- ทีม สมอ. -


โลกนับวันอำมหิตยิ่งขึ้น คนฆ่าคนด้วยกัน คนฆ่าสัตว์เป็นเบือ สัตว์ก็ฆ่าชีวิตคน ด้วยโรค ติดต่อ ร้ายแรง ภาพการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต กำลังดำเนินอยู่อย่างดุเดือด เลือดพล่าน เป็นวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีใครหยุดยั้งมันได้แล้ว ตราบที่มนุษย์ถูกคุมขัง ด้วยกรงเหล็กหนา แห่งอวิชชา ดิ้นไม่หลุด ไม่มีวันดิ้นหลุด ถ้า....ยังไม่รู้ว่าถูกคุมขัง กับถ้า.... ยังไม่รู้วิธี จะหลุดพ้น ออกมาได้อย่างไร

จากบทสัมภาษณ์พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ๓๐ กว่าปีแห่งการทำงานศาสนา เพียรแล้ว เพียรเล่า เพื่อนำพาชาวพุทธให้หลุดพ้นจากอวิชชา เพื่อนำพาแสงทองแห่งศาสนชีพ สาดสู่ชาวพุทธ คนแล้วคนเล่า อย่างไม่เหนื่อยหน่าย ไม่ท้อถอย และอย่างไม่หยุดยั้ง


* การที่แม่ปาดคอลูกแท้ๆของตนได้นั้น ตามที่เป็นข่าว สาเหตุสำคัญเกิดจากอะไรคะ ?

- เหตุการณ์ที่แม่ปาดคอลูก ซึ่งไม่ใช่ทำเพราะโกรธแค้น แต่เป็นเพราะความงมงาย ในเรื่อง ของจิตวิญญาณ ตามความเชื่อในวัฒนธรรมที่ยึดถืออะไรต่างๆเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง มากทีเดียว ถามเรื่องนี้ขึ้นมา อาตมาสามารถตอบได้ โดยเขียนหนังสือเป็นเล่มๆ เพราะว่า เป็น เรื่องใหญ่ เป็นเรื่องของคนไม่เข้าใจ ที่อวิชชาในเรื่องของจิตวิญญาณ ในเรื่องของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในเรื่องของสมมติสัจจะต่างๆ สมมติเป็นเทพ สมมติเป็นจ้าว สมมติเป็นอะไร ต่างๆนานา และก็ติดยึดสมมติเหล่านี้ ทั้งที่ไม่รู้ความจริง อย่างเป็น วิทยาศาสตร์ แต่ก็งมงาย อยู่อย่างนั้น ซึ่งศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม อเทวนิยมเป็นศาสนา ที่รู้แจ้ง แทงทะลุความเป็นเทวะ ว่าเทวะหรือเทพเจ้า ซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณนั้น แตกต่างกันอย่างไร และเป็นไฉน ได้จริงอย่างสมบูรณ์ ส่วนเทวนิยมไม่เข้าใจ ไม่รู้จริง ความเป็นเทวะโดยตัวเขาเอง เขาเอา แต่เชื่อ ไม่ได้เกิดภูมิปัญญาในเรื่องของเทวะ แต่ก็เชื่อ ในเรื่องเทวะ ปักใจเชื่อในความเป็น สมมติเทพ โดยไม่เข้าใจเรื่องสมมติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ ไม่เข้าใจความเป็นเทวะที่แท้จริง ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะสอน ให้เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว ห้ามพิสูจน์ ห้ามวิจัยวิจารณ์ พระเจ้า เด็ดขาด

สรุปในขั้นต้นก่อนว่า การฆ่าลูกคราวนี้เป็นความงมงายที่สุด ซึ่งต้องมีเหตุในจิตลึกๆ ของเขา ทางจิตวิทยา ซึ่งก็มีนักจิตวิทยาคนสำคัญหลายคนออกมาแสดงความเห็น แต่ละคนล้วน เรียนเรื่อง จิตวิญญาณในกรอบความรู้ที่จำกัด อยู่ภายใต้ทิฏฐิแห่งเทวนิยม ทั้งสิ้น แม้จะมี บางคนเป็นชาวพุทธมีความรู้ในพุทธศาสนาไม่น้อย แต่ก็ยังไม่หลุดพ้น ออกจากกรอบ ของเทวนิยม หรือยังไม่สัมมาทิฏฐิในความเป็นอเทวนิยมอยู่ดี จึงวิจัย กันออกมาได้ระดับหนึ่ง ซึ่งอาตมาก็เห็นด้วยหลายประเด็นในเชิงของการวิจัย แต่เขายัง ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เท่านั้น เพราะเป็นเรื่องที่สั่งสมในจิตลึกๆ หรือในจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึกกันมามากหนาแน่น

