กรรมตามสนอง


โรคกรรม.....ไร้ยารักษา

ตอนเป็นเด็กข้าพเจ้าอยู่ชนบทตั้งแต่ เล็กๆ ก่อนเข้าโรงเรียนมักจะหนีแม่ไปเล่นน้ำคลอง ซึ่งการไปแต่ละครั้ง จะมีพรรคพวก ร่วมไปด้วยกันหลายคน ทั้งที่อายุมากกว่าและน้อยกว่า สำหรับเด็กๆผู้ชายแล้วมันสนุกมาก

น้ำสีขุ่นๆ เหมือนเครื่องดื่มประเภทช็อกโกแลตผสมนมข้นหวาน ก็ไม่ได้ทำให้พวกเรารู้สึกว่าสกปรกแต่อย่างใด ดีเสียอีก เวลา ดำน้ำ จะได้มองไม่เห็นตัวกัน การที่น้ำขุ่นๆ นอกจากเวลาดำน้ำ จะมองไม่เห็นตัวกันแล้ว เราก็มองไม่เห็นสัตว์ อันน่ารังเกียจ สำหรับนักเล่นน้ำด้วย มันคือ ปลิง ! ไม่ว่าจะเป็นปลิงเข็ม หรือปลิงควาย ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ที่พบในน้ำ ที่เราเล่นกัน มักจะเป็น ปลิงเข็ม ปลิงเข็ม ลำตัวค่อนข้างกลมคล้ายไส้เดือน แต่ไม่ยาวมากเหมือนกับไส้เดือน ส่วนปลิงควายนั้น ค่อนข้างแบน และขนาดใหญ่กว่า ความรู้สึกแรก ที่ถูกปลิงเกาะ จะรู้สึกคันๆ บริเวณที่ถูกเกาะและถูกเจาะดูดเลือด โดยธรรมชาติ เมื่อเกิด ความรู้สึกคัน ก็จะล้วงมือ เข้าไปเกา (ปลิงมักชอบเข้าไปเกาะในร่มผ้าหรือในที่ลับ) สัมผัสแรกคือ พบกับสิ่งแปลกปลอม ที่ลื่นๆ หยุ่นๆ เกาะติดบริเวณนั้น

บางคนเจออย่างนี้จะขึ้นบกก่อน บางคนพอสัมผัสถูกก็พยายามดึงเจ้าสิ่งแปลกปลอมออก ซึ่งมันก็ลื่นจริงๆ จนบางที จับไม่ค่อยติด ถ้ารู้สึกว่าจับไม่ค่อยติดก็จะใช้นิ้วจับปลายด้านหางปลิง แล้วม้วนพันกับนิ้วชี้เป็นขด พันรอบนิ้ว ซึ่งบางที ได้ถึงสองรอบ แล้วค่อยกระชากออกมา เลือดไหลออกมาจากปากแผล ที่ถูกปลิง เกาะดูดเลือด ปกติสัตว์ประเภทนี้ มักจะปล่อย สารที่ทำให้เลือด ไม่ยอมแข็งตัวออกมา ทำให้ผู้ที่ถูกปลิงกัด ต้องเสียเวลานาน ในการห้ามเลือด คนที่ถูกปลิงเกาะ ก็มักจะบอก เพื่อนๆว่า โดนปลิงเกาะ

หลังจากนั้นก็เป็นการลงทัณฑ์ ข้าพเจ้าจับปลิงที่ดูดเลือดข้าพเจ้าหิ้วมา มันพยายามดิ้นและใช้ปาก เกาะผิวหนัง บริเวณ นิ้วมือของข้าพเจ้าอีก อุปกรณ์ลงทัณฑ์ที่คิดว่าสะใจเพชฌฆาตอย่างพวกเราคือ ไม้แหลม คล้ายไม้เสียบ ลูกชิ้น ซึ่งแถวๆ ริมคลอง อย่างมากก็หักกิ่งไม้แถวๆนั้นนั่นแหละ ขนาดก้าน เล็กกว่าดินสอ เขียนหนังสือ จัดการเสียบเข้าด้านหนึ่ง ของลำตัวปลิง ตามความยาวของลำตัวแล้วค่อยๆรูด ดึงตัวมันมา ในขณะที่ ดันไม้ออกไป

