บันทึกจากปัจฉาสมณะ

ตอน...กู้ชาติ กู้ศาสนา (๑)
ในบทเรียนประชาธิปไตยที่งดงาม
ถ้าแม้นจะแพ้พ่าย แต่ก็ภาคภูมิที่ได้เสียสละ

*** มกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
การชุมนุมต้านการเอาบริษัทน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ได้ทำมาต่อเนื่องหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ละครั้ง ท่านผู้มีอำนาจ ก็จะเลื่อน การพิจารณา ออกไปก่อน กลางเดือนมกราคมนี้ ได้ข้อมูลอย่างทันด่วนว่า กลุ่มทุนร่วมกับ ผู้มีอำนาจ จะแอบ เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์อีก ทำให้การรวมตัว ของกลุ่ม ภาคีต่างๆ ที่เคยร่วมคัดค้าน กันมาแล้ว ก็เกิดขึ้นอีก ด้วยเห็น ผลเสียหาย ต่อสังคมจะเกิดขึ้น หากปล่อยให้มีการเอาบริษัทน้ำเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์ ได้จริงๆ

ชาวอโศกเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่เข้าร่วม กลุ่มที่สามารถระดมคนมาร่วมชุมนุมด้วยเป็นจำนวนมากคือ ธรรมกาย

ค่ำของวันนั้น ๑๖ ม.ค. ขณะที่การรายงานข่าวต่างๆ ข่าวการชุมนุมคัดค้านการเอาบริษัทน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นข่าวเล็กๆ ส่วนข่าวเด่น ที่รายงานมาก คือข่าวที่ ท่านนายกฯทักษิณไปแจกสิ่งของ แก้ปัญหาความยากจนที่ อ. อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด

# # # ขอให้ ก.ล.ต.ปฏิบัติตามกฎหมาย
ประมาณทุ่มครึ่ง ได้รับโทรศัพท์จากญาติธรรมที่ได้ไปร่วมชุมนุมที่หน้า ก.ล.ต. แจ้งปัญหาขัดแย้ง ด้วยทางประธาน ก.ล.ต. ได้ประกาศ ลาออกแล้ว และจะเลื่อนการพิจารณาการนำเอาบริษัทน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ออกไป กลุ่มผู้ร่วมชุมนุม พอใจ ทยอยกัน กลับหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ของธรรมกาย หรือกลุ่มอื่น เหลืออยู่แต่พวกเรา จากนั้นได้ยื่น โทรศัพท์ ให้ พล.ต.จำลอง คุยกับพ่อท่าน ถึงเหตุผลที่ พล.ต.จำลอง เห็นว่า ควรจะอยู่ต่อ เนื่องจาก เขาหลอก พวกเรา มาหลายครั้งแล้ว ก่อนนี้ก็บอก พวกเราว่า การชุมนุมนี้เราต้องการอะไร มีมติกันออกมาแล้ว นี่เขามาประกาศ ยังไม่เป็นไปตามมติ ถ้าใครจะกลับ ก็กลับเถอะ แต่ผมจะอยู่ต่อ แม้จะมี ๕-๑๐ คน ก็จะอยู่ต่อ พ่อท่านเห็นว่าถ้า พล.ต.จำลอง ตั้งใจอย่างนั้น ก็ให้บอกพวกเรา ใครที่พอ จะอยู่ต่อได้ก็ช่วยๆกัน

แม้ได้เวลาจะพักนอนอยู่แล้ว แต่พ่อท่านเห็นว่าควรเดินทางไปดูพวกเราที่หน้า ก.ล.ต. ในคืนนี้เลย

เมื่อไปถึงที่นั่น มีพวกเราอยู่ประมาณ ๕๐ กว่าคน นักเรียนหญิงหลายคน ต่างยิ้มแย้มดีใจที่พ่อท่านเดินทางไปเยี่ยมดู พล.ต. จำลอง พักนอนแล้ว แต่เมื่อทราบว่า พ่อท่านเดินทางมา ก็ลุกขึ้นมา รายงานสถานการณ์ ให้พ่อท่าน และคณะติดตาม ได้ทราบ

พล.ต.จำลอง ยังยืนยันว่า จะต้องได้รับคำตอบว่า ก.ล.ต.จะปฏิบัติตามกฎหมายที่ว่าธุรกิจจะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ จะต้องเป็นประโยชน์ ทั้งทาง เศรษฐกิจ และสังคม กระทรวงสาธารณสุขก็ได้ประกาศออกมาเองว่า เบียร์ เหล้า ไม่เป็น ประโยชน์ ต่อสังคม ส่วนสภาทนายความ บอกเรื่องนี้ เป็นเรื่อง ผิดกฎหมาย ก็บอกกับเขาว่า ขอให้ประกาศออกมา ว่าเอาเข้า ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ เรารู้แล้วครับว่า เขาจะเลี่ยง ซึ่งเขาก็เลี่ยงมา ถึงวันนี้ จะครบปี แล้วครับ อย่างที่ หลายๆท่านทราบ เราพบรัฐมนตรี ๒ คนเป็นเวลา ๔ ครั้ง เป็นการส่วนตัว แล้วพบ เลขาธิการ ก.ล.ต. เรามีจดหมายถึง ส.ว. ส.ส. ๗๐๐ คน เงียบ เราเสนอ กฎหมาย ขอไม่ให้บริษัทน้ำเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์ เสนอไปแสนกว่าชื่อ มีหลักฐาน เอกสาร พร้อมมูล ก็ยังเงียบอีกครับ จนกระทั่ง เราไม่รู้ จะพึ่งใครแล้ว เราก็เลยประชุมปรึกษาหารือ ตอนแรก ก็ตกลงกัน พอเขาเลี่ยง ไปหน่อยเดียวก็เอา....พอแล้วๆๆ เอ้า....กลับบ้าน เขาเลี่ยงไป ก็คือว่า เขาบอกว่าเลื่อนไปก่อน ยังไม่พิจารณา ไว้รอพระราชบัญญัติก่อน อ้าว....กฎหมายออกมาแล้ว ทำไมคุณไม่ทำ ทำไม คุณจะต้อง ไปรอ พระราชบัญญัติอื่นอีก คุณประกาศมา แล้วเขาก็บอกว่า อนุญาตให้ไปเข้าที่ สิงคโปร์ เราก็บอกว่า มันไม่เกี่ยวนะ จะเข้า สิงคโปร์ หรือไม่ก็แล้วแต่ เราเป็น คนไทย เราไม่ได้ เป็นคนสิงคโปร์ เราไม่ต้องการ ให้มาเข้า ตลาดหลักทรัพย์ไทย แล้วใคร จะลาออก หรือไม่ลาออก ก็ไม่เกี่ยวอีก ขอให้คุณ ปฏิบัติตามกฎหมาย

การชุมนุมครั้งนี้เป็นเรื่องแปลกครับ ชุมนุมเพื่อให้เขาปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้นเองครับ เพื่อรักษาธรรมะนะครับ ในการประชุมใหญ่ นะครับ ทุกศาสนา บอกว่า เบียร์เหล้านี่ขัดต่อหลักศาสนาทั้งสิ้น แล้วในศาสนาพุทธ ที่ผมได้ฟังมา จากพ่อท่าน และสมณะว่า พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต พึงสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม ธรรมข้อนี้มันไม่ใช่น้อยๆนะครับ มันเป็นธรรมะของ ๕ ศาสนา แล้วจะไม่ทำหรือครับ แล้วก็ตายไป เปล่าๆ ผมถึง กราบนมัสการว่า แล้วแต่พ่อท่าน สมณะ และญาติธรรม จะพิจารณา สำหรับผมแล้ว เหลือคน สองคน ห้าคนก็ไม่เป็นไร ผมก็ยังอยู่ ตรงนี้ครับ จะจับ ก็จับไป ผมถือว่า ชีวิตก็มีแค่นี้เอง เมื่อกี้นี้นะครับ ถ้าเขาไม่ชิง ปิดไมค์โครโฟนนะครับ คนจะอยู่กับเรา อีกเยอะเลย เขาชิงปิดไมค์โครโฟนเสีย มีพวกเรา ยืนยัน จึงไม่เข้าใจ นึกว่ากลับได้แล้ว

ผมกราบนมัสการพ่อท่านนะครับ ว่าได้บอกไปแล้วนะครับ พูดคำไหนก็เป็นคำนั้น ไม่เช่นนั้นก็แย่หมด เขาพบผม เมื่อคราวที่แล้ว ซึ่งหลายท่านก็ทราบ นัดพบผมอย่างเร่งด่วน ตอนนี้เขาไม่ต้องพบผมแล้ว เพราะเห็นว่าคนน้อยแล้ว ไม่เท่าไหร่เอง เขาไปหว่านที่อื่นได้เยอะแยะกว่า ที่อื่นรับไปหมดแล้วครับ

พล.ต.จำลอง ยังกล่าวอีกว่า ถ้าเขายังเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทางสภาทนายความบอกว่ามีสิทธิถูกจำคุก ๑๐ ปีครับ สำหรับ ผู้ที่อนุมัติ ณ ตอนนี้ เขาก็ไป หลอกเราก่อน หลอกเราให้รอ กฎหมายนั้น กฎหมายนี้ ถ้าเรารอแล้ว กฎหมาย มันอ่อน เขาก็จะเอาเข้าทันที ถึงตอนนั้น ค่อยว่ากันอีกที แต่ตอนนี้ ก็บอกเขา ให้ทำตามกฎหมาย ที่มีอยู่แล้วว่า ธุรกิจจะเอาเข้า ตลาดหลักทรัพย์ได้ จะต้องเป็นประโยชน์ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม น้ำเมา ไม่เป็นประโยชน์ ต่อเศรษฐกิจ และสังคม ก็เอาเข้าไม่ได้ มันก็แค่นี้เองครับ

หลังเสร็จการสนทนา กว่าจะกลับถึงสันติอโศกก็เป็นเวลาห้าทุ่มเล็กน้อย

การชุมนุมครั้งนี้ใช้เวลา ๘ วัน ทางธรรมกายไม่ได้อยู่พักค้างด้วย แต่ได้ส่งเสบียงน้ำ วัสดุเวทีและความช่วยเหลืออื่นๆ มาให้ และ หาคนมาร่วม ในช่วงเย็น ถึงค่ำ แม้กลุ่มมุสลิม จากอยุธยา ก็ได้รับการประสาน จากทางธรรมกาย ในการมา ร่วมชุมนุมด้วย โดยมีช่วงเวลา ให้ศาสนิกอิสลาม ได้ทำการละหมาด ในที่ชุมนุมนั้น รายการที่เวที นอกไปจาก การพูด ให้ข้อมูล เรื่องโทษภัย ของการนำเอา บริษัทน้ำเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว ก็มีการแสดง การร้องเพลง อ่านบทกวีบ้าง เล็กน้อย และยังมีเวลา นิมนต์พ่อท่าน ได้แสดงธรรม ในที่ชุมนุมนั้นด้วย

# # # คำแนะนำจากนักกฎหมาย
๑๙ ม.ค. ๒๕๔๙ ที่สันติอโศก คุณสุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง คุณสงกรานต์ ภาคโชคดี พาคุณมานิตย์ รัตนสุบรรณ เป็น นักกฎหมาย และเป็นศิษย์ของ วัดพระธรรมกาย ได้มาให้คำแนะนำ ในการต่อสู้ในเรื่องนี้ว่า แทนที่จะให้ ก.ล.ต. ประกาศ ไม่เอาเข้า เพราะผิดกฎหมาย เป็นเรื่องที่เขา ทำได้ยาก โดยยก ตัวอย่าง กรณีการต่อสู้ ที่อเมริกา เป้าหมายสูงสุด ของการ ต่อสู้อบายมุข ปิดโรงเหล้าได้ ก็ถือว่าดีเยี่ยม แต่มีกรณีนี้ ที่อเมริกา เมื่อปิดโรงเหล้า เกิดมี เหล้าเถื่อน เต็มไปเลย ในต่างประเทศ เขาเลยได้จัดระเบียบ ควบคุมการโฆษณา ซึ่งเรื่องนี้ จะได้ผลดีกว่า การห้าม เอาเข้า ตลาดหลักทรัพย์ เพราะถ้าเขา ไม่เข้าที่ไทย เขาก็สามารถ เอาเข้าที่อื่นๆได้ แต่ถ้าออกกฎหมาย ห้ามการโฆษณา จะมีผลดี ต่อสังคม ได้มากกว่า ถึงอย่างไร การคัดค้าน การเอาเข้า ตลาดหลักทรัพย์ ก็ยังเป็นประเด็น ที่เราขัดเขา เอาไว้ก่อน โดยมีกฎหมาย ที่บอกว่า ธุรกิจ ที่จะเอา เข้าได้ ต้องเป็นประโยชน์ ต่อเศรษฐกิจ และสังคม ทีนี้กฎหมายนี้ มันเป็นดุลพินิจ ถ้า ก.ล.ต. เขามีนโยบายแล้ว พิจารณาว่า ไม่ก่อให้เกิด ความเดือดร้อน ต่อสังคม เขาก็ย่อมตีความ อย่างนั้นได้ ซึ่งเรา ก็จะต่อสู้ แน่นอน เพียงแต่เรา ก็ต้องรอ ให้เขากระทำ ความผิดอันนั้นก่อน แล้วเราจะ ไปฟ้อง ศาลปกครอง หรือ ศาลปกติธรรมดา ก็ได้ แต่ในขั้นตอน ที่จะให้เขา ออกกฎหมาย มาคุ้มครอง ผู้บริโภคนั้น ยังจะต้องรอ เวลาอีก ๒ ปี ซึ่งกว่ากฎหมาย จะออก ก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นอีก

ทางออกที่ดีคือให้ทาง ส.ค.บ.(สำนักคุ้มครองผู้บริโภค) ซึ่งมีกฎหมายอยู่แล้ว ออกมาประกาศ ที่จะควบคุม ห้ามการ โฆษณา อย่างเดียว กับที่ทำกับบุหรี่ อันนี้ ถ้าเขาทำ อย่างนี้ตาม ก็สามารถที่จะควบคุม การโฆษณา ที่จะมีผล ต่อเยาวชนมาก เท่ากับ ปิดทาง โรงเหล้าอื่นด้วย ไม่ใช่แค่เบียร์ช้าง เท่านั้น ซึ่งอันนี้ ง่ายกว่า ที่จะให้ ก.ล.ต. ประกาศออกมา ว่าไม่เอาน้ำเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะเขาก็จะไปอ้าง กฎหมาย ที่จะออกมาอีก ๒ ปี

พ่อท่านก็พอใจว่าเป็นทางออกที่ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย เป็นการโยนลูกไปที่ ส.ค.บ. ซึ่งก็อยากจะทำเรื่องนี้อยู่แล้วด้วย แต่ไม่มีเหตุปัจจัย เพียงพอ เขาก็จะเอา การคัดค้าน ของพวกเรา ไปอ้างได้ แล้วเราค่อยไปเอาเรื่อง หากเขาจะเอาเข้า ตลาดหลักทรัพย์อีกที


# # # กฎหมาย กับ กฎหมู่
เมื่อ พล.ต.จำลอง ถูกกล่าวหาว่า การชุมนุมคัดค้านน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์นี้ เป็นวิธีการใช้กฎหมู่ ไม่เคารพ กฎหมาย ไม่ทำตามกติกา พล.ต.จำลอง ได้กล่าวถึง เรื่องนี้ หลังจากพ่อท่าน แสดงธรรมจบลง ๒๐ ม.ค. ๒๕๔๙ ดังนี้

เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่า การเคลื่อนไหวคัดค้านนี้ มาจากท่านนายกฯ ทักษิณ ต้องการตัดกำลังคุณเจริญ เจ้าของ เบียร์เหล้า ที่จะเอาเข้าตลาด หลักทรัพย์ครับ ไม่ให้รวยกว่าตัว ก็เลยมาขอร้อง ให้ผมไป ตัดกำลังเสีย ให้ออกมา คัดค้านเรื่องนี้ แล้วกล่าวถึง บทความของ น.ส.พ.ฉบับหนึ่ง ที่เขาเขียนว่า มหาเตะช้าง เข้าปากแม้ว เราเคยได้ยิน ใช่ไหมครับ เตะหมู เข้าปากหมา อันนี้ มหาคือผม เตะช้างคือไปขัดขวาง เบียร์ช้าง เข้าปากแม้ว คือ เข้านายกฯ นายกฯ ได้ผลประโยชน์ อันนี้ก็คือ ข้อกล่าวหา ท่านฟังดู ให้ดีนะครับ ในตอนต้นเราคาดว่า นายกฯทักษิณ อยู่ข้างเรา แล้ววันหนึ่ง คุณเจริญเข้าพบ นายกฯทักษิณ วันรุ่งขึ้น นายกฯทักษิณ ให้สัมภาษณ์ อีกอย่างหนึ่ง ไปตรวจดู หนังสือพิมพ์ เก่าๆได้ นายกฯทักษิณ ว่าอย่างไรรู้ไหมครับ การชุมนุมหรือครับ ต้องมี เหตุผลนะครับ แล้วอย่าใช้กฎหมู่

ท่านทั้งหลายครับ เรามีเหตุผลไหมที่เรามาชุมนุมนี่ ผมยืนยันเลยนะครับ ในชีวิตผมผ่านการชุมนุมมาหลายครั้ง ยังไม่มี ครั้งใดครับ ที่มีเหตุผล พร้อมมูล มีเหตุผล หนักแน่น มีเหตุผลที่สุด เท่าครั้งนี้ครับ หนึ่งที่นายกฯทักษิณบอก ต้องมีเหตุผล เราก็มีเหตุผล ท่านนายกฯทักษิณบอก อย่าใช้กฎหมู่ ท่านทั้งหลาย ครับ ที่เราต่อสู้กันมา ๑ ปี เราพยายาม ใช้กฎหมายก่อน ใช่หรือเปล่า (ใช่ๆๆ) ใช้กฎหมายอย่างไรครับ เขียนหนังสือ ออกจาก คณะเรา ที่ต่อต้าน เบียร์เหล้า เข้าตลาดหลักทรัพย์ ถึงผู้ที่เขามีบทบาทมาก ที่เราเลือกเขาเข้าไป ในเรื่องกฎหมาย เขาจะได้ มาช่วยเรา ถึง ส.ส. ๕๐๐ ถึง ส.ว. ๒๐๐ คน รวมแล้ว ๗๐๐ คน ผมลงลายมือชื่อนะครับ อ่านออก ทั้งชื่อยศ พร้อมทั้ง นามสกุลหมด ถึง ๗๐๐ ใบ นึกว่า เขาจะเห็นใจเรา เงียบ เครื่องมือของชาติ ในการแก้ปัญหาสังคม เรื่องกฎหมาย ไม่เอาด้วยกับเรา หนึ่งแล้วนะครับ สอง คณะพี่น้องเรา เที่ยวได้ไปหา พี่น้องชาวพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกส์ ได้มา แสนกว่าคน มีเอกสาร พร้อม ตรวจสอบ ได้เลยว่า ไม่ใช่ คนโกหก รัฐธรรมนูญ เขาบอกว่าคน ๕ หมื่นคน สามารถเสนอ ออกกฎหมายได้ ของเรามีตั้ง สองเท่ากว่า จริงๆ จะเอา สักล้าน ยังหาได้เลย เราก็เสนอ เป็นกฎหมายไว้ เรียบร้อยแล้วครับ จนถึง วันนี้เงียบ เอาละ หลายยก เหลือเกิน นะครับ คราวนี้ เราก็มาบอกว่า ทำตาม กฎหมาย นายกฯทักษิณครับ เราไม่ได้ ยึดถือ กฎหมาย หรือครับ ใครครับ ที่ไม่ได้ ยึดถือกฎหมาย (เสียงผู้ชุมนุม "ก.ล.ต.") รัฐบาล ที่คุม ก.ล.ต.นี่แหละครับ ใช่หรือเปล่า ("ใช่" เสียงปรบมือ) เพราะรัฐบาล มีรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง คุม ก.ล.ต. ใช่ไหม ("ใช่") ถ้ารัฐบาล จะบอกกับ รัฐมนตรีฯ ว่า เฮ้ย เดี๋ยว เขาจะว่าเรา เราต้องยึดถือกฎหมาย ประธาน ก.ล.ต.ก็มาบอกคณะกรรมการ ง่ายนิดเดียว เรียกประชุม แล้วบอกว่า เราต้อง ทำตาม กฎหมาย กฎหมาย ก.ล.ต. ร่างเองด้วยครับ แล้วเสนอเข้าไป แล้วลงใน ราชกิจจานุเบกษา แล้วใคร ไม่ยึดกฎหมายครับ ("รัฐบาล") เรายึด กฎหมายครับ ยึดมาเป็นปีแล้ว แล้วเป็นไง ครับ ได้ผล หรือเปล่าครับ เมื่อไม่ได้ผล มันมีสองกฎ ใช่ไหมครับ กฎหมาย กฎหมู่ เราก็ต้องใช้ กฎหมู่น่ะสิ ถูกหรือเปล่าครับ คุณจะให้เรา ไม่ใช้อะไรเลย แล้วนอนนิ่งๆ แล้วให้เขาแอบ เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือ ?

อย่างเรื่องการจราจร เขาไม่ให้เราเข้าไปในบริเวณอาคาร ก.ล.ต. เมื่อไม่ให้เราเข้าไป เราก็อยู่บนทางเท้า เมื่อคนมาก เราก็ลงมา ที่ช่อง การจราจร ช่องหนึ่ง คนมากอีก เราก็ไปสองช่อง มากอีก เราก็ไปอีกสามช่อง มากๆๆอีก เราก็ไป ๖ ช่อง ช่วยไม่ได้ครับ แต่เราก็หุบเข้ามาได้ เมื่อคนน้อย ไอ้หนู (นักเรียน สัมมาสิกขา) จะนอนที่นี่ เขายังต้อง จับฉลาก กันเลย ใครจะโชคดี ได้นอน ใครโชคไม่ดี ไม่ได้นอน คนน้อย เราก็หุบเข้ามา ตำรวจไม่ต้อง มาบอกเรา เรารู้ดีกว่า ตำรวจ เพราะเรา ยิ่งกว่าตำรวจ ใช่ไหม ตำรวจยังแก้ไม่ได้เลย เมื่อเขาไม่ยอม ทำตามกฎหมาย

ท่านทั้งหลายครับ ผมบอกไปแล้ว เจ้าหน้าที่สถานทูต เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่รักษาความปลอดภัยที่ ก.ล.ต. นี้ด้วย ถ้าคุณจะสั่ง ให้เรา เคลื่อนย้าย ไม่มีทางครับ เพราะที่นี่ เป็นของประชาชน คนไทยทั้งหมด ไม่ใช่ของคุณ ถ้าคุณ จะทำอย่างนั้น ให้มาหา ลุงจำลองคนเดียว

เมื่อเย็นนี้มีพันตำรวจโทคนหนึ่งมา ก็นอบน้อมกันดีในฐานะที่ผมเป็นนายพล เขาเป็นนายพัน มาบอกว่า ขอให้พวกเรา ออกจาก ถนน เพราะจะมี ขบวนเสด็จ ผมบอกว่า ตำรวจ....เราถูกหลอกมาเยอะแล้ว ถ้าจะมีขบวนเสด็จมาจริงๆ เอาหลักฐานมา ถ้าไม่มีหลักฐาน คุณหลอกเราอีกแล้ว ตำรวจก็เลย ต้องกลับไปครับ ต่อมา ตำรวจ ก็มาใหม่ ผมนึกว่า ขบวนเสด็จ จะผ่านมาจริงๆ เราก็กำลังเตรียมการ ถ้าเสด็จมาจริงๆ ก็รีบเคลื่อนย้าย เข้ามาเลย ตำรวจมา บอกว่า ได้แบ่ง เส้นทางไว้ เรียบร้อยแล้ว ทำไมคุณไม่แบ่งไว้ ตั้งแต่ตอนแรกล่ะ ใช่หรือเปล่า? ทำไมคุณต้อง มาบอกเรา โดยดึง เบื้องบน เข้ามา นี่แหละครับ ดึงฟ้าต่ำ เพื่อผลประโยชน์ ของพวกคุณ ของหน้าที่คุณ คุณได้หลอกมาแล้ว ในเหตุการณ์ เดือนพฤษภาฯ ใช่หรือเปล่า หลอกใครไม่หลอก มาหลอก คนชื่อจำลอง ผ่านมาเยอะแล้วครับ บอกอีกครั้งนะครับ อย่าเกรงใจ จะจัดการอะไร จัดการกับคนชื่อ จำลองคนเดียว คนอื่น ไม่ต้องนะครับ

# # # กรณีเตะสุกรเข้าปากสุนัข
๑๙ ม.ค. ๒๕๔๙ ผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสังคมหลายต่อหลายครั้ง ได้มาให้ข้อมูลเชิงลึก ที่น่าสนใจ อย่างฟังหู ไว้หูว่า เรื่องนี้ มันเกิดการ หักหลังกัน แรกเลยคือ นาย กอ. ไปเอ่ยปากชวน นาย ขอ. เอาธุรกิจที่มี เข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วก็มาเอ่ยปากให้ พล.ต.จำลองต้าน ทำไม เพราะนาย กอ. บอกนาย ขอ. ขอหุ้นสัก ๒๐ % ฟรี ที่จริง นาย ขอ. จ่ายให้ได้ แต่มาคิดว่า ถ้าเรื่องนี้ นาย กอ. ซื้อหุ้นเพิ่ม ก็จะกลายเป็น คุมส่วนมาก ของกิจกรรม นาย ขอ. พอ นาย ขอ. ไม่ยอมข้อตกลง ก็มาสะกิดให้ พล.ต.จำลอง ต้าน แล้วตอนเคลื่อนต้านครั้งแรก ก็เป็นนโยบาย จาก นาย กอ. ลงไป ให้หน่วยงานหนึ่ง ของรัฐช่วย ผ่านสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ที่มีทั้งทุนและมวล จำนวนมาก ผ่านสานุศิษย์คนหนึ่ง ที่มีธุรกิจใหญ่ ให้มาช่วย ส่วนสันติอโศก ไม่ต้องพูดถึง เพราะพล.ต.จำลอง ต่อได้แล้ว และให้สื่อมวลชนตีแผ่ เพื่อสร้าง อำนาจ ต่อรองให้ นาย ขอ. มาเข้าคอก ตามที่ตนเอง ต้องการ

ล่าสุด นาย ขอ. จะเอาธุรกิจของตน ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ที่สิงคโปร์ นาย กอ. ก็ตกใจ เพราะฉะนั้น นาย ทอ. (ผู้มีอำนาจ ในเรื่องนี้ อีกคน) ถึงได้กลับลำ ก่อน พล.ต.จำลอง จะออกมาต้านนี่ ก็มีแผนว่า จะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อสร้าง มาร์เก็ตแค็ป พอ ก.ฟ.ผ.สะดุด ก็จะเอาธุรกิจนี้ เข้าแทน เพื่อประคอง เศรษฐกิจไทย ในตลาดหุ้น

การเคลื่อนครั้งล่าสุดเขาก็เลยกดปุ่ม ไม่ให้หน่วยงานหนึ่งของรัฐเข้าร่วมด้วย และตอนนี้เขาก็ควบคุมสื่อทุกอย่าง ไม่ให้เสนอ เรื่องนี้ ซึ่งมาจาก นาย กอ. ทั้งหมดเลย เพื่อให้ พล.ต.จำลองฝ่อไปเอง แล้วก็จบ กลับบ้านไป

พ่อท่านแสดงความเห็นว่า เรื่องนี้ถ้าจริง ก็เท่ากับ พล.ต.จำลองเตะหมูเข้าปากหมา อาตมาก็บอกว่า ไม่เป็นไร อาตมา ไม่เกี่ยวข้องกับใคร จะเป็น อะไร อย่างไร ใครจะทำชั่ว ก็บาปใครบาปมัน แต่ถ้าเอาบริษัทน้ำเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์นี่ การขยายผลผลิต ผลกระทบต่อ มนุษยชาติ เกิดขึ้นแน่ อันนี้ต่างหาก ที่เป็น เป้าหลัก ของอาตมา ใครจะทำชั่ว ทำดี มันเรื่อง บาปบุญ ของเขาเอง ทั้งสิ้น อาตมาไม่เกี่ยว ในประเด็น ของกรรม ใครจะเตะหมู เข้าปากหมา อย่างไร ก็เรื่อง ของเขา บาปบุญมีจริง กรรมของใครของมัน หน้าที่ของเรา คือหน้าที่ช่วยประชาชน ตรงนี้ ข้อมูลเหล่านั้น อาตมาก็รับฟัง เราก็ใช้ประกอบ การพิจารณา ด้วย จะจริงไม่จริง ก็ต้องใช้ความสามารถ พยายามหาความจริง ให้ได้ มากที่สุด เราใช้ วิจารณาญาณ เลือกเฟ้น ตัดสิน ตามภูมิของเรา แต่เป้าหลัก คือ ต้องมุ่งที่ ผลประโยชน์ ของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เรื่องแฝง หาผลประโยชน์ส่วนบุคคล แม้แต่เพื่อ ผลประโยชน์ของเรา

# # # ขอร้อง ! อย่าเอาน้ำเมาเข้าตลาดหุ้นเลย
การชุมนุมที่หน้า ก.ล.ต. ครั้งนี้ พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรมทุกค่ำ ที่กลางถนนวิทยุนั้น นอกจากชาวอโศก แล้ว มี ร.ป.ภ. ตำรวจ ผู้คน ที่ผ่านไปมา ในย่านนั้น รวมไปถึงศาสนิกของกลุ่มองค์กรอื่น ก็ได้รับฟังด้วย จากบางส่วน ของการแสดงธรรม ดังนี้

