริตเพราะเจ๊ากัน มันก็สุจริตแล้ว ไม่มีใครบาป ไม่มีใครบุญ แต่ถ้าคุณขายพันห้า คุณเอาเกินทุนจริงมาห้าร้อย ก็ขูดรีดเขามาห้าร้อย เพราะของราคา ทุนแท้ๆเต็มๆ พันนึง แต่เราเอามาเกินทุนตามวิธีคิดทุนนิยม แล้วนับว่ายุติธรรม สุจริต มันถูกต้องที่ไหน ยิ่งถ้าใครสามารถบวกเอาเกินแล้วเรียกว่ากำไรให้มากยิ่งๆได้ ก็ยิ่งชอบ ถือว่ายิ่งเก่ง ทั้งโลกทุนนิยมคิดอย่างนี้ จึงเป็นสังคมที่ไปไม่รอด ไม่ใช่อาตมาพยากรณ์ แต่พูดความจริง แนวคิดอย่างนี้เป็นแนวคิดบาป เป็นแนวคิดที่ไม่เกิดบุญ ไม่เกิดคุณค่า คนขี้โลภได้มูลค่ามากขึ้นจริง แต่คุณค่าของตัวเขาลดลง คนชนิดนี้ไม่มีประโยชน์เลย ในโลกนี้ นี่คือระบบทุนนิยม

อาตมาถึงเอาทฤษฎีหรือว่าวิธีคิดแบบบุญนิยม มาทำกัน ขายของราคาต่ำกว่าทุน เขาก็หัวเราะกันฟันร่วง แล้วมันจะอยู่กันอย่างไร พวกเราอยู่ได้ไหม (ได้ครับ/ค่ะ) เพราะวิธี คิดทุน เขาคิดค่าแรงงาน ค่าความสามารถ ค่าความรู้ เราจึงมาลดค่าตัวที่เป็นค่าแรง ค่าความรู้ความสามารถนี่แหละ ก็เป็นการลดต้นทุนแล้ว หรือการขายต่ำกว่าทุน ก็คือ ลดส่วนของตนตรงนี้แหละเราเสียสละ ค่าตัวของเราควรจะได้ แต่เราไม่เอา เราเสียสละ ให้แก่สังคม นั่นคือคุณค่าของเรา นั่นคือเรามีประโยชน์ต่อสังคมมนุษยชาติ เอาหลักเกณฑ์ ของพระพุทธเจ้ามาสอน เป็นคนมักน้อย อัปปิจฉะ สันตุษฏฐิ ปวิเวกะ อะไรอย่างนี้ ก็เอามาอธิบายเป็นภาษาไทย ให้พวกเราเข้าใจว่าเออ..การมักน้อย การไม่เอามาก ที่มันสอดคล้อง กับพระราชดำรัสในหลวง เป็นอันเดียวกันกับของพระพุทธเจ้า พึ่งตนเอง มักน้อย พอเพียง

ความล้มเหลวของการเมืองอย่างยิ่ง เพราะกันศาสนาออกจากการเมือง ท่านที่เป็นพระ เป็นภิกษุก็เชื่อ อาตมาไม่เชื่อ อาตมาเห็นว่าไม่ถูกต้อง

เมื่อคนตัดทางที่จะก่อเกิดธรรมะ คนไม่ทำสายต่อเชื่อมเข้าหาศาสนา ไม่ให้ธรรมะ ไปยุ่ง เกี่ยวด้วย โดยเฉพาะผู้บริหาร ผู้ไปทำงานกับสังคมส่วนรวมของประเทศ ตัดโอกาส ที่จะเข้าใกล้ธรรมะ ใกล้ศาสนา ไม่หาทางเนื่องเกี่ยวกับพระกับศาสนา อันเป็นฐาน แห่งธรรมะ ซึ่งเป็นเนื้อแท้ของมนุษย์ เป็นคุณค่าของมนุษย์ เป็นคุณธรรมของมนุษย์ เมื่อกันศาสนา กันธรรมะ ออกจากผู้บริหารประเทศ ประเทศชาติมันก็ล้มเหลวสิ

ทุกวันนี้ มีการเมืองบุญนิยม การเมืองทุนนิยมเขาก็เดินทางหนึ่ง การเมืองศักดินา เขาก็ทำอย่างนั้นแหละ อำนาจบาตรใหญ่ เอาทุนมาเป็นเรื่องเอก แต่การเมืองบุญนิยม ของเรานี่ เอาจิตวิญญาณเป็นเรื่องเอก เอาบุญเอากุศลเป็นเรื่องเอก เพราะฉะนั้น เรามา ปฏิบัติธรรม พอเราปฏิบัติธรรมแล้วเราช่วยเหลือกัน เราทำการเมืองแบบ บุญนิยมกัน ไม่ต้องไปอ้อนวอนร้องขอเป็น สส.,สว.ส.อะไรต่ออะไรก็ตาม ไม่ต้องทำ อย่างนั้น แต่เรา จะมีตัวแทนของหมู่กลุ่ม พวกเราจะรู้กันเอง กลุ่มหมู่จะรู้ว่าคนนี้ เหมาะไปทำ หน้าที่นี้ นั่นแหละคือผู้ที่ได้รับเลือกตั้งอย่างสัจธรรมของพุทธมาแล้ว เราก็ตั้งให้จริง แล้วเราก็ ทำงานจริง ไม่ต้องไปรับสินจ้างรางวัล ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่อง เอาเงินไปซื้อ เพราะพวกเรา ด้วยกันเอง เข้าใจกันเอง คนไหนมีความสามารถเท่าไร มีคุณธรรมเท่าไร เหมาะสม ในหน้าที่ อย่างไร เราหมู่กลุ่มควรรู้กันเอง ไม่ใช่ไปเอาใครมา ก็ไม่รู้ แบบหมาหลง เป็นใคร มาจากไหนก็ไม่รู้ ดีไม่ดีก็ไม่รู้ มีความสามารถด้านไหน จริงไม่จริงไม่รู้ นี่แหละเขาเรียก ผู้แทนหมาหลง หิ้วกระเป๋าเงินมาอย่างเดียว แล้วก็มาสมัคร แล้วก็มาจ้างคนโน้นคนนี้ ใครเป็นหัวคะแนนได้ ก็จ้างหัวคะแนนไป อย่างนี้ มันไม่ใช่สัจจะ ไม่ใช่ความจริง ผู้แทน ก็คือคนที่เรารู้ว่าเป็นคนจริง คนนี้ดีอย่างไร ถนัดอะไร จะให้ไปทำงานเรื่องไหน อย่างไร คนนี้ดูแลการเงินไป คนนี้ทำหน้าที่ครู ด้านการศึกษา ก็ทำไป คนนี้ทำหน้าที่ทางด้าน กสิกรรม คนนี้ทำหน้าที่ทางการผลิต มันก็เหมือนกับ กระทรวงต่างๆ ย่อลงมาเหลือเล็กๆ และบางกระทรวงที่เขามี เราก็ไม่ต้องมีกระทรวง แบบนั้น อย่างเช่นบางประเทศ เขามี กระทรวงกีฬา พวกสังคมอโศกเรา ไม่ต้องมีหรอก กระทรวงกีฬา กีฬากำลังจะทำลายโลก ทุกวันนี้ กีฬาก็คือเรื่องของการเสียเวลา กับเสีย น้ำยา เสียพลัง เอาพลังไปเล่น กีฬาคือ การเล่น แทนที่จะเอาพลังมาสร้าง ก็สูญเสีย มหาศาล เดี๋ยวนี้พวกนายทุนเขาปั่นหัว แล้วก็สร้างขึ้นมาเป็นเงินเป็นทอง หลอกล่อ จนกระทั่ง ร่ำรวยกัน

เมื่อเรารู้เท่าทัน เราก็เลิก เสียแรงงาน เสียเวลา เสียทุนรอน ในเรื่องอย่างที่ไม่เป็น ประโยชน์ เราก็เอาเวลา เอาแรงงาน เอาทุนรอนคืนมา เอามาสร้างสรร

รัฐบาลจะพยายามให้คนร่ำรวย บอกว่าเศรษฐกิจดี แต่ทำไมคนมันยังจนอยู่ อันนี้มันเป็น ความซับซ้อน การรวยของเขานี่ก็คือ เงินมันหมุนขึ้นไปสู่ระดับบน พัฒนาแล้วเงินก็ขึ้น ไปรวยกัน อยู่ที่ระดับบน เงินเข้ามาจากต่างประเทศ มันไม่มาถึงมือพวกเราหรอก อยู่ในมือ คนรวย บอกว่าเศรษฐกิจเจริญขึ้นเท่านั้นเปอร์เซ็นต์ หนักเข้าคนจนนั่นแหละ จะเป็นทาส ที่จะสร้างอะไรให้แก่คนที่อยู่ในระดับบน ซื้อเอาไปขายเอาเปรียบเอารัด เอากำไร รวยต่อไป เรื่อยๆ คนจนก็ยังเป็นแรงงานที่จนอีกต่อไป

ที่ปลัดจังหวัดท่านว่า ทำไมคนเรายังจนอยู่นะ ทั้งๆที่เศรษฐกิจดี ก็เป็นอย่างนี้แหละ จะไปอีกนานเท่าไร ก็อย่างเก่า ก็จนอยู่อย่างนั้นแหละ เอ้าผู้ที่อยากรวย รวยไปเสีย ให้เข็ดเลย เราจะมาจน คนรวยนี่น่าสงสารนา รวยแล้วก็กินแพง กินมีมลพิษ จะกิน อย่างติดดิน กินอย่างสะอาดๆ กินอย่างพวกเราไม่เป็นหรอก ต้องไปกินแบบหรูๆหราๆ เอาสารเคมีเป็นสิ่งปรุงสวยสดงดงามหอมหวาน เขาก็จะเป็นแบบนั้น ทำให้เกิด ความเหนื่อยยาก คนรวยแล้วมีนิสัยอย่างนั้น มันเป็นกิเลส มันเป็นภาระของเขา เขาสอน ลูกหลาน เป็นอย่างนั้น เป็นความหนัก เป็นความเหนื่อย เป็นความลำบากของเขา ตลอดไป เขาไม่มาละมาลด ไม่มาล้างไอ้ที่มันไม่น่าติดไม่น่ายึด เขาไม่มาทำ ไม่มาศึกษา เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นคนน่าสงสาร อย่าไปริษยาเขาเลย เพราะเขารวยนั้นน่าจะเข็ด แต่ถ้าเขาไม่เข็ดก็เรื่องของเขา