การทำอย่างนี้นี่เองทำให้ปลิงมีไม้เสียบเข้าไปในลำตัวคล้ายกับลำไส้ดินสอดำ แต่หนังของปลิง ก็ถูกถลก ปลิ้นข้างใน ออกข้างนอก ข้างนอกกลับเข้าไปอยู่ข้างในแทน หากนึกภาพไม่ออก ก็ให้นึกถึง เวลาเรา ถอดเสื้อยืด ให้เด็กเล็กๆ โดยเราให้เด็ก ชูมือทั้งสองขึ้น แล้วเราจับชายเสื้อยืด รูดปลิ้นขึ้นมา ทางหัว นั่นแหละ คล้ายๆกันเลย เลือดสดๆไหลหยดติ๋งๆ รวมผสมกับ เมือกเหนียวๆ มันไม่สามารถ ร้องออกมาได้ ซึ่งก็เป็นไป ตามธรรมชาติของมันที่ไม่สามารถส่งเสียงให้มนุษย์ได้ยินได้ หากมัน ส่งเสียงร้องได้ ก็คงจะเป็นเสียงร้อง ด้วยความโหยหวนอย่างเจ็บปวดรวดร้าว เพราะไม่สามารถดิ้นหลุดจากไม้ที่เสียบเข้าไป ในกายของตนเองได้ จากนั้นข้าพเจ้าก็นำไม้นั้นไปปักตากแดด นอกจากปลิงจะเจ็บปวดขยับไม่ได้แล้ว ยังต้องถูกแดด อันร้อนระอุ แผดเผาอีก ธรรมชาติของสัตว์ที่หากินในน้ำ การต้องอยู่บนบกก็เป็นความทรมานอยู่แล้ว นี่ยังต้องถูกปัก ตากแดด รสชาตินี้คงสุดที่จะพรรณนาในใจของมันได้ แต่สำหรับข้าพเจ้าในขณะนั้นแล้ว นี่ยังน้อยไป สำหรับการกินเลือดของข้าพเจ้า การลงโทษ ในครั้งก่อนๆ แค่เอาก้อนดินทับตากแดด แกมีปัญญา หนีรอดตายได้ (มาดูคราวหลังไม่พบซากปลิง) อยากรู้นักว่า แกโดนอย่างนี้ จะหนีรอดอย่างไร ซึ่งก็จริง มันไม่มีปัญญา หนีลงน้ำจริงๆ มาดูวันหลังก็เป็นหนังแห้งๆ ติดไม้ที่ปักดินอยู่

ศพแล้วศพเล่าที่ถูกปักตากแดดด้วยความสะใจ บางทีก็อาสาสำเร็จโทษแทนเพื่อน เรียกว่าอยากเป็น เพชฌฆาต ว่างั้นเถอะ บ่อยครั้งที่ขณะจูงควายขึ้นจากน้ำแล้ว จะมีปลิงควายเกาะติดมาด้วย บางทีมีมากถึง ๓_๔ ตัว ทุรกรรมของเพชฌฆาต วัยเยาว์ ก็คือเดินไปที่ต้นหญ้าชนิดหนึ่ง ลักษณะคือดอกเป็นเส้นสี่แฉก ก้านยาว จนถึงพื้นดิน ก้านหญ้าชนิดนี้เหนียวมาก คิดจะดึงให้ขาดยังต้องออกแรงไม่น้อย ๑ ก้านต่อปลิง ๑ ตัว เมื่อได้มาแล้วก็ใช้เล็บขูดๆ บริเวณตรงกลางเส้น เพื่อให้บริเวณนั้น มีความอ่อนนุ่ม เป็นพิเศษ เหมือนเชือกอ่อนๆ เส้นหนึ่ง จากนั้นก็เอาปลายด้านโคน แหย่ลอดลำตัวของปลิง (ปกติแล้ว เวลาปลิงเกาะ มันจะทำตัวแนบ กับผิวหนังของเหยื่อ) เมื่อปลายอีกข้างแหย่ลอดไป แล้วก็จัดการผูกมัด เพื่อไม่ให้ ลื่นหลุด เพราะการเอามือจับ มันก็ลื่นและรู้สึกขยะแขยง จากนั้นก็เอามือดึงหญ้านั้น ปลิงเกาะแน่นเหมือนกัน บ่อยครั้ง ที่ดึงแล้ว ปลิงไม่หลุดจากควาย แต่เป็นหญ้าหลุด หรือขาดจากปลิง ปลิงตัวอ้วนดิ้นเล็กน้อย จากนั้น มาตรการสำเร็จโทษ นานาวิธี ก็ตามมา หากมีกองไฟอยู่ก็โยนเข้ากองไฟทั้งอย่างนั้นแหละ ปลิงดิ้นรน ด้วยความทรมาน จากความร้อน ของกองไฟ จนตาย จะหนีก็ไม่ได้ ครั้งหนึ่งไม่มีกองไฟ ข้าพเจ้าก็คิดว่า ถ้าเราเอาผงซักฟอก ผสมน้ำใส่ขวด แล้วเอาปลิงใส่ มันจะตายไหม หนอ ว่าแล้วก็ทดลอง ตามสมมุติฐาน ของนักทุรชีววิทยารุ่นเยาว์ มันก็ดิ้นไปมาในน้ำผงซักฟอก อย่างทุรนทุราย และ นิ่งไปในที่สุด

อีกมาตรการหนึ่งที่เคยนำมาใช้คือมดแดงที่ต้นชมพู่มันดุนัก เข้าไปใกล้ทีไรก็ไล่กัด ก็จัดการ จับก้านหญ้านั้น แหย่ปลิง เข้าไปที่ โคนต้น ชมพู่ ผลคือฝูงมดแห่มารุมกัดปลิง ตอนนี้ปล่อยมือจากก้านหญ้าแล้ว ไม่งั้น มดก็จะ นับเอาข้าพเจ้า รวมเป็นเหยื่อด้วย ภาพที่ปรากฏ คือ ปลิงถูกตรึงติดอยู่กับต้นชมพู่ เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมา เต็มไปหมด