"พวกเราที่ต้องมาทำอย่างนี้น่ะ เราไม่ได้อยากมาทำ แต่ว่าเราจำเป็นต้องทำ เพื่อที่จะแสดงสิทธิในความเป็นคน ในสังคม เพราะยุคนี้ เป็นยุคที่คน มีความรู้ เรื่อง"สิทธิ" และมี"สิทธิ"เต็มสมบูรณ์แล้ว ไม่ใช่ยุคโบราณ ที่เป็น สมบูรณาญาสิทธิราช สิทธิยิ่งใหญ่เป็นของเจ้าผู้ครองแผ่นดิน หรือว่ายุคทาส ซึ่งคนผู้เป็นทาส ไม่มีสิทธิ แม้ในความ เป็นคนของตนเอง ทาสต้องเป็นสมบัติของนาย คนยังไม่มีความรู้เรื่องสิทธิทั้งหลาย ไม่ว่าสิทธิทางวัตถุ และ สิทธิมนุษยชน

มีคนพูดว่าทำไมนะ นี่เป็นสมณะเป็นพระเป็นเจ้า มาวุ่นอะไรกับเรื่องอย่างนี้ มันไม่ใช่เรื่องของธรรมะ คนที่พูดนั้น ไม่เข้าใจธรรมะ ธรรมะโดย ความหมาย ง่ายๆ ก็แปลว่า ความดี ทุกคนเข้าใจว่า ธรรมะ คือความดี อธรรม คือ ความไม่ดี เพราะฉะนั้น ธรรมะก็กินความถึง สภาพที่จะต้อง ทำอย่างไร ที่เราจะรังสรรค์ หรือเราจะช่วยกัน ให้มันเกิด ความดีงาม เราก็ทำกัน เท่าที่ควรจะทำได้ ในกรอบของกฎหมาย ในกรอบของ วัฒนธรรม สิทธิหน้าที่ ทำความดี สิทธิหน้าที่ ที่จะช่วย สังคม ให้มีความดีงาม มันเป็นสิทธิ และหน้าที่ ของคนทุกคน ใช่ไหม ยิ่งเป็นพระ เป็นสงฆ์ ยิ่งเป็นหน้าที่ โดยตรง ที่เรา มาทำนี่ เราไม่ได้ทำ ผิดกฎหมาย ประชาธิปไตย ทำอย่างนี้ได้ ในสังคม อารยประเทศ ทั่วโลก ก็ทำเช่นนี้ได้ ไม่ใช่เรื่อง ผิดกฎหมายอะไร เพราะงั้น เราก็มาทำ ตามสิทธิหน้าที่ ที่ควรทำ เราไม่ได้รับจ้าง เรามาทำ ก็เหน็ดเหนื่อย ลำบาก ไม่ใช่น้อย ไม่ได้อยากมานั่งอย่างนี้ มันสบาย ที่ไหนเล่า นั่งอยู่ที่ ที่ควรนั่ง นอนอยู่ที่ ที่ควรนอน ก็ดีกว่า ไอ้นี่ที่ควรนอน ก็ไม่ใช่ ที่ควรนอน ก็มันถนนน่ะ แต่เราก็เสียสละเพื่อให้ผู้ที่มีความรู้ เป็นผู้ที่มี วุฒิภาวะ เป็นผู้ที่ดูแล หน้าที่อะไร ต่ออะไรบ้าง เช่น ก.ล.ต. นี่เป็นต้น หรือ แม้แต่ผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจหน้าที่ มีสิทธิ์มีเสียง ที่จะช่วย ออกความเห็น หรือว่า ช่วยแนะนำ ชาวคณะกรรมการ ก.ล.ต. ให้ได้เข้าใจ ในสิ่งที่เป็น ธรรมะ เป็นสิ่ง ที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ควร เพราะว่าที่เราทำนี่ เป็นการแสดงออก เป็นการประท้วง ตามสิทธิ ว่ามันไม่ควร

เรามาขอความเห็นใจ พวกเราไม่ได้มารุกราน ไม่ได้มาบีบบังคับ ไม่ได้มากดขี่ข่มเหงอะไรเลย เราเสียสละมา มากันนี่ เหน็ดเหนื่อย มาอ้อนวอน ขอร้อง ให้เห็นใจบ้างเถิด โดยมีข้อต่อรองว่า กรุณาอย่าเอาบริษัท ผลิตน้ำเมานี่ เข้าตลาด หลักทรัพย์เลย เพราะกฎหมาย ก็มีอยู่แล้วว่า สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ต่อสังคม เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้ ก็ขอให้ ทบทวน กฎหมายนี้ และก็ปฏิบัติตาม ข้อกฎหมายนี้หน่อยเถอะ ที่เราเห็นจริงเห็นจังว่า ไม่อยากให้เอาเข้า ตลาดหลักทรัพย์ เพราะใช้ สามัญสำนึก ทุกคนก็รู้ว่า เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วกองเงินก็จะมาก คนมาซื้อหุ้น มาลงทุน ก็จะมาก เมื่อมีเงินมาก เขาก็ต้องเอา ไปผลิตให้มากขึ้น ไปทำตลาดให้กว้าง ไปให้คนซื้อคนกินมากขึ้นๆ มันเป็นเรื่อง สามัญแท้ๆ เมื่อคนกินเยอะ คนก็เมากันเยอะ ทุกวันนี้เมากันไม่พอหรือไง เมาแล้วก็ทำเลวทำชั่ว ทำร้าย สมบัติวัตถุ เสียหาย จิตวิญญาณเสียหาย สังคมเสียหาย เสียหายไปหมด ค่าเสียหาย ถ้าคิดค่ากัน จริงๆแล้วนี่ มันไม่คุ้มเลย ก็อยาก จะอ้อนวอน ร้องขอจริงๆ เรามาที่นี่ไม่ได้มานั่งข่มขู่ไม่ได้มานั่งกดดัน เรามาขอความเห็นใจ ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่นี่ เรามาช่วยกัน แสดง ความนอบน้อม อ้อนวอน ขอร้องต่อตลาดหลักทรัพย์ กรุณาด้วยเถิด อย่ารับ บริษัทนี้เข้าเลย เพราะ เข้าไปแล้ว ก็จะผลิตใหญ่ ผลิตมาก จนกระทั่ง จะต้องไปกระจายตลาด ให้คนต้องเมา มากขึ้น นั่นแหละ ท่านผู้เป็น เจ้าของบริษัท ก็รวยแสนรวย และติดอันดับโลกแล้ว เดี๋ยวนี้ กรุณาเถอะ ท่านรวยมากแล้ว ท่านน่า จะพอบ้าง ท่านอย่ามา อ้างเลยว่า จะเป็นการทำให้ เศรษฐกิจ ประเทศไทยดีขึ้น การได้เงินจาก สิ่งที่มันทำลาย อะไรๆ ในสังคมมนุษยชาติ ลงไปอีก มันควรหรือ

ขออภัยถ้าอาตมาจะเปรียบเทียบ คุณไปค้าเหล้า คุณก็ได้เงินมาช่วยเศรษฐกิจตัวเอง เหมือนกับคนขายตัว แล้วก็ได้เงิน มาช่วยเศรษฐกิจ ตัวเอง ก็เหมือนกัน ผู้หญิงขายตัวนี่ ก็ไปหาเงินมาช่วยเศรษฐกิจตัวเอง มันน่าภาคภูมิอะไรกันนะ มันมีศักดิ์ศรีอะไร คุณทำงาน อบายมุขแท้ๆนะ

ศาสดาทุกพระองค์ ไม่ว่าในศาสนาไหนๆ ไม่ส่งเสริมน้ำเมา
ศาสนาพุทธเราศึกษาทั้งสมมุติสัจจะ ศึกษาทั้งปรมัตถสัจจะ ปรมัตถสัจจะหมายความว่า ความจริงที่สูงกว่า สมมุติสัจจะ ความจริง ที่ไปถึงสุดยอด ถึงขั้น เป็นเรื่องของ นามธรรมในจิตวิญญาณ ในเรื่องของกิเลส แล้วก็ล้างกิเลสได้ อย่างรู้แจ้ง เห็นจริง จนบรรลุธรรม นั่นเป็น ปรมัตถสัจจะ เพราะฉะนั้น ความจริงที่ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้นั้นน่ะ จึงสอดคล้อง ทำไปพร้อมกัน ทำไปให้ได้ลงตัว หรือว่าได้สัดส่วน ที่เป็นไปดี ทั้งสังคม ประเทศชาติ เป็นไปดี ทั้งส่วนรวม ส่วนตัว

พวกเราปฏิบัติธรรมมาลดละ มาเป็นคนจน มาทำงานอะไรอย่างงี้เป็นต้น เราต้องพักงาน ปิดร้านขายอาหาร ทำอาหาร ที่โน่น ส่งมาที่นี่ มีแต่ทำมากิน ไม่ได้ทำขายเลย เพราะว่าต้องทำมาเลี้ยงใครต่อใครกันมากมาย ปิดร้านทำงาน หลายแห่ง ต้องหยุด หาเงิน แต่มาชุมนุมกันที่นี่ใช้เงิน ก็ร่อยหรอไปเรื่อย เสียสละหลายอย่าง ส่วนตัวก็ละล้าง ความเห็นแก่ตัว ส่วนรวมก็ช่วยให้ สังคมดี

ถ้าแม้ว่ายังจะต้องยืดเยื้อต่อไปอีกนานกว่านี้ ไม่มีเงินที่จะมาซื้ออาหารมาทำมากินมาใช้กันแล้วละก็ เราก็คงจะต้อง มาเปิดตลาดที่นี่ เปิดงานที่นี่ ยกครัว มาทำอาหาร มังสวิรัติขายที่นี่ เพื่อจะได้เงิน มาช่วยนั่งประท้วงไปต่อ มาตั้งร้าน ทำน้ำเต้าหู้ ทอดปลาท่องโก๋ขายที่นี่ ยกตู้อบขนมปัง โฮลวีทมา เราก็คงต้องทำ ถ้าถึงเวลานั้น

ถาม : นายทุนที่ทำสินค้าฆ่าคน จะเกิดทุกข์ภัยอย่างไร เมื่อไหร่ แก่นายทุนเอง
พ่อท่าน : โอ้โฮ...ถามเป็นอจินไตยเลย อจินไตยหมายความว่า เป็นเรื่องที่ตอบยาก เป็นเรื่องที่อย่าคิดเลย เพราะว่า ถามไปถึง วิบากกรรม เป็นต้นว่า ผู้ที่ฆ่าคน บาปแน่ แต่จะได้รับ บาปกรรมอย่างไร ตอบไม่ได้ ฉันเดียวกัน นายทุน ทำสินค้า ฆ่าคน จะได้รับทุกข์ภัยอย่างไร สินค้าที่ ฆ่าคนตรงๆ เช่นยาพิษ เช่น อาวุธ บาปแน่ แม้จะเป็นสินค้า ที่ฆ่า ทางอ้อม ฆ่าคน หรือทำลายคน ด้วยอบายมุข ผู้นั้นก็จะได้รับบาปเป็นผล แน่นอน การค้าแค่เนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้า ก็ตรัส ไว้ชัดว่าบาปแล้ว แม้แต่ค้าขายสัตว์ เป็นๆก็บาป ค้าขายสิ่งมอมเมาก็บาป เป็นมิจฉาพาณิชย์ ทั้งนั้น แต่จะเป็น อย่างไรนั้น อันนี้เป็น อจินไตย ตอบไม่ได้ตายตัว ว่าจะต้องยังงั้น ยังงี้ ตอบยาก เพราะว่าเป็นเรื่อง ละเอียดลออ ซับซ้อนมาก เรื่องกรรมวิบากนี้ เป็น อจินไตย อย่างหนึ่ง ในห้าอย่าง ตามที่ พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ แม้รู้ก็อธิบายได้ยาก แต่ศึกษาได้ว่า มันดีหรือไม่ดี เมื่อไม่ดี อย่าทำ เพราะถ้าทำ ก็ต้องได้บาป ไม่มีทางเลี่ยง ทำบาป แล้วจะไม่เอา ก็ไม่ได้ เป็นทรัพย์ของตน เพราะกรรมใด ที่ตนทำ เป็นของตน ทั้งสิ้น ติดตัวเราไป ข้ามชาติ นับชาติไม่ถ้วน ไม่เหมือนทรัพย์ ที่เป็นเงิน แม้ได้ในชาตินี้ จะน้อย จะมาก เท่าใดๆ ก็ไม่ติดตัวเรา ข้ามชาติไปด้วย การค้าอบายมุข ยิ่งได้เงินมาก ก็ยิ่งได้ บาปมาก และบาปเท่านั้น ที่ติดตัว ข้ามชาติ ไปด้วย เงินที่ได้จาก อบายมุข ต่อให้มากเท่าใด มันก็ไม่ติดตัว ข้ามชาติ ไปกับเรา

ก็ตอบได้ตามหลักกว้างๆว่า นายทุนที่ทำสินค้าฆ่าคน สินค้าอบายมุข เขาก็จะต้องได้รับวิบากบาป จะต้องได้รับ ทุกข์ทรมาน ถามว่า จะเกิดทุกข์ภัย อย่างไร ตอบไม่ได้ เมื่อไหร่ ก็ตอบไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่สามัญสำนึก ใครๆก็รู้ ว่าเมื่อค้าสิ่งที่ไม่ดี ก็ทำกรรมที่ไม่ดีก็ได้บาปแน่ๆ และอย่าอ้างว่า สร้างเศรษฐกิจ ให้แก่ชาติเลย มันไม่จริง ตั้งแต่ ตัวสิ่งผลิตนั้น มันชั่วแล้ว และที่จริง เศรษฐกิจก็ไม่ได้หมายถึง เงินอย่างเดียว มันหมายถึง ความเป็นอยู่ของคน ในสังคม เป็นนัยสำคัญหลัก

ถาม : พ่อท่านคะ หนูอยากทราบว่า ถ้า ก.ล.ต. ไม่ยอมทำตามกฎหมายจริงๆล่ะคะ พวกเราจะอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ หรือเปล่าคะ

พ่อท่าน : ถ้า ก.ล.ต. ท่านไม่ยอมทำตามกฎหมายจริงๆ พวกเราจะอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ หรือเปล่า เราก็อาจจะมีเงื่อนไข รองลงมาอีกแล้ว ซึ่งเสนอไปแล้ว แม้ ก.ล.ต. จะไม่ปฏิบัติตาม ตามที่เราขอว่า คือให้ ก.ล.ต.เนี่ย เป็นผู้ตอบออกมา ตรงๆ เลยว่า จะไม่รับบริษัทเหล้า หรือ บริษัทน้ำเมานี่ เข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะผิดกฎหมาย เรายืนยันไปแล้ว กฎหมาย ของ ก.ล.ต.เอง ถ้า ก.ล.ต.ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เราก็ได้มีเงื่อนไข ต่อรองลงมาอีกว่า ผู้ใหญ่บ้านเมือง คณะรัฐบาล หรือว่า องค์กรหลักของบ้านเมือง ถ้าจะไปจัดการควบคุมดูแล ไม่ให้มันแพร่หลายออกไป ไม่ต้องโฆษณา ไม่ต้องไปขาย เกลื่อนกราด กำหนด อายุคนซื้อ หรือว่าจัดโซนอะไร ก็แล้วแต่ ซึ่งจะมีรายละเอียดไปอีก ตามที่เรายื่น เงื่อนไขนั้นไป ถ้าท่านตอบตกลงว่า จะกระทำ กฎหลัก อย่างนั้น ออกมา ใช้กับ ประชาชนคนไทย เราก็เอาด้วย เป็นอีก เงื่อนไขหนึ่ง เพราะฉะนั้น แม้ ก.ล.ต. ท่านจะไม่ทำ ตามที่เราต้องการ แต่ถ้าเป็นเงื่อนไข อย่างที่กล่าวนี้เราก็ยอม เราก็จะไม่อยู่ ตรงนี้ต่อไปล่ะ ถ้าเผื่อว่าทางผู้บริหารบ้านเมือง ท่านผู้ที่มีอำนาจ ในการดูแล ทำอะไรต่ออะไร อยู่ในสังคม ช่วยอย่างนี้ได้ เราก็หยุด

ถาม : ทำไมพวกทุนนิยมทั้งๆที่เอาเปรียบหรือทำบาปอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมดูเหมือน กรรมไม่ตามสนองเขาเลย เขายังคงร่ำรวย ยิ่งขึ้นๆ ดูมีความสุข ยิ่งกว่า พวกเคร่งครัด ในศาสนาด้วยซ้ำ

พ่อท่าน : กรรมอาจจะไม่สนองในปัจจุบันนี้ทันที ไปสนองในชาติหน้าชาติโน้นชาติไหนก็ได้ ถามต่อมาอีกว่า เขายัง คงร่ำรวย ยิ่งขึ้นๆ ให้รวยซะให้เข็ด รวยไปเลย เป็นชาวอโศก อย่าไปกังวลเลย ใครเขาจะรวย เพราะคนยิ่งโลภ ยิ่งรวย ยิ่งรวยยิ่งโลภ แล้วรวยโดยคดโกง โดยทุจริต โดยไม่ดี เขาก็รวย เขาก็ยิ่งได้บาป แม้ไม่โกง ปุถุชนสามัญในโลกนั้น จะรวยได้ ก็ต้องเอาเปรียบ คนจะรวยได้มี ๒ ประการ

๑. ต้องหาทางเอาเปรียบให้ได้มากๆ ๒. ขี้เหนียวให้ได้มากๆ คนพวกนี้ได้บาป พูดโดยหลักเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ แท้ๆ ไม่ใช่เศรษฐศาสตร์ ของคน ขี้โกง คนที่สะสมกอบโกย เอามาให้ตัวเอง ไว้มากๆๆๆๆนี่ ทำให้ เศรษฐกิจ ของสังคม เดือดร้อน คนที่ไม่สามารถเท่า หรือคนที่ด้อยกว่า ก็ลำบาก และ คนที่ กอบโกย ไม่รู้จักจบ กอบโกยมา รวยแล้วรวยอีก รวยแล้วรวยมากๆๆ ยิ่งชั่วหนักเลย ยิ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจ มีความรู้ ความสามารถมาก เป็นปลาใหญ่ ควรช่วย ปลาเล็ก ไม่ใช่เป็นปลาใหญ่ แล้วก็เอาอำนาจความใหญ่ ความแรงของตัวเองที่มี ไปรังแกปลาเล็ก ไอ้นั่น มันน่าเกลียด มากเลย เป็นคน ไม่สง่างามเลย เป็นคน ใจดำ อำมหิต เพราะฉะนั้น ความรวย ไม่ใช่ความดีเลย ขอยืนยัน แม้คนผู้มี บุญบารมี ถ้าต้องรวย ก็จะเป็น คนเอาความรวย มาเสียสละ ให้ยิ่งๆ ก็ยิ่งจะรวย ยิ่งๆขึ้น ทับทวีไป ในชาติต่อๆไป เพราะชาตินี้ เสียสละๆๆๆ ตนก็ต้องจน

ส่วนที่ว่า เขายังคงรวยยิ่งขึ้นๆ ดูมีความสุข นั้น ความสุขเป็นความหลอก ในศาสนาพุทธยืนยันไว้ชัด สุข คำเต็มว่า สุขัลลิกะ อลิกะ แปลว่า ความหลอกลวง มีแต่ทุกข์เท่านั้น เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นดับไป พระพุทธเจ้า สอนหัวใจศาสนา คือ อาริยสัจสี่ คือทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ ทางแห่ง ความดับทุกข์ ไม่เคยไปให้สอน เรื่องไป ให้สร้างความสุข ผู้ปฏิบัติสัจธรรม ถึงปรมัตถ์จริงแล้ว จะเห็นว่า ความสุขนั้น มันไม่มี สุดท้ายแล้ว อทุกขมสุข เมื่อดับเหตุ แห่งทุกข์ได้สนิท สุขก็ดับไปด้วย เป็นอุเบกขา หรืออทุกขมสุข สุข(โลกีย์)ก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี

และที่ว่า ดูมีความสุขยิ่งกว่าผู้เคร่งครัดในศาสนาด้วยซ้ำ เอาเถอะ เคร่งครัดในศาสนาเข้าไปเถอะ แล้วล้างกิเลสให้ได้ แล้วเราจะรู้ว่า วูปสโมสุข หรือ ปรมังสุขัง สุขสงบ สุขแบบโลกุตระสุขพิเศษนี้ ซึ่งเป็นสุขที่ไม่ใช่สุขเพราะได้บำเรอกิเลส สุขที่ไม่มีกิเลส สุขที่มันไม่ใช่ความสุข แบบรสชาติ อย่างโลกียรส แล้วเนี่ย มันเยี่ยมกว่า มันสงบกว่า แล้วมันสุดยอดกว่า มันเป็นความสุข ที่เลิศเลอกว่า เป็นวิมุติรส วิเศษยิ่งกว่าโลกียรส เยี่ยมกว่าโลกียรส ผู้ที่มี สภาพธรรม อันนี้เองแล้ว ผู้นั้น จะตอบได้ แล้วผู้นั้นจะรู้ซึ้งชัดเจน ผู้ที่ไม่ได้ลิ้มรสที่เป็น วิมุติรส ผู้นั้นไม่รู้หรอก อันนี้ต้องมาศึกษาดีๆ แล้วปฏิบัติ ให้ได้วิมุติ ที่เป็นธรรมรส อันไม่มีกิเลส แม้แค่รสวิมุติจากอบายมุข ก็จะรู้รสนั้น"

[ข้างต้นนี้เป็นเพียงบางส่วนที่พ่อท่านได้แสดงธรรมและตอบคำถาม เนื้อหาที่เป็นการอธิบายเกี่ยวกับหลักธรรม และ ยกตัวอย่าง การปฏิบัติ ของชุมชน ชาวอโศก ในที่นี้ขอตัดไม่นำมาลงในที่นี้ทั้งหมด ผู้สนใจในรายละเอียด ของการ แสดงธรรม ตั้งแต่ ๑๗-๒๔ ม.ค. ๒๕๔๙ ติดต่อได้ที่ฝ่าย เผยแพร่ ในสื่อสาร ที่ชื่อว่า "ขอร้อง ! อย่าเอาน้ำเมา เข้าตลาดหุ้นเลย"]

# # # พล.ต.จำลอง แจ้งผลการชุมนุมก่อนสลายตัว
หลังการแสดงธรรมจบลง พล.ต.จำลองและคณะกรรมการในการเคลื่อนไหวคัดค้านครั้งนี้ ได้ขึ้นไปบนเวที โดย พล.ต. จำลอง ในฐานะ ตัวแทน ได้แจ้งผล การชุมนุม ให้กับผู้ชุมนุม ได้รับทราบ ก่อนการสลายการชุมนุม จากบางส่วน ที่น่าสนใจ ดังนี้

ผลการชุมนุมคัดค้านตั้งแต่ ๑๙-๒๔ มกราคม ๒๕๔๙ ณ บริเวณหน้าสำนักงาน ก.ล.ต. เนื่องจากน้ำเมา กำลังขยาย กิจการ ทำความเสียหาย ให้กับ ประเทศชาติ มากยิ่งขึ้น ทั้งการทุ่มการโฆษณา ผ่านสื่อทุกชนิด และระดมทุน โดยพยายาม จะนำกิจการ เข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อสามารถเพิ่ม การผลิต เพิ่มการขาย เพิ่มคนดื่มไ ด้อีกมากมาย กฎหมายปี '๓๕ และ '๔๓ กำหนดไว้แน่ชัดว่า ธุรกิจที่จะนำเข้า ตลาดหลักทรัพย์ได้ ต้องเป็นประโยชน์ ต่อประเทศ ทั้งด้าน เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งสภาทนายความ และ กระทรวงสาธารณสุข ได้มีเอกสารยืนยันว่า ไม่เป็นประโยชน์ ทั้งสองอย่าง นี่เป็น การท้าวความ ให้ฟังนะครับ เพื่อคนที่เขามาอ่านนี่ปุ๊บ เขาจะได้รู้

ตลอดเวลาที่มีการคัดค้าน ก.ล.ต. พยายามจะแอบนำเรื่องน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์มาพิจารณาอนุมัติ หลายครั้ง โชคดีที่ เรารู้ล่วงหน้า ทุกครั้ง ได้เตรียม การชุมนุมไว้พร้อม ก.ล.ต. ก็เลื่อนการพิจารณา ทุกครั้งเหมือนกัน ครั้งที่แล้ว ก.ล.ต. จะพิจารณา เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาฯ ๒๕๔๘ เราเตรียมการชุมนุม ที่หน้า บริเวณ ก.ล.ต. นี้แหละ ก.ล.ต. รีบแถลงข่าว ออกมา ก่อนหน้านั้นทันทีว่า จะเลื่อนการพิจารณาออกไป จนกว่า จะมีการ ออกกฎหมาย กระทรวง สาธารณสุข เรียบร้อยแล้ว คณะผู้คัดค้าน จึงมีหนังสือ ขอให้ ก.ล.ต. ยืนยันเป็นมติ ซึ่งจะมีผลทางกฎหมาย มากกว่าข่าว ก.ล.ต. ปรากฏว่า ก.ล.ต. ก็ไม่ยืนยันสักที ปล่อยให้เวลา ผ่านมากว่า ๑ เดือน ต่อมาเราทราบว่า จะแอบเอาเรื่อง น้ำเมา เข้าพิจารณา อนุมัติ เมื่อ ๑๖ มกราฯ ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา เราไม่ทราบ จะหันหน้า ไปพึ่งใคร เพราะได้ติดต่อ ผู้หลักผู้ใหญ่ ในบ้านเมือง มาหมดแล้ว จึงมีความจำเป็น ต้องชุมนุมที่นี่ ในวันนั้น การชุมนุม ก่อให้เกิด ความยุ่งยาก อย่างมาก แก่สถานทูต สหรัฐ สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก่ ก.ล.ต. ซึ่งเป็นต้นเหตุ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ก.ล.ต. จึงมีเอกสาร ยืนยันมติ ตามที่เรา ขอร้องไปแล้ว เดือนเศษ ซึ่งผลจาก การออกมตินี้ ก.ล.ต. จะแอบนำเรื่อง เข้าพิจารณา อีกไม่ได้ต่อไป จนกว่า จะออกกฎหมาย สาธารณสุข เรียบร้อย คือต้องใช้เวลา อีกถึง ๒ ปี

รัฐบาลคงเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายอันเนื่องมาจากการชุมนุมครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พินิจ จารุสมบัติ จึงเดินทาง มาพบผู้แทน ผู้คัดค้าน เมื่อค่ำ วันที่ ๒๒ มกราคมฯ หาทางออก อีกวิธีหนึ่งคือ การออก กฎกระทรวง ควบคุม น้ำเมา เช่น ห้ามโฆษณา เบียร์เหล้า ผ่านสื่อ ทุกชนิด ทุกรูปแบบ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นต้น โดยเสนอ มาตรการ ควบคุม การดื่มน้ำเมา เข้าสู่การประชุม คณะรัฐมนตรี ในวันนี้

คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการ พร้อมให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ไปกำหนดแนวทางที่เหมาะสม คณะเรา เห็นอย่างนี้แล้ว ก็ยัง ไม่ไว้ใจ กลัวจะถูกหลอกต่อไป ก็เลยมีการติดต่อว่า รัฐมนตรีสาธารณสุข ต้องออกมา เป็นเอกสาร ยืนยัน ให้แน่ชัดว่า จะทำให้เสร็จ ภายในเมื่อไหร่ เมื่อพ้นกำหนดนั้นไปแล้ว ไม่ทำ ชุมนุมใหญ่กว่านี้ เยอะแยะเลยนะฮะ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้มีหนังสือ เป็นหลักฐาน ยืนยันกับ คณะเราว่า จะดำเนินการ ออก กฎกระทรวง ภายใน ๔๕ วันนับแต่วันนี้ครับ

ผู้แทนคณะผู้คัดค้านได้ประชุมกัน มีความเห็นว่า ตลอดเวลา ๘ คืน ๙ วัน ที่เรามาปักหลักชุมนุมครั้งนี้ ได้ผล อย่างเห็นแน่ชัดว่า เราได้ประโยชน์มากมายหลายประการ
๑. ก.ล.ต. จะแอบเอาเรื่องน้ำเมาเข้าหลักทรัพย์เข้าประชุมอีกไม่ได้แล้ว จนกว่าจะมีกฎหมายออกมา คือจนกว่า เวลาจะผ่านไป ๒ ปีเศษๆน่ะ ถึงจะ ดำเนินการได้
๒. ภายใน ๔๕ วันนับแต่นี้ จะมีกฎกระทรวงออกมาควบคุม กฎกระทรวงนี่ดีนะครับ ไม่ต้องไปผ่าน ส.ส. ไม่ต้องไปผ่าน ส.ว. รัฐมนตรี เซ็นแกร๊กนึง ออกมาได้เลย เลยรวดเร็วนะครับ ภายใน ๔๕ วันนับแต่นี้จะมีกฎกระทรวงออกมาควบคุม การขาย การดื่มน้ำเมา อย่างเคร่งครัด ที่สามารถ หยุดยั้ง การขยาย กิจการน้ำเมา อย่างได้ผลยิ่ง

สรุปคือ ได้ผลมากกว่าที่เราเรียกร้องหลายเท่าครับ... คณะกรรมการคัดค้าน จึงลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า นับจากวันนี้ไป ประมาณ ๔๕ วัน กระทรวง สาธารณสุข จะต้องออก กฎกระทรวง ควบคุมการขาย การดื่ม การโฆษณาน้ำเมา และ ก.ล.ต. ต้องทำ ตามกฎหมาย ไม่เอาน้ำเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์ หากไม่เป็นไป ตามนี้ เราจะชุมนุมอีกครั้งนึง เป็นครั้งสุดท้าย พบกันที่นี่ วันจันทร์ที่ ๑๓ มีนาคม ครับ...