พระพุทธเจ้าก็มีทรัพย์ศฤงคารทุกอย่าง มีความเป็นอยู่หรูหราฟู่ฟ่าทุกอย่าง กามคุณ ๕ ทุกอย่าง ศักดินาแบบไหนท่านมีหมด แต่ท่านมีบารมี ท่านไม่ติดไม่ยึด มาเป็นคนจน มาเป็นคนติดดิน ท่านก็หลุดออกมาเป็นคนอย่างที่อาตมาพาทำนี่ ดำเนินชีวิตของมนุษย์ สังคม กลายเป็นสังคมแบบเรา

ท่านปลัดจังหวัดพูดถึงสังคมเก่า เรานี่แหละเป็นสังคมใหม่ เรียกว่า นวัตกรรม เป็นสังคม ที่มุ่งไปจน มาทำงานอย่างเสียสละ แล้วก็มาอยู่กันอย่างเป็นพี่เป็นน้อง เรากำลังสร้าง หมู่บ้าน สร้างชุมชนที่มีวิธีการแบบบุญนิยม เป็นชุมชนที่ลดกิเลส

ในโลกนี้นี่มีสมบัติอยู่ส่วนหนึ่ง ถ้าคนขี้โลภไม่มีที่สิ้นสุด และเขาก็เก่งด้วย เขาก็หอบไป เป็นของตัวเองหมด คนอื่นก็เดือดร้อน เพราะฉะนั้นเราอย่าไปหวังพึ่งชั้นบนเลย เพราะชั้นบน เขาไม่หยุดดูด นั่น ๑ ๒) แม้ว่าเขาจะดูดก็อย่าไปโกรธเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ เขาสร้างบาปโดยไม่รู้ตัว เพราะเขาดูดเอานี่เขาทำอย่างเอาเปรียบเขาก็เป็นบาป เขาสร้าง นิสัยของเขาอย่างไม่ดี อย่าติดยึดแบบคนรวย ๓) เขาเป็นคนไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่า ๔) เขามีวิบากกรรมคือเป็นหนี้บาป ซึ่งต่อไปในอนาคตในชาติหน้าโน้นๆ เขาจะทุกข์ร้อน โดยสัจธรรม ของกรรมวิบาก กรรมจะพาเขาเกิดตามสัจจะ เขาจะเป็นวิบากเวรภัย ของเขาจริงๆ ไม่ต้องไปริษยาเขา ไม่ต้องไปโกรธไปเคืองเขา เราไม่มีอำนาจ เราไม่มี อิทธิฤทธิ์ พอที่จะไปสอนเขา เรารู้จักวัฏสงสาร รู้จักบาปบุญ เรารู้จักความดีงามที่แท้จริง เราก็มาทำ มาเป็นคนจน เป็นคนไม่เอาเปรียบ เป็นคนเสียสละ มีประโยชน์ต่อโลกต่อผู้อื่น คนดีที่จนนี่ จริงๆ แล้วมันอยู่ด้วยกันได้ ไม่ใช่ว่าคนจนเป็นคนไม่ดี ไม่ใช่นะ จริงๆแล้ว คนรวยต่างหากเล่า ว่ากันจริงๆ เป็นคนไม่ดี เพราะเขารวยนี่คือเขาโลภ เขาเอาเปรียบ เขาขูดรีด แล้วมันจะไปดีได้อย่างไร ใช่ไหม แต่คนมาจน อย่าจนอย่างเป็นภาระ จนอย่าง ไม่ทำงาน ขี้เกียจขี้คร้าน ขอทานเขากิน ไปเกาะเขากินเหมือนปลิงเหมือนทาก ไม่ทำอะไร หรือจนอย่างฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ก็จนน่ะซีอย่างนั้นน่ะ หรือจนอย่างเป็นทาส อบายมุข จนอย่าง สำมะเลเทเมา อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ต้องเป็นคนจนอย่างประเสริฐ จนอย่างวิเศษ ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคนจนมหัศจรรย์

พระพุทธเจ้าสอนให้ไม่สะสม อปจยะ พวกเราปฏิบัติได้ แล้วก็สร้างสรรสะพัดไปสู่สังคม ขายขาดทุนนี่แหละประเสริฐ แต่ต้องมีความรู้ตามระบบบุญนิยม จึงจะขายขาดทุน ให้แก่สังคมไปได้ด้วยดี เราก็ได้บุญได้กุศล นี่เป็นแนวคิดที่อาตมาว่ามาสร้างสังคมใหม่ ส่วนสังคมเก่า ที่เขายังร่ำยังรวย ยังแย่งชิงกันอยู่ทั่วโลก เขาจะเป็นอย่างนั้น อยู่อย่างนั้น ตลอดเวลา ของเราอยู่อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน อยู่อย่างเล็ก ไม่ต้องไปเบ่งไปข่มใคร ใครจะข่ม เราก็หนี ไม่ให้เขาข่มซะ หรือเขาจะข่มบ้าง เราทนได้ก็ทนไป ทนไม่ได้ก็เอาเถอะ เรารับใช้เขา ช่วยเหลือเขา มันเป็นบุญเป็นกุศลของเราทั้งนั้น

ต่อไปเราจะสัมพันธ์กับสังคมรอบข้างอีกเยอะ สำคัญว่าเราจะต้องทำตัวให้มันอยู่ในสังคม แม้ว่าเราจะไม่หรูหรา มาถึงวันนี้แล้ว โอ้โฮ....พวกเรานี่มันเหมือนคนที่..อะไรล่ะ ที่สังคม เขารังเกียจ อาตมาก็เลยไปเอาอีแร้งมาเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว เพราะคนทั้งหลาย เขารังเกียจ อีแร้งกัน อีแร้งมันไม่ใช่สัตว์น่ารังเกียจเลยจริงๆ มันเป็นสัตว์ที่น่าสรรเสริญ เพราะเป็นสัตว์ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ไปสร้างความวุ่นวายจุ้นจ้านให้ที่ไหนเลย แร้งนี่ มันไม่เคย ก่อบาปก่อเวรเลย ไม่ทำร้ายอะไรใคร อยู่ๆ กินๆ ของตัวเอง เก็บกวาดของเน่า ของเหม็น ให้แก่โลกให้แก่นิเวศน์ ให้แก่สิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำไป เป็นสัตว์สงบ เป็นสัตว์ สมถะ ไม่เบียดเบียนกัน เมตตา เกื้อกูล มีระเบียบ มีระเบียบนะ พอมีวัวเน่าตัวหนึ่ง เวลาฝูงแร้งมาเจอวัวเน่าตัวนี้ปั๊บ บินพรึบลงมา จะกี่ตัวก็ตาม ที่ลงมาก่อน ถ้าหัวหน้า ยังไม่ลงมานี่ ลูกน้องก็ยืนมองอยู่อย่างนั้น....ยังกินไม่ได้นา หัวหน้ามาลงปั๊บ มองหน้า ลูกน้อง เสร็จเรียบร้อย เดินเข้าไปกิน พอหัวหน้าจิกกินปั๊บเสร็จ ลูกน้องจึงจะกรูกัน เข้าไปกิน แร้งนี่แหละเป็นสัตว์ที่บินสูงที่สุด

ผู้ใดสนใจ เห็นว่าดี อยากจะติดตามก็พยายามศึกษาร่วมกัน เข้ามาผนึกกันเป็นมวลหมู่ ที่จะสร้างสรร ให้มันเกิดสังคม เกิดเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ เกิดรัฐศาสตร์ เกิดการศึกษา ชนิดนี้ขึ้นมาให้เจริญๆ ทุกคนขึ้นไป มันจะได้เป็นบุญของตน และเป็นบุญทั้งสังคม เป็นบุญ ทั้งโลกด้วย สำหรับวันนี้เอาแค่นี้"

บ่ายมีรายการ "ผักพืชผลไม้ไทย ไปครัวโลก" ขณะพ่อท่านยังฉันไม่เสร็จ ทำให้ได้ฟัง รายการไปด้วย มี ดร.พยาบาลหญิงคนหนึ่งได้มาร่วมรายการด้วย กล่าวชื่นชมพ่อท่านว่า ทำให้เขาสบายใจ จากการได้มาฟังพ่อท่านเทศน์ก่อนฉัน พ่อท่านได้พูดถึงอุดมการณ์ ทำให้คนจน พอใจกับอาชีพมักน้อยสันโดษ ทำให้ข้อกังวลเรื่องชื่อที่ให้พูดว่า "จะไปครัวโลก" บรรเทาลงไปได้

หลังฉันท่านโสรัจโจอยากให้พ่อท่านไปดูบ้านดิน เพื่อจะได้พักค้างที่นั่น เนื่องจากญาติโยม เกรงว่า ถ้าพักที่กุฎีดินนั้น จะทำให้อับชื้น ขณะที่กุฎีหลังใหม่นั้นมีไอแดดร้อน ถ้าพ่อท่าน จะนอนพักก็จึงอยากนิมนต์ให้ไปพักที่กุฎีดินจะดีกว่า แล้วก็เลยนิมนต์พ่อท่าน ไปดูบริเวณ ต่างๆ ของหินผาฟ้าน้ำที่ได้มีการก่อสร้างใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ดิน ที่พักชายดิน โรงเรียนดิน กุฎีดิน ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ท่านโสรัจโจอยากให้พักที่กุฎีนี้ อยากให้ลองนอน ดูก่อน ในช่วงกลางวันนี้ ถ้าเห็นว่าดี กลางคืนจะมานอนที่นี่ก็ได้ แต่ดูเหมือนหลายเสียง ไม่อยากให้มานอนที่นี่ เกรงจะอับชื้นไป

จากที่พักชายและกุฎีสร้างใหม่ เดินต่อไปดูโรงเรียนดินที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน ดูดี เหมือนกัน อยู่ท่ามกลางเขาป่า และไร่นาของชาวบ้าน

เลยต่อเข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งจัดเป็นบริเวณงาน เครือข่ายนำสินค้ามาจำหน่าย แวะที่ร้าน แก่นอโศก โยมนิมนต์ให้ลองฉันชา

กลุ่มเลยขอพบพ่อท่าน เพื่อจะถวายเงินให้สร้างพลาภิบาล แล้วสนทนาต่อเล็กน้อย เสร็จจาก พบกลุ่มเลย ท่านโสรัจโจนิมนต์พ่อท่านพักนอนที่กุฎีนั้น