ตามประวัติก็คือ ลูกคนนี้เกิดมาเพราะถูกข่มขืน ไม่ได้เกิดจากความรักความพอใจ เกิดมา ก็ทำให้พ่อแม่อับอายขายหน้า แม้แต่พี่ป้าน้าอา ญาติโกโหติกา ยายก็ได้รับผลกระทบ ไปด้วย เพราะฉะนั้นทั้งตระกูลนี้ต่างมีความรู้สึกไม่ชื่นชมสะสมอยู่ในใจ และก็มีหลายเหตุ ที่เขา วิจัยกัน ซึ่งอาตมาก็เห็นด้วย เอาละ อาตมาจะไม่พูดถึงสิ่งที่เขาวิจัยกัน แต่อยาก จะพูด ในประเด็นที่ว่า เมื่อไปมีเหตุปัจจัยอะไรอยู่ในใจแล้ว ก็เป็นเพราะเหตุนั่นแหละ ที่ทำให้ฟักตัว ทำให้พอกพูนความไม่ชอบใจต่างๆนานา ผนวกเข้าไปเป็นเรื่องเลวร้าย ไปเรื่อยๆ เสร็จแล้ว ความงมงายในเรื่องของเทพในเรื่องของจ้าว ในเรื่องของจิตวิญญาณ ในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในเรื่องของอะไรต่างๆเหล่านี้ ที่เข้ามาประกอบเป็นนิทาน ประกอบเป็นเรื่องราว แล้วก็เอา สิ่งเหล่านี้มาอ้างมาอิง มาพูดกัน คงไม่ใช่วันเดียว เขาก็สะสม เขาก็พยายามครอบงำ จนกระทั่ง สุดท้ายก็หลงใหล เชื่อในเรื่องของ การมีวิญญาณเข้ามาสิ่งสู่ มาใช้อำนาจ และก็มาถ่ายทอด เป็นคำพูดอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งล้วนเป็นความรู้ที่วนอยู่ในกรอบของ เทวนิยมทั้งสิ้น ยังอวิชชาในความเป็น อเทวนิยม แท้ๆ

สุดท้ายก็สรุปลงว่า ต้องฆ่าลูกเพื่อเอาวิญญาณไปถวายพระอินทร์ ถวายพระอาทิตย์ ก็แล้วแต่ ก็ว่ากันไป ซึ่งเป็นความงมงายที่เป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องที่งมงายกันจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ศึกษาอเทวนิยมที่มีความรู้แจ้งเห็นจริงในปรมัตถสัจจะ และสามารถ พิสูจน์ จนแก้ไข ให้ชัดเจนแล้วละก็ จะมีความหลงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลงวิญญาณ หลงอะไร ต่างๆ สารพัดได้ ซึ่งต้อง มาเรียนรู้เรื่องของพุทธศาสนาที่แท้จริง เรียนให้สัมมาทิฏฐิ จึงจะแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้ได้


* ถ้ามองว่าคนในครอบครัวนี้ เป็นโรคจิตโรคประสาท และก็ทำเรื่องนี้ขึ้นก็จบ โดยไม่ไปค้นหา ต่อว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร ?

- โรคจิตคืออะไรล่ะ โรคจิตก็คือจิตที่วิปริตไปแล้ว มันยึดถือ เชื่อถือจนตัวของเขาเอง เขาเชื่อ อย่างนี้ แม้กระทั่งมันไม่สอดคล้องกับความเป็นสามัญมนุษย์ มันประหลาดวิตถาร ไปจาก สามัญมนุษย์ แต่เขาก็ไม่เข้าใจไม่รู้ตัว เขาจะเชื่อของเขาอย่างนี้ ซึ่งเหตุดังกล่าว เกิดมาจาก ๑. จิตลึกๆที่สั่งสมความไม่ชอบใจ จนเกิดการปฏิบัติอย่างนี้ ๒. อาศัย ความงมงายของ การทรงจ้าว เข้าสิง หรือในอวิชชาของเทวนิยมตามที่พูดมาแล้ว ถึงตรงนี้ จะเรียกว่าวิปริต สติเสีย ประสาทเสียก็ได้ทั้งนั้น เพราะรุนแรงและจัดจ้านจนเกินสามัญ ไปไหนๆ แล้ว