คณะกรรมการคัดค้านเบียร์เหล้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ ขอขอบพระคุณสมาชิกกองทัพธรรมทุกศาสนา ที่ท่านได้มา ช่วยกัน คัดค้าน มาตลอดระยะเวลา ๑ ปี กับ ๑ วัน จนถึงวันนี้ จึงขอยุติการชุมนุม ณ บัดนี้ ขอบคุณทุกท่านครับ

# # # แม้จะแพ้ แต่เราก็ได้เสียสละ ทำเพื่อสังคมแล้ว
๒๒ ม.ค. ๒๕๔๙ ที่สันติอโศก อันเนื่องมาจากที่ผ่านๆมา คนในรัฐบาลมีความพยายามที่จะเอาบริษัทน้ำเมา เข้าตลาด หลักทรัพย์เสียเอง โดยอาศัย อำนาจ และ กฎกติกาที่มี อ้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จริงๆแล้ว เศรษฐกิจของใคร เติบโต เศรษฐกิจของประชาชน เศรษฐกิจโดยรวม เติบโตขึ้น จริงหรือเปล่า) ไม่ได้ใส่ใจ กับผลกระทบ ทางสังคม ที่จะเกิดขึ้น ตามมา หลายต่อหลายครั้ง มีความพยายาม ที่จะแอบเอาเข้า ตลาดหลักทรัพย์ ไม่เปิดเผย ให้สาธารณชน ได้รับทราบ ท่าที เช่นนี้ มีมาตลอด ทำให้พวกเราหลายคน ถอดใจ จากบางส่วน ที่พ่อท่าน ได้แสดงธรรมไว้ กล่าวถึง บทบาท การทำงาน ที่ผ่านอุปสรรค ของชาวอโศก และแนะให้ทำใจ กับผลที่จะเกิดขึ้น ไม่เป็นดั่งที่ พวกเรามุ่งหวัง ดังบางส่วน ที่น่าสนใจดังนี้

"พวกเราต้องเอาความสงบ สยบความรุนแรง เราต้องอหิงสา อโหสิ ให้ได้มากๆ แม้ที่สุด การต่อสู้ครั้งนี้ จะจบด้วย การพ่ายแพ้ ทางเกมการเมือง เหมือนกับที่เราเคยแพ้ ตอนที่เราขึ้นศาล ครั้งก่อนโน้น ที่ถูกตัดสิน ว่าแพ้คดี แต่เรา ก็เชื่อว่า เราไม่ได้ผิด ในทางธรรม เราอาจจะผิดแง่ของกฎหมาย ที่เขาบัญญัติ ขึ้นมาใหม่เอาเอง ซึ่งมันไม่ใช่ บัญญัติของ พระพุทธเจ้า เมื่อแพ้ เราก็รับ โทษทัณฑ์ไป แต่เราไม่ได้เสีย เรากลับได้ด้วยซ้ำ ได้ฝึกฝน อดทน ขัดเกลาตน ได้เปิดเผย และเผยแพร่ ความจริง เป็นต้น

นั่นคือ เหตุการณ์ ครั้งโน้น ส่วนเหตุการณ์ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แม้จะจบด้วยการแพ้ เราก็ได้ ไม่ใช่เราเสีย เพราะเรา ไม่ได้มาเอา ประโยชน์ ในส่วนที่เป็น โลกธรรม ให้แก่ตนเลย ไม่ว่าจะเป็นลาภ -ยศ-สรรเสริญ-โลกียสุข เราได้ไปเสียสละ ไปช่วย ในสิ่งที่เรามีให้ เราได้แสดงออกให้สังคมได้รู้ว่า สิ่งที่สังคม เห็นดี เห็นงามนั้น แท้จริงมันไม่ดี เพราะมันเป็น อบายมุข เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว ถ้าผลมันจะออกมาว่า ฝ่ายน้ำเมาชนะ มันก็เป็นวิบาก ของสังคม ที่จะต้องรับ ร่วมกันไป เราก็ได้ทำหน้าที่ ของเราแล้ว เราได้แล้ว คือได้ทำงานที่ควรทำ ได้เสียสละแท้ๆ ทั้งทางวัตถุ และทาง นามธรรม อาจจะสละ ในเรื่องวัตถุ เงินทองได้น้อย เพราะเราไม่ใช่คนร่ำรวยวัตถุ เงินทอง แต่สิ่งที่เรามี คือน้ำใจ แรงงาน สมรรถนะ ตามประสาเรา ที่ได้เสียสละ ออกไป ให้ความเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล ช่วยเหลือ โดยเฉพาะ ที่ตั้งใจ พยายามช่วยไม่ให้ก่อเกิด ความรุนแรง ทำให้เกิดความสงบเย็น

ขอยืนยันว่า ที่เราทำอยู่นี่ไม่ได้ทำเพื่อตนเองเลย เราทำเพื่อสังคมมนุษยชาติ และที่ประท้วงกันอยู่นี่ ก็ไม่ได้เป็นเรื่อง การเมืองต่างประเทศ แต่เป็นเรื่อง การเมือง ในประเทศไทยแท้ๆ ซึ่งมันเป็นการชุมนุม ที่แตกต่างจาก การชุมนุม ทั้งหลาย ที่เคยมีมา กล่าวได้เลยว่า การประท้วงครั้งนี้ เป็นการแสดงธรรม อยู่ในที ถ้าไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้ เราจะแสดง อย่างนี้ มันก็ไม่เหมาะ เหตุการณ์อย่างนี้ ทำให้คน สนใจ เพราะมีเรื่องที่เขาสนใจ เขาจึงมา แต่เขาก็ได้ อีกสิ่งหนึ่ง ที่มีอยู่ในการชุมนุมนี้ เมื่อเขาได้มาเห็น ได้มาฟัง ได้มาสัมผัสพวกเรา มากขึ้น เขาจะเข้าใจได้ คนมีปัญญาจะเข้าใจ

ในหลักรัฐศาสตร์เขาต้องสนใจศึกษา เพราะการชุมนุมที่มีความแปลกใหม่อย่างนี้ มันไม่มีได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีเหตุการณ์ อย่างนี้ เราก็ไปพูด ไปประกาศ อย่างนี้ไม่ได้

การแสดงออกของเรา ในการชุมนุมครั้งนี้ ถ้ามันยิ่งทำให้พวกเราสุภาพเรียบร้อยยิ่งขึ้น ยิ่งแสดงออกซึ่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่น่าเลื่อมใสยิ่งขึ้น ก็ยิ่งจะมีค่าและน่าดูน่าศึกษา

กลุ่มชนของพวกเราแสดงความเป็นโปรเทสต์ (protest) ไม่ได้แสดงความเป็นม็อบ (mob) หน้าที่ที่เราตั้งใจอย่างยิ่ง และจริงใจ คือช่วยไม่ให้เกิด ความรุนแรง ตามความสามารถของเรา มีอะไรที่เราจะเน้น ในจุดนี้ได้ เราพยายามเต็มที่ เราจะอ่อนน้อมถ่อมตน เราจะสุภาพ เราจะเอื้อเฟื้อ เจือจาน ทำงานไม่ถือตัว รับใช้ แจกอาหารกัน อย่างเรียบร้อย และมีปัจจเวกขณ์อาหารด้วย เป็นต้น

การแสดงออกทั้งมวล เป็นกิริยา อันเป็นความจริงของพวกเรา เราไม่ได้เสแสร้งจึงทำได้เป็นเอกภาพ เท่าที่จะทำได้ กับกาลเทศะ เหตุการณ์ อย่างนั้นๆ สิ่งเหล่านี้ ที่ทำได้ก็ต้องมีพื้นฐาน ในสิ่งที่พวกเราเคยทำมาได้แล้ว

ท่านธัมมชโย ก็สนับสนุน ท่านพูดว่า ต้องทำอย่างคุณจำลอง ไม่ใช่แค่ไม่เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น มันต้องถึงขั้น ปิดโรงเหล้าไ ด้เลยก็ดี

อันนี้เป็นการแสดงถึงน้ำใจ และจุดยืน แม้แต่มุสลิมก็เข้ามาร่วมด้วยอย่างแข็งขัน

ด้านการศึกษา นักเรียนของเราไปร่วมด้วย ผู้ปกครองนักเรียนบางคนไม่เข้าใจ ไม่อยากจะให้เข้าไปร่วม ตอนนี้ เราทำ เอกสารขึ้นมา ให้นักเรียน ใช้ทำเป็นข้อสอบ ด้วยเลย เป็นการศึกษาแบบบูรณาการแท้จริง กลุ่มชุมนุมของพวกเรา จะไม่รุนแรง หรือยั่วยุ เราเน้นเรื่องนี้ จึงไม่น่ากลัวอะไร แต่ถ้าผู้ปกครองนักเรียน คนใด ไม่ต้องการให้ลูกมา ในการ ชุมนุมนี้ เราก็ไม่ให้เด็กมา

แม้จะแพ้ เราก็ไม่ได้เสียหายอะไร"

# # # จากพี่จำลองถึงน้องทักษิณ
๓๑ ม.ค. ๒๕๔๙ ที่อนุสรณ์สถานวีรชน ๑๔ ตุลาฯ สี่แยกคอกวัว พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้เปิดแถลงข่าวว่า ได้เขียน จดหมาย เปิดผนึก จั่วหัวว่า จากพี่จำลองถึงน้องทักษิณ ไม่เห็นด้วยกับการขาย หุ้นชินคอร์ป ให้กับสิงคโปร์ ไม่มี ความจำเป็น ที่จะต้องรีบขายทั้งหมด เพื่อระดมทุน ไปทำอะไร การขาย ให้ต่างชาติ เป็นผลเสีย ต่อประเทศ ดังที่เคย คัดค้าน การขายหุ้น บางจาก ให้ต่างชาติ อันเป็นผล ให้การบินไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ปตท. รอดพ้น จาก การขาย ให้ต่างชาติ ถ้าขายให้คนไทย คนไทยก็มีอำนาจซื้อได้แน่ เพียงแต่ให้ทยอยขาย ตัวอย่าง การขายโรงไฟฟ้า ราชบุรี หมดภายใน ๑๗ นาที ๓๓ วินาที ขาย ปตท.หมดใน ๑ นาที ๗ วินาทีเท่านั้นเอง แม้กฎหมาย จะกำหนดว่า การขายหุ้น ผ่านตลาดหลักทรัพย์ ไม่ต้องเสียภาษีก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องอื่น ต้องเสีย ภาษีรายได้ส่วนบุคคล คำนวณ อัตราสูงสุด ๓๗ % ประมาณ ๒๖,๐๐๐ ล้านบาท การที่ ดร.ทักษิณ บอกจะเจียดเงิน ส่วนหนึ่ง ให้เป็นการกุศล เป็นเรื่องดี การเป็น นักการเมือง ซื่อสัตย์อย่างเดียวไม่พอ ต้องเลื่อนชั้นไปสู่ขั้น เสียสละด้วย คือนอกจาก ของเขาไม่เอา ของเราก็ต้อง ให้ด้วย แล้ว พล.ต. จำลอง เสนอแนะให้ ดร.ทักษิณ ที่กำลัง ตั้งหน้าตั้งตา ช่วยคนยากจน บริจาคเงิน ที่ไม่ต้องเสียภาษีนั้น เอาไปช่วย คนยาก คนจน เงินที่เหลืออีก ๔๖,๐๐๐ ล้าน บาทนั้น ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย อีกกี่ชาติ ก็กินใช้ไม่หมด และ ทิ้งท้าย จดหมายว่า หวังว่า ความสัมพันธ์ของเรา ที่เคยมีมา จะไม่จางหาย เพราะจดหมายฉบับนี้

นอกจากนี้ พล.ต.จำลอง ได้ปฏิเสธนักข่าวเรื่องการออกมาแถลงข่าวอย่างนี้ เป็นการทอดสะพาน ให้ท่านนายกฯลง เพราะไม่ได้ ติดต่อกันเลย รวมทั้ง ได้ปฏิเสธ นักข่าว เรื่องการจะไปชุมนุม ร่วมกับคุณสนธิ เพราะเรายังทำหน้าที่ ที่เราทำนี้อยู่ ยังไม่ได้ดำริในเรื่องนั้น

พล.ต.จำลองได้เผย ในภายหลังว่า จดหมายเปิดผนึกนี้ เป็นการประกาศ สัจจธรรมว่า การเป็นนักการเมือง ต้องซื่อสัตย์ และเสียสละด้วย

# # # มิติใหม่ของศาสนากับการเมือง
ความร้อนแรงของการเมืองไทย ตลอดเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา ชาวอโศกเข้าไปมีส่วนร่วม นับเป็น บทเรียน ที่น่าหวาดเสียว และตื่นเต้น ของการปฏิบัติธรรม ภาคสนาม ในวิชาศาสนากับการเมือง อย่างสำคัญยิ่ง แทบจะ ไม่มี ชาวอโศกคนใด คาดคิดมาก่อน ว่าจะต้องไป ปฏิบัติกัน ถึงขนาดนั้น แม้พ่อท่านเอง ก็มิได้คาดคิดมาก่อน ท่ามกลาง ความร้อนระอุ ของฤดูกาล บวกเข้ากับความร้อนแรง ของจิตใจคน นานาสารพัด ในสถานการณ์ อย่างนั้น ทั้งหยาบคาย กระด้าง โทสะแรงร้าย คนบ้าก็มี คนเมาก็ไม่น้อย ข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวปล่อยก็มาก ต้องอดทน กับเสียง ตะโกน ออกมา อย่างมีอารมณ์ รวมถึง ถ้อยคำเหน็บแนม จากผู้เชื่อถือ อีกฝ่าย กลุ่มมอเตอร์ไซค์ ที่มารวนก็มี แถมเหลี่ยมเชิง ของคน ที่ทำหน้าที่ ที่พยายาม ทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ การชุมนุม ข้างทำเนียบ สลายตัวไป เช่น ยุแหย่ ให้แม่ค้า มาขอใช้ พื้นที่ เพื่อสร้างภาพว่า ผู้ชุมนุมทะเลาะกับแม่ค้า คนยากคนจน ปล่อยรถ แล่นเข้ามา ในเขต ผู้ชุมนุมบ้าง อ้างว่าขบวนเสด็จ จะผ่านบ้าง ต่างๆนานาเหล่านี้ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรม เผลอใจห่างใจ มีหวังเครียด หงุดหงิดไปตาม เหตุปัจจัย ที่มากระทบ

ต้องขอคารวะต่อชาวอโศกทุกท่านที่ไปร่วมในกิจนี้ เพราะท่านล้วนกล้าหาญไม่หวั่นกลัวกับภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ทุกเมื่อ แถมเสียสละและ อดทน เป็นเยี่ยม นอกจาก แดดร้อน ลม ฝน จะกินจะอยู่จะขับถ่ายก็ลำบากกว่าปกติ ไม่ว่าจะ สนามหลวง หรือ ถนนข้างทำเนียบ มิได้เป็นสถานที่สัปปายะ หรือ มีความน่ารื่นรมย์ กว่าบ้านช่องของท่านเลย แม้น้อย แม้กระนั้น ท่านก็ยังอุตส่าห์ มีน้ำใจช่วยเหลือบริการ รับใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำ อาหาร และ เก็บกวาด ทำความสะอาด สถานที่ รวมไปถึง บริการอื่นๆกับบุคคลที่ท่านไม่ได้รู้จัก ไม่ได้มีบุญคุณอันใดกันมาก่อน เพียงแต่เขามาร่วม ในภารกิจ อันเดียวกัน คือ "กู้ชาติ"

สำหรับชาวอโศกที่ไม่ได้ไปร่วมในกิจนี้ มีทั้งที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพของตน บ้างก็มีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ วางปล่อยไป ไม่ได้เลย บ้างก็เห็นด้วย แต่กลัวภัย ที่จะเกิดขึ้น บ้างก็ไม่เห็นด้วย กับการไปร่วมชุมนุม แม้จะเห็นด้วยกับการให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ลาออกก็ตาม บ้างก็เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกลั่นแกล้ง จากกลุ่ม ผู้สูญเสีย ผลประโยชน์ จึงไม่เห็นด้วย กับการ เคลื่อนไหว ทุกกรณี ที่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออก ที่ออกอาการหนัก ถึงขั้นลาออกจาก กรรมการมูลนิธิ เลิกเคารพ นับถือ กันไปเลยก็มี ซึ่งกรณีหลังนี้ น่าสงสารเห็นใจที่สุด เท่ากับ ตัดโอกาสของตนในการเจริญขึ้น ทางโลกุตระกันไปเลย

เป็นที่น่าสังเกตว่าชาวอโศกที่ออกอาการหนักอย่างนี้ ล้วนขาดปรโตโฆสะหรือขาดการรับรู้รับฟังข้อมูลสองฝ่าย เมื่อคิด และ เชื่ออะไรแล้ว ก็ปักใจเชื่อ อย่างสุดใจ ทำให้ออกอาการ รักและชัง อย่างรุนแรงได้ จึงเป็นเรื่องยาก ที่จะรับฟัง ความคิดเห็นอื่น ที่ต่างไปจาก ที่ตนเชื่อ หลายคนขาดการฟังธรรม และ หลายคน ยังมีเลือดของ ทุนนิยม บวกอำนาจนิยม อยู่เยอะ จึงไม่รู้สึก สะดุดใจอะไรกับพฤติกรรม ที่ร่ำรวย อย่างมหาศาล จากระดับหมื่นล้าน ก้าวกระโดด ขึ้นไปเป็น แสนล้าน (ภายใน ๕ ปี) แม้จะถูกกฎหมายก็ตาม อีกทั้งไม่สะดุด กับการใช้อำนาจครอบงำ และ คุกคามสื่อ รวมถึง ไม่สะดุดกับ การใช้อำนาจ เอื้อประโยชน์ ให้กับธุรกิจของตน และพรรคพวก ที่ปรากฏ ออกมา หลายต่อหลายกรณี

ขณะที่คนหนึ่งทำงานแล้วร่ำรวยขึ้นๆๆ อย่างมีข้อกล่าวหาว่าทุจริตนานา กับการเคลื่อนตัวของกองทัพธรรมอย่างเปิดเผย และเสียสละ ซื่อๆ ตรงไป ตรงมา ไม่ได้มีผลประโยชน์อันใด แอบแฝงเลย ทั้งหาญกล้าเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐ ทุกรูปแบบ กลับถูกมองข้ามลงไปสู่ มิติต่ำๆ พื้นๆว่า การเสียสละ ของนักธรรมะ ที่ทำเพื่อสังคม กลับไม่น่ารัก น่านับถือเท่า ผู้เอาแต่ รวยขึ้นๆ

น่าเห็นใจภูมิปัญญาของผู้เลือกข้างที่จะส่งเสริมคนที่ทำงานแล้วรวยขึ้นๆๆๆ อย่างมีข้อกล่าวหาว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง นานา สารพัด แทนเลือกข้าง ผู้ทรงศีล ที่เคลื่อนไหว อย่างหาญกล้า เสียสละ เพื่อชาติเพื่อสังคม สำคัญกว่า คำตำหนิ นินทา ที่จะได้รับ จากผู้ไม่เข้าใจ

นับเป็นมิติใหม่ของสังคมและชาวอโศก วิชาว่าด้วยศาสนากับการเมือง ที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง เราลองไปแกะรอย ถึงความเป็นมา ของสถานการณ์ต่างๆ ที่ก่อตัวและเกิดขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา

ขอย้อนไปสู่แนวคิดของพ่อท่านที่พูดมานานแล้วว่า ศาสนากับการเมืองเป็นงานอันเดียวกัน ศาสนาเป็นงานช่วยสังคม ช่วยมนุษย์ การเมือง ก็เช่นเดียวกัน ก็คืองานช่วยสังคม ช่วยมนุษย์ แต่เป็นเพราะสังคมเข้าใจศาสนาพุทธอย่างผิดๆ เข้าใจ การเมืองผิด จึงแยกศาสนา ออกจากการเมือง

ความเข้าใจศาสนาพุทธอย่างผิดๆก็คือ ผู้ทรงศีลจะต้องไปอยู่ป่า เขา ถ้ำ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคมได้มากเท่าไร นั่นถือกันว่า สุดยอด ของผู้มีมรรคผล ของพุทธ ขณะที่พ่อท่านเห็นว่าศาสนาจะต้องเป็นประโยชน์ต่อมวลมหาชน พหุชนหิตายะ นำมาซึ่งสุขต่อมวลมหาชน พหุชนสุขายะ และเกื้อกูล อนุเคราะห์ ช่วยเหลือโลก โลกานุกัมปายะ นั่นก็คือ ศาสนาพุทธ เป็นเรื่องของการละกิเลสตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นเกื้อกูลสังคม อยู่กับสังคม ไม่ใช่ศาสนา ที่หนีเอาตัวรอด ตัดช่องน้อย แต่พอตัว หลบหนีไปอยู่ในป่าในเขา อย่างที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ เข้าใจกันผิดๆนั้นเลย

เช่นเดียวกับความเข้าใจเรื่องการเมืองอย่างผิดๆ เพราะการเมืองที่เห็นและเป็นกันอยู่นั้น มีแต่การแย่งชิงอำนาจ และผลประโยชน์ ทำงานการเมือง โดยเห็นว่า เป็นงานอาชีพทำมาหากินสามัญ แต่การเมือง อย่างที่พ่อท่าน พาทำนี้คือ การ "อาสา" เข้ามารับใช้สังคม ดังนั้น คนที่เข้ามารับหน้าที่ เป็นนักการเมือง ของสังคมจริง จึงต้องเป็นคน ตั้งใจ มาเสียสละ ไม่ใช่มาหากิน สร้างลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ให้ตน อย่างคนสามัญ แม้ตนจะต้อง เสียสละ ทรัพย์ศฤงคาร ที่ตนมี ออกไปให้แก่สังคมอีก ก็ยินดีเต็มใจ เท่าที่ตน จะทำได้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าไม่มี ก็แล้วไป ซึ่งจะไม่ใช่มาทำงาน เพื่อ"อาศัย" ทำมาหากิน เลี้ยงชีพ อย่างงานสามัญ ดังนั้น นักการเมือง จึงจะต้องเป็นคนที่ ได้ลดละกิเลส หรือ มีกิเลสน้อย อย่างแท้จริง จึงจะทำหน้าที่การเมือง ที่เสียสละ ทำประโยชน์ ให้กับสังคม เป็นนักการเมือง จริงๆ แนวคิดของพ่อท่านนั้น ผู้"อาสา" เข้าไปรับใช้ทำงานการเมือง ต้องไม่รับเงินเดือน รายได้ใดๆเลย เช่น ส.ส. ส.ว. กรรมาธิการ เป็นต้น ยิ่งเป็นรัฐมนตรี สูงขึ้นไป ยิ่งต้องทำงานฟรี ยืนยันความเป็นคนตัวอย่าง เป็นที่เคารพ นับถือ ของประชาชน ไม่มีอัตรารายได้ ทั้งโดยตรง และโดยอ้อม ทำงานไม่รับสิ่งตอบแทนใดๆเลย ทางรัฐหรือประชาชน มีหน้าที่ เลี้ยงดู นักการเมืองไว้ โดยมีสวัสดิการ ไม่ว่าจะเป็น อาหาร เครื่องใช้ ไม้สอย ที่พัก ต้องบริการรักษา เมื่อเจ็บป่วย ดูแลความเป็นอยู่ และอำนวยความสะดวก ในการทำงาน ให้พอเหมาะพอสม ตามฐานะ แต่ละฐานะ โดยเฉพาะ นายกรัฐมนตรี ควรมีภูมิธรรมขั้น อนาคามี ขึ้นไป จึงจะถูกต้องที่สุด ไม่ต้องมีทรัพย์ศฤงคาร เป็นของตน ไม่ต้องมีบ้านช่อง เรือนชาน ของตนเลย นี่คือ ปูชนียบุคคล ของสังคม จริงแท้

การเกิดขึ้นของพรรค เพื่อฟ้าดิน ก็มาจากอุดมคติทางศาสนา และการเมืองอย่างนี้

# # # สะสมข้อมูลก่อนจะก้าวย่างสู่การชุมนุม
การก้าวย่างเข้ามาสู่การเคลื่อนไหวร่วมชุมนุม มาจากต้นปีที่ผ่านมา ได้รับจานดาวธรรมของธรรมกาย ที่ได้อนุเคราะห์ มอบให้ ชุมชนต่างๆ ของชาวอโศก พ่อท่าน ได้เปิดชมรายการ และ กิจกรรมของวัดพระธรรมกาย ในขณะทำงาน เขียนไปด้วย เมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ถูกปิดทางช่อง ๙ แล้วได้มา จัดทำรายการที่ ASTV พอดีจานดาวธรรม ที่ได้รับมา สามารถเปิดรับสัญญาณได้ ข้อมูลที่คุณสนธินำมาเปิดเผย น่าสนใจ ในฐานะ ที่เป็นคนไทย อยู่ในแผ่นดิน เดียวกัน ก็น่ารับฟังไว้ เป็นข้อมูลอีกด้าน ที่ต่างจาก รัฐบาลเผยแพร่อยู่ทุกวัน ทุกคืน และทุกช่องสาธารณะ

คำกล่าวหาพร้อมกับตั้งคำถามในการประพฤติมิชอบต่างๆของรัฐบาล ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนหลายคำถาม รัฐไม่สนใจ ที่จะตอบเลย ทั้งๆที่ น่าจะออกมา ชี้แจง แก้ข้อกล่าวหานั้นๆได้แล้ว ทำให้ความเชื่อของผู้รับข้อมูล เอนเอียง ไปข้างที่ว่า ข้อกล่าวหาเหล่านั้นมีมูลจริงเพิ่มขึ้นๆ ชาวอโศก ที่ได้รับ ข้อมูลสองด้าน อย่างเดียวกับ พ่อท่าน อยากจะขยับตัว ร่วมลงชื่อ ให้ถวายคืน พระราชอำนาจ ในช่วงต้นปีนี้ (๗ ม.ค. ๒๕๔๙) แม้กระนั้น พ่อท่าน ก็ยังคงนิ่ง อยู่ดูเหตุการณ์ ไปเรื่อยๆก่อน ขณะที่ชาวอโศก ที่ไม่เปิดใจ รับฟังข้อมูล อีกด้าน ที่ตรงข้ามกับรัฐบาล เริ่มแสดงความไม่พอใจ เมื่อฝ่ายสื่อ ได้นำเอา รายการ เมืองไทย รายสัปดาห์นี้ เผยแพร่ให้ชาวอโศก ได้รับรู้ ในช่วงที่เรานั่ง รับประทาน อาหาร ไปด้วยบ้าง ญาติธรรม ที่ไม่ได้ติดตาม รับฟังรายการนี้เลย ก็ยังคง รับฟัง แต่ข้อมูล ด้านรัฐแต่ข้างเดียว หรือรับ อย่างเสียไม่ได้ รับอย่างที่ มีใจ ต่อต้าน โต้แย้งไปหมด ไม่พิจารณา ด้วยใจ เป็นกลาง ยิ่งผู้อยู่นอกชุมชน ก็ยิ่งไม่ได้ รับรู้ข้อมูล ที่ตรงกันข้าม ดังกล่าวนี้เลย จึงฝังใจอยู่กับ ความเชื่อเดิมๆ ไม่คลาย

ช่วงการชุมนุมคัดค้านบริษัทน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ข้อมูลเชิงลึกและลับเริ่มเข้ามาเป็นระยะๆ ปัญหาชาติบ้านเมือง เรื่องอื่นๆ ที่ประพฤติ มิชอบ มีเป็น จำนวนมาก ทำให้มีการวิเคราะห์และมองกันว่า การเคลื่อนไหวคัดค้านเรื่องน้ำเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นเพียงหมากเกมหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์ ของท่าน ผู้มีอำนาจเอง จึงอยากให้กองทัพธรรม เปลี่ยนเป้า ไปสู่การคัดค้าน เรื่องอื่นๆด้วย เพื่อให้พลังมวลชนอื่นๆ จะได้เข้ามาร่วมด้วย ได้ถนัด แต่พ่อท่าน ยังคงเห็นว่า ให้เก็บข้อมูล ดูกันไป เรื่อยๆก่อน ส่วนการ ประพฤติมิชอบ ในเรื่องอื่นๆนั้น ให้ผู้ที่มีข้อมูล โดยเฉพาะสื่อต่างๆ และ คณะอื่นๆ ที่มีข้อมูล มากกว่า ทำกันไปก่อน

มีนักเขียนหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเขียนด้นเดาว่า กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะไปร่วมสมทบ กับกลุ่มผู้ชุมนุม ที่มาฟังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ที่สวนลุมพินี ทั้งๆที่ กองทัพธรรม ยังไม่ได้มีความคิด ที่จะไปร่วมอะไรเลย

หลังจาก พล.ต.จำลองแถลงข่าวถึงการเขียนจดหมายเปิดผนึก "จากพี่จำลองถึงน้องทักษิณ" ๑ ก.พ. ๒๕๔๘ น.พ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล ส.ส. ของพรรค ไทยรักไทย ออกมาให้ข่าว กล่าวหาว่า พล.ต.จำลอง ไปเอาเงินมาจากไหน ในการขนคน มาร่วมชุมนุม เป็นเงินถึง ๑๐ ล้านบาท และจะพาคน ไปร่วมชุมนุม กับคุณสนธิ ในวันที่ ๔ ก.พ. ที่จะถึงนี้ พล.ต.จำลอง ได้ตอบคำถาม ของนักข่าวในเรื่องนี้ ปฏิเสธว่า ไม่เคยคิดจะไปร่วมชุมนุม ในวันที่ ๔ ก.พ. นี้เลย ขณะเดียวกัน พ่อท่าน บอกเป็นเรื่อง ปั้นน้ำเป็นตัว

๑ ก.พ. ๒๕๔๘ นักข่าวได้ถามพ่อท่านถึงเรื่องจดหมายเปิดผนึกของ พล.ต.จำลอง ที่เรียกร้องให้ท่านนายกฯบริจาคนั้น ได้มี ส.ส. ออกมา โต้แย้งว่า เป็นการสร้าง มาตรฐานที่ผิด ต่อไปคนรวยขายหุ้น ก็จะต้องบริจาค กระนั้นหรือ "อาตมาว่า บริจาค น้อยไป ถ้าเผื่อว่า มองกันตามความควรแล้ว เพราะว่า นายกฯ นี่กำไรมากเกิน และทุนเดิม ก็มีอยู่มากด้วย นายกฯ ไม่ได้มี ทรัพย์สิน แค่หุ้นที่ขายไป เป็นเงิน เจ็ดหมื่นล้าน เท่านั้น ยังมีทรัพย์สิน อื่นๆ มีอสังหาริมทรัพย์ มีในกิจการอื่นๆ อีกเยอะแยะ ถ้าจะเอาเศษผง ของขนหน้าแข้ง มาช่วยรัฐบ้างเนี่ย ที่เหลือ กินอีกตั้ง กี่ชาติต่อกี่ชาติ ก็กินใช้ไม่หมด