พ่อท่านกลับจากพักที่กุฎีดินแล้ว ได้มาอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ที่กุฎีไม้ จนกระทั่งถึงเย็นค่ำ มีญาติโยม มาพบและสนทนาด้วย เมื่อญาติโยมไปแล้วพ่อท่านอ่านหนังสือพิมพ์ในกลด



"คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ" ครั้งที่ ๒
๑๒ พ.ค.๔๗ ที่ราชธานีอโศก วันแรกของงานศิษย์เก่าสัมมาสิกขา "คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ" ครั้งที่ ๒ ปีนี้มีผู้มาร่วมงานทั้งหมด ๒๑๙ คน เป็นชาย ๑๓๓ คน หญิง ๘๖ คน น้อยกว่า ปีแรก เนื่องด้วยไม่ตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่เป็นเจตนาของพ่อท่าน เพื่อจะคัดคน ผู้จะมาร่วมงานได้ ย่อมจะต้องเห็นความสำคัญของงานนี้จริงๆ

จากบางส่วนที่พ่อท่านแสดงธรรม "ขอบอกให้พวกเราฟังนะว่า อยู่บ้านเถอะลูก พ่อปลูก อโศกเพื่อเจ้า สิ่งที่เกิดพวกนี้นี่ มันเป็นของของเรา เพราะว่าเราสาธารณโภคีนี่ ทุกคน อยู่ในนี้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย แต่นั่นแหละมันคือเราเป็นเจ้าของกันทุกคน เรามาร่วมกิน ร่วมใช้สมบัติพวกนี้ พวกอาตมาหรือพวกที่อยู่รุ่นนั้น รุ่นก่อน พี่ป้าน้าอาปู่ย่าตาทวด แก่แล้ว ก็ต้องตาย ตายไปก่อนพวกเรา พวกเราก็รับสมบัติพวกนี้ต่อ โดยไม่ต้องเขียนพินัยกรรม มรดกนี่ พวกเราก็ต้องรับสืบทอดต่อ ชื่อว่าคนอโศกเป็นเจ้าของทั้งหมด เราไม่ใช่มีแต่ ราชธานีอโศก ตอนนี้ทั่วประเทศแล้ว เป็นสมบัติของชาวอโศก ขอให้มาเป็นคนอโศก มีพฤติกรรม คุณสมบัติชาวอโศกแน่ๆ อยู่ตามหลักเกณฑ์ ไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐาน เราไปที่ไหน ก็เป็นของเรา กิน ใช้ อาศัย ร่วมกันสร้าง มันจะต่างกันกับระบบทุนนิยมเขา อย่างมหาศาล ทุนนิยมนี่ เขาสะสมทุน พอโตมาอีกหน่อยเขาก็แยก แยกออกๆ ด้วยลูกเต้า เหล่าหลาน กงสีเดียว อีกหน่อยก็แยกแบ่งไปแบ่งไป มีลูกหลานใหม่ มีคนเข้ามายึด เป็นของเรา เพิ่มขึ้นๆๆๆ ยึดของของตนออกไปเรื่อยๆ ทุนนิยมเขาจะเป็นอย่างนั้น เขาไปโกง ไปโลภมาๆๆ แล้วก็แยก ส่วนบุญนิยมนั้น แบ่งๆๆๆไม่ยึดเป็นของตน ให้แก่ ทุกคน จึงเป็นการแบ่งเพื่อกระจายๆๆๆ แบ่งออกไป แต่เราก็มีสิทธิ ร่วมอยู่ในนั้น ทั้งนั้น จึงเป็นการแบ่งที่ทั่วถึง และเราก็ยิ่งมีสิทธิมีส่วนในสิ่งที่กระจายออกไป มันมีทั้ง ไม่ยึดเอา มีทั้งยิ่งเป็นสิทธิที่กว้างขึ้น มันก็แยกกันแต่ยิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างเนียนสนิท จึงไม่ได้ แยกแตกออกไป แต่แยกยิ่งแน่นลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นเครือข่ายมีมากขึ้น มันก็คือ มีมารวมเข้าๆ มากขึ้นๆๆๆ

ฟังให้ดีๆนา ระบบบุญนิยมนี่สุดยอด อาตมาว่า โอ้โฮ....ของพระพุทธเจ้านี่สุดยอดจริงๆ ต่อไป ในโลกทั้งโลกเลย ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทย จะทึ่งระบบนี้ ทำไมมันถึงวิเศษ ขนาดนี้ หรือมันเป็นแนวปฏิบัติที่ต่างกันกับทุนนิยมคนละเรื่อง ทุนนิยมนี่ แม้เป็นกงสี เดียวนี่ ประเดี๋ยวเถอะลูกเต้าเหล่าหลานมา ยิ่งอาเสี่ยใหญ่ ส่วนมากจะมีเมียน้อย มีลูก อีกหลายครัว เสร็จแล้วก็ห้ำหั่นกัน ฆ่าแกงกัน เสร็จแล้วก็แบ่งสมบัติกันออกไป และ เมื่อยังโลภ ก็กลายเป็นตัวแย่งใหม่ ระบบทุนนิยมมันโลภมาจากการยึดเป็นของตัว ของตน เสร็จแล้วก็ต้องมาแบ่งออกๆ แบ่งแตกแยกออกไป เสร็จแล้วก็เข่นฆ่ากัน แข่งกัน ลูกเมียน้อย ลูกเมียใหญ่ หรือเพื่อนน้ำมิตรแต่ละคนที่ร่วมกันก่อสร้างมา อะไรก็แล้วแต่ ล่อเละ กันเข้าไป ส่วนของบุญนิยมนั้นน่ะ ทุกคนมาสละตัวตน มาสละอะไรออก มารวม เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วมันก็ยังมีเครือข่ายไปทั่วโลก คุณไปหาส่วนตัวของคุณ คุณจะหา ได้สักเท่าไร ... อยู่บ้านเถิดลูก พ่อปลูกอโศกให้เจ้า อโศกต้นนี้จะแตกกิ่งก้านสาขาออกไป ต่างประเทศ อาตมาไม่อยากจะอ้าขาผวาปีก หรือว่าอวดใหญ่อวดโตอะไรเกินไป ปานนั้น เอาแค่ ในประเทศไทยนี่ก่อนเถอะ มันก็จะแตกกิ่งก้านสาขาออกไป จะเป็นอโศกทั้งหมด และต่างก็เป็น ของทุกคนร่วมกันทั้งหมด เพราะเราไม่ได้คิดว่าอันนี้เป็นเรา เป็นของเรา สิ่งนี้ ลึกล้ำยิ่ง ที่อาตมาพูดนี่มันเป็นภาษาเหมือนจะเล่นลิ้น จริงๆก็เป็นเช่นนั้นได้

โลกกำลังรอสิ่งเหล่านี้อยู่ ก่อนจะถึงกลียุคนี่ จะต้องมีสิ่งประเสริฐประกาศขึ้นมา แม้ว่า ประกาศขึ้นมา ไม่ใหญ่ยิ่ง แต่จะต้องเป็นสัจธรรม จะต้องเป็นตัวของจริง ปรากฏก่อน จะสิ้นกลียุค กว่าจะถึงขีดสุดของโลก โลกจะสลายสิ่งหนึ่ง จะเหลืออีกสิ่งหนึ่ง พวกเรา จะต้องรังสรรค์อันนี้ขึ้นไป

เพราะพลังดีมานด์ของกระแสโลกเขาสูงขึ้นแล้ว อุปสงค์ของโลกเขาต้องการเราเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องอุปทาน จำเป็นจะต้องซับพลายให้แก่เขา มันก็ต้องมีแรง มีบุคคล มาช่วยกัน อันนี้จริงๆมันเป็นความจำเป็น แล้วมันก็เป็นความจริงที่ถึงเวลาแล้ว

ถ้าเผื่อว่าเรามาอยู่ที่นี่แล้วก็ใช้เวลาโอกาสปัจจุบันที่เรายังไม่ตายนี่พัฒนาตัวเรา สร้าง อาริยทรัพย์ สร้างแม้แต่กุศลโลกีย์ก็ตามที่นี่เราก็พาสร้าง เรามาทำงานที่นี่ แม้เราไม่ได้ โลกุตระ เราละกิเลสเป็น คุณก็มีกุศลปุ๊บ ไม่ได้ให้อะไรคุณ คุณสร้างแล้วเอามาเสียสละ ใช่ไหม มันก็เป็นทรัพย์ของคุณนั่นแหละ

นี่บอกยอดมา มีแค่ ๑๓๓ คนตอนนี้ ถ้าเราเองเราไปเห็นว่าไอ้นี่ไม่สำคัญ ช่างเถอะ มาเมื่อไร ก็ได้ เราไปหาเงินทางโน้นดีกว่า ไอ้นั่นจะได้อีก ๕๐๐๐ จะได้อีกหมื่นหนึ่งน่ะ มันสำคัญกว่า คุณก็ไป คุณก็อ้างโน่นอ้างนี่ ติดไอ้โน่น ติดไอ้นี่ เดี๋ยวจะต้องไปตรงโน้น เดี๋ยวจะต้องไปตรงนี้ เดี๋ยวจะต้องไปเยี่ยมคนนี้ เดี๋ยวจะต้องไปงานโน้นงานนี้ ก็งานโลกีย์ ทั้งนั้นแหละ พวกคุณก็อ้างได้ ติดยึดอยู่ทั้งนั้น

หลายคนบอกว่าแหม อยากให้เพื่อนมา ย้ายไปอยู่วันเสาร์วันอาทิตย์ได้ไหม เพราะมันปิด นี่ไม่ใช่วันปิดเพื่อนเขาก็ติดงานมาไม่ได้ อาตมาบอกว่าเอาวันนี้แหละ มันต้องลองใจกัน ใครจะมาได้ก็มา เลือดแท้ต้องมาน่า เลือดไม่แท้ก็ไม่มาก็ช่างเถอะ อาตมาถึงบอกว่า ไม่เอา ไม่ไปเอาวันหยุดละ เอาวันนี้แหละ ดูซิว่ามันจะลองละได้ไหม ฟังให้ดี เราควรจะอยู่นอก อยู่ห่างหรือเปล่า เราควรจะต้องไปอะไรกันอีก จะไปเอารวยอะไรกัน เอาไปแล้ว มันก็ไม่เป็น ของเรา นอกจากจะไปพาให้เราประมาท แล้วก็หาทางจะชั่ว หาทางจะเปื้อน ได้ง่าย ถ้าเรารวย แต่ถ้าไม่รวยนี่มันก็ดีกว่าอย่างที่ว่า

