แถลง
เมาอัตตา หรือมากด้วยเมตตา....?


ดูเหมือนว่าข่าวหฤโหดที่เกิดขึ้นในโลกนี้ จะเป็นข่าวปกติประจำวัน เหมือนต้องแปรงฟัน หลังอาหารไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นข่าวฆ่าตัดคอที่เกิดขึ้นทั้งสนามรบและในสังคม ข่าวคู่รัก หักสวาทอาฆาตแค้น เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเปลี่ยนใจ ก็ต้องฆ่ามันให้ตายอย่างโหดๆ แม้จะอยู่กินกันมาจนแก่เฒ่าใกล้ตาย ก็ยังไม่วายฆ่ากันได้ลงคอ ข่าวพระฆ่าพระ ข่าวพ่อฆ่าลูก-ลูกฆ่าพ่อ หรือข่าวที่น่าสะเทือนใจที่สุดก็คือ แม่ป้าช่วยกันเชือดคอลูก เพื่อส่งวิญญาณ ไปอยู่กับพระอินทร์ แม้ลูกสาวจะร้องขอชีวิตอย่างไรก็ไม่ฟังเสียง

ความอำมหิตโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซากอยู่ทุกวัน ย่อมบ่งบอกถึงสภาพ สังคมสงคราม หรือ สังคมเลือดเย็น ได้อย่างดี ทั้งๆที่เราเป็นสังคมชาวพุทธ แต่เรา กำลังเมา ไปกับอัตตามากกว่าเจริญเมตตา

เมาทั้งโอฬาริกอัตตา(บ้าสมบัติ-วัตถุนิยม) คนที่พร้อมจะฆ่ากันได้ง่ายๆ เพื่อแย่งเงิน แย่งตำแหน่ง หรือเพียงแค่แย่งโทรศัพท์มือถือของผู้อื่นเท่านั้นเอง

เมาทั้งมโนมยอัตตา (บ้าไปกับจิตที่คิดปั้นรูปปั้นร่างขึ้นมา-จิตนิยม) ได้เห็นพระพุทธเจ้า ได้ติดต่อกับพระอินทร์ พระพรหม ผีสาง นางไม้ ฯลฯ จนมีข่าวตายหมู่ เพราะอยาก ไปอยู่กับเทพเจ้า ซึ่งสำนักทรงเจ้า เข้าผี ที่เมามโนมยอัตตาเช่นนี้มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง

และเมาทั้ง อรูปอัตตา ซึ่งเป็นอัตตาที่ไม่มีรูปร่างอะไร แต่เป็นความเห็น ความเชื่อ ความคิด และศักดิ์ศรี ที่ทำให้หลงตัวว่ากูแน่กว่าใครๆ จนเข้ากับใครไม่ได้ โดยเฉพาะคนดีๆ ที่ต่าง ก็มุ่งเสียสละ แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้กับหัวไอ้เรือง(อรูปอัตตา) ที่หลงเมาว่า ตัวเองคิดยอด คิดถูกต้องกว่าใครๆ

ดังนั้น เมื่อใดที่นักปฏิบัติธรรม เกิดความอึดอัดขัดเคืองใจขึ้นมาก็คงต้องตั้งคำถาม ให้กับตัวเองว่า เรากำลังเมาอัตตา หรือ มากด้วยเมตตา? คนที่เมาอัตตา หรืออัตตา กำลังเจริญเติบโตนั้น มโนกรรม ย่อมมีแต่ ความขุ่นมัว วจีกรรมพร้อมที่จะทำให้คนอื่น บาดเจ็บ และกายกรรม ถ้าไม่กร่าง ก็จะแสดง อหังการ - มมังการ ชนิดที่ดูกันไม่จืด

พระพุทธเจ้าให้เราเจริญเมตตากายกรรม-เมตตาวจีกรรม-เมตตามโนกรรมอยู่เสมอๆ ทรงสอนภิกษุทั้งหลายไว้ว่า การส้องเสพเมตตาจิต แม้เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว (เมตตจิตตัง อาเสวติ) ย่อมมีอานิสงส์มาก เป็นผู้ไม่เหินห่างจากฌาน ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ทำตาม คำสอน ของศาสดา และ ถ้ายิ่งสามารถทำให้ได้มากกว่าชั่วลัดนิ้วมือเดียว ทำจนมากจนเกิด ความเจริญก้าวหน้า (เมตตจิตตัง ภาเวติ) จนเป็นความตั้งใจ เป็นความเอาใจใส่ เหมือนแม่ ที่ใส่ใจในลูก สุดที่รักของตน (เมตตจิตตัง มนสิกโรติ) ก็ย่อมเป็นเมตตา ที่มีอานิสงส์มากเท่านั้น