เหตุการณ์เหล่านี้ผ่านไปนานจนเกือบลืมไปแล้ว จนข้าพเจ้าไปเรียนมัธยมที่ต่างอำเภอ ก็เลยไม่ค่อย มีโอกาส จะได้เล่นน้ำ เหมือนเคย และพอเรียนในมหาวิทยาลัยก็ต้องพักในหอพักของมหาวิทยาลัย ก็เลยขาด จากการ เล่นน้ำคลอง โดยปริยาย ช่วงที่เรียน มหาวิทยาลัยนี้เอง ร่างกายก็เริ่มผิดปกติ เริ่มขับถ่ายยาก บางที ก็มีเลือด หยดออกมา ข้าพเจ้าก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะมัน ก็ไม่เคยมีอาการเจ็บปวด ภายหลังเริ่มเข้าใจว่านี่คือ ริดสีดวง ทวาร ถามเพื่อนที่ทำงานในโรงพยาบาล เขาก็ว่า ต้องผ่าตัดบ้าง ต้องไฟฟ้าจี้บ้าง ก็เลยเห็นว่ายุ่งยาก เลือดก็ไม่ได้ ออกทุกวัน หัวริดสีดวงก็ไม่ได้โผล่ออกมาเป็นก้อน เหมือนในรูปภาพ ที่เขาโฆษณาเพื่อการรักษา ถ่ายเสร็จ ก็ไม่เห็นมีหัวอะไรติดอยู่ จึงไม่สนใจที่จะรักษา

จนกระทั่งรับราชการครู อาการก็เริ่มเป็นมากขึ้น เริ่มมีหัวโผล่ขณะที่ถ่าย พอถ่ายเสร็จใช้ปลายนิ้วดันเข้าไป ช่วงนั้นเริ่ม ปฏิบัติธรรมแล้ว รักษาศีลแล้ว เป็นศีล ๘ เสียด้วย ก็เริ่มศึกษาโยคะพบว่า ในตำราโยคะ มีอยู่ท่าหนึ่ง คือ ท่าปลา (มัศยาอาสนะ) ก็ได้ผลนะ ทำเย็นนี้วันรุ่งขึ้นถ่ายก็ไม่มีเลือด แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจทำ สม่ำเสมอ (ภายหลังผ่านไปอีกหลายๆปี โยคะท่านี้ก็เอาโรคนี้ ไม่อยู่แล้ว เกิดอาการดื้อยา)

เหตุการณ์ผ่านไปหลายปี ช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้ย้ายไปเป็นครูดอยที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน กิ่งอ.ปางมะผ้า (ปัจจุบัน เป็นอำเภอแล้ว) จากนั้นก็ไปเป็นครูดอยที่ อ.เทิง จ.เชียงราย ที่สุดก็มาสอนพื้นราบ ในเขต อ.เทิง จ.เชียงราย โรคดังกล่าว ก็ยังคงรบกวนอยู่เรื่อยมา แต่ไม่เคยมีเลือดออกมาในเวลาอื่นๆ นอกจาก เวลาถ่าย ในช่วงที่สอนพื้นที่ราบนี้เอง ได้ลองไปหาหมอ ตามโรงพยาบาล หมอก็ตรวจดูอาการ แค่ตรวจ ก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว เหมือนถูกแหกทวารหนักและคว้านไปมา ทั้งๆที่อาการป่วย ไม่เคยทำให้ข้าพเจ้า ต้องรู้สึก เจ็บเลย หมอให้ยามากิน ให้ยามาเหน็บ ก็ไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้นแต่อย่างใด

ช่วงนี้หัวริดสีดวงเริ่มปูดโตขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ยังคงยัดเข้าไปได้หลังถ่ายเสร็จ ที่สุดก็ถามหมอว่า หากจะผ่าตัด จะหายขาดไหม หมอก็ว่า ไม่หายขาดเสมอไป(ไม่รับประกัน) เพราะคนไข้ที่ผ่าแล้วผ่าอีกก็ยังไม่หายก็มี และหมอ ให้คำแนะนำว่า หากจะผ่าตัด จะต้องพักฟื้น ไม่ต่ำกว่า ๑๐ วัน ตรงนี้ทำให้มีความรู้สึกว่าทำไม่ได้ เพราะเราต้องทำงานและรู้สึกเป็นเรื่องยุ่งยาก สุดท้าย มาจบลงที่ ใช้วิธีฉีดยาให้ฝ่อ ขณะที่หมอฉีดยาให้ ก็เจ็บขณะหนึ่ง ฤทธิ์ยาแผ่ซ่านขึ้นไปจนรู้สึกขมที่ริมฝีปาก นึกในใจว่า แม้วิธีนี้ ก็ยังรู้สึกไม่สบายนัก แต่ก็เห็นผล ทันตา หัวริดสีดวงยุบหายไป กลับไปเป็นปกติเหมือนก่อนที่จะเป็นโรคนี้

"ความสุขย่อมเกิดได้ไม่ยาวนานกับผู้ก่อกรรมชั่ว" หลังจากสบายอยู่ได้สักระยะหนึ่ง หัวริดสีดวงก็โผล่มาอีก ข้าพเจ้ารู้สึก เบื่อหน่าย ที่จะรักษา เพราะการไปโรงพยาบาลแต่ละครั้งก็ไม่ใช่สบายนัก ไหนจะต้องยื่นบัตร รอคอย ไม่รู้ตั้งกี่ด่าน กว่าจะได้ พบหมอ ไหนจะต้องมาเปิดก้นให้คนอื่นดู ไหนจะต้องทนเจ็บ เพราะถูกแหกทวาร และคว้าน และแม้จะฉีดยาให้ฝ่อได้ รสชาติ ของการฉีดยาที่ขม จนถึงปาก ก็ไม่ใช่รสชาติ ที่น่าพอใจ อีกทั้งแม้มันจะฝ่อได้ ไม่นานมันก็งอกขึ้นมาใหม่ ก็เลยไม่ได้ไปหาหมอ เพราะคิดว่าอาการก็เพียงแค่ ถ่ายมีเลือดหยด ไม่ได้ทำให้เราต้องเจ็บแต่อย่างใด