ทุนนิยมน่ะมันไม่มีประโยชน์ มันไม่มีบุญ มันขาดทุน แต่นี่มันมีบุญแน่ อย่างน้อย มันก็ได้ บุญ กุศลโลกีย์มันก็ได้อยู่แล้ว ถ้ายิ่งได้กุศลโลกุตระด้วย ใครไม่เอา ก็ช่างหัวใครเหอะ

อาตมานี่พยายามใช้วิธีหลายวิธีเพื่อที่จะเน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก คัดเฟ้น เลือกเอาเนื้อ แท้ๆ ได้เนื้อไม่มากไม่เป็นไร ขอให้มันจริง ขอให้มันเลือดแท้ อาตมาจะมีวิธีการนัยคล้ายๆ อย่างนี้เสมอ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่ทำนี่ไม่ได้หมายความว่าทำอย่างงมงาย ทำอย่าง ดันทุรัง ทำอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ใช่ อาตมาทำอย่างมีเหตุผล มีอะไรต่ออะไรให้พวกคุณ เข้าใจได้ พูดก็เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นเราก็เอาวันนี้แหละ โดยมีข้ออ้าง อาตมาอ้างอะไร จะได้ช่วย พ.ฟ.ด. ไง ปิดงานวันที่ ๑๔ วันที่ ๑๕ เป็นวันตัดสินใจกัน ใครจะอยู่ ใครจะไป วันที่ ๑๖ งาน พ.ฟ.ด.แล้ว ก็เท่านี้แหละ อาตมาก็ไม่เชิงเฉโกแต่ใช้เชิงฉลาดของอาตมา ก็เป็นวิธีการ อย่างนี้น่ะดูคน ใครจะอย่างไรก็แล้วแต่ ย่อมเป็นจริงตามแต่ละคน

พ.ฟ.ด.เราก็ต้องการแรงงาน ปีนี้เขาจะมาไม่ใช่น้อยเหมือนกัน แล้วก็เคี่ยวในขึ้นเยอะ ปริมาณน้อยลง แต่คิดว่าคุณภาพจะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นจะต้องทำอะไรให้มันดีขึ้น เนื้อใน อะไรดีขึ้น แล้วจะทำให้เราทั้งพัฒนาสถานที่ แรงงาน สมรรถนะ กรรมวิธี ซึ่งองค์ประกอบ พวกนี้ ก็จะเป็นศิลปะ อาตมาสร้างทุกอย่างเป็นองค์ประกอบ ที่มันจะใช้เป็นเหตุปัจจัย เข้ามาช่วย ให้มันได้เกิด ทำอย่างไรมนุษย์เข้ามาที่นี่แล้วจะถูกหล่อหลอม ทำให้เกิด พัฒนาการขึ้นมาได้ อาศัยทั้งวัตถุ อาศัยทั้งบุคคล อาศัยทั้งพิธีกรรม โดยเฉพาะ จิตวิญญาณ ที่เป็นอาริยะ โลกเขาก็ทำแบบหนึ่ง อาตมาก็ทำแบบหนึ่ง คุณพอเข้าใจไหม เอาละ ก็ขอต้อนรับ ตอนนี้ก็โหมโรงแล้ว"

ส่วนรายละเอียดของงาน "คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ" ติดตามได้จากข่าวอโศกรายปักษ์ฉบับ ๑-๑๕ พ.ค.ที่ผ่านมา ผู้ที่ต้องการฟังรายละเอียดที่พ่อท่านได้เทศน์กับศิษย์เก่า ก็จะมี การแสดงธรรม ทำวัตรเช้า ๑๓ พ.ค. ให้โอวาทก่อนการพูดคุย เพื่อจัดตั้ง สมาคมศิษย์เก่า สัมมาสิกขา และอีกช่วงหนึ่ง เป็นการให้พรก่อนจาก หลังจากที่ได้ให้ของที่ระลึก กับผู้ที่ มาร่วมงานแล้ว ๑๔ พ.ค. ผู้สนใจรายละเอียดติดตามได้จากฝ่ายเผยแพร่


 

งานเพื่อฟ้าดิน
๑๕ พ.ค. ๔๗ ที่ราชธานีอโศก หลังฉันเดินดูตามจุดต่างๆที่กำลังจัดเตรียมงานเพื่อฟ้าดินในวันพรุ่งนี้ จุดแรกที่แวะ อยู่หน้า โรงครัวใหม่ เป็นการสาธิตเรื่องเตาเผา มีเจ้าหน้าที่จาก ธ.ก.ส. คอยให้คำอธิบาย จากภาพนิทรรศการที่นำมาแสดง

เดินดูบ้านในชุมชนที่จัดนิทรรศการแสดงผลิตผลของกลุ่มต่างๆ เริ่มจากกลุ่มบูรพาอโศก แล้วต่อด้วยกลุ่มศรีโคตรบูรณ์อโศก จากนั้นก็เดินผ่านไปอีกหลายๆบ้านหลายๆกลุ่ม แล้วแวะดูฝ่ายเสียงที่เครื่องเสียงยังกองอยู่

เข้ามาที่เฮือนศูนย์สูญ มีเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.เข้ามาจัดเตรียมการลงทะเบียน เพราะวันนี้ จะมีผู้เข้าร่วมสัมมนาเข้าพื้นที่แล้ว ขณะที่พวกเรากำลังช่วยกันขนย้ายสิ่งของ จากนั้น ขึ้นไปดูความเรียบร้อยตามชั้นต่างๆ

จากเฮือนศูนย์สูญเดินไปดูบริเวณที่ตลาดอาริยะ เนื่องจากแดดจัดจึงใช้ผ้าครองโพกหัว ผ่านไปทางร้านกลุ่มทักษิณอโศก ชาวทักษิณอโศกแนะนำสิ่งที่ทางกลุ่มได้นำมา ผ่านกลุ่ม หนองบัวแดง ผ่านสีมาอโศกป้ายใหญ่เบ้อเร่อ ผ่านกลุ่มวังน้ำเขียว นำเอาผักผลไม้ มาประดับเต็นท์ที่พัก พบเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดิน ได้มากราบและแนะนำตัวเอง

กลับมาที่ห้องทำงาน พักนอนแล้วทำงานต่อจนถึงประมาณ ๑๘ นาฬิกา ได้ไปดูกิจกรรม ที่เฮือนศูนย์สูญ ขณะที่ผู้เข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้เริ่มทยอยมา หลายคนกำลังกิน อาหารเย็น ส่วนใหญ่จะเป็นชาว ธ.ก.ส.เอง พ่อท่านแวะไปดูจุดที่กำลังจัดเตรียม ฆ้องชัย สำหรับ ให้ประธานทำพิธีเปิดงาน โดยมีการแขวนตุ้มที่จะใช้ตีฆ้องไว้ข้างบน เมื่อประธาน ตัดเชือก ตุ้มที่ถูกผูกดึงก็จะเหวี่ยงตัวเองมาตีที่ฆ้องพอดี

ต่อมาพ่อท่านแวะขึ้นไปดูที่ชั้นสอง ธ.ก.ส.หลายคนกำลังพูดคุยกัน ที่กำลังหิ้วกระเป๋า ขึ้นมา ก็หลายคน คุณทองแก้วนำเอาบทสัมภาษณ์ที่ได้ไปสัมภาษณ์ผู้มาร่วมงาน ให้พ่อท่านดู พ่อท่านยืนอ่านบทสัมภาษณ์นั้นอยู่เป็นพักใหญ่ ภันเตติกขวีโรติดต่อมา จะให้พ่อท่าน ขึ้นรายการ "อบอุ่น คุ้นเคย" ในเวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. นี้ เนื่องจาก เป็นรายการ ที่คิดจัดขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน ไม่ได้อยู่ในผังรายการมาก่อน พ่อท่าน ไม่มีปัญหา

ที่เวทีธรรมชาติหน้าเฮือนศูนย์สูญ มีการแสดงของวงดนตรีฆราวาส ต่อด้วยการแสดง ของเด็กๆ บ้านราชฯ สมุนพระราม ก่อนพ่อท่านแสดงธรรมหรือสนทนาตามรายการ ภันเต ติกขวีโร กล่าวแนะนำกิจวัตรรายการต่างๆที่จะมีในงานนี้ และบอกเล่าอุปสรรคต่างๆ จากธรรมชาติ ตั้งแต่ปีที่แล้ว จนมาถึงปีนี้

ได้เวลาพ่อท่านเริ่มรายการ "อบอุ่น คุ้นเคย" กว่าจะเลิกก็เกือบสามทุ่มแล้ว


๑๖ พ.ค.๔๗ ที่ราชธานีอโศก ยังไม่มีทำวัตรเช้า เนื่องจากหลายคนเดินทางมาไกล พ่อท่าน เองอยู่ทำงานที่ห้องทำงาน ไม่ได้ออกไปบิณฑบาต ประมาณ ๘ นาฬิกาคุณหนึ่งฟ้า นำอดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ ท่านประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ มากราบนมัสการ พ่อท่าน และสนทนาด้วย

ได้เวลาพ่อท่านแสดงธรรม เสียดายจังรีบมากจนลืมเครื่องบันทึกเสียงไว้ที่ห้องทำงาน ฝ่ายบันทึกเสียงก็เกิดพลาดการบันทึกเสียงโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ก็เกิดปัญหา เนื่องจาก มีการปรับปรุงการติดตั้ง ระบบไฟฟ้า ทำให้จนป่านนี้ยังไม่สามารถนำเสียง การแสดงธรรมวันนี้ มาลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้

ประมาณ ๑๐.๓๐ น. ประธานในการเปิดงานมาถึงคือ พล.อ.ธรรมรักษ์ พ่อท่านหยุดให้ เล็กน้อย แล้วอธิบายธรรมะต่อ ช่างภาพทั้งหลายเข้ามารุมล้อมถ่ายภาพกันเป็นพักหนึ่ง