ถ้าคนรวยบริจาคเงิน จะเป็นมาตรฐานที่โก้ ที่สวย ที่วิเศษ ยิ่งดีมากเลย น่าอนุโมทนาที่สุด บริจาคให้มากๆ เหมือนกับ มีเกียรติ เหมือนอย่าง บิลเกต ที่ได้รับคำชมเชย นั่นน่ะ อาตมาบอกแล้วว่า ได้กำไรมาร้อยนึงเนี่ย ควรจะทำบุญถึง ๖๐-๗๐ % อย่างน้อย มันถึงจะดูดีดูงาม ดูมีทุนทางสังคม ที่สวยงาม ตัวเอง ก็จะสวยงามมาก และจะได้รับความนิยม ชมชอบ แต่ใจเขา ไม่ถึงกัน เท่านั้นเอง ความรู้ในเรื่องสัจธรรมพวกนี้ เขาก็ไม่มี แถมความขี้โลภ หวงแหน เขายังหนา ยังมาก" พ่อท่านตอบ

๒ ก.พ. ๒๕๔๘ มีผู้มาบอกเล่าถึงญาติธรรมหลายคนเสียความรู้สึก เมื่อพ่อท่าน และ พล.ต.จำลอง ออกมาเคลื่อนไหว ดูเหมือน จะเอียงข้าง เล่นงาน รัฐบาล เพราะมีคนบางคน มองว่ารัฐบาลชุดนี้ ได้ช่วยเหลือเฟือฟาย ชาวอโศกเราไว้มาก หรือ บางคนว่า เป็นชาวเดียวกัน ด้วยซ้ำ

พ่อท่านได้ชี้แจงว่า "ไม่ได้ช่วย มันเป็นความสามารถของเราที่ทำ ไม่ใช่รัฐบาลมาช่วย ถ้ารัฐบาลมาช่วยเราจริง จะมีประโยชน์ ต่อสังคม มากกว่านี้ เยอะเลย แต่รัฐบาล ยังไม่มีดวงตา

ที่จริงไม่ใช่แค่ครั้งนี้เราประท้วงรัฐบาลมาตั้งไม่รู้กี่ทีแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราไปเข้าข้างรัฐบาลมาแต่ต้น มันไม่ใช่ จริงในตอนแรกๆ เราไม่รู้เขา นึกว่า จะดี เราก็ส่งเสริมตามที่เราเห็นเผินๆในตอนแรก เพราะเราเป็นกลาง เราก็ต้อง ส่งเสริม ฝ่ายดีทั้งนั้น แต่พอตอนหลังๆ มีสิ่งอะไรไม่ดี เรารู้ เราเห็นแจ้ง เราก็ไม่ได้ เข้าข้าง เพราะว่า เราทำงาน ทุกอย่างนี่ เราไม่ได้ไปเข้าข้างใคร เราเข้าข้างสัจธรรม อะไรดีข้างไหนเป็นธรรม เราก็ส่งเสริม อะไรไม่ดี เราก็ต้าน วิธีทำ ของรัฐบาล หรือโดยเฉพาะ ตัวทักษิณเองเนี่ย เป็นวิธีทำที่ทำเพื่อความโลภอย่างมาก และออกหน้า ออกตา จัดจ้าน แต่ก่อนนี้ อาตมา ก็ยังมอง แค่เผินๆ และเผลอไป เพราะว่าเขารวยแล้ว ก็นึกว่าเชื่อเขา ว่าเขาจะซื่อสัตย์ ตั้งใจทำงาน แต่พอ ตอนหลังๆ มาเนี่ย ออกลายมามาก จนกระทั่ง อาตมา ก็ต้องบอกว่า อย่างนี้มันไม่ดี ก็ต้องพูดว่า ไม่ดี เพื่อเตือนกัน ก็ไม่ได้เกลียดชัง หรือโกรธแค้นอะไร ที่ทำไปทำตามสัจธรรม"

๑๑ ก.พ. ๒๕๔๘ ก่อนออกเดินทางไปร่วมงานพุทธาภิเษกฯที่ศาลีอโศก มีผู้มาให้ข้อมูลเชิงลึกอีก กล่าวหาว่า พล.ต.จำลอง ได้เรียกขอเงิน ๒๐ ล้าน จากบุรุษ ผู้มีอวิชชาดำ เพื่อเอาไปพัฒนาโรงเรียนผู้นำ เมื่อไม่ได้ จึงออกมา เคลื่อนไหว ต้านบริษัท น้ำเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์ ข้อกล่าวหานี้ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ ของ พล.ต.จำลอง

นอกจากนี้ในกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตยบางส่วน พูดกันว่าเมื่อไร พล.ต.จำลอง จะออกมาสักที ตอนนี้ สังคมมีปัญหา เรื่องผู้นำ ขาดจิรยธรรม แล้ว พล.ต.จำลอง เป็นสัญลักษณ์ของสังคม ที่พูดเรื่องนี้แล้วมีน้ำหนัก แต่ก็มี บางส่วน เกรงว่า ออกมาแล้ว จะไม่ฟังใคร

มีการวิเคราะห์กันว่า ปี ๒๕๔๐ เศรษฐกิจฟองสบู่แตก ปี ๒๕๔๙ จริยธรรมในสังคมไทยแตก กลุ่มที่จะแสดงจุดยืน ของจริยธรรม ได้หนักแน่น ที่สุด ในสังคมไทย น่าจะเป็นกลุ่ม สันติอโศก แล้วเขาก็เสนอกันมาว่า ถ้าจะให้ญาติธรรม กลุ่มละ ประมาณ ๑๐๐ คน แต่งกายเรียบง่าย ไปปรากฏตัว ตามจุด สำคัญ ต่างๆในกรุงเทพฯ ในกาละที่เหมาะสม ไปยืน ถือตะเกียง มีป้ายพุทธพจน์ประกอบ

ประเด็นนี้ผู้ร่วมสนทนาอีกคนทักท้วงว่า มันเสี่ยงเกินไป ถ้าญาติธรรมจะไปปรากฏตัวตามที่ต่างๆนั้น มันเหมือน สันติอโศก ชักธงรบแล้ว ทำให้กลุ่มต่างๆ ที่คอยจ้อง ทำลาย จะออกมาสาดโคลน แล้วพุ่งตรงมา ที่พ่อท่านอีก ในความเห็น ส่วนตัวผม อยากให้ชาวอโศก ระงับการเข้าร่วม การทำงาน เพื่อประเทศ คราวนี้เลย ถ้าไป ก็ไม่ควร ไปในนาม ของชาวอโศก อาจจะต้อง แปลงกายกันไปเหมือนอย่าง ช่วงเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ถ้าใครพร้อมจะไป ก็หมายความว่า ต้องยอม เสียสละ ทุกอย่าง เพื่อประเทศชาติ หากชาวอโศก ไปโดยเปิดเผย มันจะดูเป็นการประกาศศึก อาจทำให้เกิด ความเสียหาย แก่อโศก ในระยะยาว ถ้าการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ว่าท่านนายกฯ ทักษิณ ชนะหรือแพ้ก็ตาม เขาจะเคียดแค้น พยาบาท อโศกได้ ผมจึงเห็นว่า ไม่ควรจะออกไป อย่างที่มี ผู้เสนอมาอย่างนั้น เพราะถ้าออกไป อย่างนั้น มันก็จะได้ใจ ของกลุ่ม ผู้เสนอมา แต่ผลกระทบ ต่อสังคม วงกว้าง ที่ยังนิยมต่อ ท่านนายกฯ ซึ่งมีอยู่มาก เขาจะไม่พอใจ ชาวอโศกได้

นับเป็นข้อทักท้วงที่น่ารับฟังอย่างยิ่ง
ในเรื่องนี้พ่อท่านเห็นว่า ดี ทักเตือนกันอย่างนี้ก็ดี มันยังสรุปอะไรตอนนี้ไม่ได้ง่ายๆ ต้องดูเหตุการณ์ ที่มันจะเกิดขึ้น เป็นข้อมูลใหม่ ไปเรื่อยๆก่อน พราะมันยัง มีตัวแปร

# # # ยึดตัวบุคคลจะทุกข์มากกว่ายึดเนื้อหา
๑๒-๑๘ ก.พ. ๒๕๔๘ งานพุทธาภิเษกฯครั้งนี้ พ่อท่านได้นำเอาเนื้อหาของ คุณลักษณะของพระอรหันต์ ๑๒ ประการ มาอ่าน อธิบาย ในช่วงทำวัตรเช้า ทุกวัน แต่เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมือง ที่ร้อนแรง ทำให้พ่อท่าน ต้องแวะกล่าวถึง ประกอบ เนื้อหา คุณลักษณะของ พระอรหันต์ไปด้วย เป็นต้นว่า

"เหตุการณ์บ้านเมือง ที่กำลังวิวาทกัน ผู้ประท้วงขับไล่กับผู้ถูกขับไล่ก็ทุกข์ด้วยกันทั้งคู่ แย่งชิงความคิดกัน ดีที่ไม่ตีกัน อาตมาเห็น ความก้าวหน้า ของประชาธิปไตย การชุมนุมประท้วง ก็ไม่เป็นม็อบ เป็นโปรเทสท์ ไม่มีบาดเจ็บ เป็นอหิงสา ได้

การชุมนุมที่เห็นๆมามีแต่ตีกัน อย่างต่างประเทศก็ยิ่งทั้งนั้นๆ อาตมาเห็นโปรเทสท์ขึ้นมาในประเทศไทย กลุ่มแรก ที่ไปชุมนุม ก็คือ ที่หน้า ก.ล.ต. โอ้โฮ.... ยามที่รักษาความปลอดภัย ชื่นชมมาก เพราะไม่รุนแรง แต่เรียบร้อย สงบ แม้แต่ เศษขยะก็ไม่มี พวกเราไปเก็บกวาดให้หมด อย่างที่หน้า ลานพระรูปก็ดี ไม่เกิดความไม่สงบ สิ่งเหล่านี้ ได้ถ่ายทอดไป ทั่วประเทศ

ชาวอโศกเองก็มีที่แตกแยก ยังสนับสนุนรัฐบาลอยู่ก็มีบ้าง ส่วนใหญ่ก็สนับสนุนฝ่ายประท้วงรัฐบาล ผู้ที่ยึดฝ่ายไหน ก็ตาม ทุกข์ทั้งนั้น ผู้ที่ยึดตัว บุคคล ยังตื้นกว่าเนื้อเรื่อง ผู้ที่ยึดเนื้อหา ยังเข้าท่ากว่า ผู้ที่ยึดตัวบุคคล การยึดมั่นถือมั่นใดๆ ทุกข์ ทั้งนั้น อาตมากำลังพูดถึงธรรมะ ตอนนี้ก็เป็นธรรมะ ที่สัมพันธ์ อยู่ในการเมือง กำลังพูดถึง วิวาทมูลกทุกข์

ต้องเรียนรู้ "การทำใจให้เป็นกลาง" ให้ดีๆ คนเป็นกลางคือคนที่ใจต้องไม่ลำเอียง เช่น กรรมการผู้ตัดสินอะไรก็ตาม หรือ ผู้พิพากษา เป็นต้น และ "ความเป็นกลาง" ต้องเข้าข้างฝ่ายที่ถูกต้อง คนที่จะเป็นกลางได้ จะต้องมีปัญญา และ ความเป็นกลาง ก็จะต้องรู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก ถ้าไม่รู้ เขาไม่เรียกว่า มีปัญญา เขาเรียกว่า คนโง่ มะลื่อทื่อ คนเช่นนี้ เป็นกลางไม่ได้

คนพอมีปัญญา ที่รู้อะไรผิด อะไรถูก รู้ฝ่ายไหนชั่ว ฝ่ายไหนดี แต่ไม่เข้าข้างใคร นั่นไม่ใช่คนเป็นกลาง นั่นคือคนขี้กลัว เพราะฉะนั้น คนเป็นกลาง จริงๆ จะเข้าข้างคนดี และต้องบอกกัน แต่ก็ต้องรู้ประมาณ รู้บุคคล รู้กาลเวลา รู้ประมาณ หมู่คณะ ที่สมควรพูดหรือไม่

ผู้ไม่รู้ ใครถูกใครผิด ก็คือคนยังไม่มีปัญญา หรือยังไม่มีข้อมูลพอ แต่ถ้ารู้ แล้วขี้กลัว ไม่เข้าข้างใคร นี่แหละคือ คนลำเอียง เพราะมี ภยาคติ คุณลำเอียง เพราะกลัว เอียงอย่างนี้ ก่อให้เกิดภัย

พระพุทธเจ้าสอนเราให้ข่มคนชั่ว ยกย่องคนดี นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ไม่ใช่พูดข่ม คนผิด คนชั่วไม่ได้ หรือยก คนถูก คนดี ก็ไม่ได้ ซึ่งก็ต้อง รู้บุคคล ที่ควรพูด ต้องรู้กลุ่มคน บริษัทที่ควรพูด ยิ่งเมื่อไปชุมนุม ก็ยิ่งต้องพูดแล้ว อาตมาจึงต้องพูด ตามที่ควรพูด

คนที่เข้าข้างไหน ก็ตาม ก็ไม่เป็นทุกข์ ผู้นั้นชื่อว่ามี ภูมิธรรม โดยเฉพาะ เข้าข้างคนถูกคนดี การเข้าข้างคนผิดคนชั่ว มันทุกข์มากกว่า ทั้งโดยธรรม และโดยสำนึก โดยเฉพาะ ยิ่งเรารู้ทั้งรู้ว่า เขาชั่วเขาผิด แล้วเรายังเข้าข้าง คนจะไม่ทุกข์ ก็ต้องศึกษาปฏิบัติธรรม ฝึกฝน หัดทำใจในใจ คนที่ยึดบุคคล จะทุกข์มากกว่า ยึดเนื้อหา เพราะคนยึดบุคคล มันยึดตัวตน ส่วนผู้ยึดเนื้อหานั้น มันมีความละเอียด เป็นตัวตนน้อยกว่า เปลี่ยนแปลงง่ายกว่า จะไม่ทุกข์เท่า คนยึดในบุคคล

การมีปัญญาไม่เท่ากัน มีข้อมูลไม่เท่ากัน จึงเกิดความเห็นต่างกัน จึงถือฝ่ายกันคนละข้าง ซึ่งเกิดจากความรู้ ในสมมุติ สัจจะ ต่างกัน ถ้าแค่ถือข้าง ทำงาน กันคนละข้าง แต่ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ แต่หากใครยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่ายึดข้างไหน ก็ทุกข์ ทั้งนั้น พระอรหันต์ก็มีความเห็นต่างกันได้ ถือต่างฝ่ายกันได้ แต่ท่าน ไม่ทุกข์ด้วยกัน ทั้งสองฝ่าย ไม่ว่า อรหันต์ ในฝ่ายใด จึงเกิดนานาสังวาสตามธรรมชาติ เพราะการเห็นชอบ ในสมมุติสัจจะ ที่ต่างกัน ย่อมเกิดได้ เป็นได้ แม้จะเป็น อรหันต์แล้ว เพราะอรหันต์ยังมีจริต มีวาสนา และมีภูมิต่างกัน อรหันต์ทุกองค์ มีความรู้ในปรมัตถสัจจะ สัมบูรณ์แล้ว เพราะ พระอรหันต์จริง ท่านรู้แจ้ง ความยึดมั่นถือมั่น และท่านถืออะไรๆเพื่ออาศัยเท่านั้น ท่านหมด การยึดมั่น ถือมั่น ในอะไร ได้แล้วจริง แม้แต่นิพพาน ท่านก็ไม่ยึดมั่น ถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา"

# # # ยามบ้านเมืองวิกฤติ พลังจริยธรรมเป็นที่พึ่งให้สังคมได้
ช่วงระหว่างงาน"พุทธาภิเษกฯ"ของชาวอโศก ข่าวสารที่มีนักวิชาการรวมถึงบรรดาสื่อมวลชน ได้ออกมาเปิดเผย ถึงปัญหา ต่างๆ ที่ผ่านมา และจะเกิดขึ้น ต่อไปในอนาคต หากท่านนายกฯ ยังคงทำหน้าที่ อยู่ต่อไป พ่อท่านรับรู้ รับฟัง อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ ญาติธรรม ที่มาร่วมงาน ก็ได้รับทราบตามควร ของแต่ละคน ผู้ที่สนใจมาก ก็สนทนาซักถาม ทำให้การ ทำวัตรเช้า ในวันสุดท้าย (๑๘ ก.พ. ๒๕๔๙) มีคำถาม เรื่องบ้านเมืองมาก จนต้องยุติ การอธิบาย เนื้อหา คุณลักษณะของ พระอรหันต์ ให้ญาติธรรม ได้รับฟังข้อมูล ข่าวสาร ที่นักวิชาการต่างๆ ออกมาแสดง ความคิดเห็นแทน พร้อมกับเขียน แผ่นซีดี ให้ญาติธรรมได้นำกลับไป กระจายข่าวสารต่อ

สำหรับ พล.ต.จำลอง ได้รับการติดต่อจากผู้ห่วงใยปัญหาบ้านเมืองหลายท่าน ล้วนชักชวนให้ออกไปร่วมช่วยแก้วิกฤติ ของสังคมนี้ด้วย ในเบื้องต้น (๑๕ ก.พ. ๒๕๔๙) พล.ต.จำลองจึงตัดสินใจ ที่จะไปร่วมกับกลุ่ม พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย สำหรับญาติธรรมนั้น จะไปร่วมกัน อย่างไร มีความเห็น เป็นสองทาง หนึ่งคือให้แปลงกายไปร่วม สอง คือ ให้ไปในแบบชาวอโศก ที่เราเป็นอยู่ตามปกติ นั่นแหละ การสนทนาเรื่องนี้ ยังไม่ได้ข้อยุติ ทีเดียว ให้รอดูเหตุการณ์ ใกล้ๆ วันที่ ๒๖ ก.พ. ๒๕๔๙ ซึ่งนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ดูก่อน

เมื่อประเด็นที่ว่า"ผู้นำขาดจริยธรรม" สังคมเห็นพ้องและพูดกันชัดเจนขึ้น (๑๖ ก.พ. ๒๕๔๙) จึงมีการนัดหมาย ญาติธรรม พบกันที่สันติอโศก ก่อนไป ร่วมชุมนุม วันที่ ๒๖ ก.พ. ๒๕๔๙ ในนามของกองทัพธรรม เพื่อให้ชาวอโศก ได้ไปแสดงพลัง ของศาสนา เป็นการประกาศ ให้สังคมได้รู้ว่า องค์กรนี้ เป็นที่พึ่ง ของบ้านเมืองได้ เมื่อมีเรื่องที่ ไม่ถูกต้อง จนถึงขีด ที่จะต้องช่วยกัน เพราะพลังของศาสนา เท่านั้น ที่จะทำให้สังคม ไว้วางใจได้ ผู้ที่ยังลังเล จะได้รีบ ตัดสินใจ ถ้าปล่อยให้ ท่านนายกฯ ทักษิณอยู่ต่อไป สังคมจะเกิด ความแตกแยกกัน มากไปกว่านี้ และที่สำคัญ ประเทศชาติ จะเสียหาย มากขึ้น เรื่อยๆ การแพร่กระจาย ของทุจริต และอบายมุขต่างๆ จะไม่มากอย่างนี้ เชื่อว่า การเคลื่อนไหว ของพวกเรา จะมีน้ำหนัก ทำให้สังคม เกิดการผนึกรวม มากขึ้น เกิดผล ช่วยสังคมได้แน่ๆ ไม่มากก็น้อย

พ่อท่านเห็นว่าปัญหาหลักที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ตอนนี้ คือ ปัญหาทางจริยธรรมหรือคุณธรรม โดยเฉพาะท่านผู้นำ ขาดจริยธรรม ซึ่งชาวเรา นักปฏิบัติธรรม ได้เรียนรู้ด้านนี้ และฝึกฝนกันมาจริง ย่อมสันทัดในเรื่องนี้ หากพวกเรา เคลื่อนตัว ออกมา เพื่อช่วยให้เกิดผล ทางคุณธรรม หรือจริยธรรม ตามรูปธรรม นามธรรม ที่พึงเกิดช่วยได้ในกาละนี้ ก็เป็นเรื่องที่ สมควรแล้ว

๑๗ ก.พ. ๒๕๔๙ รายการก่อนฉัน พ่อท่านร่วมกับ พล.ต.จำลอง ชี้แจงให้ญาติธรรมทราบ ถึงสถานการณ์บ้านเมือง ปัจจุบัน ถึงจุดวิกฤติ นายกฯ หมดความชอบธรรม ที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป คณะผู้ทำงาน จึงตัดสินใจว่า จะเอา กองทัพธรรม ไปร่วมชุมนุม ที่สนามหลวง ๒๖ ก.พ.นี้ ส่วนญาติธรรม คนใด จะไปร่วม หรือไม่ร่วม ก็ตัดสินใจกันเอง นอกจากนี้ พ่อท่าน ยังได้เผยถึง ความคิด... "เท่าที่ดูเหตุปัจจัย ขณะนี้ ยังไม่คิดว่า จะให้ สมณะ ไปร่วมชุมนุมด้วย แต่ไม่รู้นะ สถานการณ์ต่อไป จะเป็นอย่างไร อย่างเหตุการณ์ ที่หน้า ก.ล.ต.นั่น ก็ไม่ได้คิด จะไป ถึงอย่างนั้น ไม่ได้คิดว่า จะไปเทศน์อะไรด้วย แต่แล้ว ก็ต้องไปเทศน์ อย่างที่เหตุการณ์เป็นไป"

มีญาติธรรมได้เขียนข้อความส่งไปให้ พล.ต.จำลองว่า ถ้า พล.ต.จำลอง ได้ไปพูดคุยกับนายกฯทักษิณ โดยเหตุ โดยผล แล้ว ท่านนายกฯ ก็คงจะเชื่อ

"ป่วยการ เคยพูดหลายเรื่องแล้ว เขาไม่เชื่อ ถ้าเชื่อไม่เป็นอย่างนี้หรอก อย่างที่พวกเราไปคัดค้าน การขึ้นเงินเดือน ส.ส. ส.ว. แล้วเผลอๆ ก็ขึ้นเงินเดือนไปแล้ว เรื่องเบียร์เหล้าเหมือนกัน เผลอๆก็เอาเข้าอีกแหละ" พล.ต.จำลองกล่าว

# # # น่าจะอยู่บนภู น่าจะอยู่บนหิ้ง ไม่น่าจะเปลืองตัวเลย
๑๘ ก.พ. ๒๕๔๙ เสร็จจากงานพุทธาภิเษกฯ เดินทางกลับมาที่สันติอโศก มีญาติธรรมห่างๆ ที่ช่วยงานอยู่ที่ โรงเรียนผู้นำ ได้มาขอพบพ่อท่าน เนื่องจาก ได้ข่าวว่า กองทัพธรรมจะไปร่วมชุมนุมกับที่เขาประท้วง เรียกร้อง ให้ท่านนายกฯ ลาออก ด้วยความเป็นห่วง เกรงว่า จะตัดสินใจผิดพลาด จึงพยายาม หาเหตุผล นานา ให้ทบทวนดูดีๆ ก่อน จากบางส่วน ของการสนทนา ดังนี้

ญาติธรรม : วันนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างทุนเก่ากับทุนใหม่ ทุนใหม่แม้จะมีปัญหาเรื่องการคอรัปชั่นอยู่บ้าง แต่คนชั้นล่าง ได้ประโยชน์ เช่น เรื่องของ ยาเสพติด กลุ่มสุราต่างๆนี่ มันอยู่ในกลุ่มทุนเก่า ถ้าทุนเก่ากลับมาอีก ยาเสพติด มันจะอันตราย กว่าเดิมหรือเปล่า มันเป็นการแย่งชิง อำนาจกัน จึงไม่อยาก ให้เราเปลืองตัว นะครับ

พ่อท่าน : คุณกับอาตมาก็คงมีความเห็นต่างกัน อาตมาก็ดูอยู่เหมือนกันว่าทุนเก่ากับทุนใหม่เป็นอย่างไร แล้วอาตมา ก็ประเมิน เหตุปัจจัย อะไรต่างๆ นานา รอบด้าน ประเมินผลได้ผลเสียของทั้งทุนเก่าทุนใหม่เหมือนกัน อะไรสมควร ก็เอา อาตมา ไม่ได้คิด คนเดียวหรอก หลายผู้หลายคน วิจัยกันทั้งนั้นแหละ อาตมาว่า ทุนใหม่นี่แหละ ร้ายกาจกว่าทุนเก่า หลายเท่านะ

ญาติธรรม : ผลงานของเค้าเนี่ยมันยัง ยังเป็นประโยชน์อยู่นะครับท่าน

พ่อท่าน : มันเป็นประโยชน์ก็จริง แต่ว่าบวกลบคูณหารแล้วโทษมันมากกว่าประโยชน์ ไม่มีใครไม่ยอมรับนะว่า ทักษิณเก่ง แต่หลายอย่าง ส่อเค้าว่า ไม่สุจริต ไม่เป็นธรรม อย่างชัดแจ้ง เพราะฉะนั้น คำตอบของสังคม ก็คือว่า ทักษิณ ไม่มี ความชอบธรรม ที่จะเป็นผู้บริหาร นี่คือ คำตอบ ทั้งนักวิชาการ ทั้งผู้รู้ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ อะไรศาสตร์ ทั้งนั้น ทั้งหลายแหล่ วิเคราะห์กันอยู่ ไม่ใช่วิเคราะห์อยู่ในเราคนเดียว ข้อมูลต่างๆ เขาก็เก็บมา กันทั้งนั้น ไล่มา ตั้งแต่ ก่อนทักษิณ จะมาทำงาน เริ่มทำงาน จนกระทั่งผ่านไป มีหมดแหละ ไม่ใช่ว่าเรางมงาย ไม่รู้ไม่เห็นอะไร วิเคราะห์กัน หมดแล้ว คิดว่า ก็ทำตามภูมิปัญญา ของแต่ละคนแหละ ใครมีปัญญาเท่าไหร่ ก็เป็นเกณฑ์ตัดสินของคนนั้น คนนั้นอยู่ ผู้ที่ยังรักทักษิณอยู่ ก็ยังมีเยอะ แต่เขาก็ ประมวลมาแล้ว เมื่อกี้นี้ ช่อง ๑๑ ก็ยังโฆษณา ผลงานให้ทักษิณ คนทั่วไป ในประเทศนี้ได้ฟัง แต่สื่อสารโฆษณาทักษิณอย่างเดียว แต่ทางด้าน ประชาชน หรือ ทางด้าน ความเป็นจริง ที่ถูกปิดถูกกั้น ฝีมือ ในทางปิดกั้นสื่อ มีอำนาจมาใช้ ในการที่ควบคุมสื่อ ถือว่าเก่งสุดยอดเลย อันนี้ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าเขาเก่ง

ญาติธรรม : ดูอย่างสันติอโศกในอดีต วันนั้นเนี่ยสันติอโศกได้ทำสิ่งที่ดีๆ งามๆ แต่ก็มีการบิดเบือนมีขบวนการใส่ร้าย ป้ายสี อย่างเป็นระบบ ผมไม่ได้เปรียบว่า ทักษิณจะดีกว่าที่นี่

พ่อท่าน : ไม่เป็นไร เป็นธรรมชาติ อาตมาก็ไม่ว่าอะไรนี่ ทักษิณก็พิสูจน์ตัวเองสิ ถ้าเผื่อว่าแกแน่จริง ก็ทำต่อไป แม้จะถูก โค่นลง แพ้ก็แพ้ อโศกก็แพ้ แต่อโศก ก็ไม่ได้หยุด อโศกก็สร้างมาจนทุกวันนี้ ก็ทำต่อไปพิสูจน์ตัวเองต่อไป เหมือนอโศก พิสูจน์สิ ยิ่งสมัยนี้ มีสิทธิเสรีภาพ คุณทักษิณ มีสิทธิ ที่จะทำ ได้เต็มที่ เมื่อแน่ใจว่า ตัวเองถูก เหมือนกับ อโศก ถูกริบไป ถูกริบรูปแบบจีวรไป เราก็ต้องมามีรูปแบบจีวรใหม่ ถูกริบคำว่า"พระ"ไป เราต้อง เรียกตัวเองว่า"สมณะ" เป็นต้น

ญาติธรรม : การอยู่บนภู ดูเหตุการณ์ไปเรื่อยๆก่อน มันจะเหมาะไหมครับ

พ่อท่าน : อาตมาเป็นคนอยู่บนภูดูมาแต่ต้นอยู่แล้ว ตอนนี้เนี่ยก็จำเป็นที่อาตมาก็จะต้องช่วยประชาชนส่วนใหญ่ เพราะ อาตมา มีข้อตัดสิน และ มีหลัก ที่จะทำตาม พระพุทธเจ้าสอน คือ ต้องข่มคนชั่ว หรือว่าต้อง ติเตียนคนผิด เราควร จะไปช่วยกัน แสดงออก เพื่อข่ม เพื่อติเตียนมั้ย ไม่ใช่ว่า คนเป็นกลาง

อยู่บนภู ดูเขากัดกัน ปล่อยให้เค้ากัดกันตาย โดยที่เราก็รู้ อะไรผิดอะไรถูก แต่ก็ไม่ช่วยข้างไหน คนเป็นกลาง ต้องเข้าข้าง คนดี ช่วยคนดี และจะต้อง ช่วยกัน กำจัดคนชั่ว ไม่เช่นนั้น มันบรรลัย สังคมบรรลัย จริงๆแล้ว อโศกเรา ไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้ไม่เสีย อะไร แต่เราจะปล่อย ให้ส่วนที่ ควรจะดี สิ่งถูกต้อง มันถูกสิ่งไม่ถูกต้อง กลบกลืน ทำลาย นี่มันไม่ควรใช่มั้ย จึงถึงครั้ง ถึงคราวแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ หนักมาก ไม่เคยมีปรากฏ ปานฉะนี้ ในประเทศไทย ครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ ที่จะเป็นประวัติศาสตร์ ไปทั่วโลก