ต่อมาข้าพเจ้าลาออกจากราชการ ไปบวชอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ วันหนึ่งพระผู้เป็นผู้ใหญ่ในวัดนิมนต์ให้แสดงธรรม วันนั้นโรค ริดสีดวง ก็เริ่มอาละวาดหนักเป็นครั้งแรก เลือดซึมออกมาขณะนั่งแสดงธรรม จนเปียกสบง ทะลุ ออกมาเปียกจีวร แดงฉาน จนเห็นได้ชัด จนญาติโยมรู้สึกตกใจ แม่ชีคนหนึ่งได้แนะนำสูตรยาของเขา ซึ่งต้อง ใช้ยาซองมาผสมกับน้ำคั้นจากใบฝรั่ง โดยรับรอง สรรพคุณว่าหาย แม้พระในวัดเดียวกัน ๒_๓ รูป ก็รับประกันว่าหาย เพราะลองมาแล้ว แม่ชีนั้นลงทุน ปรุงยา ให้ด้วยตนเอง

ในระยะแรกๆ มันก็ดูดีขึ้น เลือดไม่ออกมาเปรอะข้างนอก แต่สักระยะหนึ่งขอบทวารหนักก็เริ่มแห้ง ส่วน ปลายหัวริดสีดวง เริ่มเหมือน แผลตกสะเก็ด เวลานั่งหากส่วนหัวริดสีดวงที่เหมือนแผลตกสะเก็ด กระทบ ถูกพื้นที่นั่ง ก็จะเจ็บปวด จนสะดุ้ง โหยงเลยทีเดียว เป็นอันว่าไม่หาย และขืนยังใช้ยานี้ต่อไป จะยิ่งนั่ง ลำบากยิ่งขึ้น เหมือนที่เขาโฆษณา ยารักษาริดสีดวงทวาร ทางโทรทัศน์แล้วผู้แสดง(พรีเซ็นเตอร์)ไม่ยอมนั่ง โดยให้เหตุผลว่า "ลมมันเย็น" ก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมเขาไม่ยอมนั่ง เพราะนั่งแล้ว จะเจ็บนี่เอง พอหยุดยาตัวนี้ ได้ระยะหนึ่ง ก็หายเจ็บ แต่อาการก็เหมือนเดิม คือถ่ายมีเลือด และบางทีถ้านั่งนานๆ เลือดก็ซึม ออกมา เปรอะ สบงจีวร โดยเฉพาะการนั่งยองๆ

มีสูตรยาตามมาอีกหลายสูตรซึ่งก็ไม่ได้ผล ทั้งยาไทย ยาเทศ มีรายหนึ่งศรัทธามาก ไม่รู้ไปซื้อยาเปลือกไม้ มาจากไหน เอามาถวาย โยมที่ดูแลโรงครัวก็ใจดี ต้มให้ดื่ม ปรากฏว่าอาเจียนแทบตาย เหงื่อผุดมาเม็ดเป้งๆ เต็มตัว ลมหายใจขัดๆ ใจสั่น จะเป็นลม ต้องออกมาเรียกสามเณรผู้สูงอายุรูปหนึ่งให้ช่วย ซึ่งก็ช่วย จากประสบการณ์ ของเขา ทั้งปรุงยา ทั้งบีบนวด จนค่อยยังชั่ว

ต่อมาญาติโยมได้พาไปรักษาที่โรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่งทาง อ.แม่ริม หมอไม่ค่อยถามอาการ และไม่ค่อย อยากฟังข้าพเจ้า อธิบายถึงการรักษา ที่ผ่านมา เขาก็จ่ายยาทั้งยากิน ยาเหน็บมาให้ พร้อมด่างทับทิม เพื่อให้นั่ง แช่ก้น ในน้ำด่างทับทิมอุ่นๆ ข้าพเจ้ารู้สึก เบื่อหน่าย เพราะยาเหล่านี้ก็เคยกินมาตั้งแต่ ๖_๗ ปีก่อน แล้วไม่ได้ผล จนต้องให้หมอฉีดยาให้ฝ่อ ก็ทำมาแล้ว

แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะหมอก็มีอัตตาจัดเหลือเกิน จะอธิบายก็ไม่ยอมฟัง หากจะรักษาต่อจากเดิมก็คือ ต้องฉีดยาอีก ไม่ใช่มาเริ่ม ที่เลขศูนย์เลขหนึ่งใหม่ ผลของยาเหน็บทำให้สบงเลอะเทอะเป็นคราบขาวๆ เพราะเวลามีแก๊ส(ผายลม) มันจะมี ทั้งลม และของเหลวไหลออกมา จริงแล้วยาเหน็บไม่จำเป็น เพราะด้วย ความเป็น นักมังสวิรัติมา ๑๔ ปี เราไม่ได้ท้องผูก จนต้องเหน็บยา เพื่อช่วยในการขับถ่าย แต่หมอไม่ยอมฟัง อะไรเลย ทุกอย่างต้องรักษาตามขั้นตอน จนข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อ โรงพยาบาล เบื่อหมอ