เมื่อพ่อท่านจบการแสดงธรรม ลงมานั่งที่อาสน์แล้ว พล.อ.ธรรมรักษ์ได้รับการเชิญ ให้ขึ้น ไปนั่งด้านบน เพื่อกล่าวเปิดงาน ก่อนกล่าวอะไรได้มากราบนมัสการพ่อท่านที่นั่งอยู่ แล้วได้ทำพิธีเปิด ด้วยการตัดเชือก มะพร้าวที่แขวนไว้เหวี่ยงลงมาตีที่ฆ้อง

พล.อ.ธรรมรักษ์เสร็จจากพิธีเปิดได้เข้ามารับของที่ระลึกจากพ่อท่าน ต่อด้วยผู้ใหญ่ หลายคน ได้ทยอยกันมารับของที่ระลึก เสร็จจากรับของที่ระลึกแล้ว แขกผู้มีเกียรติ ได้ไปเดินดู บริเวณงาน ก่อนไปรับประทานอาหารที่เรือใหญ่สองลำที่ได้จัดเตรียมไว้

หลังฉันพ่อท่านออกเดินตรวจดูงานตามจุดต่างๆ แวะที่เรือใหญ่ ซึ่งใช้เป็นที่เลี้ยงอาหาร รับรองแขก คือเรือหลังคาเหลือง ชื่อว่า "กล้าข่วมฝัน" และเรือโบสถ์ ชื่อ "ท้าวแถนพญามูล" คุรุมิ่งหมาย รายงานบรรยากาศเลี้ยงอาหารแขกผู้ใหญ่ ต่อด้วยการพูดคุยกับ หมอวีระพงษ์ และ คุรุขวัญดิน

จากเรือ "กล้าข่วมฝัน" ข้ามไปที่เรือ "ท้าวแถนพญามูล" ลงจากเรืออีกฝั่งหนึ่ง เดินไปผ่าน ทางเฮือนสมณะ ผ่านแยกประปา มาทางหน้าแพห้านปันบุญ มีเด็กและผู้ใหญ่คนหนึ่ง บอกให้ลูกของตน กราบพ่อท่าน จากนั้นเดินไปทางบริเวณตลาดสินค้า ขณะแดดจัดมาก เดินตาม ก็รู้สึกเหงื่อชุ่มอังสะ

ผ่านเข้ามาในบริเวณเต็นท์มีสินค้าวางอยู่เป็นแนวยาว ร้านค้าดูยังไม่คึกคัก สงสาร ชาวบ้าน ที่อุตส่าห์หอบเอาสินค้ามา

ผ่านมาถึงร้านที่มีเครื่องหวายวางอยู่ เราเห็นป้ายข้อความ "สานฝันปั๋นบุญ" แต่ไม่มีคนอยู่ ไม่ทราบเป็นของกลุ่มไหน ผ่านป้าย "ดอยรายปลายฟ้า"

ที่กลุ่มวังน้ำเขียวนำเอาผักผลไม้มาประดับที่เต็นท์พักของตน เห็นมะม่วงห้อยด้วย จึงช่วยเพิ่ม ให้ภาพดูมีชีวิตชีวาและสีสันดี

ผ่านร้านที่มีรถไถนา แล้วก็มาที่ร้านเครื่องหั่นฟางและกาบมะพร้าว

มาที่ร้านนี้ซึ่งใช้กองอำนวยการเป็นที่แสดง ไม่ทันได้ดูรายละเอียดว่าเขาจัดร้าน เพื่อนำ เสนออะไร เป็นสินค้าหรือเปล่า เห็นพ่อท่านแวะดูและหยิบจับขึ้นมา พูดถึงขี้ไต้ ซึ่งสมัยนี้ ไม่รู้จักกันแล้ว เดินกลับมาที่ร้านตามบ้านต่างๆ แวะดูที่บริเวณร้านของศรีโคตรบูรณ์อโศก เห็นคนมุงดู กันมาก เข้าไปดูเป็นการสาธิตการนำลวดมาดัดทำเป็นรั้วลวดหนาม

พ่อท่านนอนพักประมาณไม่ถึงชั่วโมง ตื่นขึ้นมาแล้วชวนไปดูขบวนแห่กันหลอน หรือ ขบวนแห่ การเปิดงาน "เพื่อฟ้าดิน"

เมื่อไปถึงบริเวณที่มีการแห่กันหลอน เห็นขบวนกลองยาวจากปฐมอโศก แต่ไม่ได้ตีอะไร เข้าใจว่า คงจะผ่านการตีไปแล้ว จากนั้นพ่อท่านเดินต่อไปที่บริเวณโรงจอดรถใหม่ เนื่องจาก มีเสียงร้องรำอยู่ที่บริเวณนั้น คุณวีระพลนิมนต์พ่อท่านเข้าไปดูการทำเห็ด ต่อมา กลุ่มแม่ฮ่องสอนมาขอถ่ายภาพร่วมกับพ่อท่าน ออกจากโรงรถใหม่ ไปถึงหน้าศูนย์สุขภาพ คุณใบพุทธ นิมนต์พ่อท่านถ่ายภาพด้วยที่หน้าป้าย

เดินต่อไปถึงหน้าบ้านโยมสำเนียง เห็นคุณประพัฒน์และคุณไชยวัฒน์กำลังคุย กันอยู่ และ มีอีกหลายคน รวมทั้งชาว ธ.ก.ส.ด้วย นั่งอยู่ที่ระเบียง คล้ายกำลังรออาหาร ที่โยม สำเนียง กำลังเข้าครัวทำให้ พ่อท่านแวะไปดูทักทาย ก่อนจะออกเดินต่อ

เดินมาทางห้องน้ำหญิงผ่านร้านของเครือข่ายปฐมอโศก เห็นมีมะพร้าว จำนวนมาก ที่หน้าบ้านของทิด คมกล้า ได้ตบแต่งแล้ว มีป้ายข้อความว่า เศรษฐกิจพอเพียง

เมื่อเดินมาถึงหน้าเฮือนโสเหล่ พบคุณมาร์ตินฝรั่งที่มักทำนายืนอยู่ พ่อท่านเข้าไปทักทาย ด้วยเล็กน้อย เดินต่อมาอีกเล็กน้อย มีเด็กเข้ามากราบ แต่ไม่ยอมกราบสักที ได้แต่ทำท่า ก้ม และนิ่งอยู่อย่างนั้น แม้จะมีเสียงเชียร์หลายคน ก็ยังเฉย ครู่ต่อมามี ธ.ก.ส. ชาวใต้ เข้ามาคุย เรื่องการฆ่ากันรุนแรงที่ภาคใต้

๑๗ พ.ค. ๒๕๔๗ ที่ราชธานีอโศก ทำวัตรเช้าพ่อท่านแสดงธรรมที่เฮือนศูนย์สูญ ขณะที่ ฝนตกปรอยๆตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้การใช้เวทีข้างนอกทำไม่ได้ เสร็จจากสวดมนต์ พ่อท่าน นำอธิษฐานธรรม

มีคนทักว่าพ่อท่านพูดวันที่ต้อนรับผู้เข้าอบรมวันแรกนั้นแรง พ่อท่านนึกได้ว่า น่าจะเป็น ประเด็นนี้ คือการอธิบายว่า ใครมีรายได้วันละ ๑ ล้าน นั่งอยู่ในที่นี้มีไหม? นี่มากใช่ไหม ไม่มีใครยกมือ แต่มีจริงๆนะในประเทศไทย เมื่อมีรายได้วันละ ๑ ล้าน เขาก็จะมีรายได้ เดือนละ ๓๐ ล้าน ปีหนึ่งก็ได้ ๓๖๐ ล้าน ๑๐ ปี ก็จะได้ ๓๖๐๐ ล้าน ๒๐ ปี ก็ ๗๒๐๐ ล้าน แต่ความจริง ที่เป็นจริงขณะนี้ มีคนไทยบางคน ๑๐ ปี ๒๐ ปี เขามีรายได้เป็นแสนล้าน ถามว่า คนๆนี้มีรายได้ เฉลี่ยแล้ว วันละกี่ล้าน

พ่อท่านจบการบรรยาย โดยบอกว่าได้พูดถึงหลักวรรณะ ๙ แต่ยังขาด ปาสาทิกะ และ อปจยะ เอาไว้พรุ่งนี้จะพูด

หลังทำวัตรเช้าแล้วพ่อท่านเดินกลับไปที่ห้องทำงาน เพื่อทำดีท็อกซ์ ระหว่างทาง มีเด็กๆ และ ผู้ใหญ่กราบนมัสการ

หลังฉันพ่อท่านต้องไปร่วมรายการพบ ธ.ก.ส. พร้อมกับ ดร.ณรงค์ การบันทึกเสียงแย่มาก เนื่องจากระบบเสียงไม่เป็นปกติ การตั้งค่าของการใช้งานไม่ลงตัว ทำให้เสียงที่อัดมาไม่ดี

ได้เวลาประมาณบ่ายสี่โมง ต้องไปที่เฮือนศูนย์สูญ เพื่อร่วมการสัมมนากลุ่มย่อยของ ธ.ก.ส. จากนั้นเป็นการตอบปัญหาร่วมกับ ดร.ณรงค์

เสร็จจากตอบปัญหาที่เฮือนศูนย์สูญแล้ว คณะดังกล่าวนั้นยังได้มาคุยกับพ่อท่านอีก

พ่อท่านลงไปนอนพักเร็วกว่าทุกวัน เนื่องจากพรุ่งนี้จะต้องเทศน์ทำวัตรเช้า

๑๘ พ.ค.๔๗ ที่ราชธานีอโศก พ่อท่านเทศน์ทำวัตรเช้านี้ เริ่มด้วยถล่มการศึกษาผิดๆ ทำให้เรียนมากๆแล้วกอบโกยเอาเปรียบผู้อื่น แล้วเรียกมันว่ากำไร และเห็นว่า การทำ อย่างนี้ เป็นความสุจริตยุติธรรม นี่เป็นความฉ้อฉลเอาแต่ได้ เป็นบาปโดยสัจธรรม แท้จริง ปลาใหญ่ ควรช่วยปลาเล็ก เพราะแข็งแรงมากกว่า อดทนได้เก่งกว่า แต่เขาไม่ทำ

ประเด็นต่อมาที่พ่อท่านกล่าวถึงก็คือศาสนาพุทธเชื่อกรรมเชื่อวิบาก จึงสอนไม่ให้ไป โกรธแค้นใคร แม้เขาจะมาทำร้ายเรา ถึงขั้นฆ่าเราก็ตาม