เมื่อเขาก็ไม่ค้นหาสาเหตุที่แท้จริง และไม่สามารถจะทำความเข้าใจได้จนพ้นอวิชชา มันก็จะเกิด การเอาอย่างตาม จะเชื่อถือตาม เมื่อเราไม่แก้ไขว่า อันนี้เป็นความโง่ เท่านั้นเอง เป็นอวิชชาในเรื่องจิตวิญญาณ เป็นความเข้าใจผิดเอง เอาเรื่องไม่จริง เข้ามาผนวก ในจิตวิญญาณ สั่งสมเป็นอุปาทานต่างๆนานา จนส่งผลให้เราทำเรื่อง พิลึกๆได้ ซึ่งในเรื่องของ ความเป็นไปได้ ในความวิปริต มันเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่เรื่องดี และไม่ใช่เรื่องของ ความเป็นจริง แต่ไปยึดเอาความไม่จริงมาเป็นความจริงเท่านั้น เรื่องนี้ อาตมาพยายาม ใช้ภาษาพูดง่าย เช่น คุณเคยโกหกไหม คนอีกมากมาย เคยโกหกกันไหม ก็เคยกันทั้งนั้น คำโกหก ก็มีจริงอยู่ในโลกใช่ไหม แต่จริงๆแล้ว คำโกหก เป็นสิ่งที่ไม่จริง ใช่ไหม แต่คนก็เอา ความไม่จริงนั้นๆมาประพฤติปฏิบัติ จนทุกคนเห็นเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง ในโลก ใครจะขจัด ออกไป ก็ไม่ได้ง่ายๆ คำโกหกคุณขจัดมันออกไปจากโลกนี้ได้ไหม ไม่มีทางเลย ก็คล้ายๆ กันกับเรื่องเข้าทรงเข้าสิง มันก็งมงายอยู่อย่างนั้น ความงมงาย มีอยู่จริงในโลก และ ขจัดได้ยาก แต่เมื่อมาศึกษาจนพ้นความงมงาย จนเกิด "วิชชา ๘ วิชชา ๙" ของพุทธ เรื่องไม่รู้ ให้มารู้มาเข้าใจถึงจุดแห่งความจริงได้ มันก็จะเลิกจะลด มันก็จบ มันก็ประเสริฐ และก็จะไม่มี ความเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ทำอย่างไร ให้คนบรรลุ ความเข้าใจนี้ ควรไหม และน่าทำไหม ซึ่งอาตมาก็พาทำอยู่ มิฉะนั้น สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็จะมีอยู่ต่อไป ตลอดนับกัปกัลป์ เราต้องมาแก้ไข กันตรงนี้


* สังคมปัจจุบันนับวันทวีความโหดร้ายรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ ทำอย่างไรสังคมเมตตาชน จึงจะเกิดขึ้นได้คะ ?

- เราต้องเข้าใจถึงความเป็นจริงว่า คนเรามีจิตวิญญาณที่เป็นไปได้หลากหลาย และ สามารถ ที่จะเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณให้ไปสู่ความเป็นได้ชนิดที่ประเสริฐ ชนิดที่ดีได้ ดีทั้งลดกิเลส ดีทั้งมีความเห็นดีในเรื่องที่จะประกอบคุณงามความดี ทำในสิ่งที่ดีงาม ซึ่งทำได้ และ ให้ละอาย ต่อความไม่ดีไม่งาม จิตวิญญาณสามารถฝึกฝนอบรม ให้เป็น ไปได้ ในทางที่จะมี ความละอายและกลัวต่อความไม่ดีไม่งาม จนไม่กล้าทำ จะทำแต่สิ่ง ดีงาม มีพลังที่จะสร้าง สิ่งดีงามต่างๆ

ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักจิตวิญญาณที่ดี มีวิธีที่ชัดเจน ทำแล้วก็เป็นได้ อย่างถาวร และมีปัญญาที่รู้ความจริงนั้นๆอย่างไม่มีอะไรมาคั่นบังอีก จะรู้อย่างทะลุ ทะลวง เป็นการ รู้แจ้งแทงทะลุแล้วเสร็จ และจิตวิญญาณก็จะเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่ไม่ดี มาปรับประพฤติ ในสภาพที่ดีได้อย่างเป็นตถตา เป็นเช่นนั้นเอง โดยไม่ต้องไปบอก ไม่ต้องไปปฏิบัติ เป็นไป ยิ่งกว่าอัตโนมัติ เพราะความงมงายและอวิชชา ก็คือสิ่งที่อยู่ใน จิตวิญญาณ ถ้าเรียนรู้ จนรู้แจ้งและกำจัดมันจนหมดไปจากจิตวิญญาณเรา เราก็เลิก งมงาย รู้แจ้งจริง