สามเณรผู้สูงอายุได้ปรุงยาสมุนไพรให้ฉันทุกวัน โดยใช้เพชรสังฆาตสับละเอียด แล้วฝานกล้วยน้ำว้า ห่อเพชรสังฆาต (เพื่อสะดวก ในการกลืนและป้องกันการระคายคอ) สามเณร พยายามพูด ให้ข้าพเจ้า ฝืนฉันยา ดังกล่าวสัก ๒-๓ เดือน เพราะต้องใช้เวลา ในการรักษา ตกลงข้าพเจ้าต้องรักษาด้วยยาถึง ๕ ขนาน พร้อมๆกัน ทั้งยาจากโรงพยาบาล ยาเหน็บ ยาจากสามเณร และต้องนั่งแช่น้ำด่างทับทิมอุ่นๆ รู้สึกวุ่นวาย และยุ่งยากมาก เวลาผ่านไปประมาณ ๓ เดือน หัวริดสีดวง ยุบหายไป เลยไม่รู้ว่า ผลเกิดจากยาตัวไหนกันแน่ เพราะมันปนกัน มั่วไปหมด แต่หลังจากนั้นอีกไม่นานนัก หัวใหม่ก็งอกออก มาใหม่อีก ข้าพเจ้ารู้สึก เบื่อในการ รักษามาก

โยมผู้ชายคนหนึ่งเป็นแพทย์แผนไทย ได้กล่าวว่า "ริดสีดวงทวาร กระจอกมาก รักษาง่าย ผมรักษาหาย มาไม่รู้กี่รายแล้ว แค่เอาน้ำเกลือ (ผสมเกลือแกง) สวนทวารไม่นานก็หายขาด" ข้าพเจ้าก็ถามเขาว่า ใช้เกลือ มากน้อยแค่ไหน เขาก็ว่ายิ่งเค็มยิ่งดี ข้าพเจ้าถามว่า ไม่มีอุปกรณ์บีบยาสวนทวาร แต่มีอุปกรณ์ดีท๋อกซ์ (ถุงใส่กาแฟ เพื่อสวนทวาร ขับสารพิษ)จะใช้ได้ไหม เขาก็ว่า ใช้ได้เหมือนกัน จึงได้ทดลองดู ไปขอเกลือป่น จากโรงครัว ประมาณ ๒๐% ของถุงเกลือ คิดว่าแค่นี้คงเค็มพอ เพราะยึดหลัก ที่เขาว่า ยิ่งเค็มยิ่งดี ผสมน้ำ จนละลายดี แล้วกรอกลงถุงดีท็อกซ์ แล้วปล่อยเข้าทวารหนัก เห็นผลทันตา รู้สึกได้ถึงความเค็ม วิ่งมาจาก ทวารหนัก ผ่านลำไส้ ขึ้นมาตามหลอดอาหารที่ลำคอ มาถึงปาก อ้าปากอาเจียนพรวดออกมา อาหารที่ฉันไป วันนั้น สำรอกออกมาหมด

จากนั้นเริ่มรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน เหมือนคนถูกบิดลำไส้ ปวดท้อง มวนท้องอย่างหนัก ท้องร่วงทันที เวลาปวดท้อง (จะถ่าย) จะปวด รุนแรง กลไกการทำงานของร่างกายจะเบ่งอย่างรุนแรงโดยอัตโนมัติ จนนั่ง เฉยๆไม่ได้ มีเสียงร้องออกจากปาก ขณะเบ่งถ่าย อันเกิดจากการบีบรัดตัวอย่างรุนแรง เปล่งเสียง ออกมา เสียงดัง โดยข้าพเจ้าไม่สามารถควบคุมตนเองได้ (คิดว่า คงคล้ายอาการของสตรีเมื่อคลอดบุตร) เหงื่อผุด ออกมามากมาย ทรมานอยู่อย่างนั้นจนสงบ ก็ออกจากห้องน้ำได้ อีกพักหนึ่ง ก็เป็นอย่างนี้อีก สรุปแล้ว ทั้งวัน กว่าจะหมดฤทธิ์ ต้องเข้าส้วม คงไม่ต่ำกว่า ๑๐ ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งเป็นไปด้วยความทรมาน และมีเสียงร้อง พร้อมกับ การเบ่งอย่างรุนแรง ต้องคว้าของที่พอยึดเหนี่ยวได้ในห้องนั้นเพื่อพยุงและกลัวหมดสติ

หลังเหตุการณ์ข้าพเจ้าก็ถูกต่อว่าด้วยความหวังดีจากญาติโยมว่า "ท่านทำไมต้องทำตัวเป็นหนูลองยา แบบนี้" ข้าพเจ้าเข้าใจ ความหวังดีของญาติโยมแต่ละรายที่เป็นห่วงและอยากให้หาย เพราะยาแต่ละตำรับ ที่ส่งมา ถวายมา ก็ดีๆทั้งนั้น หลายคน ก็หายมาแล้วจริงๆ หากไม่ลองยาของเขา เขาก็ยังค้างคาใจ และจะยกเป็น ข้ออ้าง ในการที่ข้าพเจ้า ไม่หายจากโรค ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้า บอกว่าเป็นโรคกรรม รักษาไม่หายหรอก แต่..... แต่ละคน ก็รู้สึก ไม่ยินยอมพร้อมใจ ถึงยอมรับการใช้ยาของเขา