แล้วก็มาอธิบายความต่างกันของนิพพานและปรินิพพาน ซึ่งเถรวาทเข้าใจผิดมานาน

เรื่องเทวนิยมก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่พ่อท่านนำมาอธิบาย ให้เห็นความต่างกันกับศาสนา พุทธ ที่เป็นอเทวนิยม พระพุทธเจ้าเกิดมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้า จึงรู้จัก และผ่านศาสนาอย่างเทวนิยมมาแล้วทั้งนั้น เพราะศาสนาเทวนิยมนั้น อยู่ครองโลก นิรันดร์

การปฏิบัติธรรมคือรู้อะไรชั่วแล้วก็อย่าทำ และให้พิจารณากายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต -ธรรมในธรรม ค้นหาจับตัวเหตุที่มันพาทำชั่วแล้วปฏิบัติกำจัดมันให้ได้ จนดับ สนิท คือนิโรธ นิพพาน

จากนั้นได้อธิบายจากหลักโอวาทปาติโมกข์ ๓ ไม่ทำบาปทั้งปวง ยังกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิต ของตนให้ผ่องแผ้ว คำสอนไม่ทำบาป ทำแต่ดี ศาสนาไหนๆก็สอนกัน แต่ศาสนา พุทธ สอนไปถึงจิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ชำระล้างกิเลสของตน ให้จิตสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส

แล้วพ่อท่านอธิบายมิจฉาวณิชชา ที่มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง โดยเฉพาะค้าขายสิ่งมอมเมา แล้วอธิบายมรรคองค์ ๘ และสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า ที่สำคัญพ่อท่านอธิบาย ความสำคัญ และ ลึกละเอียดของศีลแต่ละข้อ

เสร็จจากทำวัตรเช้าบิณฑบาตแบ่งเป็นสองแถว บิณฑบาตแล้วทางผู้เข้าอบรม มีการสรุป ประเมินผล พ่อท่านไปที่ห้องทำงาน

วันนี้ฉันอาหารเร็วกว่าปกติ เพราะพ่อท่านจะต้องไปให้พรก่อนจากในเวลา ๑๑ นาฬิกา

ฉันเสร็จไปถึงเฮือนศูนย์สูญก่อน ๑๑ นาฬิกาเล็กน้อย กำลังมีการสรุปประเมินผล ของกลุ่ม ตัวแทนอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นชาว ธ.ก.ส.เอง จากการฟังแต่ละท่านสรุป ต่างล้วน ชื่นชมพ่อท่านและชาวอโศก ที่บอกว่าบั้นปลายชีวิตเขาก็จะมาเป็นอย่างชาวอโศก คุณปัญญา และ คุณอมรเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.ก็ได้แสดงความเห็นปิดท้าย

คุณถึงไทหรือธำรงได้รับการเชิญให้ทำหน้าที่พิธีกรก่อนพ่อท่านจะกล่าวพรก่อนจาก พ่อท่าน กล่าวย้ำชีวิตหนึ่งๆเกิดมามีวิบาก เราควรปฏิบัติธรรมให้เกิดกุศลให้มากๆ

เสร็จการให้พรก่อนจาก ธ.ก.ส.ทั้งหมดขอถ่ายภาพร่วมกับพ่อท่านและหมู่สมณะ จากนั้น ทาง สจส. ขอถ่ายภาพเฉพาะกลุ่ม สจส.

กลับมาที่ห้องทำงานก่อนจะนอนพัก คุณศิรินำชาววังสวนฟ้ามากราบนมัสการลา พ่อท่าน

ประมาณห้าโมงเย็นพ่อท่านขี่จักรยานสามล้อไปตรวจดูงาน แวะที่โรงครัว สิกขมาตุ กล้าข้ามฝัน ปรึกษาเรื่องจะทำห้องน้ำสองชั้นที่บริเวณโรงรถใหม่ ต่อมาสิกขมาตุผาแก้ว ปรึกษาเรื่อง ข่าวอโศกรอบปี จะทำเกี่ยวกับที่นายกฯทักษิณ ได้ไปคุยกับพ่อท่าน ที่ศีรษะอโศก พ่อท่านไม่ขัดข้องและอธิบายว่า ถ้าเหตุการณ์มันเกิดวันนี้พรุ่งนี้ เรารีบ นำเสนอ ออกเลย คนก็จะเห็นเป็นไปอย่างหนึ่ง หรืออาจจะว่าเราเห่อ แต่ถ้ามันเกิดมา หลายเดือนแล้ว เราเพิ่งนำเสนอ ใครก็รู้ว่านี่เป็นการบันทึกเรื่องราว เอาไว้ ทำได้ไม่เสียหาย

เดินต่อเข้ามาดูงานในโรงครัว เด็กๆกำลังทำอาหารกินกัน พ่อท่านถามว่าอะไร เขาตอบว่า อาหารก่อมะเร็งค่ะ จากนั้นแวะไปดูปลาที่โยมงามธรรมกำลังเลี้ยงปลาด้วยลิ้นจี่ ที่เน่าเสีย จากนั้น แวะไปดูการเอาขยะไปทำปุ๋ยของคุณน้อมดินและดินเย็น แล้วก็วกกลับมา ทางด้าน ในโรงครัวใหม่ต่อ ผ่านภาชนะที่กองเรียงสำหรับการล้าง มาถึงเตาที่ คุณสามแก้วทำ ต่อมาแวะดูวิวทิวทัศน์ริมบุ่งที่จัดแต่งวางหิน และปูหญ้าใหม่ แล้วพ่อท่าน ก็นั่งลงที่หิน

ขึ้นจากท่าน้ำเดินต่อไปทางเฮือนศูนย์สูญ เจอท่านถักบุญที่หน้าเฮือนโสเหล่ ปรึกษา พ่อท่าน เรื่องการวางท่อระบายน้ำ และการย้ายตั้งเสาไฟฟ้าใหม่ ท่านถักบุญ คิดจะเอา เสาไฟฟ้า ที่หน้าเรือเอิ้นขานออก พ่อท่านเห็นด้วยถ้าทำได้ก็ดี จากนั้นเดินกลับมาที่ โรงครัวต่อ เพื่อขี่รถจักรยานสามล้อไปดูที่โรงรถใหม่ เพื่อดูสถานที่ที่จะสร้างห้องน้ำสองชั้น จากนั้นขี่รถจักรยานสามล้อเลยต่อไปที่บริเวณตลาด ซึ่งดูว่างเปล่า ไม่มีรูปรอยของ การจัดงาน เพราะมดงานชาวอโศกเราจัดการเก็บกวาดได้รวดเร็ว ตามวัฒนธรรม ที่เราเคยทำกันมา ทักถามคุณดาวเพ็ญเรื่องกองปุ๋ยที่กองอยู่ด้านหลังกองอำนวยการ

ผู้สนใจรายละเอียดของการแสดงธรรมในงานนี้รวมถึงรายการอื่นๆ ติดตามได้จาก ฝ่ายเผยแพร่เท็ป และข่าวอโศกรายปักษ์ ฉบับ ๑๕-๓๑ พ.ค.



สัมมาทิฐิมีแต่ผู้ที่มีโลกุตรผลเท่านั้น
๒๔ พ.ค.๔๗ ที่ปฐมอโศก หลังการแสดงธรรมทำวัตรเช้าแล้ว สมณะร่มเมือง ยุทธวโร ได้สนทนา ซักถามสิ่งที่ท่านสงสัย จากการสนทนาที่บันทึกได้ภายหลังดังนี้

พ่อท่าน : สาสวะนั้นท่านบอกแต่ว่าเป็นส่วนแห่งบุญ เป็นผลแก่ขันธ์เท่านั้นนะ ท่านไม่ได้ อธิบาย แต่ภาคปฏิบัติจริง อันนี้มันก็อยู่ในสาสวะ

ยุทธวโร : อันนี้เป็นส่วนหนึ่งขององค์ ๖

พ่อท่าน : องค์ ๖ นั่นเป็นสาสวะ เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา

พุทธชาโต : ท่านเข้าใจว่าสาสวะเป็นส่วนแห่งบุญเป็นผลแก่ขันธ์เป็นขั้นตอน

พ่อท่าน : ก็ส่วนแห่งบุญเป็นผลแก่ขันธ์นั่นแหละ ปัญญา ปัญญินทรีย์ กับปัญญาพละ สามตัวนี่เป็นขั้นตอนไหมล่ะ เท่ากันไหม เหมือนกันไหม(ไม่เหมือน) ไม่เหมือน ไม่เท่ากัน แน่นอน แล้วก็เป็นตัวจบหรือยัง (ยัง) ยังน่ะซี แม้แต่ที่สุดตัวจบ อดีตกับอนาคตนี่ก็เท่ากัน มันสูญเท่ากันใช่ไหม มันจบ เพราะฉะนั้นเมื่อมันไม่เท่ากัน มันก็เป็นส่วนแห่งบุญ เป็นผล แก่ขันธ์ไงล่ะ มันก็นับส่วนไปเรื่อยๆ ที่เจริญๆไปตามลำดับ

ยุทธวโร : ผมเข้าใจว่า ๗ องค์นั้น ถ้าเผื่อไม่มีธัมมวิจัยใช่ไหมครับ เข้าใจว่าเป็นส่วน แห่งบุญ คือก็ชีวิตเป็นบุญนะ เหมือนกับทำบุญน่ะ ไม่ทำบาป ทำแต่บุญ

พ่อท่าน : ไม่ใช่ นั่นมันบุญโลกียะ คุณไปเข้าใจอยู่แต่โลกียะ อันนี้มันโลกุตระหมด มันเป็น ปรมัตถธรรม

ยุทธวโร : ธัมมวิจัยต้องเป็นโลกุตระ

พ่อท่าน : ใช่ ต้องเป็นโลกุตระหมด สัมมาทิฐิแล้วนี่ต้องเป็นโลกุตระ

ยุทธวโร : แต่เขาไม่ธัมมวิจัย ก็เป็นส่วนแห่งบุญอาศัย

พ่อท่าน : ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเผื่อว่าทำเป็นโลกุตระแล้วนี่ บุญโลกียะมันได้ด้วย เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องห่วง ส่วนคนโลกียะนี่เขาจะเป็นบุญอย่างไร พระพุทธเจ้า ไม่ต้อง ไปอธิบายหรอก "เป็นส่วนแห่งบุญ-เป็นผลแก่ขันธ์" แบบโลกียะไม่ต้องไปอธิบาย เพราะว่า ถ้าเข้าใจโลกุตระแล้วและปฏิบัติถึงความเป็นโลกุตระ "เป็นส่วนแห่งบุญ-เป็นผล แก่ขันธ์" ที่เป็นโลกียะมันก็ได้ด้วยอยู่แล้ว