ถ้าชุมนุมคราวนี้เป็นกลุ่มชุมนุมที่ทำได้สันติ ทำได้อหิงสา ทำได้อย่างสงบงาม และทำให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนแปลง นายกฯ นี้ได้ โดยสงบ สุดยอด ประเทศไหนๆ ก็จะเห็นประชาธิปไตย ที่สวยงามนี้ จะเป็นประโยชน์มาก ต่อประเทศ ต่อชาวโลก คุณคิดดูสิ ถึง ๑๕ ครั้งที่คุณสนธิ ได้ก่อหวอด ชุมชุม กันขึ้นมาเนี่ย แม้แต่การเคลื่อนขบวน ชุมนุมใหญ่ๆ ในครั้งที่ ๑๔-๑๕ ก็สงบสันติได้มาตลอด ทั้งๆที่มี คนก่อกวน พยายาม จะให้เกิด ความวุ่นวาย จลาจล เหมือนกัน งานนี้ ทั้งตำรวจ และทหาร ช่วยกันรักษาความสงบ ให้เกิดจริง นับเป็นประชาธิปไตย ที่มีการประท้วง ที่เป็นสันติ ยิ่งถ้าได้ น้ำหนัก ของหยด น้ำเย็น ของชาวอโศกเราเนี่ย เพิ่มเข้าไปด้วย เรามั่นใจว่า เราเอง เรามีเนื้อ ของความสงบเย็น ทางจิตวิญญาณ ที่จะช่วยให้สันติ อหิงสา เป็นจริงยิ่งขึ้น และ เราก็คงจะไปช่วย ในส่วนนี้ ที่มันจะเกิด อันนี้ ให้มีพลัง ที่จะเกิด สันติ และ อหิงสา ถ้าไม่เช่นนั้น มวลใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น มันก็จะยิ่งยาก ที่จะไม่ให้เกิด ความสงบ อันนี้ถ้าไปเสริมน้ำหนัก ช่วยให้เกิด ความสงบได้ มันก็น่าจะยิ่งดี ใช่ไหม สิ่งดีๆ จะได้เกิด ขึ้นมาในโลกบ้าง มันเป็นปรากฏการณ์พิเศษ ในโลก เชียวนะ

ญาติธรรม : ผมว่าท่านน่าจะอยู่บนหิ้งบูชามากกว่าที่จะให้ใครมาด่าว่า

พ่อท่าน : อาตมาไม่ได้หลงใหลว่าอาตมาจะอยู่บนหิ้ง เพื่อให้คุณมากราบเคารพบูชา อาตมาทำงาน ใครจะดูถูก ดูแคลน ใครจะ เหยียบย่ำอาตมา ไม่มีปัญหา อาตมาไม่ติดใจ เป็นแต่เพียงว่า อันนี้ต้องช่วยกัน ให้มีประโยชน์ต่อ สังคม มนุษยชาติ เป็นผล ในกาละที่ควร อาตมาก็ใช้สัปปุริสธรรม ของอาตมา ตามควร

ญาติธรรม : ผมเพียงแต่ไม่อยากให้สันติอโศก เปลืองตัวมากนัก

พ่อท่าน : นั่นก็เป็นการรักตัว ถือตัว ไม่เป็นไรหรอก อาตมาประมาณตนแล้ว ก็ดีตามความเห็นของคุณ ถ้าเผื่อว่า มันไม่ควร จะเปลืองตัวก็ไม่ควร แต่ถ้า มันจำเป็น มันสมควรจะเปลืองตัว เราก็ไม่ต้องไปหลงตัว รักตัวเกินไป ถ้าเผื่อ เห็นว่า เอ้อ... มันจำเป็นแล้ว คราวนี้นี่ อาตมาเห็นว่า แรงร้าย หนักหนา สาหัส เพราะอำนาจสังคม อำนาจของรัฐบาล ขณะนี้ เขายังมีอยู่ สูงมากเลย ถ้าเราไม่รวมตัวกัน ก็ไม่รู้จะทำยังไง นี่อาตมา ก็ไม่ได้ไปเร่งรัด ไม่ได้ไปบังคับ พวกเรา พวกเราที่เห็น อย่างคุณ ก็มีนะ ยังเห็นดีที่จะอยู่ฝ่ายรัฐบาล ก็ยังไม่รู้เลยจะมีกันมากเท่าไหร่ ก็ตามบุญ ตามบารมี อาตมา ก็ให้อิสระ อาตมาก็ไม่ได้ ไปบังคับใคร ขอเพียงแต่ว่า ให้รู้ความจริงให้ลึก คนที่เปลี่ยนแปลงยาก อย่างคุณเนี่ย ก็ยัง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คนที่ เปลี่ยนแปลงยาก มีอีกเหมือนกัน ในชาวอโศก เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องห่วงหรอก ชาวอโศก บางพวก ที่เค้า ใช้วิจารณญาณ ของเค้า ตัดสินไปแล้ว จะไปช่วยทางโน้น ก็เรื่องของเขา พวกที่ ไม่มาช่วย ที่อยู่อย่างคุณ ในอโศกเอง ก็ยังมีอยู่ เพราะเราไม่ได้ มาเผด็จการกัน ไม่ได้บังคับ

# # # มุมมองของขุนนาง ขอให้ทบทวน เกรงจะเป็นเครื่องมือ และถูกป้ายสีอีก

๑๙ ก.พ. ๒๕๔๙ ขุนนางในคณะรัฐบาลท่านหนึ่ง ร่วมมากับญาติธรรมที่ช่วยทำงานให้ เพื่อให้ทบทวน การไปร่วม ชุมนุม กับกลุ่มพันธมิตรฯ จากบางส่วน ของเหตุผล ต่างๆที่ท่านขุนนางทักเตือน

การที่จะเคลื่อนไหวตรวจสอบ หรือว่ามีมาตรการที่จะต้องให้นายกฯ ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเนี่ย ก็เป็นสิทธิของทุกฝ่าย ที่สามารถทำได้ ถ้าเห็นว่า ไม่ถูกต้อง เพียงแต่ไม่เห็นด้วย กับวิธีการที่ท่านจำลอง จะออกไปร่วมกับม็อบ ในฐานะ ที่รู้จักกัน เคยทำงานด้วยกัน เป็นมิตรต่อกัน ก็น่าจะได้มีการ คุยกัน ก่อนที่จะดำเนินการ อย่างใด ถ้าไม่เช่นนั้น มันเหมือนเราไม่ได้ใช้ คุณธรรม อย่างเต็มที่ก่อน

จึงอยากให้ได้พิจารณาประเด็นต่างๆนี้ทั้งที่เป็นเหตุผลส่วนรวมและเหตุผลส่วนตัว
หนึ่ง การขับเคลื่อน เพื่อที่จะถอดถอน สายหนึ่งขับเคลื่อนด้วยวิธีการลงชื่อ ต่อไปด้วยระบอบที่กฎหมายเขาก็ทำ ภาพ โดยรวมนี่ ไม่ถูกตำหนิ แต่การ ขับเคลื่อน ด้วยการชุมนุมขับไล่ จะเป็นทางลบมากกว่า เพราะไม่มีใคร อยากให้ บ้านเมือง วุ่นวาย มันเสี่ยงที่จะต้องสูญเสีย เหมือนเหตุการณ์ เดือนตุลา พฤษภา ไม่มีใคร วางใจได้ว่า จะไม่เกิด นองเลือด เพื่อให้ ทักษิณออกไป มันมีวิธีที่จะให้ยุบสภาออกไป หรือวิธีอื่น ที่ใช้ปัญญา ให้มากกว่านี้

สอง ปีนี้รัฐบาลจัดเฉลิมฉลองพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ ๖๐ ปี อาคันตุกะมาตลอด อาทิตย์นี้ฝรั่งเศส อาทิตย์หน้า สเปน แล้วก็จะมาจนครบ ยี่สิบสอง ประเทศ ในแต่ละเดือน จนถึงเดือนเฉลิมฉลอง คือเดือนมิถุนายน เรากำลังเดินเรื่องว่า พระเจ้าอยู่หัวของเราเนี่ย เป็นพระเจ้าอยู่หัว ที่เป็นผู้ที่ครองแผ่นดิน ที่ทำให้เกิด สันติสุข แล้วทางต่างประเทศ ทาง โนเบลไพรส์ หรืออะไรต่างๆ นี้กำลังพิจารณาอยู่ มันก็เป็นภาพที่ไม่สวย

สาม มันก็คงไม่มีผลดีในเรื่องของความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ถ้าเรามีการชุมนุมกันทุกอาทิตย์ มันก็คงไม่ดี ถามโพลล์ โพลล์ก็ออกมาว่า คนไม่เห็นด้วย กับการชุมนุม แต่จะเห็นด้วยกับการที่นายกฯ จะต้องทำ อย่างใด อย่างหนึ่ง ยุบสภา หรืออะไร ไม่มีใครอยากกลับไปเจอนองเลือด หรือว่าเกิด ความไม่สงบ

เหตุผลส่วนตัวมีอยู่สองสามประเด็น
หนึ่ง เจ็บแค้นพรรค ป. ตอนพฤษภาทมิฬ เห็นด้วยกับท่านจำลองทุกอย่าง เพราะตอนนั้น เราสู้กับเผด็จการทหาร ไม่มีสภา ไม่มีระบบ ที่จะไล่มีทางเดียว ก็คือ ออกมาไล่ ใช้มวลชนไล่ มีสภาก็เหมือนไม่มีสภา พันธมิตรคือพรรค ป. ร่วมเหมือนกับว่า เป็นรูปร่วม แต่ตั้งแต่การร่วมเดิน เอาเปรียบมาตลอด เราย้ายม็อบ ตอนตั้งเวที เราไม่เคย จะเห็น พรรค ป. ตั้งเวทีเสร็จ พรรค ป. ขึ้นก่อน พรรค ป.ได้ภาพดีในการนำใช้สติ กลายเป็นว่า ท่านจำลอง ใช้ความรุนแรง ช่วงอยู่กลางถนน ท่านจำลองสู้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้น เขาปราบจริง คนที่รับบาดเจ็บ และอันตราย ก็คือ ท่านจำลอง พอมารณรงค์ เลือกตั้ง พันธมิตร เขาบอก จำลองพาคนไปตาย เราเจ๊งตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้

สอง เพื่อให้ทักษิณออกไปเร็วๆ ก็ต้องทำให้เกิดความรุนแรง ในเมื่อเกิดเหตุการณ์ซึ่งเราคุมไม่ได้ ท่านจำลอง จะเก่งยังไง ก็คุมไม่ให้เกิด ความรุนแรง ในม็อบไม่ได้หรอก แล้วใครเป็นจำเลย ก็คือ คุณจำลอง พาคนไปตาย อีกรอบสอง

สาม ทำไมเราต้องไปร่วมกับคนที่เราต่อต้านล่ะ ม็อบจัดตั้งทุนที่ใช้บริหารนี่เบื้องต้นมาจาก ป. ต่อมา จ.เข้ามาร่วมด้วย จ.ก็รู้ว่า ตราบใด ที่ท่านนายกฯ อยู่ การเอาหุ้น เข้าตลาด เขาก็ลำบาก ทั้งที่บริษัทนี้ ตลาดก็เห็นด้วย แบ็งค์ชาติก็เห็นด้วย ใครก็เห็นด้วย ท่านนายกฯ ก็ยังไม่ได้ให้เข้า

ประเด็นอื่นๆของการสนทนาขอข้ามผ่าน เป็นที่น่าสังเกตว่า ขุนนางท่านนี้ พยายามติดต่อ พล.ต.จำลอง เหมือนกัน แต่ พล.ต. จำลอง ปิดโทรศัพท์ ไม่รับการติดต่อใดๆ ในช่วงสถานการณ์ อย่างนั้น ทราบภายหลังว่า เป็นวิธีการทำงานของ พล.ต. จำลอง เพื่อบรรลุไปสู่ผล ที่ตั้งไว้

เมื่อ พล.ต.จำลอง แข็ง ทำให้พ่อท่าน ต้องอ่อน ผ่อนลงมารับฟัง อีกด้านหนึ่ง จะได้ไม่ดูปักมั่นเกินไป ทำไปตามเหตุ ปัจจัย ที่เกิดขึ้น เมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยน วิธีการคิด วิธีการทำ ก็ย่อมเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยที่เปลี่ยน ถ้าพิจารณา เหตุผล ต่างๆ ข้างต้นนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลส่วนรวม หรือส่วนตัว เป็นมุมมอง เป็นวิธีคิด อย่างผู้ที่อยู่กับอำนาจ อยู่กับตำแหน่ง ประเด็น เดียวกันนี้ ผู้ที่ไม่มีอำนาจ และตำแหน่ง แต่รู้เท่าทันอำนาจ ย่อมมองมุมกลับกัน หรือโต้แย้ง ไปได้ทุกข้อ

แต่พ่อท่านกลับไม่เลือกวิธีคิดอย่างผู้รู้เท่าทันอำนาจ ยอมรับข้อเสนอของท่านขุนนางที่อยากให้มีการเจรจา โดยมี ท่าน นายกฯ ท่านขุนนางท่านนี้ พล.ต.จำลอง และพ่อท่าน

การณ์นี้ทำให้มองได้ว่า เป็นการแสดงถึง การไม่ยึดมั่นถือมั่น กับวิธีคิด วิธีการทำงานของตน จึงแปรเปลี่ยนได้ ตามเหตุ ปัจจัย ที่เกิดขึ้นจริง

อีกนัยหนึ่ง การรับข้อเสนอ ไม่ด่วนปฏิเสธก่อน ดูจะสอดคล้องกับหลักรัฐศาสตร์การทูต ทำให้ไม่แข็งเกินไป ไม่ตั้งท่า เป็นศัตรูกันก่อน เพราะถึงอย่างไร การรับข้อเสนอ ในการเจรจา ไม่ได้หมายความว่า จะยอมเปลี่ยนจุดยืน หรือ เป้าประสงค์ ที่สำคัญ การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอยู่ที่ ท่านนายกฯ และ พล.ต.จำลอง ด้วย ซึ่งเป็นตัวแปร ที่สำคัญยิ่ง ทั้งสอง ท่านจะเห็นด้วย กับการเจรจาไหม ดังนั้น การรับข้อเสนอก่อน จึงมิได้หมายถึง การสูญเสียจุดยืน แต่เป็น การแสดงจุดยืน อย่างเป็นลำดับ อย่างอาริยะ

ทำให้ระลึกย้อนทวนไปถึงเหตุการณ์ ที่คุณชัยภัค ศิริวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา ในสมัยนั้น(พ.ศ.๒๕๓๑) ได้มาเจรจา ขอให้นักบวช ชาวอโศก เปลี่ยนชุดแต่งกาย ไม่ให้ใช้คำนำหน้าว่า พระ ทั้งๆที่โดยธรรมวินัย สงฆ์ชาวอโศก ไม่ได้ผิด มีสิทธิแต่งกาย และใช้คำนำหน้าว่า พระได้ แต่พ่อท่าน ก็ยอมทำตาม ข้อเสนอนั้น แม้จะต้องสูญเสีย สิทธิ เสรีภาพ ในการปฏิบัติ ตามความเชื่อของศาสนา บางอย่างไปบ้าง ก็ยอมให้ เมื่อสงฆ์ เถรสมาคม ไม่ยอมให้จบ อยู่ตรงนั้น ดำเนิน การต่อ ใช้อำนาจกฎหมาย ที่มี ออกคำสั่ง ให้พ่อท่านสึก อีกทั้งยัดเยียด ข้อหา แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ กับหมู่สงฆ์ ชาวอโศก โดยอาศัย พ.ร.บ.การปกครองคณะสงฆ์ ๒๕๐๕ เป็นเครื่องมือ แต่พ่อท่าน และหมู่สงฆ์ชาวอโศก ไม่ได้ยอมเสีย จุดยืน ของการเป็น นักบวช ในพระพุทธศาสนา ยังคงดำรงชีวิตเช่นนั้น อย่างต่อเนื่อง ด้วยเห็นว่า คำสั่งและข้อกล่าวหานั้น ไม่ชอบธรรม ขัดแย้งกับธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า นี่ก็ถือเป็นกรณีของ การยอมสูญเสีย สิทธิบางอย่าง แต่ไม่ยอมเสีย จุดยืน ภาษาสมัยปัจจุบัน ก็คือ การแข็งขืน อย่างอาริยะ นั่นเอง

# # # พล.ต.จำลอง ประกาศจะเข้าร่วมชุมนุม ๒๖ ก.พ.นี้
๑๙ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา พล.ต.จำลองเปิดแถลงข่าวพร้อมกับเขียนจดหมายเปิดผนึก เรียกร้อง ให้ท่าน นายกฯ ลาออก และจะเข้าร่วม การชุมนุม วันที่ ๒๖ ก.พ. นี้ โดยมีกลุ่มสมาชิกกองทัพธรรม จะเข้าร่วมด้วย และไม่คิดจะชิง การเป็นผู้นำ การชุมนุม ขอเป็นเพียง ส่วนหนึ่ง ในการร่วม ชุมนุม เท่านั้น

ขณะที่พ่อท่านแสดงธรรมก่อนฉัน กับญาติธรรมที่มาทำบุญฟังธรรมวันอาทิตย์ และบันทึกรายการ"พุทธที่ไปนิพพาน" กับสมณะ เพาะพุทธ จันทเสฏโฐ จากนั้น เป็นการบอกเล่า สถานการณ์บ้านเมือง พร้อมกับกล่าวถึง การตัดสินใจของ กองทัพธรรม เข้าร่วมการชุมนุม ด้วยเห็นว่า ท่านนายกฯ ขาดความชอบธรรม ที่จะบริหารประเทศ ต่อไปแล้ว ย้ำอธิบาย ความเป็นกลาง ต้องเข้าข้าง ฝ่ายถูก ฝ่ายที่ดี ส่วนใครจะไม่เข้าร่วม จะเพราะไม่เห็นด้วย หรือกลัว ก็แล้วแต่ เรื่องนี้ เป็นการต่อสู้ของ ประชาชนนอกสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๕ บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำ ใดๆ ที่เป็นไป เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครอง ประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนั้น

หลังจากแสดงธรรมแล้ว นักข่าวหนังสือพิมพ์และวิทยุโทรมาขอสัมภาษณ์ ส่วนทางโทรทัศน์มีแต่ช่องสัญญาณของ ASTV เท่านั้น ส่วนใหญ่ จะถาม ถึงสาเหตุ ของการตัดสินใจเข้าร่วม จุดยืนของสันติอโศกเป็นอย่างไร จะมีญาติธรรม มาร่วมเท่าไร คาดหวังอย่างไร

๒๐ ก.พ. ๒๕๔๙ ข่าวหนังสือพิมพ์บรรดา ส.ส.ไทยรักไทย ออกมาวิจารณ์ตำหนิ พล.ต.จำลองอย่างรุนแรง ข้อกล่าวหา "พาคนไปตาย" ยังคงเป็นอาวุธ ที่ใช้ทำลาย พล.ต.จำลองอย่างได้ผล สำหรับผู้มีวุฒิภาวะและจิตใจอย่างเดียวกับผู้กล่าว บทวิเคราะห์ การเมือง ของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ที่เกาะอยู่กับ อำนาจ มาแต่ต้น ก็ยังใช้คำนั้น ติดมากับ การเคลื่อนตัว ของ พล.ต.จำลอง ในครั้งนี้ เช่นกัน

ที่สันติอโศก มีการประชุมเกี่ยวกับการไปร่วมชุมนุม ประเด็นแรกพูดถึงการหาทางออกให้กับท่านนายกฯ ตามที่พ่อท่าน ได้เสนอ ท่านขุนนาง ถึงทางออก ของท่านนายกฯ ไปแล้วว่า ถ้านายกฯทักษิณ ทูลเกล้าฯเอง แสดงสปิริตเลยว่า นายกฯ ทักษิณ ขอลาออก ทั้งคณะ แล้วนายกฯ ทักษิณเอง ก็ทูลเกล้าฯ ขอนายกฯ พระราชทานชั่วคราว มาแก้เหตุการณ์ นายกฯ ทักษิณ ปฏิบัติเอง จะได้รับการยอมรับ จากสังคมประเทศ ชัดเจน นายกฯทักษิณ ก็จะอยู่ ในประเทศ ได้ต่อไป อาตมาว่า เป็นทางออก ที่บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่นที่สุด เป็นทางลง ที่อาตมาว่า สวยมากเลย

มีเสียงสอดรับว่านับเป็นทางออกที่ดีกว่า เสนอให้ถวายพระราชอำนาจคืน ซึ่งอันนั้นมันเป็นไปไม่ได้ อยู่ดีๆ จะถวาย พระราชอำนาจคืน ได้ยังไง

ต่อมา มีผู้เสนอ ให้กระจาย ข้อแนะนำนี้ ออกสู่สาธารณะ อาจจะในรูปของ จดหมายเปิดผนึกก็ได้ แต่มีเสียงท้วงว่า มันจะทำให้ ท่านนายกฯ ไม่มีเกียรติ ต้องทำเพราะ ถูกบีบบังคับ ถูกแนะนำ จากคนอื่น แต่ถ้าเป็นการเดินสาย ให้รู้กัน เป็นส่วนตัว จะดีกว่า อย่างที่พ่อท่าน ได้เสนอไปแล้ว กับท่านขุนนาง ก็พอแล้ว เพราะได้แนะนำ ทางออกนี้ไปกับ ท่านขุนนางแล้ว ก็น่าจะถึงหู ท่านนายกฯ

ทางออกของวิกฤติการเมืองนี้ คนในซีกรัฐบาลก็คิดไปอีกอย่าง ญาติธรรมที่ร่วมงานด้วย วิเคราะห์ว่า เขาคงเลือก วิธียุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ เพราะวิธีนี้ โอกาสเขาแก้ปัญหา ภายในพรรค ก๊วนวังน้ำเย็น ก๊วนต่างๆ เช็คบิลพวกนั้นด้วย แล้วเขาก็เช็ค เสียงแล้วว่า เลือกตั้ง เขาก็กลับเข้ามาใหม่ โดยเฉพาะ เสียงที่ต่างจังหวัด เพราะเงินเขาเตรียมไว้ เยอะอยู่แล้ว เหมือน จะคืนอำนาจ ให้ประชาชน ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ คิดว่าเขาไม่ดี ก็อย่าเลือก ถ้าตอนนี้ ประชาชน ส่วนใหญ่ เลือกเข้ามา เขามาตามกติกา คนกลุ่มน้อย มัวแต่ต่อต้านต่อไป ก็จะถูกมองว่า มันเล่นไม่เลิก คุณไม่เคารพ กติกาสังคม เขาจะเดินออก ทางรูปนี้ งั้นความชอบธรรม ของกลุ่มที่ยังต่อต้าน ก็จะน้อยลง ถึงเสียงในสภา ก็อาจจะ น้อยลง กว่าเดิม ส่วนหนึ่ง คำนวณแล้ว ดูโพลล์แล้ว เกินเสียงข้างมาก เขาก็พร้อม ยุบสภาได้ คิดว่า เขาจะเลือก เดินทางนี้

ประเด็นต่อมา มีผู้เสนอให้ชุมนุม ที่สวนลุมพินี แยกออกจากกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สนามหลวง ด้วยเหตุผล ที่ท่านขุนนาง ได้บอกว่า มีคนที่เจตนา ให้เกิด ความรุนแรง เพื่อที่จะล้มนายกฯ ให้ได้ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ มันจะเป็นข้อกล่าวหา กับชาวอโศกไหมว่า เขาชุมนุม ตั้งหลายครั้ง ไม่เกิด แต่พอชาวอโศก มาร่วม ทำไมเกิดอะไรอย่างนี้ การแยกมาชุมนุม จะทำ ให้มีรูปธรรม ในการนำเสนอ การชุมนุม อย่างสันติ อหิงสา ไม่ใช้ความรุนแรง แม้วาจา แล้วเรา ก็จะสามารถพูด ในเรื่อง ของธรรมะ ได้หลายประเด็น บุญนิยม กับ ทุนนิยมต่างกันอย่างไร จะเป็นมิติใหม่ ของการชุมนุมเลย เราก็ต้อง สร้าง ค่านิยมใหม่ เป้าหมายเรา มันต้องพูดถึงเรื่องว่า การเมืองต้องมีคุณธรรม ไม่ใช่เพียงแต่ว่า ทำถูกกฎหมายแล้วพอ การที่มี แกนนำพันธมิตรฯ บางคน พูดตีกันไว้ว่า คุณจำลอง จะมาชิงการนำ จะมาชุบมือเปิบ การชุมนุม แยกสถานที่กัน จะได้ไม่เป็น ที่ระแวง ของเขาไปเลย

พล.ต.จำลอง ได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า เราไปร่วมในฐานะเราเป็นประชาชน คนไทย ผมไม่ได้หวัง จะขึ้นเวที ผมไม่ได้หวังว่า จะคุมเขาหรอก เราไปเพื่อ แสดงกายธรรม เท่านั้นเอง

ถ้าจะชิงการนำ ผมมาก่อนหน้านี้แล้ว ผมไม่มาตอนนี้หรอก มันเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย ตั้งแต่กฎหมายทำแท้งแล้ว มันไม่ได้ ชิงการนำ ของใคร ตอนรัฐธรรมนูญ เผด็จการ ผมก็ช้ากว่าเพื่อน พฤษภาฯ ก็เหมือนกัน เขาก็ไปกันเป็นเดือน ผมก็เพิ่งไป นี่ก็เหมือนกัน

ผมยืนยันนะว่าต้องเป็นสนามหลวง ถ้าไปสวนลุมฯไม่เกิดประโยชน์เลยครับ ไม่เกิดประโยชน์จริงๆ ที่เราว่า เขาจะ รังเกียจเรา รังเกียจเราไม่ได้ล่ะครับ เราไป ในฐานะ เป็นนักปฏิบัติธรรม แล้วเราอยู่เป็นปึกเลย เขารังเกียจเราไม่ได้ อันตราย ก็ไม่เห็นมีอะไร ที่อ้างว่า จะเกิดความรุนแรง มันเป็นแผน ของรัฐบาล

ถ้าหลบไปชุมนุมที่เชียงราย รัฐบาลยิ่งชอบใหญ่เลย ให้เป็นปีเลย ส่งเสบียงให้ด้วย เพราะเขาไม่เดือดร้อนอะไร แล้วอย่าง ที่ผมเรียนไปแล้วนะครับว่า ที่เราไป คราวนี้ เรานึกถึงธรรมะ เป็นหลักนะฮะ แล้วเราทราบมาโดยแน่ชัดว่า ถ้าท่านนายกฯ ทักษิณ อยู่ต่อไปเนี่ย ไอ้เรื่องเหล้า เรื่องเบียร์ เรื่องคาสิโน มันมาแน่ มาเต็มที่ แล้วเรามีพลังอะไร จะไปต้านเขา คราวที่แล้ว เราไป ๙ วัน กับ ๘ คืน มันก็แย่อยู่แล้ว เราก็ได้ผลมาแล้วบ้าง ถ้าคราวนี้ เราไปสวนลุมฯ เขาหัวเราะตายเลยครับ ไม่มีผล ขึ้นมาเลยครับ ถ้าไปสวนลุมฯ อยู่สันติฯ นี้ดีกว่า ถ้าชุมนุมอยู่ตรงนี้ เราบอก เราเรียกร้อง รัฐบาล เขาก็ดีใจ เหมือนกัน

เราต้องการคนมารวมกะเรานี่นะครับ เพื่อให้เป็นพลัง แล้วพลังนี่ต่อไป มันจะขยายขึ้น สามารถที่จะพิทักษ์ปกป้อง สิ่งไม่ดี ไม่งาม ไม่ให้เข้ามา สู่สังคมได้ ไอ้นี่คือ เป้าหมายของเรานะฮะ ซึ่งลึกๆ คนอื่นเขานึกไม่ถึง เขานึกแต่เรื่อง การเมือง ของเราไม่ใช่ นึกถึงธรรมะ ถ้าวัน นี้ทำให้ท่านนายกฯ ท่านถอย หรือมีอะไร ที่เพิ่มเติมขึ้นมา ในลักษณะที่ว่า มันดีขึ้นน่ะ ก็แสดงว่า เรามีพลัง ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ คาสิโน อะไรต่างๆ ทีหลังมันมาไม่ได้หรอกครับ เราทำเพื่อ ทางธรรมะนะครับ ไม่ได้ทำ ในทางการเมือง งั้นถ้าไปสวนลุมฯ นี่ เป็นการแยกกัน ไม่เกิดประโยชน์เลยครับ

ผมทำไม่ได้จริงๆนะครับ ไม่ใช่มาขู่ บอกไปตามที่เราได้ตกลงเอาไว้ บอกถึงขนาด เราจะไปทำครัว ที่ไหนๆ เตรียมการ ไว้หมดแล้ว มาวันนี้ บอกว่า ไปสวนลุมฯ คนอื่นทำได้ แต่ผมทำไม่ได้ ให้ผมไปเดี่ยว ผมก็ไปเดี่ยว ไม่เป็นไรเหมือนกัน แต่ถ้าผม ไม่ไปตามนั้น ผมพูดแล้วไม่ทำนะฮะ ไม่ได้นะครับ ต้องเห็นใจผมมั่งฮะ แต่ว่าอย่าเอากรณีผม มาเป็นเรื่อง สำคัญว่า ถ้างั้น ต้องไปสนามหลวง ไม่ใช่นะครับ ถ้ากองทัพธรรม จะไปสวนลุมฯ ก็ไปสวนลุมฯ แต่สำหรับตัวผม ผมต้อง ไปสนามหลวง ล่ะครับ ไม่มีทางเลือกเลยครับ

ผมเรียนตรงๆเลยนะว่า ผมไม่อยากที่จะชุมนุม ผมไม่อยากจะไปลำบากลำบน อายุก็เยอะแล้ว แต่ผมคิดว่า ผมทำหน้าที่ เท่านั้นแหละ มันจะได้ผล มากน้อย แค่ไหน ก็ตาม แล้วหน้าที่นี้ เป็นหน้าที่ธรรมะลึกๆด้วย ที่ผมฟังจากพ่อท่าน ผมยัง สงสัยเลยว่า คราวนี้ทำไมพ่อท่าน ถึงเอาจริง เอาจังนัก เรากลับ เป็นฝ่ายเดินตาม พอพ่อท่าน พูดขึ้นมาปั๊บ ผมก็เห็น ชัดเลย ต่อไป ไม่มีใคร มาปกป้องเรื่อง ความถูกต้องชอบธรรม ถ้าไม่ใช่กองทัพธรรม ไม่มีเลย