ศาสนาพุทธมีบทเรียนเหล่านี้ มีความจริงเหล่านี้จริงๆ ความรู้เหล่านี้มีอยู่ในตำรา อยู่ใน คัมภีร์ อยู่ในพระไตรปิฎก แต่คนไม่เข้าใจความละเอียดลออ ไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง ในหมู่ชาวพุทธ เอง เข้าใจผิด ไม่ได้เอาความรู้ ไม่ได้เอาทฤษฎีที่ถูกต้อง ของพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติจริง มันจึง ไม่เกิดผลจริง แต่เราได้พิสูจน์แล้วว่า ความจริงที่มันมีอยู่จริงเหล่านี้ เราสามารถนำมาพิสูจน์ กับคนที่เข้าใจ และสนใจศึกษา แม้ยังเป็นกลุ่มเล็กอยู่ก็ทำไป แต่ก็ได้ผลขึ้นมาเรื่อยๆ มีบุคคล ที่รู้และได้ดีขึ้นมาตามลำดับ ถ้าใครสนใจ ก็เชิญมาร่วม ศึกษากัน


* การกินเจและกินมังสวิรัติ ที่ทำกันเป็นประเพณี จะมีผลดีผลเสียต่อสังคมอย่างไร หรือไม่คะ ?

- มันจะเกิดผลเสียอะไรล่ะ ไม่มีเลย มีแต่ผลดีทั้งนั้น สังคมมนุษย์ต้องมีจารีตประเพณี มีวัฒนธรรม เพราะฉะนั้น จะมีประเพณีกินเจ กินมังสวิรัติก็ดีแล้ว ทำกันไปให้เต็มที่ ซึ่งดีต่อ การเปลี่ยนแปลงมนุษย์ ให้มาลองมาฝึกมาเรียนรู้ ซึ่งเกิดทั้งประสบการณ์ และเกิดผลที่เห็นได้

นอกจากสังคมจะกินอย่างงมงาย และกินอย่างเต็มไปด้วยกิเลส เช่น พอเห็นเป็นแฟชั่น ก็ถือโอกาส ขูดรีดขึ้นราคา เป็นต้น แท้จริงอาหารมังสวิรัติถูกกว่าอาหารเนื้อสัตว์ มันดีทั้ง ทางด้านเศรษฐกิจ ดีทั้งด้านกายภาพ สุขภาพ และดีทั้งด้านจิตวิญญาณทางด้านธรรมะ ด้านศาสนาด้วย โดยจิตวิญญาณจะเกิดเมตตา ไม่สะสมอกุศลบาป และถ้าศึกษา ทฤษฎีพุทธ อย่างสัมมาทิฏฐิ ก็ได้ลดได้กำจัดกิเลสอย่างสำคัญ

* บางคนกินอาหารมังสวิรัติมานาน แต่ดูจากพฤติกรรมยังขาดเมตตา เพราะอะไรคะ?