ยุทธวโร : มีไหมที่สัมมาทิฐิ เหมือนกับสำนักสงฆ์ทั้งหลาย เขาก็ไม่ได้ทำบาปทำเวร เขาก็อยู่ในคิดพูดทำที่เป็นบุญ

พ่อท่าน : แต่ไม่เป็นโลกุตระ

ยุทธวโร : ไม่เป็นโลกุตระ ใช่ แต่ก็มีส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์

พ่อท่าน : เป็นผลแก่ขันธ์แล้วเขาก็ได้ของเขาแล้ว เราจะต้องไปอธิบายทำไมล่ะ ศาสนา พุทธ นั้นสูงกว่านั้น

ยุทธวโร : ผมแยก

พ่อท่าน : เพราะคุณไปแยก คุณถึงได้ยุ่ง

พุทธชาโต : ไม่เป็นโลกุตระ

ยุทธวโร : ผมอธิบายโลกุตระเป็น แต่โลกียะผมเห็นว่าเอ่อได้แค่นั้น

พ่อท่าน : เขาก็ได้แค่นั้นซึ่งเราก็เข้าใจแล้ว คุณก็ทำได้แต่โลกียะอยู่ก็แค่นั้นเอง โลกียะ มันไม่ได้ยากอะไรหรอก มันระนาบเดียว แต่โลกุตระมันหลายระนาบ มันซับซ้อน ถ้าเข้าใจ โลกุตระ อย่างไม่สับสนแล้ว โลกียะจะไปอธิบายมันทำไมล่ะ

ยุทธวโร : ผมเข้าใจว่าสำนักสงฆ์โดยทั่วไปพาคนทำ ผมเข้าใจว่าคนเหล่านี้ อยู่ในส่วน ของสาสวะ

พ่อท่าน : ไม่ ไม่ถึงสาสวะ ไม่มี เขาไม่รู้จักอาสวะ เขาไม่รู้จักสาสวะ พวกโลกียะ เขาไม่รู้จัก อาสวะ และ สาสวะ คุณอย่าสับสน

ยุทธวโร : ผมเข้าใจว่าปัญญา ปัญญาผลเหล่านี้อยู่ในส่วนของอนาสวะ

พ่อท่าน : นั่นแหละคุณไปเข้าใจผิด

ยุทธวโร : ผมแยกสงสัยเลย อันนี้คือส่วนบุญได้ผลโลกีย์

พ่อท่าน : คุณเข้าใจผิดตรงที่ว่าสาสวะนี่เป็นโลกียะ (ใช่) ผิด สาสวะของพระพุทธเจ้านี่ มันเป็น สัมมาทิฐิ ตั้งแต่ต้นแล้วเป็นประธาน สัมมาทิฐินั่นมันเป็นโลกุตระ โลกียะ ยังไม่มี สัมมาทิฐิ

ยุทธวโร : ในส่วนของสาสวะกับอนาสวะมันต้องเกิดความแตกต่างสิ มันต้องมี ความต่างระดับสิ

พ่อท่าน : ต่างระดับ ของคุณภาพของบุญบารมี มันเป็นกุศลโลกุตระทั้งนั้นเลย แต่มันมี น้ำหนักมากน้อยอยู่ด้วย ถ้าจบแล้วมันมีไม่มาก อนาสวะนั่นสูญ สิ้นอาสวะนั่นมันสูญนะ สิ้นอาสวะแล้ว ไม่สูญได้อย่างไร คุณก็ไม่ต้องไปพูดกันแล้ว มี Level (เลฟเวิล = ระดับ เดียวกัน) มี Adaptation (แอดแดพเทเชิน = การปรับให้เหมาะ) มีชั้นของมันอยู่ มากน้อย มีระดับ มันเป็นโลกุตระทั้งนั้น ผู้สัมมาทิฐิจึงจะรู้กิเลส กิเลสหยาบ-ต้น -กลาง -ปลาย จึงจะรู้จักสาสวะ ว่ายังไม่ถึงอนาสวะ

ยุทธวโร : ผมอ่านสัมมาทิฐิของพ่อท่านนี่นะครับ ๗ องค์นี่ มันก็เป็นตามสมมุติ อย่าทำบาป อย่าโกหก อะไรอย่างนี้ อย่าผิดมิจฉาอาชีวะอะไรอย่างนี้ ทุกคนเหล่านี้เขาก็ยืนยัน ในส่วนนี้ นี้คือส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ แต่ถ้าถึงขั้นโลกุตระนี่ มันต้องมีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล เพราะมันหมายความว่า เราต้องทำใจในใจ เพื่อให้เกิดผล ขึ้นมาให้ได้ ผมเข้าใจว่านั่นคืออนาสวะ ส่วนของสาสวะนี่คือ ส่วนของที่เป็นบุญ แบบ กัลยาณชนทั่วๆไป คนทั่วไปเขาก็คิดพูดทำในสิ่งที่ดีงาม ไม่ทำบาป ไม่ทำเวรใคร อยู่ในกติกา ของสังคม ผมก็ว่ามันได้อาศัยไปจนตาย เพียงแต่ว่าไม่พ้นวัฏสงสาร

พ่อท่าน : คุณจะพูดอย่างนั้นก็ได้ ถ้าเป็นโลกุตระแล้วมันได้ด้วยไง ได้ทั้งโลกียกุศลคือ บุญ ตามที่คุณหมาย และได้ทั้งโลกุตรกุศลเป็นบุญไปตามลำดับ ตามส่วนแห่งบุญ แต่ยังไม่ถึง อนาสวะ

ยุทธวโร : ใช่ ผมเข้าใจว่าโลกุตระมันได้ด้วย แต่คนตรงนั้นผมให้ได้ในส่วนของสาสวะ

พ่อท่าน : ถ้าสาสวะแล้ว คนนั้นจะต้องมีสัมมาทิฐิ ต้องรู้อาสวะคืออะไร สักกายะคืออะไร อัตตาคืออะไร ต้องมีความรู้ปรมัตถ์แล้ว ถ้าคนไม่รู้ปรมัตถ์เขาก็ทำบุญทำกรรม ไปแค่ โลกียะ เขาไม่มีทางที่จะลดกิเลส จนรู้จักสาสวะ รู้จักอนาสวะแน่

ยุทธวโร : ถ้าพ่อท่านพูดอย่างนี้แสดงว่าสำนักสงฆ์โดยทั่วไป พวกนี้เขาอยู่ในส่วนของ โลกียะ ผมขอถามพ่อท่านว่า ถ้าผมจะจัดเขาอันนี้อยู่ในส่วนของสาสวะได้ไหม

พ่อท่าน : ไม่ได้ เขายังไม่มีสัมมาทิฐิตรงส่วนของอาสวะ เขายังไม่รู้สักกายะ -อัตตา ที่เป็น ปรมัตถธรรมเลย แล้วเขาจะรู้ว่าเขายังไม่หมดอาสวะ คือยังมีอาสวะอยู่ ที่เรียกว่า "สาสวะ" ได้ยังไง

ยุทธวโร : เขาไม่รู้ แต่ชีวิตเขาอยู่ในส่วนของบุญ

พ่อท่าน : เขาได้บุญที่เป็นโลกียกุศลเท่านั้น มันไม่ใช่สัมมาทิฐิในแบบของพระพุทธเจ้า ที่มีใน มหาจัตตารีสกสูตร

ยุทธวโร : ผมเข้าใจว่าส่วนนี้มันอยู่ในส่วนของอนาสวะ คือในส่วนขององค์ ๖ ผมเข้าใจ อย่างนั้นจริงๆ ส่วนมรรคองค์ ๘ แบบพื้นๆธรรมดาที่เขาอธิบายในโลกมนุษย์นี่ ผมเข้าใจ ว่าเป็นโลกียกุศล

พ่อท่าน : ไม่ใช่ ไม่ใช่ คำว่ามรรคองค์ ๘ ตั้งแต่ตัวแรกเลย นี่คือทิศทางโลกุตระทั้งหมด มรรคองค์ ๘ ไม่ใช่โลกียะ แต่เขาไปอธิบายพูดกันเอาเอง ซึ่งผิดมานานแล้ว มรรคองค์ ๘ นั้นเป็นทางปฏิบัติเพื่อบรรลุอาริยสัจ เป็น ๑ ใน อาริยสัจ ๔ ทำความเข้าใจนัยสำคัญนี้ชัดๆ ทางไปนิพพานนะ ไม่ใช่ทางไปสู่โลกียะ อาริยสัจ ๔ ไม่ใช่โลกียะ โลกุตระแท้ๆ อย่าสับสน คนที่ไม่มีภูมิโลกุตระ เขาก็เอาไปอธิบายเป็นโลกียะ ซึ่งมันก็เป็นได้ แต่เป็นการบรรเทา ทุกข์โลกีย์ เป็นบุญโลกีย์ ไม่ใช่ทุกขอาริยสัจ ที่เป็นโลกุตระ

ยุทธวโร : ถ้าอย่างนั้น แม้ตรงนั้นเขาคิดพูดทำชอบ ไม่ทำบาปทำเวรกรรม ไม่มีมิจฉา วณิชชา ไม่มีมิจฉาอาชีวะ ก็ยังเป็นส่วนของโลกียะ ไม่ขึ้นสู่โลกุตระ ผมเข้าใจว่าสาสวะ-อนาสวะ ผมแยกว่าของพ่อท่านนี่ผมเชื่อเลยว่าเป็นอนาสวะ เพราะพ่อท่านกำหนด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล

พ่อท่าน : สาสวะก็เป็นโลกุตระ

ยุทธวโร : อันนั้นมันได้ด้วย มันได้อยู่แล้ว ทีนี้ผมคิดว่าโลกีย์มันเป็นแค่นั้น เพราะเขา อธิบาย ธรรมะทั้งประเทศเลยว่าปัญญาคิดชอบ พูดชอบ เขาพูดกันทั้งประเทศ

พ่อท่าน : คุณเข้าใจคำเดียวก็ได้เลยว่า สัมมาทิฐินี่คือโลกุตระ สัมมาทิฐิไม่ใช่โลกียะ แต่มัน มีบุญของโลกียะด้วย