# # # นักข่าวเกาะติดเฝ้าดูความเคลื่อนไหว
๒๑ ก.พ. ๒๕๔๙ ข่าวรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการเปิดให้มีการประชุมร่วมกันสองสภา แต่ไม่มีการลงมติ เป็นความพยายาม ที่จะลด กระแส การชุมนุมใหญ่ ๒๖ ก.พ. นี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลใจกว้าง ให้มีการอภิปราย มีการตรวจสอบกัน ในสภาแล้ว เพื่อเคารพกติกา ประชาชนก็ไม่ควร มาชุมนุมอะไร กันอีก

ที่สันติอโศก เริ่มมีนักข่าวมาป้วนเปี้ยนหาข่าว บางฉบับ เจ้านายสั่งมาให้อยู่ประจำ จากบางส่วน ที่นักข่าวได้สนทนา ซักถาม ดังนี้

นักข่าว : มันมีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปร่วมด้วย

พ่อท่าน : เราอยู่กับสังคม ถ้ามันเกิดความไม่สุขกันทั้งสังคม แม้เราจะสุข เราก็ต้องเห็นใจคนเดือดร้อนในสังคม ถูกใคร เขาเตะ เขาเหยียบ อย่างไม่เป็นธรรม เราไปเห็นเขา ถ้าเราว่า เราไม่เกี่ยว มันก็ใจดำ อำมหิต เหลือร้าย เออ.. อย่างนี้ ต้องไปช่วยเขาหน่อย ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้เดือดร้อน อะไรกับเขา

แต่คนมันต้อง มีสำนึก มันต้องมีความรู้ ในตัวเองมั่งว่า เอ๊ะ! มนุษยชาติหรือสัตว์โลกนี่มันต้องช่วยเกื้อกูลกัน นี่มันเป็น ศีลธรรมสามัญ พื้นฐาน ด้วยซ้ำไป เราอยู่กับสังคม ก็ต้องช่วยสังคม โดยเฉพาะ หลักเกณฑ์ของศาสนา มีเพื่อ ให้ช่วยสังคม เพื่อให้ช่วย มนุษยชาติ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ มันเป็นหลัก เป็นแกน ของศาสนา ของพระพุทธเจ้า เลยทีเดียว

นักข่าว : แล้วท่านไม่กลัวว่า เอ๊ะสันติอโศกเข้าไปยุ่งอะไรเรื่องการเมืองอีกแล้ว หลังจากพลังธรรม

พ่อท่าน : อาตมายืนยันว่า คนที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองนั้น เป็นความเข้าใจ ที่ผิด ล้มล้างคำสอน ของพระพุทธเจ้า เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งอุดมการณ์ หรือ มรรค และ อุดมคติ หรือผล อย่างแน่ชัดว่า เป็นศาสนา ที่เป็นประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ ภาษาบาลีคือ "พหุชนหิตายะ" และ เป็น ศาสนา ที่ช่วยให้มวลมนุษยชาติอยู่เย็นเป็นสุข ภาษาบาลีคือ "พหุชนสุขายะ" ดังนั้น จึงเป็น ศาสนา ที่มี "โลกานุกัมปายะ" หมายความว่า คนที่ปฏิบัติศาสนาพุทธนั้นคือผู้เอื้ออนุเคราะห์อุ้มชูโลกแท้ๆนั่นเอง ไม่ใช่คนที่ จะได้ประโยชน์ แต่ส่วนตัว ไม่ใช่เป็นคนดูดาย การปฏิบัติ ก็ปฏิบัติอยู่กับ สังคมสามัญ ไม่ใช่ต้องหนี ออกไปอยู่ป่า อยู่เขา ปลีกเดี่ยว แต่ผู้เดียว แบบ ฤาษีโบราณ ดังนั้น ภาคมรรค คืออุดมการณ์ ก็ต้องปฏิบัติ อยู่กับสังคม เป็นประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ ไปพร้อมๆ กันกับ การปฏิบัติ ในชีวิตประจำวัน ทั้งภาคผล คืออุดมคติ ก็ต้อง เป็นประโยชน์ต่อ มวลมนุษยชาติ อย่างแท้จริง แน่นอน ทั้งอุดมการณ์ ทั้งอุดมคติ จึงต้องสอดคล้องกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน กับ โลกานุกัมปายะ นั่นคือ ทั้งมรรค ทั้งผล ของ ศาสนาพุทธ ต้องมีสภาพ เอื้ออนุเคราะห์ อุ้มชูโลก อยู่อย่างปฏิสัมพัทธ์กัน ครบตลอดทีเดียว

ดังนั้น ที่เข้าใจผิดกันว่าผู้ปฏิบัติธรรมมุ่งนิพพานนั้น ต้องหนีเข้าป่าเข้าถ้ำ ไม่รับรู้โลก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้คน ในสังคม จึงจะบรรลุ มรรคผลได้ หากอยู่ในสังคม ยังเกี่ยวกับโลก ยังเกี่ยวกับ กิจกรรม ของสังคม ยังขืนเกี่ยวกับการงาน อาชีพ ที่คนโลกๆ ทำกันก็ดี ยังขืนเกี่ยวกับ การเมืองก็ดี จะไม่ใช่ทางไป นิพพาน นั่นเป็นความเข้าใจผิด โดยสิ้นเชิง เพราะ ถ้าแม้น เป็นอย่างที่ว่านั้นจริง ก็เท่ากับว่า เนื้อแท้ ซึ่งเป็นคุณค่าสำคัญ ของศาสนาพุทธ หรือ นิพพาน ที่เป็นยอด ธรรมะ ของพุทธ นั่นเอง ทั้งมรรค คือ ทางปฏิบัติ หรือ"อุดมการณ์" และทั้งผลคือ ประโยชน์สุดยอด หรือ"อุดมคติ" จะไม่มี คุณค่า กับคน-กับสังคมเลย ไม่มีน้ำยากับสังคมโลกใดๆ ซึ่งความเห็นผิดอย่างนี้ ผิดร้ายมาก เพราะความเห็น เช่นนี้ ลบหลู่ คุณค่าสำคัญ ของศาสนาพุทธ จึงเท่ากับ ล้มล้าง ความเป็นพุทธ ทีเดียว

นักข่าว : ท่านมองนายกฯว่าไม่สมควรที่จะอยู่ได้แล้ว หรือยังไงครับ จุดใหญ่คือจริยธรรมหรือเปล่า

พ่อท่าน : จุดสำคัญก็คือผู้บริหารหรือนายกฯบกพร่องทางจริยธรรม และพวกเรานี่เป็นผู้ปฏิบัติทางคุณธรรมแท้ๆ ถ้าเรา ไม่เอาตาดูหูแล ไม่รู้ไม่ชี้ มันผิดถนัด เลยนะ ถ้าจะถามว่า ทำไมต้องมายุ่งอะไรกับการเมือง? เอ้า....ก็มันวิกฤติ ทางคุณธรรม ฉะนั้น หากไม่ให้ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ได้ฝึกฝนธรรมะ มาในชีวิต มีความรู้มีมรรค มีผลทางธรรมแท้ๆ เข้าไป ร่วมรู้ ร่วมทำ เข้าไปร่วมแก้ไขหรือร่วมทำให้เพิ่มคุณธรรม มันผิดแน่ๆ เราทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ดูดายไม่ได้หรอก เราไม่ใช่ คนหลงผิด

นักข่าว : ท่านจะฝากอะไรไปให้ประชาชนบ้างตอนนี้
พ่อท่าน : พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ หมายความว่า ต้องข่มคนชั่ว ต้องยกคนดี เพราะฉะนั้น คนชั่วต้องจัดการ ช่วยกันข่ม ช่วยกันประกาศ ช่วยกันยุติความชั่วในคนชั่ว แต่จงช่วยยกเชิดชู หรือ ส่งเสริม คนดี นี่คือ ความเป็นกลาง คนที่จะเป็นกลางคือคนที่ไม่มีอคติ และมีปัญญา รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว และ ผู้เป็นกลาง ต้องเข้าข้างคนดี คนเป็นกลางเข้าข้างคนชั่วไม่ได้ คนที่บอกว่า ตัวเองเป็นกลาง จะต้องไม่เข้าข้างคนดี จะต้อง ไม่เข้าข้างคนชั่ว กลางต้องไม่เข้าข้างไหน นั่นมันคนโง่ ไม่ใช่คนเป็นกลาง นั่นมันคนไม่รู้อะไรดีอะไรชั่ว หรือ คนขี้กลัว เข้าข้างดีก็ไม่ได้ กลัวคนชั่ว มันจะเล่นงานเอา รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดีอะไรชั่ว แล้วไม่เข้าข้างใคร แต่บอกว่า ตัวเองเป็นคนกลาง คนนั้นเขาไม่ใช่ คนกลาง นั่นคือคนขี้กลัว หรือคนไม่รู้อะไรดีอะไรชั่ว จึงไม่เข้าข้างใคร ก็มันไม่รู้นี่ คนโง่ คนไม่รู้ จึงไม่ใช่คนเป็นกลาง คนเป็นกลางต้องเป็นคนที่มีความรู้ เช่น ผู้พิพากษา ต้องตัดสิน ต้องรู้ว่า คนไหนผิด คนไหนถูก แล้วก็ต้องตัดสินยกคนถูก ข่มคนผิด ต้องประณามคนผิด พระพุทธเจ้าท่านสอน ความเป็นกลาง อย่างนี้ ต้องข่มคนชั่ว ต้องยกคนดี เพราะฉะนั้นเข้าใจกันผิดหมดเลยว่า จะพูดติคนชั่วก็ไม่ได้ จะยกคนดี ก็ไม่ได้ สังคมบ้านเมือง อำพราง ความดีความชั่ว อะไรถูก อะไรผิด ปล่อยไปตามยถากรรม มันก็ตายกันเลย ขืนทำกัน อย่างนั้นไม่ได้ ที่สำคัญ.... ผู้ที่มีปัญญา ผู้เป็นกลางซึ่งเป็นผู้ไม่มีอคติ ในใจต้อง ไม่ลำเอียง เข้าข้างไหน เมื่อดูเนื้อแท้ อันนี้ดีแท้ๆ สิ่งนี้ถูก สิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ชั่ว แม้จะติเตียนจะกำจัดชั่วก็ต้องทำ พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง คนชั่วต้องติเตียน ต้องกำจัด ปัคคัณเห ปัคคหารหัง คนดีก็ต้องช่วยยกย่องเชิดชู ส่งเสริมให้เจริญยิ่ง ต้องช่วยคนดี อย่าไปช่วยคนชั่ว ภายนอก ต้องทำบทบาท อย่างนี้ แต่ภายในใจต้องทำใจให้เป็นกลางจริงๆ

นักข่าว : เป็นเรื่องไม่ง่ายนะครับที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจว่า งานศาสนากับงานการเมืองเป็นอันเดียวกัน

พ่อท่าน : งานศาสนาก็คือ งานที่ไปช่วยเหลือสังคม เป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยสังคม เมื่อใดที่คุณมาเป็นนักธรรมะ ที่จะช่วย สังคมมนุษยชาติ ลดความเห็นแก่ตัวหรือกำจัดกิเลสให้ได้มากๆ แล้วไปเสียสละให้สังคม นั่นคือเนื้อแท้ของธรรมะ ยิ่งเป็น นักการเมือง ยิ่งต้องมีธรรมะ

การเมืองก็เป็นงานที่จะต้องช่วยสังคม งานศาสนาก็เป็นงานที่จะช่วยสังคม และมันผิดกันตรงไหน ต่างกันตรงไหน เป็นแต่เพียงว่า แบ่งงานกันบ้าง มีสมมุติกันคนละมุม หรือกำหนดหน้าที่กันคนละอย่างเท่านั้นเอง แต่ธรรมะ ต้องช่วยกัน ให้มี ให้มากขึ้นๆ และร่วมกันทำงาน ให้แก่สังคมต่างหาก เพราะฉะนั้น ถ้าใครไปแยก งานศาสนา กับงานการเมือง ออกจากกัน แยกงานศาสนาออกจากสังคม มันจึงแย่ใหญ่ อย่างที่เห็น เพราะอะไร เพราะนักการเมือง จะต้องมีคุณธรรม ต้องมีธรรมะ จึงจะช่วยสังคมได้ ผู้ไม่มีธรรมะ รีดจากสังคมแน่ แม้ทำงานอื่นๆ ยิ่งผู้ทำงานการเมือง ถือโอกาส ที่มีอำนาจ มีตำแหน่ง มีช่องทาง ยิ่งคุณมีความสามารถ คุณก็ใช้ตำแหน่ง อำนาจ โอกาส ช่องทางนั้นๆได้แน่ๆ จึงเป็น การเสียมารยาท นักการเมืองที่สุด เพราะมันมีโอกาสจริงๆ และ ประชาชนไว้ใจ สนับสนุน ให้เป็นตัวแทน ด้วยความ ไว้ใจแท้ๆ แต่ผู้เสีย มารยาท ขบถต่อประชาชน สมควรตาย

การเข้าใจผิด ที่ไปแยกธรรมะออกจากนักการเมือง หรือแยกออกจากการเมือง จึงเป็นความผิดพลาด เป็นความสูญเสีย ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แยกตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ละ โดยเฉพาะได้ออกกฎหมายด้วย ในประเทศไทยนี่ ออกกฎหมาย ไม่ให้พระ ให้เจ้า เข้าไปเกี่ยวข้อง กับการเมือง นั่นแหละ ตั้งแต่ออกกฎหมายมา หรือว่าสร้าง จารีต ประเพณีนี้ ตั้งแต่ เมื่อไหร่ ก็แล้วแต่ นี่เป็น ความผิดพลาด ที่เกิดผล สังคมแย่ถึงทุกวันนี้ วิกฤตินี้คือ วิกฤติผู้นำ ไร้คุณธรรม ไร้จริยธรรม ใช่มั้ย แย่หนักกันถึงขั้น ระบุ ข้อบกพร่องว่า โทษผิด หลักสำคัญคือ "ความไร้คุณธรรม" มันคลุมความผิด ไปหมดเลย

ผลพวงของการเข้าใจผิดที่แยกธรรมะออกจากการเมือง คนก็เลยไม่มีศีลธรรม ไม่มีจริยธรรมกัน เพราะไปเชื่อถือกัน ผิดๆ มาว่า การเมือง ต้องแยกกับธรรมะ เมื่อไล่ธรรมะ ให้ไกลไปจากการเมือง ดีกรีความไม่มีธรรมะ ก็สั่งสมมาเรื่อย ถึงวันนี้ มันก็สาหัส อย่างนี้ ถึงขั้นปานฉะนี้

ทุกคนต่างก็รู้ดีรู้ชั่ว ทุกคนมีสามัญสำนึก แต่สามัญสำนึกมันสู้กิเลสที่หนาที่มากของตนเองไม่ได้ มันจึงทำชั่ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าชั่ว หรือ คนกิเลสมาก ถึงขั้น ก็เห็นชั่วเป็นดีไปเลย คนที่โกงทุกคน รู้ว่า การโกง คือทำชั่ว รู้ก่อนทำทุกคน แล้วตั้งใจ ทำชั่ว เสียด้วย ตั้งใจใช้ความฉลาดที่สุดของตน ทำชั่วนั้น เพื่อไม่ให้ใครจับได้ นี่ต่างหาก คือ กิเลสมันเก่งกว่า ความรู้ของตน เก่งกว่า สามัญสำนึก

เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองถึงขั้นนี้ เราดูดายไม่ได้แล้ว มันถึงขีดแล้วนะ ที่ทุกคนต้องเลือกข้างแล้ว ต้องประกาศตัวว่า อยู่ข้างไหนกันแล้ว เลือกข้าง ที่ถูกต้อง มากที่สุด ตามภูมิปัญญา ของตนๆ ถ้าคุณไม่เลือกข้าง ก็คือ หนึ่ง คุณโง่ สอง คุณใจดำ สาม คุณขี้กลัว ไม่ช่วยสังคมประเทศชาติเลย ใช่มั้ย เพราะเหตุการณ์ ปานฉะนี้ คุณไม่ร่วมมือกัน ไม่ได้แล้ว บ้านเมือง มันไปไม่รอด

นักข่าว : ถ้ามีการเคลื่อนไหว หรือว่ามีการปักหลักยืดเยื้อ หรือว่ามีการเดินขบวนถึงขั้นที่ว่า เกิดเหตุการณ์รุนแรง เกิดขึ้น จริงแล้วนี่ ทางอโศกเรา มีการพูดคุย กำชับกันมั้ยว่า เราควร จะทำอย่างไร จะยืดถึงตรงไหน

พ่อท่าน : เราจะต้องมีสันติ อหิงสา ถึงขั้นอโหสิ ต้องอภัย ต้องไม่ถือสาเอาเรื่องเอาราว ใครจะทำร้ายเรา ก็ยกโทษให้ อโหสิ คืออภัย ต้องทำให้ได้ ถึงขั้นนี้ เรามีจุด ถึงขั้นนี้ อหิงสา คือไม่ให้รุนแรง สันติคือ สงบ เรามีเนื้อหาของความสันติ อหิงสา นี่คือในชาวอโศกเรา มีพอควร มันก็จะเป็นน้ำหนัก เป็นรูปธรรม-นามธรรม ของพวกเรานี่ คุณจะเห็นรูปธรรม เป็นกลุ่มหนึ่ง ที่สามารถ ยืนยันอยู่ มีน้ำหนักขนาดหนึ่งอยู่ในหมู่มวลกลุ่มชุมนุมนี้ได้ อันนี้เราก็คิดว่า เราก็คงจะมี ประโยชน์กั บพันธมิตร ที่มาชุมนุมประท้วงนี่ด้วย เพราะว่า ไม่มีใครอยากให้เกิด ความรุนแรง ต้องการความสงบแน่ มันก็เป็นสิ่งดี อาตมามองเห็น ความเจริญ ของประชาธิปไตยไทย ที่กำลังเกิดอยู่ ขณะนี้ คุณสนธิ ริเริ่มให้เกิด กลุ่มชุมนุมนี้ มาตั้ง ๑๕ ครั้งแล้ว ไม่เกิด ความเป็นม็อบเลย ม็อบคือ ชุมนุมที่เกิด ความวุ่นวาย จลาจล นั่นคือ ความหมายของ การชุมนุม ที่ก่อขึ้นแล้ว มันเกิด ความวุ่นวายขึ้นมา เขาเรียกว่า ม๊อบ[Mob] นี่ไม่เกิดความเป็นม็อบเลย กลายเป็นมวล หรือ กลายเป็นแมสส์ [Mass] ที่ประท้วง เป็นโปรเทสต์ [Protest] หรือ ดีมอนสเตรชั่น [Demonstration] คือ เป็นกลุ่ม ที่เข้าไปเดินขบวน ประท้วง คัดค้าน ไปยืนยัน ในสิ่งที่เรามุ่งหมายอันหนึ่ง แล้วเกิด ความสงบ ไม่เกิดความวุ่นวาย ไม่เป็นม็อบ นี่เป็นความเจริญ ของประชาธิปไตย ของคนไทย ที่กำลังเกิด ในยุคนี้ ขณะนี้ ดีจังเลย

# # # ลอบวางระเบิดที่หน้าสันติอโศก
๒๒ ก.พ. ๒๕๔๙ รู้สึกตัวตื่น เมื่อได้ยินเสียงพ่อท่านประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงออกมาทางลำโพงที่กุฏิ ตอนแรก เข้าใจว่า เป็นเสียงเปิดจาก ซีดี ก็เอ....ทำไม ทำวัตรเช้า เร็วจัง แต่เมื่อได้ยินเสียงพ่อท่าน ประกาศว่า ตอนนี้ ตีสองกว่า ตำรวจ กำลังมาถึงแล้ว ใครที่ได้ยิน หรือเห็นเหตุการณ์ ตอนระเบิด ช่วยมาให้ข้อมูล กับทางตำรวจเขาด้วย ประมาณ ๐๒.๕๕ น. โอ้โฮ....เสียงระเบิด ดังสนั่น ข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงเลย แม้น้อย

รีบลุกขึ้นไปดูเหตุการณ์ด้านหน้าทางเข้าพุทธสถาน เห็นคนมุงดูอยู่ที่หน้าทางเข้า บริเวณที่กลับรถหน้าศาลาสุขภาพ มีเศษปูน กระจก หินแกรนิต กระจายอยู่เป็นระยะกว้าง มีตำรวจ ผู้สื่อข่าว กำลังทำหน้าที่ของเขาอยู่ รีบเดินไปที่ พ่อท่าน ให้สัมภาษณ์ มีนักข่าวจำนวนมาก มีทั้งหน่วยกู้ภัย ปอเต็กตึ้งร่วมด้วย

เจ้าหน้าที่พยายามกันคน ให้ออกนอกบริเวณเกิดเหตุ เพื่อรอเจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่ง มาพิสูจน์หลักฐาน พ่อท่านอยู่ร่วม คอยตอบ คำถามต่างๆ สื่อมวลชน บางสื่อ ทยอยกันมา ทำให้ประเด็นคำถาม เหมือนต้องเริ่มต้นกันใหม่ ประเด็นคำถาม ไม่ได้ลงลึกมาก เพียงแต่ถามถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจุดยืน ยังจะไปร่วมชุมนุมกันไหม มีใครบาดเจ็บบ้าง เมื่อนักข่าว เขามีท่าทีเต็มอิ่ม กับการสัมภาษณ์แล้ว ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังมาปฏิบัติหน้าที่ มีนายตำรวจ ชั้นผู้ใหญ่ คนหนึ่ง มาด้วย เข้าใจว่า น่าจะเป็นระดับ นายพล เดินเข้ามาตรวจ ดูสภาพสถานที่

ทราบภายหลังว่าพ่อท่านได้ยินเสียงระเบิดรีบลุกขึ้นมาดูทันที ขณะที่ยังไม่ค่อยมีใครมากันเท่าไร เพราะเป็นช่วงเวลา กำลัง หลับสนิทกัน หลายคน ที่ได้ยินเสียงบอก แรกทีเดียวก็ยังไม่คิดว่า เป็นระเบิด คิดไปว่า อาจจะเป็นหม้อไฟฟ้า เมื่อมาเห็น พ่อท่าน เดินผ่านเศษหินเศษกระจก เข้าไปดูบริเวณ ที่เสียหาย ก็เกรงไปว่า ถ้ามีระเบิด ตามมาอีกลูก พ่อท่านจะได้รับ อันตราย ด้วยสถานการณ์ทางใต้ เป็นตัวอย่าง จึงอาจทำให้คนคิดอย่างนี้ได้ จึงมีคนไป ขอให้พ่อท่าน ออกห่างๆไป แต่พ่อท่าน ก็ไม่ได้ออกไป ตามที่มีผู้ขอร้อง

หลังจากนั้น บรรดาสื่อมวลชน ทุกแขนง ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ทั้งวัน แม้ช่วงเวลา ฉันอาหาร ก็มีหลายราย ด้วยสถานการณ์ กำลังร้อน เขาก็ต้องการข่าวสาร ที่ไวเร็ว

นักข่าว : พ่อท่านครับลองเล่าเหตุการณ์ให้ทางท่านผู้ชมได้ฟังหน่อยนะครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่สำนักสันติอโศก มีการไป ลอบวางระเบิดครับ

พ่อท่าน : ก็ราวประมาณตีหนึ่งห้าสิบห้านาที เราก็ได้ยินเสียงระเบิด ตูม อาตมานอนตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงระเบิด ก็ลุกขึ้นมา ก็ออกไป เดินออกไป เอ๊ะ! มันเสียงอะไรผิดปกติ ดังเหลือเกิน เดินออกไปผ่านมาทางโบสถ์ ก็ไปเห็นพัดลม ที่ติดผนัง บนหน้าต่าง ของโบสถ์ มันมีหน้าต่าง หลายหน้าต่าง แล้วก็มีพัดลม ติดผนัง ระบายอากาศนี่อยู่ มันพังหล่นลงมา ข้างล่าง เอ๊ะ! พัดลมนี่เอง ระเบิด ใครมาเปิดพัดลมไว้ แล้วมันเกิดระเบิด ทำไมพัดลม มันระเบิด มันถึงหล่น กระจาย หมดเลยนี่ ก็นึกว่า มันจะระเบิดตรงนั้น ดูแล้วมันไม่น่าจะใช่ เพราะเสียง มันดังเหลือเกิน มันไม่น่าจะเป็น ระเบิดแค่นี้ แต่พอเดินมา อีกหน่อยหนึ่ง เห็นควัน มันกระจาย เลยเดิน เลยมาถึง หน้าพุทธสถาน ก็มาเห็นตรงที่เห็นภาพ ในทีวี ไปเมื่อกี้นี้ อ้า.... ภาพที่กำลัง ออกอากาศนี่ (ภาพเหตุการณ์ในทีวี) เห็นไหม....แผ่นแกรนิต หนาตั้งเกือบนิ้ว ที่เป็นแผง ที่นั่งใต้ต้นไม้นั่น แข็งแรง กว้างใหญ่ นั่งกันได้ หลายสิบคน นะ...เห็นตรงนั้น เป็นจุดระเบิด ซุกไว้ใต้แผงแกรนิตตรงนี้ ต้นไม้ต้นไร่ ตรงนั้น หักและ หายไป เยอะเลย และไปดูที่อื่นปรากฏว่าทาวน์เฮาส์ ๒ ข้าง กระจกตามห้องต่างๆ แตก พังไปมีระยะยาว ห่างไปตั้งเกือบ ๒๐-๓๐ เมตร กระจกข้างบน หน้าต่างแตกหมดเลย ประตูของทาวน์เฮาส์แตก กลอน เกินอะไร หลุดเอง ประตูเปิดอ้าเอง ที่เห็นเมื่อกี้ มันอ้าเองหมดเลยนะนั่น ระเบิดมันกินกว้าง แต่รู้สึกว่า มันไม่ได้ทำลาย อะไรมาก จนตึกพัง เพราะว่ามันห่าง จากตัวตึก พอสมควร อย่างที่เห็นนี่

นักข่าว : หมายความว่าตรงนี้ไม่ได้มีการรักษาความปลอดภัยหรือครับ?

พ่อท่าน : ของเราไม่มีรักษาความปลอดภัย เพราะว่าเราก็ไม่ได้ไปสร้างศัตรูอะไรกับใคร ประตูรั้วเร้อก็ไม่มี เดินออก เดินเข้า ได้ตลอดเวลาเลย เป็นพุทธสถานที่เปิดโล่งไม่มีรั้ว จะเดินเข้าข้างไหนๆ มันก็มีก้อนหินตั้งๆ ดูเป็นสัด เป็นส่วน บ้าง เท่านั้น มีต้นไม้ แต่ไม่มีรั้วปิดกั้นมิดชิด เพื่อที่จะกันคนเข้า คนออก ปิดกุญแจใส่กลอนอะไรเลย มันไม่ได้ทำ

นักข่าว : ตามข่าวนี่เห็นว่าชาวบ้านเขาได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์มาจอดประมาณ ๔ ทุ่ม?