- ก็เพราะไม่ได้ปฏิบัติถูกทางของพระพุทธเจ้า จิตวิญญาณไม่เกิดปัญญา ได้แต่ทำ เหมือนคน ที่ถือศีลแบบสีลัพพตุปาทาน ถือศีลไปก็ถือได้ แต่พอถึงเวลาอำนาจกิเลสขึ้น ก็ถูกกิเลส ครอบงำ เพราะไม่ได้ล้างกิเลส กิเลสก็จะเก็บกด จะสะสมลงไปในอนุสัย หรือสั่งสม พอมีเหตุ ปัจจัยอะไรขึ้นมาถึงขีดถึงเขต มันก็จะปะทุออกมา เช่น ศีลข้อ ๑ ไม่ให้ฆ่า ก็ถือมาอย่างเก่ง อย่างเคร่ง แต่ไม่รู้ตัวว่าเก็บกดสะสม ถึงบทบาทที่มันถึงที่ ก็ฆ่าคนได้เลย คนที่ถือศีลเคร่ง อย่างนี้ก็มี เพราะไม่เกิดปัญญา ไม่ได้ล้างกิเลสตัวเหตุ อย่างถูกตัวตนของกิเลส กิเลสมันจริง นะ มันโตขึ้นๆได้ มีแรงโหดร้ายได้ เรื่องพลัง ของกิเลสนี้ อาตมาพูดบ่อย เช่น คนเรามีความรู้ ความเข้าใจ รู้ว่าอะไรชั่วก็รู้ อาตมามักถาม เสมอว่า คนที่ไปปล้น, ฆ่า, ข่มขืน ไปขี้โกง ไปคอรัปชั่น เหล่านี้เป็นความชั่วทั้งนั้น คนที่ทำ เขารู้ไหมว่ามันชั่ว อาตมาว่าเขารู้ทุกคน และ จริงๆ ไม่มีใครอยากทำชั่วหรอก ทำแล้วก็ต้อง พยายามปกปิดซ่อนเร้นไม่ให้ใครรู้ แต่ที่เขาทำ เพราะอดไม่ได้ มันต้องทำ เหมือนมีตัว บังคับ ตัวบังคับนี่แหละคือกิเลส ความไม่ละอาย ต่อบาป ความไม่มีหิริไม่มีโอตตัปปะ เขาก็ทำตามที่กิเลสบังคับให้ทำ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เรียนรู้ เพื่อลดละกิเลสอย่างแท้จริง ได้แต่กดข่มถือศีลอย่างที่กล่าวไปแล้ว มาถึงบทบาท เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม ต่อให้คุณ เคร่งศีลขนาดไหน แต่ถ้าเป็นศีลแบบ สีลัพพตุปาทาน ไม่ใช่ศีลแบบที่พระพุทธเจ้าสอน ให้ละลดกิเลสจริง ชนิดรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ตัวตนกิเลสและมีวิธีฆ่ากิเลสจนกระทั่งหมดไปได้ ก็ปฏิบัติกันไม่มีมรรคผล เมื่อไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่มีผลสำเร็จจริง นักมังสวิรัติที่ฆ่าคนตายไป ก็มีเยอะ ไม่เกิดเมตตาจริงแน่

เพราะฉะนั้นในเรื่องของความรู้ ในเรื่องของการฝึกฝน หรือชนิดไหนๆก็แล้วแต่ ถ้าไม่ สามารถ เข้าไปละล้างต้นเหตุ อันคือตัวกิเลสนี้ออกไปได้ ลดพลังของกิเลส ให้มันอ่อน กำลัง ให้มันตาย ถ้าไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ ไม่มีทางแก้ไขตัวเขาได้เลย ตัวใครก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะรู้มาก จะเฉลียวฉลาด จะเรียนเก่งจบด๊อกเตอร์มา ๑๐๐ ใบก็ตาม ถ้าไม่ลด กิเลสจริงก็ยังทำชั่วได้ เพราะกิเลส มันพาทำชั่ว ยิ่งฉลาดก็ยิ่งทำชั่วได้เยี่ยมยอดนัก และความฉลาดก็ช่วยให้ทำชั่ว ได้อย่างลึกซึ้งซับซ้อน ไม่มีใครจับได้ด้วย ทำได้อย่าง เก่งกาจ มันกลับจะไปสนับสนุนซะอีก

เพราะฉะนั้น ความรู้ไม่ใช่ตัวประเด็นหลักที่จะแก้ไขสังคมให้สงบสุขให้มีเมตตา ให้อยู่เย็น เป็นสุขได้อย่างดี ความรู้ไม่ใช่ทางแก้ไข ต้องเอาการลดกิเลสเป็นทางแก้ไข แต่ต้องเรียนรู้ ให้มีความรู้เหมือนกัน แต่ทำอย่างไรจะนำความรู้ด้านลดกิเลสมาใส่ในการศึกษา มาใส่ ในชีวิต ทั้งชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้ามีสูตรใส่ทั้งชีวิตอยู่แล้ว แต่เขาเรียนกันผิดๆ ถ้าเรียนถูก แล้วทั้งชีวิตนี่ จะเป็นไปเพื่อปฏิบัติละลดกิเลสอย่างพวกเราชาวอโศกทุกคน เราก็ปฏิบัติ กันทั้งนั้นแหละ อยู่ที่เจ้าตัวแต่ละคนจะเอาใจใส่พากเพียรหรือไม่ เราก็ชี้นำกันในแต่ละวัน ตั้งแต่เช้าจนเย็น ก็เห็นๆกันอยู่ มีการสังวรระวังปฏิบัติละลดกิเลสกันตลอดเวลา