ต่อมาข้าพเจ้าได้ย้ายจากที่นั่นมาอยู่ที่เชียงราย ปกติพอออกพรรษาข้าพเจ้าจะออกจาริก ในบางวัน ของการเดินทาง อาการ ริดสีดวง ก็กำเริบ มีเลือดหยดออกมาขณะกำลังก้าวเดิน แรกๆ ก็ไม่รู้สึกตัว คิดว่า เป็นเหงื่อ หรือ หยดน้ำ ในปีคาบเกี่ยวระหว่างปี ๒๕๔๗-๒๕๔๘ นี่เอง รู้สึกได้ว่าอาการจะหนักกว่าทุกที สมรรถนะ ในการเดินธุดงค์ ลดลงประมาณ ๒๐% บางครั้งขณะพัก รู้สึกว่า หัวริดสีดวงโผล่ พอเอานิ้ว ดันเข้าไป เลือดก็ไหลออกมา การขับถ่ายในระยะ ๒-๓ ปีท้ายๆนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เลือดหยด แต่เป็น ฉีดพุ่ง ออกมา คล้ายๆเราเอาถุงพลาสติกบรรจุน้ำลงไปแล้วเอาเข็มแทงถุง น้ำก็จะพุ่งออกมา บางที ฉีดพุ่งออกมา นานกว่า ๕ นาที เรียกว่า หากจะนำถ้วยมาตวง คงจะได้เป็นแก้วเลยทีเดียว โชคดีที่ยังไม่เคยเป็นลม

เมื่องานอบรมธรรมงานพุทธาภิเษกฯ ปี ๒๕๔๗ ข้าพเจ้าได้มาร่วมงานและพบสมณะเถระรูปหนึ่ง ซึ่งคุ้นเคย กันดี ได้ไต่ถาม ถึงอาการริดสีดวงของท่าน เพราะเคยทราบว่า ท่านเคยเป็นและตัวท่านเอง ยังเคยบรรยาย อาการ ตลอดจนการรักษาออกมา เป็นบทกวี ท่านว่าหายแล้ว อาการดีเป็นที่พอใจ ท่านได้เมตตา มอบยา มาให้ ซึ่งมีลักษณะ เป็นก้อนสีดำๆ บอกว่าหลายคน ใช้ยาตัวนี้แล้วหาย หากใช้แล้วดีขึ้นให้แจ้งมายังท่าน ท่านจะจัดหา ให้อีก

หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้รับนิมนต์ให้มาร่วมกิจกรรมที่วัดเดิมที่เคยอยู่(เชียงใหม่) ระหว่างนั้นก็ได้ลองยา ที่ได้มา ปรากฏว่า ปวดแสบปวดร้อน นอกจากหัวไม่ยุบแล้วยังมีอาการบวมกว่าเดิม แข็งใจฉันจนเกือบหมด ญาติโยม ที่นั่นบอกว่า ให้หยุดยา ตัวนี้เถอะ จังหวะนั้นก็มีโยมผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกัน นำยา ซึ่งเขาเอง เคยใช้ได้ผล มาถวาย โดยบอกว่า หากใช้แล้วดีขึ้น ก็ให้แจ้งมา เขาจะจัดหาให้อีก

กลับมาอยู่เชียงรายแล้วได้ฉันยาที่ว่านี้ แรกๆก็ทำท่าว่าจะดีขึ้นบ้าง จนแจ้งให้โยมอุปัฏฐากจัดหามาเพิ่ม แต่ฉัน ไปเรื่อยๆ ก็เหมือนเดิมอีกคือ เอาไม่อยู่

ในการจาริกปีล่าสุดนี้เอง มีช่วงหนึ่งเข้ามาใกล้เชียงใหม่ โยมทางเชียงใหม่ได้นิมนต์ และได้ไปรับข้าพเจ้า จากป่าช้า แห่งหนึ่ง ให้มาโปรด แถวบ้านของเขา โดยยินดีจะพามาส่งคืน ณ จุดเดิมก่อนที่จะมารับ เพื่อให้ เดินทางต่อได้ ข้าพเจ้าได้แจ้ง ให้เขาทราบว่า ได้ฟังจากรายการวิทยุ ทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ช่วงเย็นๆ ของวันหนึ่ง ซึ่งมีผู้โทรศัพท์เข้ามาร่วมรายการ ในประเด็นสมุนไพรกับสิทธิบัตร เขาขายความคิดว่า ได้ค้นพบว่า การนำเอายอดพญาไร้ใบมารับประทานสดๆ เป็นกับแกล้ม จะรักษาริดสีดวงทวาร ได้เห็นผล ทันตา โยมก็นำมาให้ลองฉันก็ยังไม่ดีขึ้น(แม้กลับมาเชียงรายแล้ว โยมทางเชียงราย จัดหามาให้ฉัน ต่อเนื่อง อยู่ราว ๑ สัปดาห์ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น)