พ่อท่าน : ไม่ใช่ ๔ ทุ่มประมาณตี ๑ มีคนได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาทาวน์เฮาส์หน้าที่เกิดเหตุนี่แหละ เขาว่า เขาได้ยินเสียง มอเตอร์ไซค์เข้ามา แล้วเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรหรอก คือจริงๆ ดึกๆขนาดตี ๑ ตี ๒ จะไม่มี มอเตอร์ไซค์ อะไรเข้ามาหรอก เพราะมันเป็น ซอยตัน เป็นทางเข้าของ สันติอโศก โดยตรงเลย มันไม่มีทาง ไปที่ไหน ฉะนั้น เขาได้ยินเสียง มอเตอร์ไซค์เข้ามา พวกเราใช้กันก็แต่รถยนต์ไม่ได้ใช้มอเตอร์ไซค์เลย พอมอเตอร์ไซค์ ออกไป สักพักหนึ่งแล้ว เขาก็ได้ยินเสียง ระเบิด ตูม

นักข่าว : อยากให้พ่อท่านลองพูดถึงการชุมนุมในวันอาทิตย์นี้หน่อยสิว่า ทางสันติอโศกเองนี่ จะมีการวางบทบาท ของตัวเอง ยังไง ในการชุมนุม ในวันอาทิตย์นี้นะครับ

พ่อท่าน : ก็ไม่มีอะไร เราก็ไปร่วมผนึกเพื่อที่จะแสดงท่าที เพราะว่าเหตุการณ์บ้านเมืองขนาดนี้ ผู้ที่เอาหูไปนา เอาตา ไปไร่ ไม่รู้จักสังคม ไม่รู้เรื่องราวอะไรของบ้านเมือง ก็จะต้องรู้แล้ว ว่าอะไรเกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราเอง ก็เป็นประชากรของสังคม เป็นสมาชิกของสังคม

เราก็จะต้องแสดงท่าที เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขณะนี้ มันต้องเลือกฝ่ายแล้ว ต้องเลือกไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งแล้ว ถ้าผู้ใด ไม่เลือกฝ่าย ก็แสดงว่า ผู้นั้นไม่มีภูมิปัญญา ที่จะวินิจฉัยเหตุการณ์นี้ว่า ควรจะต้องทำอย่างไร จะครึ่งๆกลางๆ อยู่ไม่ได้ ไอ้ครึ่งๆ กลางๆนี่ ไม่ใช่ความเป็นกลางนะ มันแค่คน เหยียบเรือสองแคม

เพราะฉะนั้น จำเป็นที่จะต้องเลือกฝ่ายกันขึ้นมาแล้ว เราเองก็ต้องเลือกฝ่าย เช่นเดียวกับนักศึกษา ครูบาอาจารย์ นักวิชาการ ใครต่อใคร ต่างก็ออกมา แสดงตัว เลือกฝ่ายกันหมดแล้ว แม้คนที่ก่อนๆนี้ไม่เคยออกมาแสดงตัว คราวนี้ เป็นหมู ไม่กลัว น้ำร้อน กันหมดแล้ว แต่ก็ดี ตรงที่เรียกว่า เป็นประชาธิปไตย ที่สวยงาม ก้าวหน้ามาก เพราะมีการชุมนุม กันขึ้นมา ตั้ง ๑๕ ครั้งแล้วที่คุณสนธิเป็นคนก่อหวอด ก็ไม่เกิดความรุนแรงอะไรเลย เป็นมวลที่มาชุมนุมกันอย่างสงบ สันติ ได้ดีทีเดียว ไม่เกิดการจลาจล ไม่เกิดความวุ่นวาย แม้ครั้งล่าสุดวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก็ไม่มีจลาจล ไม่มีวุ่นวาย นี่คือ คุณภาพของ ประชาธิปไตยเมืองไทย

การชุมนุมครั้งต่อไปเขานัดกันที่สนามหลวงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ซึ่งจะต้องหนาแน่นใหญ่โตขึ้นแน่ งานชุมนุมนี้ เพื่อจะให้ ผู้นำประเทศ ลงจากตำแหน่งให้ได้ โดยความสงบเรียบร้อย ถ้าแม้นทำได้อย่างสงบเรียบร้อยจริง มันจะเป็น ประชาธิปไตย ที่สวยงามที่สุด ที่เกิดขึ้นในโลก เพราะยังไม่มีที่ไหนเลยที่พลังประชาชนทุกสาขาอาชีพ ออกมาชุมนุม กลางถนน เป็นแสน ประท้วงต่อต้าน เอาผู้นำ ลงจากบัลลังก์ได้ โดยไม่เกิด นองเลือด บาดเจ็บ ล้มตาย ถ้าประเทศไทย ทำได้สำเร็จ ก็จะเป็น ประเทศแรก ในโลกเลย เป็นความสวยสดงดงาม แห่งพฤติกรรม การเมืองของประชาชน ที่มีสันติ อหิงสา เป็นสันติภาพ โดยได้ต่อสู้กัน ด้วยเหตุผล ปัญญา คุณธรรม แสดงถึงวัฒนธรรม ทางประชาธิปไตย ที่สุดยอด แล้วสุดท้าย ก็สำเร็จผล อาตมาว่า เป็นสิ่งที่สวยงามมากเลย

นักข่าว : ทำไมเราถึงไม่ใช้ระบบประชาธิปไตยตามกฎหมายรัฐธรรมนูญหละคะ ในการตรวจสอบ หรือการมอง จุดอ่อน ของนายกรัฐมนตรีน่ะค่ะ

พ่อท่าน : คุณถามมา ๒ นัยซ้อนกันอยู่ คำตอบนัยที่ ๑ เขาได้ใช้กันอยู่แล้วไง คุณสนธิพากันมาชุมนุม ประท้วง อย่างสันติ นี่ไม่ได้ผิดกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และนัยที่ ๒ คือ คุณสนธิได้แสดงประเด็นของจุดอ่อน หรือประเด็นของ ความผิด ของท่าน นายกฯ จนนายกฯ จำนน ตอบไม่ได้หรือไม่ตอบ และแก้ไขไม่ได้ หรือไม่แก้ไขความผิดนั้นๆ ทวงถาม มาตั้งเท่าไหร่ ไม่มีคำตอบ ไม่มีการแก้ไข วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่เห็นแล้วว่า จะก่อให้เกิดการไขเปลี่ยนแปลงได้ จึงทำวิธีนี้

นักข่าว : แต่ว่าเราก็มีระบบทางรัฐสภาในการตรวจสอบนี่คะท่าน

พ่อท่าน : ในทางรัฐสภามันก็เป็นเรื่องของรัฐสภา แต่ในทางประชาชนทั่วไปก็เป็นเรื่องของประชาชน เมื่อมันไม่ได้ผล ทางสภา ประชาชนก็มีสิทธิ์ ที่จะต่อสู้ นอกสภาได้ ก็เป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่า ประชาธิปไตยนี่ คนนอกสภา ตรวจสอบไม่ได้ หรือว่า จะประท้วงจะคัดค้าน จะเสนอ ความคิดเห็น แสดงสิทธิ ของประชาชนไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ว่า เลือกตั้งผู้แทนเข้าไปในสภาแล้ว ส.ส.ก็ริบเอาสิทธิของประชาชน ไปหมด ตกลง สิทธิของ ประชาชน หมดเกลี้ยง ไปอยู่กับ ส.ส. ในสภาเท่านั้น ประชาชนเลยไม่มีสิทธิอะไรอีกแล้ว หลังจากได้เลือกตั้ง ผู้แทน เข้าไปทำงานแทน มันไม่ใช่หรอก ประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่นั้นหรอกคุณ ประชาชนเขาก็รู้ อธิปไตยนัยะนี้

นักข่าว : ท่านมองว่าเป็นเพราะระบบการตรวจสอบขาดความสมดุลหรือเปล่าคะ เราถึงต้องก้าวออกมาแบบนี้

พ่อท่าน : นั่นก็เป็นเหตุหนึ่งด้วย มันเกิดเหตุการณ์มากเรื่องมากราวซับซ้อนเยอะแยะ จนกระทั่ง เขาไม่ต้องการ คำตอบแล้ว เขาต้องการให้คนอื่น บริหาร มันเลยขั้นนั้นมาแล้ว คำตอบนั้นบอกว่ามันสุดจะพูดกันแล้วไง จนกระทั่ง เขาอึดอัด จนกระทั่ง เขาต้อง ออกมาประท้วงต่อต้าน เพราะเขาเห็นว่า ทางออกตอนนี้ ต้องใช้สิทธิทางนี้กันแล้ว

นักข่าว : มีความกังวลจากสังคมว่าเมื่อเกิดการเผชิญหน้ากันแบบนี้ ความสูญเสีย มันอาจจะเกิดขึ้น ในสังคม อีกครั้งหนึ่ง นะคะท่าน

พ่อท่าน : อ้า....อันนั้นเราก็พยายามไง พยายามที่จะให้สงบให้เรียบร้อยที่สุด จะเผชิญกันยังไง ก็พยายามอย่างสุดวิสัย ไม่ให้เกิด ความสูญเสีย เรามีอะไร ก็ต้องเสียสละกันออกมาให้เต็มที่ มันเป็นการเสียสละ ที่เราต้องทำ เพื่อรักษา ส่วนใหญ่ ของประเทศ มันจำเป็นต้องทำ

นักข่าว : การเสียสละของท่านหมายถึงอะไรคะ?

พ่อท่าน : ก็เสียสละคือต้องลงทุนลงแรงกันไง ต้องสละทั้งเงินทองทรัพย์สิน สละเวลา สละทั้งแรงงานทางกาย ทางความคิด ช่วยกัน ทำงานนี้ ไม่ใช่งานเบา ไม่ใช่งานเล็ก ไม่ใช่งานง่าย งานนี้ต้องใช้ความรู้ทางธรรมะ เข้ามา ผนึกกันอย่างยิ่งๆ เพื่อไม่ให้เกิด สิ่งที่ไม่ควรเกิด แม้สักนิดหนึ่งเราก็ไม่อยากให้เกิด เพื่อให้ผลที่ควรเกิด ตามเป้าหมาย เกิดจนได้ จะมาก หรือน้อย อย่างไร เราก็ลงทุน ลงแรง เสียสละ เต็มความสามารถ เราก็เห็นว่า การรักษาสถานะ ของ ประชาธิปไตย ที่ควรจะเป็นอันนี้ หรือว่าสิ่งที่ควรจะเกิดอันนี้ มันสำคัญกว่า เราจึงต้องทำ

นักข่าว : ท่านกังวลไหมคะว่า จะเกิดการสูญเสียประชาชนขึ้น

พ่อท่าน : อาตมากลับมั่นใจด้วยซ้ำไป มั่นใจมากกว่าการกังวล อาตมามั่นใจกว่าการกังวล พูดซ้ำซากอีกว่า เราได้ผ่าน การทดสอบ มาตั้ง ๑๕ ครั้งแล้ว และวิธีการที่ทำก็ได้ทำกันมาแล้ว มีผลดีเกิดแล้ว ครั้งนี้สอบครั้งที่ ๑๖ และข้อมูล หลักฐาน จะเพิ่มมากกว่า ๑๕ ครั้งอีกมากเลย ใช่ไหม หมูไม่กลัวน้ำร้อน กันแล้ว คนออกมาร่วมชุมนุมกัน อย่างที่ ไม่เคยมีมาก่อน แต่ก่อนนี้ ไม่กล้า ตอนนี้กล้ากันหมดแล้ว ใครมีหลักวิชา ใครมีความจริง เอาออกมาตีแผ่ กันมากขึ้นๆ แล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งนี้เป็นสัจจะ เป็นความจริง ที่เปิดเผย ตีแผ่กันออกมา แล้วก็ออกมากัน อย่างมีความเข้าใจ มีความจริงใจ มีความเต็มใจ ไม่ใช่การชุมนุม ที่เกณฑ์กันที่จ้างกันมา

นักข่าว : เรียนถามเรื่องราวของสันติอโศกว่า มันเชื่อมไปด้วยความเป็นบ้านวัดโรงเรียนอย่างที่อยู่ร่วมกันใช่ไหมคะ และ ก่อตั้งกันมา ยาวนาน ตรงนี้ เป้าประสงค์ ของสันติอโศกมีเพื่ออะไร

พ่อท่าน : ก็เพื่อสร้างสรรมนุษยชาติ เป็นบ้านก็เป็นบ้านสังคมประเทศชาตินั่นแหละ บ้านคือหมู่บ้านหมู่เมือง มีประชาชน ที่รวมกันอยู่อย่างเป็นสังคม ซึ่งสังคมชาวอโศกนี้มีพฤติกรรม ความเป็นอยู่ มีวัฒนธรรม ตามระบบบุญนิยม โรงเรียน ก็คือ ที่สอนคนรุ่นหลัง อย่างเป็นระบบ เพื่อสืบทอด ความเป็นสันติอโศก ให้ต่อเนื่อง ยืนยาวต่อๆไป สอนอบรมกันด้วย ทฤษฎี "ศีลเด่น -เป็นงาน -ชาญวิชา" ส่วนวัดนั้นก็คือ ส่วนที่ทำหน้าที่หลัก อีกอย่างหนึ่ง ในหมู่บ้าน ชาวอโศก เป็นสถาบัน เรียนรู้ ความเป็นคน คืออะไร สิ่งที่สุข สิ่งที่สูง สิ่งที่ประเสริฐ แห่งคนคืออะไร นี่พระพุทธเจ้า ตรัสมาหมดแล้ว เรียกว่า อาริยะ คำว่าอาริยะหรือภาษาบาลีจริงๆ ก็คืออริยะนี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาหมดแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็มาพิสูจน์ เรื่องนี้ให้ได้ ให้ถึงความเป็น อาริยะ ให้แก่ตนเอง จริงๆ อันนี้คือเรื่องของความเป็นวัด หรือเรื่องของธรรมะ ผู้ปฏิบัติ ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า เมื่อได้ธรรมะของ พระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ หมายความว่า ธรรมะที่ไปนิพพาน หรืออาริยธรรม ที่เราได้ พิสูจน์ผล มากบ้างน้อยบ้างนี้ คือผู้ที่หนีสังคม ออกไปอยู่ป่าอยู่ถ้ำ แต่กลับเป็น ผู้รู้โลก รู้สังคม อย่างดี มีความรู้ ที่เป็น โลกวิทู อยู่ในสังคมนี่เอง และเป็นผู้มีโลกานุกัมปาด้วย คือเป็นผู้ที่ช่วย หรือ อนุเคราะห์เกื้อกูล ช่วยเหลือโลก

นักข่าว : สิ่งที่สันติอโศกจะเข้าไปชุมนุมนี่ก็เหมือนกับการเข้าไปช่วยจรรโลงโลก

พ่อท่าน : โลกานุกัมปาแท้ๆเลย เป็นผู้ช่วยอนุเคราะห์โลก เกื้อกูลช่วยเหลือสังคมโลก

นักข่าว : ถ้าสังคมมองล่ะคะว่าสันติอโศกไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว

พ่อท่าน : มันก็เป็นความเห็นของเขา เป็นความเข้าใจของเขาว่าสันติอโศกไม่ควร หรือว่าธรรมะ ไม่ควรเข้าไป ยุ่งเกี่ยว กับการเมือง ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติศาสนา ควรจะหลีกห่างไกลเรื่องของชาวโลก ขอยืนยันนะว่า ศาสนาพุทธ เป็นโลกุตระ ไม่ใช่หลีกหนีโลก แต่เป็นเรื่องเหนือโลก ซึ่งเป็นผู้รู้เท่าทันโลกหรือโลกีย์แท้ๆ แล้วในจิตคนที่มีกิเลส หลงโลกีย์ ก็ต้อง ล้างกิเลสให้หมด ให้ดับสนิท เรียกว่า นิโรธ หรือ นิพพาน จิตที่ถึงนิพพานนี้คือ จิตที่เรียนรู้โลก หรือโลกีย์ ที่ตนเอง ติดยึดอย่างดี รู้ถึงเหตุที่ติดโลกีย์ หลงโลกีย์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เหตุนั้นคือกิเลส ซึ่งผู้มีธรรมะ โลกุตระ ได้ฆ่า ถูกตัวตน ของกิเลส ตายหมดแล้ว ผู้บรรลุแล้วจึงคือ ผู้รู้จักโลกีย์อย่างเป็นสัจธรรม ชนิดที่ปราบมันได้ จนถึงหัวใจของมัน จึงอยู่อย่าง นายของมัน โลกีย์ จึงทำอะไรท่าน ไม่ได้ คนผู้มีโลกุตรธรรม จึงไม่หวั่นไหวไม่กลัว ไม่เป็นทาสโลกีย์แล้ว ท่านอยู่เหนือ โลกีย์ และอยู่ในสังคม ที่เต็มไปด้วย โลกีย์ได้อย่าง เป็นนายโลกีย์ จึงสามารถช่วยคน ที่ยังตกเป็นทาส ของมันได้ นี่คือ ประโยชน์ของ ศาสนาพุทธแท้ๆ ที่สัมมาทิฏฐิ พุทธจึงไม่ใช่ศาสนา ที่ต้องหนีสังคม เข้าป่า เป็นศาสนา ที่ปฏิบัติอยู่ ในสังคม ทั่วไป และ บรรลุอยู่ท่ามกลาง สังคมนี่แหละ จึงช่วยสังคมมนุษยชาติ ช่วยโลกได้ ชนิดที่เป็น ผู้รู้สังคมรู้โลก

นักข่าว : ท่านมองว่าสิ่งที่จะก้าวไปเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว

พ่อท่าน : ถูกต้องที่สุด แต่คนยังเข้าใจผิด คือคนที่เข้าใจผิดเขาก็หาว่าอาตมาผิด คนที่เข้าใจผิด เขาก็มองว่า ของเขาถูก และ ของอาตมาผิด แต่อาตมาว่า อาตมานี่ถูก แน่นอนอาตมาก็ต้องว่าเขาผิด นี่เป็นเรื่องธรรมดา เข้าใจไหม ฝั่งที่เห็น ตรงกันข้ามกัน มันก็ต้องว่า ฝั่งตรงกันข้ามผิด เราว่าเขาผิด เขาก็ว่า เราผิด เป็นธรรมดา ไม่ได้ประหลาดอะไร อาตมา ไม่ได้ประหลาด

นักข่าว : ธรรมะไม่ใช่เรื่องที่ต้องตัดขาดจากกัน

พ่อท่าน : ไม่เลย ธรรมะไม่ตัดขาดจากโลกีย์ แต่ธรรมะคือการตัดกิเลสในจิตที่ติดโลกีย์ให้ขาดให้ดับ โลกีย์มันก็ต้องมี ของมัน อยู่ประจำโลก โลกีย์นั้นคือสิ่งที่คนยังมีชีวิตอยู่ในโลกต้องอาศัยตามฐานะ เราตัดเฉพาะ กิเลสของเรา ไม่ใช่ไป ทำลายโลกีย์ หรือหนีโลกีย์ที่ไม่ใช่ของเรา และไม่ใช่ของใคร ถ้าเราหนีโลกีย์ ซึ่งมันเป็น ทั้งเหตุภายนอก และเหตุภายใน เราก็ไม่สามารถ กำจัดเหตุได้อย่างเป็นของจริง เท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าตัดขาดโลกไปไหน พระองค์รังแกใคร หรือว่า ไปทำร้ายใคร ไม่มี มีแต่เกื้อกูลกัน คนที่มีกิเลส หรือว่าคนที่ ตกทุกข์ได้ยาก ที่เขาไม่รู้ตัว ว่าตัวเอง ก็ทุกข์ยาก ถามคุณ แทรกนิดหนึ่ง แต่ไม่ต้องพูดยาวนะ ถามเอาคำตอบจากคุณ เท่านั้น คุณว่าขณะนี้ นายกฯ ทุกข์ไหม

นักข่าว : ทุกข์ค่ะ

พ่อท่าน : คุณก็ตอบถูก ไม่ต้องต่อ เพราะฉะนั้นแหละ เราจึงว่า เอ้อ....เห็นคนทุกข์ยากนี่ ต้องช่วยใช่ไหม เพราะฉะนั้น จะคนรวย คนจน คนมีอำนาจ ไม่มีอำนาจ ก็ทุกข์กันทั้งนั้นถ้าไม่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า อย่างรู้จัก"เหตุ"ที่แท้ แล้วกำจัด "เหตุ" คือ กิเลสในใจของตนได้หมดสิ้นจริง ถ้าไม่ปฏิบัติ จนกระทั่งสามารถ "ล้างเหตุแห่งทุกข์" หมดเกลี้ยง เป็นนิพพาน ก็จะหลง จะติดอยู่ เท่าที่กิเลสยังมียังเหลือ สำหรับผู้บรรลุธรรมของพุทธ จะเป็นผู้มีปัญญา รู้แจ้ง เห็นจริงว่า ลาภไม่เที่ยง ยศไม่เที่ยง สรรเสริญไม่เที่ยง โลกียสุขไม่เที่ยง และรู้แจ้งเห็นจริงว่า เป็นทุกข์ ครั้นได้ปฏิบัติตาม ทฤษฎี อาริยสัจ ๔ กระทั่ง รู้แจ้ง เห็นจริงว่า ได้กำจัดกิเลสถูกตัวตนของมัน จนกิเลสมันหมดสิ้น ไม่มีตัวตน ผู้นั้นจึงจะสิ้นทุกข์ แต่ผู้ติดอยู่ ไม่ได้ศึกษา พุทธธรรม แม้ศึกษาถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่พ้นทุกข์ ส่วนผู้สัมมาทิฏฐิลดกิเลสได้ หรือดับทุกข์ได้ จึงจะสามารถ ช่วยผู้ที่ยัง มีทุกข์อยู่ อย่างที่เห็นนี้ไง

นักข่าว : ไม่ออกไปกดดัน จะทำให้ท่านคิดน้อยกว่านี้

พ่อท่าน : ไม่ใช่หรอก ถ้าไม่ออกไปช่วยกันก็เป็นคนใจดำ อย่าไปถือว่ากดดันสิ การเข้าไปร่วมมือกัน เพื่อจะทำสิ่งที่ ถูกต้อง ตามหลักของ ประชาธิปไตย มันย่อมมีผลมีพลังที่จะขับเคลื่อนไปตามสัจธรรม มรรคที่ถูกต้อง ย่อมมีผล ที่ถูกต้อง พลังสัจจะ ย่อมเป็นไปตามธรรม เกิดมรรค เกิดผล ทั้งโลกียผล ที่ดีเป็นสมมุติสัจจะให้แก่สังคม มวลมนุษยชาติ อันมาจากโลกุตระ ที่ดีที่เจริญ มีพลังก่อให้เกิดผลนั้นๆ นี้คือศาสนาพุทธ ที่สามารถ ช่วยประชาธิปไตย เพราะใน โลกุตรธรรมนั้น มีธรรมาธิปไตย ขั้นปรมัตถ์ อธิปไตยที่มีธรรมะขั้นปรมัตถ์นี้ จึงทำให้ประชาธิปไตยในโลก เป็นประชาธิปไตย ระดับอาริยะ ซึ่งเป็นอำนาจ ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ที่แท้จริง ไม่ใช่เพื่อ ความเห็นแก่ตัว เพื่อความเห็นแก่ พรรคพวกของตัว แต่เพื่อความเห็นแก่ มวลประชาชนทั่วไป ที่ไม่มีความซ่อนแฝง ซื่อสัตย์สุจริตจริงๆแท้ๆ

ช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ที่หน้าน้ำตก ทั้งพ่อท่านและ พล.ต.จำลอง ร่วมกันให้สัมภาษณ์นักข่าวกลุ่มใหญ่ จากบางส่วน ของการ ให้สัมภาษณ์ ดังนี้

นักข่าว : ระเบิดเมื่อคืนจะส่งผลให้กับกลุ่มกองทัพธรรมมูลนิธินี่ค่ะ หวาดกลัวไหมคะ

พ่อท่าน : อาตมาว่ามันมี ๒ มุม จะทำให้หวาดกลัวก็คงเป็นไปบ้าง สำหรับคนที่มีจิตวิญญาณระดับหนึ่ง แต่ในคนที่ เขามี จิตวิญญาณ อีกระดับหนึ่งนี่ อาตมาว่ามันไม่ใช่นะ คนที่มีจิตวิญญาณอีกระดับหนึ่งนี่จะไม่หวาดกลัว ในระนาบ พื้นฐาน ของคนทั่วไป แน่นอน ถ้าขู่อย่างนี้ กลัวแน่ กลัวเจ็บกลัวตาย กลัวเสียหายอะไรไปต่างๆ แต่ในคนที่ได้ ปฏิบัติธรรม มีมรรคผล ถึงขั้นหนึ่ง เขารู้ความตายคืออะไร ความเสียความได้คืออะไร ความควรคืออะไร ถ้าจะเสียทรัพย์ เพื่อรักษา อวัยวะ เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แม้เสียชีวิตเพื่อรักษาธรรม เขาก็เข้าใจ และผู้มีใจถึงขั้น พร้อมที่จะเสียชีวิต เพื่อรักษาธรรม ก็มีแน่นอน มันเป็นไปตามธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ไม่ผิดหรอก เพราะฉะนั้น คนที่มีจิตถึงฐาน ระดับนั้นๆจริงๆ มันก็ไม่ใช่สามัญแล้ว จึงทำอะไรไม่สามัญจริงๆ

ขอขอบคุณคนที่วางระเบิด เท่าที่ท่านทำโดยประมาณเท่านี้ เท่ากับแจ้งข่าวให้กับชาวอโศกทั่วประเทศได้รับรู้ และ ขอบคุณ ที่ไม่ได้มุ่งหมายชีวิต อันนี้ไม่ใช่เรื่องตลก ขอขอบคุณจริงๆ

นักข่าว : ท่านจำลองคะ ได้ย้อนกลับไปดูมั้ยคะ จากสายสัมพันธ์ของท่านจำลองในพรรคพลังธรรมนี่ กับคุณสุดารัตน์ หรือ ท่านนายกฯ เองนี่ ตรงนี้สายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนี่ก็เหมือนกับว่า เราตัดขาดจากสายสัมพันธ์ ระหว่างกันไปเลย

พลตรีจำลอง : ต้องตอบอีกทีหนึ่ง เพราะว่ามีตัวละครเพิ่ม ถามท่านนายกฯคนเดียวใช่มั้ยครับ สำหรับความรู้สึกส่วนตัว ของผมนี่ ยังเหมือนเดิมนะครับ แต่สำหรับคุณหญิงสุดารัตน์ หรือนายกฯ ผมไม่ทราบนะครับ จริงๆนะครับ และ ผมบอก จริงๆที่ผมมาทำหน้าที่นี่ ผมไม่นึกสนุกเลยนะ ถ้าไม่มีเรื่องเกิดขึ้น ถ้าไม่ต้องมาทำอย่างนี้ได้ มันดีที่สุดครับ เราก็เลย บอกไว้ในวันแถลง ใครๆก็คงไปใช่มั้ยครับว่า ถ้าเห็นว่าวิธีไหน ที่มันดีกว่า บอกมาเลยครับ เราจะได้ไม่ต้องไป เรายังมี เวลาทันนะครับ

นักข่าว : ให้มองว่าเป็นคนพลังธรรมด้วยกัน อย่างน้อยมีวิธีการให้มันประนีประนอมให้มันมากกว่านี้ หรือวิธีการ แบบที่เรา เลือกนี่ น่าจะนุ่มนวลกว่านี้ไหม

พลตรีจำลอง : ที่จริง วิธีนี้ไม่ใช่วิธีรุนแรงโหดร้ายอะไร คุณคงเห็นนะว่านายกฯเมืองไทยนี่ เขาลาออกมาตั้ง หลายคนแล้ว ไม่เห็นว่า จะต้องไปชุมนุมกันมากมายก่ายกองเลย เพียงแต่มีคนเสนอความคิดความเห็นว่า มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เขาก็ลาออก ลาออกไม่ได้เสียหน้าเสียตาเลย บางคน ก็กลับมาสู่วงการเมืองอีกก็มี ใช่มั้ยครับ เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่ เรื่อง รุนแรงเลย เอาอย่างนี้ครับ คุณมีญาติพี่น้อง คนสนิทนี่ คุณรักเขามากนี่ แล้วคุณเห็นว่าเขาจะพลาดแล้ว คุณแนะเขา อย่างเช่น จากที่ทำงานอยู่ ให้ออกมาดีกว่า อยู่ไปก็เปลืองตัวเปล่าๆ เป็นความหวังดีใช่มั้ยครับ นี่ก็เหมือนกัน ครับ ส่วนหนึ่ง ก็เป็น ความหวังดีว่า ขืนอยู่ไปก็ยิ่งทุกข์หนัก ผมจะยกตัวอย่าง ถ้าสมมุติว่า ใครคนหนึ่ง คนใด เป็นนายกฯนี่ แล้วตื่นเช้ามา คนนั้น ก็บอกว่า ให้ออก คนนี้ก็บอกว่าให้ออก แล้วจะไปทำมาหากินอะไร งานการต่างๆไม่ต้องทำแล้วครับ เพียงแต่ว่า ต้องเอา ตรงนั้น มาอุดตรงนี้ เอาตรงนี้มาอุดตรงนั้นๆ เพื่อไม่ให้มี การเรียกร้อง มันวุ่นวายไปหมดนะครับ การเจรจา ไม่ว่าจะเป็น ในประเทศ หรือต่างประเทศ มันหมดค่าไป เขาก็ไม่เชื่อถือ มีแต่คนให้ลาออกอยู่เรื่อย และไม่ใช่ เท่านั้น นะครับ เด็กก็ออกมา อีกแล้ว ผู้ใหญ่ก็ออก นักวิชาการ ก็ออก นักธุรกิจก็ออก แล้วทำไงล่ะครับ ถ้าคุณมีญาติสนิทๆ คนหนึ่ง มีปัญหาแบบนี้ ถ้าพูดได้ คุณก็น่าจะพูดใช่มั้ยครับ

นักข่าว : เป็นเพราะว่าท่านเคยชี้แนะทางจดหมายแล้ว ไม่ประสบผลสำเร็จ

พลตรีจำลอง : เรื่องนี่ก็น่าคิดนะ คำถามนี้ วันนั้นมีการถามกันก่อนว่า หวังผลแค่ไหนกับจดหมายรัก จดหมายเปิดผนึก ที่ผมเขียนถึง นายกรัฐมนตรี ผมบอกว่า ผมไม่ได้หวังผลถึงขนาดนั้นหรอกครับ ท่านจะทำหรือไม่ทำ สุดแท้แต่ท่าน แต่เป็น ความหวังดีของผม ที่ต้องเรียนท่าน และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมเรียนตรงๆ นะครับ ในจดหมายนั้น ต้องการ ประกาศ สัจธรรม ทางการเมือง ซึ่งเราเคยทำพรรคพลังธรรมมาแล้ว ว่าเป็นนักการเมืองนี่ เพียงแต่ซื่อสัตย์ อย่างเดียว ยังไม่พอเลย ต้องเป็นคน ที่เสียสละด้วย แล้วยิ่งเป็นนักการเมือง ที่เป็นผู้นำประเทศนี่ ต้องเสียสละเป็นการใหญ่ ถ้าจะพูด ภาษาชาวบ้าน ธรรมดาๆ คือ เอาออกมาซะดีๆ ๒๖,๐๐๐ ล้านบาท นี่พูดกัน อย่างคนสนิทๆ ใช่มั้ยครับ ไม่ได้หวังผลอะไร ท่านก็เงียบไป ท่านก็ไม่ตอบโต้ อะไรทั้งสิ้น ท่านคงจะหาคำอะไรเหมาะๆ ไม่ได้มังครับ

นักข่าว : ตอนที่ยื่นจดหมายฉบับแรก คิดก่อนมั้ยคะว่า ถ้าจดหมายฉบับแรกไม่ประสบความสำเร็จแล้ว สิ่งที่จะทำตามมา...