สรุป ถึงจะรู้อะไรรู้ให้เก่งให้เยี่ยมยอดสุดยอดขนาดไหน ก็ไม่มีผลดีต่อการพัฒนาคน พัฒนาสังคม ถ้าไม่ลดกิเลสเป็นหลัก จะพัฒนาทางเศรษฐกิจพัฒนาในทางร่ำรวย มีเงิน มีทอง มีการกินอยู่ฟู่ฟ่าอย่างไร ก็ไม่เป็นสุขหรอก ไม่ทำให้สังคมอยู่อย่างสงบเย็น อยู่อย่าง เรียบร้อยอบอุ่นได้หรอก


* ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ผู้ที่เจริญเมตตาชื่อว่าไม่เหินห่างจากฌาน" แสดงว่า การเจริญเมตตา คือการเจริญฌานใช่หรือไม่ และการเจริญเมตตาสัมพันธ์กับพุทธพจน์ ๖ สาราณียธรรม ๗ อย่างไร ?

- ถ้าเราเจริญเมตตา พยายามพัฒนาให้จิตเกิดเมตตาอย่างสัมมาทิฏฐิ ศีลแต่ละข้อ ก็เป็นไป เพื่อเห็นแก่ผู้อื่น เป็นคุณธรรมที่จะทำให้เกิดศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เกิดเป็น อาริยทรัพย์ เกิดเป็นอาริยธรรม ศีลข้อ ๑ ให้เกิดเมตตา ไม่ไปฆ่าใคร ไม่รุนแรงทำลายใคร ศีลข้อ ๒ ไม่ไป เอาของใคร พยายามเห็นแก่ผู้อื่น ให้คนอื่น ศีลข้อ ๓ ลดราคะลงไป อย่าเที่ยวเสพสม หรือ เอาอะไรมาบำเรอตน ศีลข้อ ๔ เรื่องของวาจา ให้เป็นคนซื่อสัตย์ ไม่มดเท็จ ไม่ก่อภัยด้วยคำพูด ไม่ไร้ค่าเปล่าดาย แม้จะพูดจา ต้องมีประโยชน์มีคุณธรรม ศีลข้อ ๕ เป็นศีลที่ต้องเรียนรู้ถึงจิต ต้องละเว้น สิ่งที่ทำให้ ไม่มีปัญญา เป็นโมหะ ไม่มี สติสัมปะชัญญะ จนหลงผิดเหมือนคนเมา เมาโลก เมาโลกีย์ ไม่เป็นความรู้ที่ตื่นเต็ม อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติศีล หรือ ปฏิบัติจิต พัฒนาไตรสิกขา ก็จะทำให้ จิตของเราสะอาดขึ้น ศีลแต่ละข้อเมื่อปฏิบัติแล้ว ทำให้จิตใจ ของเราเป็นไปเพื่อลดละ ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่น จะเกิดเมตตากายกรรม เมตตา วจีกรรม เมตตามโนกรรม และก็จะอยู่กันอย่างเป็นสุข เพราะฉะนั้น สาราณียธรรม ๖ จึงเป็นสูตรที่ยิ่งใหญ่ เมื่อคน มีเมตตาทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เรื่องของวัตถุ เรื่องของ สมบัติ เรื่องของอะไร ต่างๆ ก็เป็นสาธารณโภคีที่กินใช้ร่วมกันได้ ในเรื่อง จิตวิญญาณ ก็จะมี ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา มีสภาพที่เป็นหลักเกณฑ์ในชีวิต หรือวัฒนธรรม ที่สอดคล้องกัน รู้ร่วมกัน เข้าใจด้วยกัน มีทิศทางที่รู้เป้าหมาย ความเป็นอยู่ ของชีวิต เช่น รู้ว่าไปโลกุตระดีกว่า ไปนิพพานดีกว่า เป็นต้น


รู้สรรพวิชาในโลก
รู้ให้เก่งแสนเก่งอย่างไร
รู้ให้มากให้มายอย่างไร
แต่ตราบใดที่ไม่มีความรู้เรื่องการละลดกิเลส
และนำไปประพฤติปฏิบัติจนกิเลสลดลงได้จริง
ตราบนั้นความรู้ทั้งหลายทั้งปวง
ก็ยังไม่สมบูรณ์ก็ยังเปล่าดาย
แถมทำลายตนทำร้ายสังคมได้ยิ่งๆขึ้น

-สารอโศก อันดับที่ ๒๗๕ กันยายน ๒๕๔๗ -