โยมอีกรายได้นำน้ำมันเขียว(จาก กทม.)ซึ่งผู้แนะนำมาบอกว่าเขาใช้แค่วันเดียวก็หาย นำมาถวาย และกำชับว่า ให้ใช้ให้ได้ วันเดียวก็หาย เพราะยานี้กว่าจะได้มาช่างยากลำบาก ต้องเข้าคิวซื้อ (ทางไปรษณีย์) คิวยาวเหยียด ช่วงนั้นพักอยู่ที่ อ.แม่ริม (มีกำหนด ๓ วัน) ก็ลองใช้ดู แต้มแล้วแต้มอีก (เรียกว่าชะโลม ก็ว่าได้) ที่หัวริดสีดวง แล้วดันกลับเข้าไป แรกๆก็รู้สึกเย็นดี ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง ก็ซ้ำอีก (ตามที่เขาแจ้งมาในฉลากว่า มันจะค่อยๆ ยุบไปเอง) ก็ไม่เห็นมันจะยุบ ตรงไหน ข้าพเจ้าคิดว่า สงสัยเราจะทำ ไม่ถูกสูตร (ในเมื่อคนอื่นๆ เขาใช้แล้วหาย ภายในวันเดียว) หรือว่าเมื่อทาแล้ว ไม่ต้องดัน หัวริดสีดวงเข้าไป ปล่อยไว้อย่างนั้นเอง ก็เลยลองใหม่ (หลังจากลองวิธีเดิม มาแล้ว ๒_๓ ครั้ง) คราวนี้มีการเปลี่ยนแปลง อย่างชัดเจน รู้สึกร้อน จนเหงื่อแตก ดูอุณหภูมิ ก็ประมาณ ๒๒ องศา ปกติจะเย็นสบาย ลมหายใจ เริ่มขัดๆ และถี่ขึ้นๆ มีอาการ จะหน้ามืด เป็นลม รีบล้มตัวนอน ครู่หนึ่งก็หนาว หนาวจนต้องห่มผ้า รู้สึกเหมือนกำลังป่วยไข้ ฝืนทนไป อีกครึ่งชั่วโมง แล้วทาชะโลมซ้ำอีก รู้สึกอาการย่ำแย่ ปวดแสบปวดร้อน ที่ทวารหนัก มีน้ำเมือกไหล ออกมา ตลอดเวลา (มีคนว่านั้นคือ น้ำเหลือง) จนครึ่งชั่วโมง ก็ทาใหม่ แต่ยัดหัวริดสีดวงเข้าไป ตอนนี้ก็เลยรู้สึก ค่อยยังชั่ว ฝืนใช้ยานี้ จนครบ ๓ วัน ก็ไม่รู้สึกดีขึ้น จึงยกยาให้เขาไป

ก่อนที่เขาจะพาไปส่งยังจุดเดิมก็ได้แวะไปพักที่ อ.หางดง ตามคำนิมนต์(กำหนด ๒ วัน) โยมที่หางดง ก็นำยา มาถวายอีก เป็นยาปั้นเป็นเม็ดๆ สีดำๆ ลักษณะคล้ายกระดุม ถวายมา ๒ ถุง ก็ยังไม่กล้าใช้ คิดว่า ไว้กลับ เชียงรายก่อน ค่อยลอง เพราะหาก เกิดอาการข้างเคียงระหว่างเดินตามทาง จะลำบาก (รู้สึกขยาด จาก น้ำมันเขียว) ภายหลังเมื่อกลับมาแล้ว ฉันยานี้จนหมด ๒ ถุง ก็ยังไม่หาย ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกเบื่อยาแล้ว ตั้งใจว่า หากอาการ ยังไม่ทุเลา ต่อไปอาจจะได้งดเดินธุดงค์ เพราะมีผลกระทบต่อการเดิน โยมทางเชียงใหม่ หลายคน อ้อนวอนให้ไปหาหมอ โดยยินดีจะพาเข้าคลินิก (ถ้าเบื่อ โรงพยาบาล) ข้าพเจ้าจึงแจ้งว่า ถ้าจะไป หาหมอ ก็ขอใช้บริการทางเชียงรายก่อน เพราะเคยรักษา ที่โรงพยาบาลที่เชียงราย ครั้งสุดท้าย เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว เขารักษาโดยการ ฉีดยาให้ฝ่อ

โยมทางเชียงรายได้บริการพาไปโรงพยาบาล ค้นประวัติเก่า ทำบัตรใหม่(บัตรเดิมหายไปแล้ว) ได้พบหมอ เขาแหกทวาร แล้วส่องดู (ข้าพเจ้าต้องทนด้วยความเจ็บปวดอีกแล้ว) ได้ยินเสียงหมออุทานว่า ใหญ่มากมีถึง ๔ หัว น่าจะเอาไว้ให้ นักเรียนแพทย์ศึกษา หลังจากนั้นก็ต้องทนเจ็บอีก ๔ ครั้ง(ตามจำนวนหัว) ข้าพเจ้านึกว่า เขาจะฉีดให้ฝ่อ เหมือนเช่นเคย แต่ไม่ หมอบอกว่า ใช้วิธีผูกรัด ผู้ช่วยหมอ แจ้งก่อนข้าพเจ้า จะกลับว่า จะรู้สึกตึงๆ สัก ๑๐ วัน