ยุทธวโร : แสดงว่านอกจากพ่อท่านแล้วไม่มีแล้ว

พ่อท่าน : อ้าว ก็สัมมาทิฐินี่เป็นความเห็นชอบ เป็นทางที่จะไปนิพพาน

ยุทธวโร : มีคนบอกผมว่านอกจากของพ่อท่านพระโพธิรักษ์แล้ว คนอื่นไม่มีแล้ว หมดสิทธิ์

พ่อท่าน : ผมถึงย้อนถามไงว่า มรรคองค์ ๘ นี่มันอยู่ในอาริยสัจ ๔ ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามรรคองค์ ๘ อยู่ในอาริยสัจ ๔ ก็คือรู้จักอาริยสัจ ผู้ที่รู้อาริยสัจนี่มันเป็นโลกุตระหรือโลกียะ แล้วคุณ เอามรรคองค์ ๘ เขาไปอธิบายเป็นโลกียะ

ยุทธวโร : ก็เขาอธิบายกันทั้งประเทศทั่วโลกเลย แต่ของพ่อท่านนี่ผมให้ว่าเป็นอนาสวะ เพราะมีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล

พ่อท่าน : สาสวะก็เป็นโลกุตระด้วย เพราะในมหาจัตตารีสกสูตรนั้น แบ่งสัมมาทิฐิกับ มิจฉาทิฐิ มิจฉาทิฐิคือยังไม่มีสาสวะอะไรทั้งนั้น สัมมาทิฐิแบ่งเป็นสอง จำได้ไหม หนึ่ง เป็นสาสวะ สองเป็นอนาสวะ เมื่อขึ้นต้นว่าสัมมาทิฐิแบ่งเป็นสอง แล้วคุณจะเอาสัมมาทิฐิ ไปเป็นโลกีย์ได้อย่างไรเล่า

ยุทธวโร : ผมเข้าใจว่าก็เป็นสัมมาทิฐิระดับพื้นๆน่ะ

พ่อท่าน : พื้นๆที่คุณว่าเป็นโลกียะ นั่นคือยังไม่สัมมาทิฐิ ยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ผู้ที่สัมมาทิฐิ อย่าง ๑ คือ สาสวะ อีกอย่าง ๑ คือ อนาสวะ สาสวะจึงไม่ได้หมายความว่าเป็น มิจฉาทิฐิ สาสวะเป็นสัมมาทิฐิ

ยุทธวโร : ผมเข้าใจว่าสาสวะเป็นส่วนแห่งบุญ คือเอ็งทำอะไรก็ทำไปเถิด มันเป็น ส่วนแห่งบุญ

พ่อท่าน : จะพูดว่า ส่วนแห่งบุญก็เป็นโลกียะได้ แต่ไม่ใช่คนที่มีสัมมาทิฐิ ที่เป็น ๑ ใน ๒ สัมมาทิฐิ ตามพระพุทธเจ้าตรัสไง

ยุทธวโร : คำว่าส่วนแห่งบุญนี่คือ"โลกุตระ" ใช่ไหม ฉะนั้นคำว่าส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ นั้น "ไม่ใช่โลกุตระ" ผมเข้าใจว่าส่วนแห่งบุญ คือคุณได้อาศัยบุญโลกีย์

พ่อท่าน : คุณพูดขัดกันอยู่ในตัวเอง คุณฟังตรงนี้ก็แล้วกัน สัมมาทิฐิแบ่งเป็น ๒ เป็น สาสวะ กับ อนาสวะ เพราะฉะนั้นนอกจากสัมมาทิฐิ คุณจะเอาภาษาส่วนแห่งบุญ ไปเรียกก็ได้ โลกียะเป็นมิจฉาทิฐิ คือพวกมิจฉาทิฐิ อธิบายมาตรงนี้จะเข้าใจชัดขึ้นใช่ไหม ถ้าไม่มีประโยคนี้ของพระพุทธเจ้าว่าสัมมาทิฐิแบ่งเป็น ๒ สาสวะและอนาสวะ คุณก็จะ เมาหมัดอยู่นั่นแหละ วนไปหามิจฉาทิฐิอยู่อย่างเก่า อันนั้นยังมิจฉาทิฐิอยู่

ยุทธวโร : ผมไม่วน ผมขึ้นมาอนาสวะ

พ่อท่าน : เพราะฉะนั้นก็สรุปได้ว่า เขาอธิบายกันอยู่ทั้งหลายแหล่มิจฉาทิฐิทั้งนั้น

พุทธชาโต : ถ้าเอาภาษาบาลีมาเทียบก็คือ พระเสขะคือสาสวะ ที่มีส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ถ้าอเสขะคืออนาสวะ

พ่อท่าน : นอกนั้นก็คือปุถุชน

ยุทธวโร : ไม่ ไม่ เสขะคือผู้ที่ศึกษาโลกุตระได้นี่

พ่อท่าน : เสขะคือผู้เป็นโสดาบันขึ้นไปแล้วนะ ผู้มีการศึกษาของพระพุทธเจ้า มีไตรสิกขา แล้วนะ ถ้ายังไม่เข้าเสขะ ปุถุชนนะ คุณเข้าใจตรงนี้ก็แล้วกันว่า สัมมาทิฐิแบ่งเป็นสอง

ยุทธวโร : สัมมาทิฐิของพ่อท่านหมายถึงโลกุตระ

พ่อท่าน : ใช่สิ สัมมาทิฐิของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่โลกียะแล้ว เพราะฉะนั้น ปราชญ์ใดๆ ก็แล้วแต่ ศาสดาใดๆก็แล้วแต่ ถ้ายังไม่สัมมาทิฐิ ก็มิจฉาทิฐิด้วยกันทั้งนั้น



ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้จากข้อคิดที่พ่อท่านได้ให้กับผู้มาเข้าค่ายสุขภาพ ๗ อ. ที่สันติอโศก ๒๐ พ.ค. จากบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้

"ชีวิตของคนที่จะอายุยืน จะดูกระปรี้กระเปร่าสดชื่น มันก็ต้องขึ้นตรงตามหลัก วิทยาศาสตร์ หรือหลักความจริงที่ชัดเจนว่า คนเรานี่จิตเป็นประธาน ในชีวิตของคนเรานี่ มันเป็นเหมือน เครื่องยนต์ ซึ่งจะต้องมีพลังงาน ต้องมีการหมุนเวียน ต้องมีแรงขับเคลื่อน ของเลือดลม ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้องมีการหมุนเวียนเซอคิวเลชั่น Circulation กันอย่างดี สมดุล แต่ถ้าคนไหน ไม่ขับเคลื่อน ไม่ให้เลือดลม ไม่ให้ดิน น้ำ ลม ไฟของมัน มีลักษณะหมุนเวียน ที่แข็งแรงดี ไปทำตนซึมๆ เศร้าๆ เอาแต่หยุด แต่นิ่ง แน่นอนเครื่องยนต์มันก็ตาย เครื่องยนต์ มันก็เหี่ยว แข็งตัว นิ่ง เป็นธรรมดาธรรมชาติ

เพราะฉะนั้นเราจะต้อง Stimulate สทิมมิวเลท ตัวเราเอง เราจะต้องกระตุ้นตัวเราเอง เราจะต้อง พยายามที่จะตื่นตัวอยู่เสมอๆ ขับเคลื่อน เพื่อให้ทุกอย่างนี่มันวิ่ง เคลื่อน หมุนเวียน Circulate เซอคิวเลท ไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา จุดนี้แหละคือจุดที่จะต้อง กระตุ้น ตัวเอง ให้สดชื่น

ดังนั้นคนเราจะต้องขยัน จะต้องเบิกบานร่าเริง จะต้องขวนขวาย จะต้องเห็นฟ้าสดใส จะต้อง เห็นอะไรต่ออะไรนี่ดีตลอดเวลา ถ้าคนเข้าใจจุดนี้ แล้วทำให้จุดนี้นี่ดีได้จริงๆ สิ่งเหล่านั้น ก็จะสมบูรณ์ และสรีระของเรา ดิน น้ำ ลม ไฟ เลือดลมอะไรต่ออะไรต่างๆ ของร่างกาย ของเรานี่ก็จะหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ไม่ไปติดไปขัด ไม่ไปซึม ไปหยุด ไปแห้ง ไปเหี่ยว แต่ก็ระวังจะเว่อร์ โลกทุกวันนี้มันปลุกเร้าคนขับเคลื่อน เร่งเครื่อง หมุนเวียน จนเกินพอดี ก็พังไว แบบนี้ก็ตายไว

คนทำตัวเราเอง คนไหนซึมเศร้า ที่บอกว่าคนตรอมใจตาย ก็อย่างนี้แหละ มันถึงตาย ได้จริงๆ เหี่ยวเชียว ดูเศร้าๆ หมองไป แล้วตรอมใจตาย เสร็จแล้วโรคก็เข้าได้ง่ายๆ ภูมิแพ้ ก็เป็นง่าย ถ้าคนที่มีการกระตุ้นตัวเอง ตื่นตัว สดชื่น เบิกบาน ร่าเริง เห็นอะไรก็เป็นเรื่องดี เห็นอะไรก็เป็นเรื่องน่าสดชื่น น่าสัมผัสสัมพันธ์ น่าสร้างสรร น่าเกี่ยวข้องอย่างนี้ขึ้นเรื่อยๆๆ คนอย่างนี้นี่ ชีวิตร่างกายก็แข็งแรง คนๆนั้นก็เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร ขวนขวาย สร้างสรร มีมนุษยสัมพันธ์ แม้โลกก็สดชื่นนา ไม่ใช่ว่าโลกเหี่ยวเฉา นี่ก็เป็นคุณประโยชน์ของ ผลประกอบ แต่ผลแท้ ชีวิตของท่านจะอายุยืน ฝากตรงนี้ไว้ แม้คุณจะมี ๗ อ. เก่งเท่าไร แต่ถ้าจิต ของคุณตรงกันข้ามกัน ดังได้กล่าวแล้วนี่ ไม่ Stimulate สทิมมิวเลท ไปเองเลย ไม่มี Circulation เซอคิวเลชั่น อะไรที่หมุนเวียนดีอย่างที่อาตมาว่า ซึมเศร้า เหงาหงอย เหมือนคน ตรอมใจน่ะ ตาย ตาย อายุสั้นแหงๆ"

- รักข์ราม. -
๒๐ ก.ค.๔๗

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๓ กรกฎาคม ๒๕๔๗ -