พ่อท่านได้ให้โอวาทในเรื่องของเมตตาเอาไว้ว่า

".....เรื่องของเมตตาต้องทำใจในใจนะ ต้องฝึก ต้องทำ เพราะฉะนั้นใครยังนึกไม่ได้ ใครยังทำอะไรไม่ได้ เวลาเราเป็นนักปฏิบัติ นักประพฤติอยู่ เราก็ทำตั้งแต่บัดนี้ เราเป็นนักปฏิบัติธรรม กุศลคืออะไร เราก็สร้างกุศลใส่จิตทำใจในใจไป วันๆ คืนๆ เราอยู่เด๋อๆ เด๋อๆ ไม่ขวนขวาย มันไม่มีคุณค่าอะไร เราก็ปรับจิตปรับใจให้มีเมตตา สร้างเมตตาเสมอ

เมตตา คือการช่วยเหลือเฟือฟายผู้อื่น เห็นใครเขามันควรจะช่วยเหลือกันได้ ไม่ถึงต้อง ขนาดทุกข์ร้อนเห็นเขาทำงานทำการ เอ้อ น่าสงสารนะทำอยู่คนเดียว หรือว่าทำอยู่หนัก เราก็ไปช่วย จิตใจเมตตา เกื้อกูล มีน้ำใจเหล่านี้ มันเป็นคุณค่าของมนุษย์ในสังคม ทุกวันนี้มนุษย์ในสังคมขาดน้ำใจ ขาดเมตตา ขาดจริงๆ แม้แต่ในขนาดพวกเรานี่นะ ก็ว่าพวกเรามีน้ำใจกันไม่ใช่น้อยแล้ว ไม่เห็นแก่ตัว มาปฏิบัติลดละ อะไรต่ออะไรกัน ไม่ใช่น้อยแล้ว มันก็ยังมีสภาพที่โอ้โฮ้... ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ เราจะต้องมาฝึกปรือ เราจะต้อง มาพยายามทำจริงๆ ไม่ใช่เราปล่อยปละละเลย เอ้อ เราฟังเรารู้แล้วละ เมื่อไหร่ นานๆที ระลึกได้ ค่อยๆทำ เผลอๆ ไผลๆ นานๆ จัดๆ จ้านๆก่อน ค่อยทำ

ถ้าเราเข้าใจตัวนี้แล้ว มีเมตตาขึ้นมาเสมอ มีการปรารถนาดี มีเวยยาวัจมัย มีการ ขวนขวาย ช่วยเหลืออะไรๆขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยโลก ช่วยสังคม ช่วยอะไร คนละไม้ คนละมือ อะไรต่างๆ นานาพวกนี้

มันเป็นเรื่องที่สร้างสรรจริงๆนะ เมตตาเนี่ย มันเป็นเรื่องสร้างสรรจริงๆ พระพุทธเจ้า ถึงได้ยก อานิสงส์สูงมากเรื่องเมตตา เพียงแต่ทำนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ก็มีอานิสงส์ สูงมากแล้ว ป่วยการกล่าวไปไย ข้อที่ภิกษุจะทำเมตตาจิตนั้นให้มากเล่า จะป่วยการ กล่าวไปไย ที่ทำให้มากมันจะเป็นยังไงกัน มันก็จะทำให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้นนะ......"

การเจริญเมตตา จึงเป็นทั้งการเจริญฌานแบบลืมตา เป็นทั้งการปฏิบัติแบบ สุขาปฏิปทาฯ สามารถพิสูจน์ได้ทันทีที่เราลดอัตตา ไปคิด-พูด-ทำด้วยเมตตาต่อ ผู้อื่น โดยเฉพาะ คนที่เราไม่ชอบใจ และ ทุกๆครั้งที่เราทำได้ นั่นก็คือการช่วยเปลี่ยนแปลง สังคมสงคราม ไปสู่สังคมเมตตาชน ที่โลกใบนี้กำลังขาดแคลนยิ่งนัก

คณะผู้จัดทำ

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๕ กันยายน ๒๕๔๗-