ออกจากโรงพยาบาลแล้วรู้สึกเจ็บจริงๆ เมื่อกลับมาแล้วระบบขับถ่ายก็มีปัญหา ถ่ายวันละประมาณ ๘ ครั้ง ทุกครั้ง ที่มีการส่ง กากอาหาร มายังลำไส้ใหญ่จะปวดท้องถ่ายทันที การถ่ายแต่ละครั้ง ทรมานมากๆ ทุกครั้ง ที่ขมิบ (อาการขมิบ จะเกิดขึ้น ได้บ่อยๆ แม้แต่ยามที่ปัสสาวะ) จะเจ็บปวดแบบสุดๆ เหมือนมีใคร เอาไม้ มาแทง ทวารหนัก จนต้องย้ายก้นหนี ดังนั้น เวลาถ่ายแต่ละครั้ง จึงมีความรู้สึก เหมือนถูก เอาไม้มาแทง ทวารหนัก ซึ่งต้องทนกับความรู้สึกเหมือนถูกไม้ เสียบทวารหนัก อยู่หลายครั้ง กว่าจะออกจากห้องส้วมได้ ไม่อยากถ่าย (เพราะเจ็บ) แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะวันหนึ่งต้องเข้าส้วมถึง ๘ ครั้ง แม้เวลานั่งก็เจ็บ (ถ้านั่ง ไม่ถูกจังหวะ) เรียกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาโรคริดสีดวงไม่เคยทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บเลย อย่างมาก ก็สร้าง ความรำคาญ แต่มาเจ็บเพราะการรักษาทั้งนั้นเลย

หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มาร่วมงานอบรมธรรมงานพุทธาภิเษกปี'๔๘ รู้สึกอยู่ฟังธรรมด้วยความยากลำบาก ต้องเข้าห้องส้วม บ่อยเหมือนเดิม และทุกครั้งก็เหมือนถูกไม้แทงทวาร จนกลับจากงานมาเชียงราย ก็รู้สึกว่า หัวเก่า ๔ หัวที่เขารักษามันหายไป แต่ก็เริ่มมีหัวใหม่ งอกออกมาใหม่อีก

วิบากกรรมเป็นเช่นนี้เอง ไม่มียาใดรักษาโรคกรรมได้ ในยามที่เราเลือดหยดหรือเลือดพุ่ง ออกมา มันก็ไม่ต่าง จากปลิง ที่เราเอาไม้แทง ซึ่งก็มีเลือดฉีดพุ่ง และหยดเช่นกัน ยิ่งหลังจากหมอผูกรัดหัวริดสีดวงทวารทั้ง ๔ หัว แล้วก็ยิ่งเข้าใจ ถึงความรู้สึก ยามที่ปลิงมันเจ็บปวดจากการที่ถูกข้าพเจ้า เอาไม้แทง และปลิ้น เอานอกออกใน ปักตากแดด ซึ่งเราคงไม่เจ็บ ขนาดนั้น (อย่างน้อยเราก็ยังไม่ถึงขั้นปลิ้นเอาในออกเอานอกเข้า แล้วปัก ตากแดด) เท่าที่เป็นอยู่เขาก็กรุณามากแล้ว อย่างน้อยยังให้โอกาสได้แสดงธรรมได้ นั่งฉันได้ (แม้บางครั้ง จะมีน้ำเมือก ซึมออกมา เปียกสบง จีวรบ้าง) ยังดีกว่าอีกหลายคน ที่เป็นก้อนโตๆ ขนาดเท่าลูกยอ ยื่นออกมา นอกทวารหนัก ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาจะนั่งอย่างไร บางคนสงสัยว่า แล้วพวกที่ เล่นน้ำด้วยกันล่ะ เขามิต้อง รับกรรมอย่างเดียวกันด้วยหรือ ข้าพเจ้าไม่สงสัย เพราะ ๑. เราต่างแยกย้ายกันไป จึงไม่ทราบ ๒. แม้เขาจะไม่ต้องมาเป็นอย่างเรา ก็ไม่สงสัยอีก เพราะธรรมดาของผู้ที่จะก้าวสู่จุดสูง บาปเล็กบาปใหญ่ จะมาทดสอบ วัดผล คล้ายๆกับเกณฑ์ในการผ่านของโรงเรียนเตรียมอุดม กับมัธยม ในชนบท ย่อมมีความเข้มข้น ที่ต่างกัน

ข้าพเจ้าทำใจได้เพราะเข้าใจในเรื่องของกรรม แม้เราจะเพียรบำเพ็ญความดี งดบาป รักษาศีลมาเกือบ ๒๐ ปี ก็ไม่สามารถ ลบล้างวิบากเก่าๆ หนี้เก่าๆได้ บัญชีบาปและบัญชีบุญมันคนละบัญชีกัน หักกลบลบหนี้ไม่ได้ โรคกรรม ไร้ยาใดรักษาได้ ทำอย่างไร ก็รับผลอย่างนั้น ญาติโยมบางคน เป็นห่วงและเป็นทุกข์เป็นร้อน ยิ่งกว่าตัว ขัาพเจ้าเสียอีก ซึ่งข้าพเจ้าก็บอกเขาว่า "ดีแล้วล่ะ ถ้ามันหายง่าย มันก็คงไม่รู้จักเข็ด"

- พระธัมมธโร.-

-สารอโศก อันดับ ๒๔๗ กันยายน ๒๕๔๘ -