พลตรีจำลอง : ไม่ได้คิดไว้ก่อนครับ หลังจากนั้นมา ผมก็คิดว่าผมหมดหน้าที่แล้วนะ เขียนจดหมายขนาดนี้ ไม่มีใครหรอก เขียนจดหมายให้บริจาคเงิน ๒๖,๐๐๐ ล้านบาท มีแต่คนชื่อจำลองเท่านั้นแหละ แค่นี้ก็เยอะแล้ว ใช่มั้ยครับ อืม....เยอะ แล้วเป็นการช่วยคนยากคนจน โอ....ทั้งประเทศเลย ๒๖,๐๐๐ ล้านบาท ถ้าเอามาทำโครงการ แล้วก็มีคนมากระทุ้ง บอก ไม่คิดจะทำอะไรเพิ่มอีกเหรอ ผมก็นึกว่า เอ๊ะ....ก็ผมทำไปแล้วไง คนอื่นไม่เห็นทำเลย จดหมายขอ ๒๖,๐๐๐ ล้านบาท ผมก็คิดว่าน่าจะพอ เขาก็พูดในทำนอง "มันไม่พอ" เออ....บอกคนเดียวยังค่อยยังชั่ว นี่บอกกันหลายคนเหลือเกิน มีทั้ง ประชาชน พลเรือน ครูบาอาจารย์ นายทหาร มีทั้งนั้นแหละ ครับ แล้วเขาไม่ได้นัดแนะ กันนะครับ คนโน้นอยู่ตรงนี้ คนนี้ อยู่ตรงโน้น ยังกะประชุม นัดหมายกันมา แล้วทยอยโทรศัพท์มาถึงผม บางคน ก็มาพบผม นี่แหละ ทำให้ผมคิดว่า เอ๊ะ.... เมื่อเป็นอย่างนี้ เราต้องทำอะไรเพิ่มอีกแล้ว ไม่ได้คิดไว้ก่อนว่า แหม.... ถ้าจดหมายฉบับนี้ มันไม่ได้ผลล่ะก็ ผมจะทำ อย่างนั้น ไม่ได้นะครับ เป็นไปตามสถานการณ์ครับ ขอบคุณครับที่ถาม

นักข่าว : คือถ้านายกฯอยู่ในตำแหน่งนี่ มันก็มีผลอันหนึ่งก็คือ มีคนพูดว่า คือเหมือนกับมีอำนาจการเมือง ครอบงำ ข้าราชการ ข้าราชการ ตอนนี้ ก็ไม่กล้าที่จะมีปากมีเสียง แล้วก็ยอม แล้วก็ทำอะไรไม่ได้เลย อันนี้มีผลอย่างนั้น ไหมคะ รู้สึกว่า หลายๆ ส่วน ก็อยากจะทำอะไร ก็ทำไม่ได้ กลายเป็นเหมือนว่า การเมืองนี่ เข้ามาครอบ ก็เลยว่า มันหยุดนิ่ง ไปหมด การเคลื่อนไหว ก็ไม่เกิด การเปลี่ยนแปลงก็ไม่เกิด ข้าราชการดีๆ ที่เขาอยากจะเห็น การเปลี่ยนแปลง เขาก็ไม่กล้า อันนี้ รู้สึกอย่างนั้น หรือเปล่าคะ

พลตรีจำลอง : ครับ อันนี้ก็มีส่วนครับ มีส่วนทำให้เกิดการแตกแยกกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอาจจะได้ดิบได้ดี จาก นักการเมือง ก็บอกว่าอย่างนี้ดีแล้ว อีกฝ่ายที่ว่าอยากจะทำงานให้เต็มที่ก็เลยไม่ชอบ มันเลยแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งชอบ ฝ่ายหนึ่งไม่ชอบ เพราะฉะนั้น ประเด็น หรือปมสำคัญ ขมวดอยู่ที่นายกฯ คนเดียวครับ เพราะว่า ถ้านายกฯ ลาออกไปแล้ว เรื่องที่ว่านี้ มันก็จะคลี่คลายไปแน่นอน รวมทั้งเรื่องอื่นๆด้วย

พ่อท่าน : สุดท้ายก็ขอฝากฝังทุกคนก่อน ขอให้คิดถึงประเทศชาติให้มากเถอะ เรากำลังเดินมาดีแล้ว จะเกิดอย่างไร ก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดนี่ อาตมาว่า นายกฯก็ไม่ตั้งใจ ใครก็ไม่ตั้งใจ แม้แต่รัฐมนตรีต่างๆ ที่ออกมา พยายามที่จะดึง ฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ อะไรกันอยู่นี่ก็ตาม อาตมาก็เห็นใจเหมือนกัน ก็คิดว่า ทุกคน ไม่ได้ตั้งใจ จะให้เกิดเหตุการณ์นี้ ขึ้นมา แต่เมื่อ เกิดขึ้นมาแล้ว อาตมาว่า มันก็เป็นธรรมชาติของประชาธิปไตย เมื่อประชาธิปไตย เป็นอย่างนี้ ถึงวาระนี้ ถึงจุดนี้แล้วนี่ ว่าควรจะต้องแก้ไข ให้มันผ่านวิกฤตินี้ไปให้ดี แล้วเจตนา ที่จะทำกันอยู่ ตอนนี้ ทางออกก็หลายผู้หลายคน ผู้รู้ทั้งหลายแหล่ เสนอแนะกันแล้ว ก็ขอให้ ผู้ที่มีส่วน ที่จะทำให้ วิกฤตินี้ผ่านไป โดยการร่วมตัดสินใจ ร่วมที่จะทำ ให้มันเกิด ความจบขึ้นมา ให้ได้ ก็ขอร้อง เถอะว่า ทำเถิด และอีกจุดสำคัญ ก็คือ วิถีทาง แบบประชาธิปไตย ที่จะต้อง ไปประท้วง ไปคัดค้านกันนี้ ขอความกรุณา ช่วยประคองกัน ให้การชุมนุมครั้งนี้ เป็นไปอย่าง สันติอหิงสาให้ได้ อย่างสัมบูรณ์ที่สุด เถิดนะ อาตมาขอร้อง แล้วประเทศไทย เรานี่ จะได้รับ ความชื่นชม จากชาวโลก ยิ่งกว่าลงทุนไปอีก หลายแสนล้าน จัดโอลิมปิก ๕ ครั้ง แม้ได้รับ ความชื่นชม ก็ไม่ยอดเยี่ยม เท่าการได้รับ ความชื่นชม ในความสำเร็จ ครั้งนี้ครั้งเดียว อาตมามั่นใจอย่างนั้น

อาตมาเป็นสมณะ เป็นนักบวชชาวพุทธ และก็มาเปิดตัวมาทำงานปฏิบัติธรรมอย่างนี้ พูดถึงเรื่องการเมืองไปด้วย อันนี้ ก็ขอให้ท่าน ผู้ยึดติด ในจารีต ประเพณี มีความเห็นความเชื่อเก่าๆนั้น โปรดกรุณาไปศึกษาดีๆ สิ่งเหล่านี้ อาตมา ไม่ได้ทำ เพื่อต้องการ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอะไร นี่ก็บอกความจริง จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ก็ไม่มีสิทธิ์จะไปบังคับ ความเชื่อ ใครหรอก อาตมาขอพูดความจริงนี้ มันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องเห็นสังคม เห็นประเทศชาติ มวลมนุษยชาติ ที่เกิดกรณี ลำบากถึงขั้นนี้ เราก็ต้องเข้ามาช่วย ช่วยอย่างเต็มใจ ช่วยอย่างจริงใจ ช่วยอย่างเห็นว่าควรต้องช่วย ไม่ได้ทำเพื่อ โลกธรรม หรือ ลาภ ยศ สรรเสริญเลยจริงๆ ก็ขอยืนยัน ไปศึกษาดีๆแล้วจะคลายใจ

# # # ปฏิกิริยาหลังระเบิด - กลัว - แนะนำ - กำลังใจ
๒๒ ก.พ. ๒๕๔๙ ที่สันติอโศก หลังจากสื่อได้แพร่ภาพและข่าวการวางระเบิดหน้าสันติอโศกออกไป ช่วงสายได้รับแจ้ง ว่า ผู้ปกครองนักเรียน สัมมาสิกขาหลายคน ได้มาขอรับลูก กลับไปบ้าน เกรงว่าลูกของตน จะไม่ปลอดภัย ทางโรงเรียน อนุญาต ให้รับกลับไปได้

นอกจากนักข่าวที่เข้าออกไปมา มีญาติธรรมหลายคนที่หายหน้าไปนาน ปรากฏกายมาเยือนที่มีชื่อเสียงบ้าง ก็มี อาจารย์สุเทพ อัตถากร คุณวีระ สมความคิด เป็นต้น

ช่วงบ่ายได้รับการติดต่อจากแพทย์ผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง เป็นที่เคารพรักของคนในสังคม กรุณาโทรมา ให้กำลังใจ "ท่านครับผมเป็นห่วงมาก เมื่อกี้นี้ วิทยุเขาประกาศว่ามีการใช้ระเบิดกันขึ้นเมื่อคืนนี้ ขอให้กรรมดี ที่ท่าน ได้ปฏิบัติ เพื่อประเทศ เพื่อชาตินะครับ จงคุ้มครองท่าน

เรามีสิทธิ์เสรีภาพ ในการทำนะครับ เวลาเดียวกันเราเห็นว่าถ้าจะนำประชาชนไปนะครับ สำเร็จแน่ วันนั้น ถ้าเผื่อว่า ที่ท้องสนามหลวง ถ้าทุกท่าน จะพยายาม สวดมนต์ ปฏิบัติธรรมนะ แล้วก็...เลี้ยงอาหารมังสวิรัตินะ ก็ทำความสะอาด ปัดกวาด เรียบร้อย อย่างที่เคยทำมาแล้ว ฉะนั้น ก็คือเป็นวิธีการ ประพฤติดีๆ ที่ทำให้สงบ ทำจิตให้เป็นกลาง ได้อย่างจริงจังครับ

นี่ก็สวดมนต์ขอให้ทุกท่านมีความปลอดภัยนะฮะ เวลาเดียวกัน ก็ได้สรรเสริญ และสนับสนุน ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ให้เจริญ รุ่งเรืองขึ้นไป เพราะมันเป็นวิธีเดียว เท่านั้นครับ ที่จะแก้ปัญหาของโลกได้ ผลงานที่ทำๆไป ในเรื่องช่วยเหลือ คนยากจนนั้น เป็นที่ประทับใจนะฮะ ขอให้ช่วยกรุณา ดำเนินต่อไปฮะ

ครับๆ กระผมก็ขออนุโมทนานะ ขอให้พระเดชพระคุณได้ปลอดภัย พากเพียรนำมาซึ่งสันติภาพ แบบนี้ไม่เคยมี อย่างนี้ มาก่อน เพื่อสันติภาพที่แท้จริง และเป็นตัวอย่างประชาชน ประเทศไทยและตัวอย่างของโลกด้วย ขออวยพรครับ พระเดชพระคุณนะครับ"

ค่ำได้รับโทรศัพท์จากญาติธรรมแจ้งว่า ผู้มีชื่อเสียงในสังคมอีกคน ได้ฝากเรียนพ่อท่านว่า ยุทธศาสตร์ช่วงนี้ ขอให้งด การให้สัมภาษณ์ ไปก่อนจะดีกว่า เพื่อฝ่ายไม่หวังดี จะได้ไม่นำเอาคำพูดของพ่อท่าน ไปขยายความ ให้เป็นประเด็น ขึ้นมาในสังคม ซึ่งพ่อท่านก็รับฟัง และเห็นด้วย กับคำแนะนำนั้น

๒๓ ก.พ. ๒๕๔๙ ที่สันติอโศก เช้านี้ขณะพ่อท่านกำลังบริหารกายที่ชั้นบนพระวิหาร มีผู้บริหารหนังสือพิมพ์ ที่มีชื่อเสียง ท่านหนึ่ง มาพร้อมกับภรรยา ขึ้นมากราบพระธาตุ พบเจอกันโดยบังเอิญ เนื่องจากรู้จักกันมา ก่อนพ่อท่านจะบวช จึงได้สนทนากัน ท่านนั้นกล่าวถึงการประกาศตัวเข้าร่วมชุมนุมด้วย เป็นปัจจัย ที่ดูดี เพราะมันสมควรแก่การออก เป็นการสร้าง ความชอบธรรม ให้มากขึ้นกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนไหวก่อน เพราะเขาถาม แต่ทักษิณ ไม่ยอมตอบ แล้วพยายาม เอาเรื่องอื่น มาบอก ว่าไม่ผิด คนที่น่าเชื่อถือ ในสังคม เขาทักท้วง ก็ไม่ฟัง

(เป็นที่น่าสังเกตว่า คนที่อยู่ในวงการข่าวสาร รู้ข้อมูลทั้งลึกและตื้นของคนในวงการต่างๆ ล้วนเห็นดีกับ การเข้าร่วม ชุมนุม ไม่ได้ติดใจภาพของศาสนา มายุ่งอะไร กับการเมืองเลย ทั้งๆที่เป็นคนรุ่นเก่าเช่นกัน ขณะที่ญาติธรรม หรือ ประชาชนทั่วไป ที่ไม่ค่อยจะติดตามข่าวสาร ไม่มีข้อมูล เชิงลึกอะไร ทำมาหากินไปตามประสา มองอะไร แบบมิติเดียว หรือ ยิ่งมีภาพ ของศาสนา แบบเก่าๆ ที่ตนเข้าใจผิดๆ ก็จะรับไม่ได้ กับการประกาศ เข้าร่วมชุมนุม ของกองทัพธรรมนี้ ทั้งนั้น)

ท่านผู้นั้นได้เปิดใจสงสัยว่า พฤติกรรมทะเยอทะยานในความอยากได้ใคร่มี และการซุก การหลบ การทำความ ซับซ้อน ซ่อนเล่ห์ หรือการผูกขาด สัมปทาน ของนายกฯ ทำไมสันติอโศกถึงไม่รู้ ทั้งๆที่คบหากันมาอย่างลึกซึ้ง

(คำว่าคบหาอย่างลึกซึ้ง ดูจะเป็นการประเมินที่ผิด อาจจะมีเพียง พล.ต.จำลองเท่านั้นกระมังที่จะมองเช่นนั้นได้ แต่ข้าพเจ้า ก็ยังเห็นว่า แม้ พล.ต.จำลองเอง ก็ยังไม่ได้ คบหา อย่างลึกซึ้ง อาจจะมีส่วนของความเคารพ นับถือ มีความเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ ส่งเสริมกันบ้าง แต่ก็ยังเป็นเพีย งเปลือกผิว เท่านั้น ไม่ได้ลึกซึ้ง อะไรเลย ยิ่งสันติอโศก ด้วยแล้ว ไม่ได้ลึกซึ้ง อะไรกับคุณทักษิณแน่ ประเด็นนี้ ข้าพเจ้าอาจจะประเมินผิด หรือตีความคำว่า ลึกซึ้ง สูงมาก เกินไปก็ได้)

พ่อท่านได้ตอบประเด็นนี้ว่า "ในสังคมนี่มันมีเยื่อใย มันมีมิตรสหาย มันมีความเกรงใจกันเหมือนกัน แม้จะเห็น ลูกหลาน ทำผิด เราดูแลลูกหลาน เราก็ต้องทำ อย่างมีจังหวะ พยายามให้สติเตือนกันไปก่อนเป็นต้น รอจังหวะที่สมควร สุดท้าย ไม่ไหว ก็ต้องเฉดหัวไป แต่เยื่อใยที่มีก็เอ้า....อภัยให้ มันก็เป็นบ้าง ในเรื่องของสังคม โดยเฉพาะ วัฒนธรรม ของเอเชีย บางอย่าง เราก็ไม่ได้อยู่ในสายของธุรกิจ ต้องขอยอมรับว่า ไม่รู้จริงๆ และเราก็ไม่ได้ล้วงด้วย"

ท่านผู้นั้นได้บอกเล่าถึงนักการเมืองในอดีตและปัจจุบันอีกหลายคนที่ตนรู้จัก ผู้นำที่ประพฤติมิชอบ ถึงจุดหนึ่งเขายอมลง แล้วก็อยู่ได้ในแผ่นดินไทยนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ความดันทุรัง ถึงขั้นคิดกอดคอคนอื่นตายด้วย ไม่ตายคนเดียว รวมถึง บริวารที่ได้ประโยชน์ แทนที่จะปล่อยให้หมาตาย กูเป็นเห็บ กูพยายาม อย่าให้มันตายดีกว่า ลากๆมันไปก่อน เพราะถ้า หมาตาย เราก็ตายด้วย เพราะมันไม่นึกถึงส่วนรวม ถ้าจิตใจมันชั่วร้าย อย่างนั้น มันก็จะเสี้ยม หาพรรคหาพวก คนยากคนจน รากหญ้าทั้งหลาย เอามาเป็นแนวร่วม

สุดท้ายท่านผู้นั้นเห็นด้วยกับแนวคิดที่เสนอให้ท่านนายกฯและคณะรัฐบาลลาออก แล้วเข้าเฝ้า ขอพระราชทาน รัฐบาล ชั่วคราว เพื่อปรับแก้กติกา รัฐธรรมนูญ และปัญหาบางอย่างไปก่อน จนกว่าจะพร้อม แล้วจัดให้มีการ เลือกตั้งใหม่ นี่เป็น หนทางเดียว ที่เขาก็จะอยู่ได้ในแผ่นดินนี้ อย่างปลอดภัย

ก่อนเที่ยงวันนี้(๒๓ ก.พ.) สมณะชนะผี ชิตมาโร ได้เข้าเรียนปรึกษาเปิดเผยถึงความคิดของตนว่า อยากจะสึก ไปร่วม ชุมนุม ในฐานะฆราวาส เพื่อจะได้ ฝึกตน กับความลำบากในการชุมนุมนั้น เบื้องลึกคือ เด็กนักเรียน ฐานงาน ธรรมปฏิกรรม ของท่าน หลายคนกลัวภัย ขอกลับบ้าน จึงอยากจะพิสูจน์ให้เห็นว่า มันไม่ได้ลำบาก น่ากลัว อย่างที่ หลายคน กลัวกัน เนื่องจากพ่อท่านไม่อนุญาตให้นักบวชไปร่วมชุมนุมด้วย จึงอยากจะสึก เพื่อจะได้ ไปร่วมฝึกตัวเอง ในสถานการณ์ อย่างนั้น ตนเองไม่ได้ติดยึดกับรูปแบบ หากเสร็จเรื่องนี้แล้ว ก็จะขอกลับ เข้ามาเป็นนักบวชอีก ซึ่งแล้วแต่หมู่ จะพิจารณาให้อยู่ฝึก ในฐานะอย่างไร

พ่อท่านทักว่ามันไม่คุ้มกับการจะเปลี่ยนฐานะ เพื่อลงไปฝึกผัสสะอย่างนั้น เอาไว้ไปสนามหลวงด้วยกัน ในช่วงที่ พ่อท่านไปก็ได้

ค่ำได้รับโทรศัพท์จากท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เคยได้ร่วมเสวนาทางวิชาการกันกับพ่อท่าน ในหลายต่อหลายแห่ง ล่าสุด ได้วิพากษ์วิจารณ์ ชาวอโศก ที่จะไปร่วมจัดงานวิสาขบูชา ที่พุทธมณฑล ปีที่ผ่านมา ไปในทางลบ แต่คราวนี้..... "โทรมา ให้กำลังใจ ที่จะออกมากู้บ้านกู้เมือง เห็นว่าทำงานใหญ่ ก็เลยโทรมา ให้กำลังใจ เอาใจช่วยอยู่ครับ ผมอยู่ที่ มหาจุฬาฯ ก็ติดตามข่าวอยู่ ก็ดูแลสุขภาพด้วยนะครับผม (ขอบคุณครับ ก็พยายามอยู่) เห็นข่าวแล้ว ก็คงไม่มีอะไรมั้ง ที่เขามาลอบ เอาระเบิดมาวาง (ก็คงพอเป็นไป มีอะไรจะแนะนำไหม) ก็ไม่มีครับ โทรมาเยี่ยมให้กำลังใจเฉยๆ (ขอบคุณมากครับ) ถ้าได้ออกมาแล้ว เขาก็คงจะยอมลงได้ มีอะไร จะรบกวนวันหลัง ครับผม (ครับขอบคุณมาก)"

ก่อน ๑๙.๐๐ น. ได้รับการบอกเล่าจากญาติธรรมที่ติดต่อกับญาติธรรมนอกวัด ซึ่งได้ไปรับใช้ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่ใกล้ชิด กับท่านผู้นำ ญาติธรรมแจ้งว่า นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั้น บอกว่าท่านผู้นำอยากจะมาพบพ่อท่าน พร้อมกับ พล.ต.จำลอง ดูจากสถานการณ์แล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกสะดุดว่า ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น จึงท้วงว่า การติดต่อผ่านหลายปาก หลายคน อาจทำให้ การสื่อ ผิดเพี้ยนไปได้ ถ้าญาติธรรมประสานให้นายตำรวจผู้ใหญ่ ท่านนั้นได้พูดเอง จะดีไหม ครู่ต่อมา ได้รับสาย ที่ญาติธรรม นอกวัด ช่วยประสานให้ แต่นายตำรวจผู้ใหญ่นั้น ไม่ได้กล่าว อย่างที่ญาติธรรม ได้นำ มาสื่อเลย การสนทนา ใช้เวลาไม่นาน ดูท่านนายตำรวจผู้ใหญ่ ระมัดระวังอย่างยิ่ง และพูดจานอบน้อม สุภาพมาก มีประเด็น ที่ถามถึงทางออก ซึ่งพ่อท่าน ก็ยังคงย้ำอย่างเดียวกับ ที่ได้เขียน ฝากข้อความ ไปให้แล้ว มีทางเดียวคือ ให้ท่านนายกฯ กราบบังคมทูล ลาออก แล้วทูลเกล้าฯ ให้ในหลวง พระราชทาน แต่งตั้งนายกฯ พร้อมคณะรัฐบาลใหม่ ชั่วคราว แต่เรื่องนี้ก็ต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมาย ให้ถูกต้องก่อนนะ

๒๐.๓๐ น. คณะญาติธรรมแกนนำได้พาด็อกเตอร์คนหนึ่งในแวดวงการเมือง มาพร้อมกับข้อมูลการนำเสนอ ชี้ให้เห็น การโกงกิน ภาษีของรัฐ โดยมิชอบ จากประชาชนของบริษัทเครือข่ายโทรศัพท์ค่ายหนึ่ง เป็นการโกง เก็บกินไป ตั้งหลายปี โดยมีข้อมูลตัวเลข ที่ยืนยัน ชัดเจน ทั้งๆที่บริษัทนี้ ไม่มีสิทธิ์ ที่จะเก็บเงินนี้ จากประชาชนแล้ว โดยสรุป ประเด็นสำคัญ คือ การเสียภาษีของประชาชนในส่วนนี้ ทางรัฐยกเลิกแล้ว แต่ทางบริษัท ไม่แจ้งแก่ประชาชน ประชาชน จึงต้องเสียอยู่ แล้วบริษัทนี้ ก็งุบงิบ เอาผลประโยชน์นี้เฉยเลย

๒๔ ก.พ. ๒๕๔๙ ช่วงสายญาติธรรมได้ส่งข่าวมาว่า พี่ชายซึ่งขับแท็กซี่บอกว่า แท็กซี่ ๘๐,๐๐๐ คัน จะซื้อพวงหรีด มาให้ พล.ต.จำลอง

ขณะฉันอาหาร ได้รับโทรศัพท์จากญาติธรรมที่คุ้นเคยกับนักเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ค่ายยักษ์ เขาได้ฝากเตือนว่า การชุมนุม วันที่ ๒๖ นี้ ไม่อยากให้นักบวช ออกไปร่วมด้วย เพราะสันติอโศกมีศัตรูมากอยู่แล้ว ถ้าออกไป จะเป็นผลเสีย มากกว่า (จริงๆนั้น ณ ขณะนั้น พ่อท่านและสมณะ ก็ยังไม่คิดว่า จะต้องออกไปร่วม)

๑๓.๐๐ น. ได้ฟังวิทยุรายงานข่าวต้นชั่วโมงแจ้งว่า พระไพศาล วิสาโล ประธานเครือข่ายมุทิตา ซึ่งเป็นตัวแทนจาก หลายศาสนา คริสต์ พุทธ อิสลาม เครือข่ายฯจะเข้าร่วมชุมนุมด้วย โดยมีจุดเป้าหมาย ให้เกิดการชุมนุม อย่างสันติ

๑๔.๓๐ น. ได้รับการติดต่อจากสำนักข่าว GG new FM ๙๘ MHz. ถามความเห็นที่ได้ข่าวว่าท่านนายกฯ จะเข้าเฝ้า เพื่อทูลเกล้าฯ ปรับคณะรัฐมนตรี การเคลื่อนตัวของกองทัพธรรมในวันที่ ๒๖ นี้เพื่อร่วมชุมนุม จะยังคงมี ต่อไปหรือไม่ พ่อท่านตอบว่า ก็ต้องอยู่ที่คณะกรรมการ ของพันธมิตรฯ ว่าเขาจะเห็นกันอย่างไร

๑๘.๑๐ น. ท่านนายกฯให้สัมภาษณ์นักข่าว ประกาศยุบสภาฯ หลายคนดีใจ ด้วยเข้าใจว่าท่านนายกฯ ยอมถอยแล้ว แท้จริง ท่านกำลังเปลี่ยนเกม ล้มกระดานหมากเดิม เปิดกระดานหมากใหม่

๑๘.๔๕ น. ได้รับโทรศัพท์จากต่างจังหวัดสอบถามเรื่องการชุมนุมวันที่ ๒๖ ยังจะมีอยู่หรือไม่ เพราะนายกฯ ประกาศ ยุบสภาฯ แล้ว พ่อท่าน ตอบชัดเจนว่า ยังมีอยู่ เพราะเป้าหมายของการชุมนุม ไม่ใช่ให้ยุบสภาฯ

๒๐.๐๔ น. นักข่าวมารอขอสัมภาษณ์ถึงการประกาศยุบสภานี้ มีประเด็นว่าจะเป็นการลดกระแสการชุมนุมได้หรือไม่ พ่อท่าน ตอบว่า น่าจะเพิ่มกระแส การชุมนุม มากกว่า ดูเรื่องจะไม่จบง่าย คงจะต้องยืดเยื้อแน่

๒๕ ก.พ. ๒๕๔๙ ที่สันติอโศก ทำวัตรเช้าพ่อท่านแสดงธรรม จากส่วนที่กล่าวถึงชาวอโศก ที่ไม่พอใจกับ การเคลื่อนไหว ครั้งนี้ แล้วตัดสินใจ ออกจาก อโศกไป เพราะยึดมั่นจัด ขาดการรับข้อมูล สองฝ่ายดังนี้ "เหตุการณ์ คราวนี้ มันเป็นสัจจะของมัน คนที่ถูกครอบงำทางความคิด หรือยังยึดติด เป็นอัตตา ก็ยังยึด ความเห็น ที่ตนชอบ ถึงขั้นขอแยกก็เป็นไปตามสัจจะ ทั้งๆที่อยู่กับหมู่ดีๆหลายปีแล้ว ความเห็น ที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ก็มีอยู่ตั้ง หลายครั้ง หลายครา แต่คราวนี้ เรื่องนี้มันมี ความยึดมั่นถือมั่น ในความเชื่อ ของตน หนักแรง แม้หมู่ฝูง ส่วนใหญ่ หรือว่า แม้แต่อาตมา จะชี้แจง ด้วยหลักฐาน ข้อมูล อธิบายอย่างไร ก็ไม่เอาแล้ว นั่นก็คือ อัตตาของเขา ไม่ใช่ของอาตมา เขาเห็นของเขา เขายึดของเขา ก็ช่วยไม่ได้ เขาต้อง ช่วยตัวเอง อย่างนี้มันเป็นได้ ในสัจธรรม

เรื่องของสัจจะเมื่อมันถึงครั้งถึงคราว มันถึงขั้นที่แยกขั้วเป็น ๒ ขั้ว ๒ ฝ่าย ทุกคนต้องตัดสิน นี่แหละคือ "นานาสังวาส" ที่ต้องเกิด เมื่อถึงขั้นที่สุด แห่งธรรมชาติ คนที่มีภูมิปัญญาของตน ตัดสินเลือกฝ่าย ก็ใช้ภูมิปัญญาของตน พิจารณา ความจริงว่า ฝ่ายไหนมีความจริง ที่ดีที่ถูก เราก็เอาฝ่ายนั้น ถ้าใคร ไม่มีปัญญานัก ก็จะยอมตามหมู่ เลือกเอาหมู่ใหญ่ หรือ คนที่มีปัญญาเอง ก็ไม่ต้องอาตมาพูดหรอก รู้แล้วต้องเอาอันนี้ เลือกอันนี้ ปัญญาของเรา ตัดสินเอง ก็เป็นตัวเราเอง แต่คนที่ ไม่เห็นอย่างนี้ด้วย ก็ไปตัดสินของตัวเอง แม้ตัวเองจะขัดใจมากเลย โอ้โฮ... ทำไมพ่อท่าน ไปเลือกเอาข้างโน้น ทำไม ไม่เลือกข้าง ที่เราชอบ ทำไมหมู่อีกหลายผู้ หลายคน ไปเลือกข้างโน้น ทำไม ไม่เลือกข้างเราเห็นดีนะ นี้ก็คือ ความเป็นจริง ของแต่ละบุคคล ที่เขาจะเลือก

เกิดการแยกหรือการแตกในตัวมันเอง มันเป็นธรรมชาติที่สุดวิสัย หรือถึงขั้นสุดท้ายของแต่ละบุคคลก็เป็นอย่างนั้น ทฤษฎี "นานาสังวาส" จึงต้องเกิด เพราะสัจธรรมอย่างนี้

อาตมาต้องตัดสินคราวนี้ว่า จะอยู่ฝ่ายไหนก็ต้องดูข้อมูลหลักฐานให้พอ เออมันมีอะไรบ้าง อย่างไรๆ ควร-ไม่ควร มันมีทั้ง รูปธรรม และ นามธรรม อาตมาว่า คนที่ตัดสิน ไปเข้าข้างทักษิณ นั่นน่ะ ไม่ได้ดูข้อมูล ๒ ด้าน มากเท่า อาตมาหรอก เพราะอะไร เพราะปิดตา ไม่รับเลยข้อมูลทางด้านอีกฝ่ายหนึ่ง ถึงแม้ จะรับบ้าง ก็รับอย่าง "อาบน้ำกลัวเปียก" แม้จะศึกษา ฝ่ายสนธิบ้าง หรือฝ่ายประชาชน ที่นักวิชาการ ผู้รู้ ผู้มีหลักฐานทั้งหลาย ต่างเอามาเปิดเผย เอามาพูด มาวิเคราะห์ วิจารณ์ว่า ทักษิณน่ะเป็นอย่างไร มีความไม่ชอบมาพากล ขนาดไหน ก็ทำอย่างเสียไม่ได้ ทำอย่าง "อาบน้ำกลัวเปียก" สักแต่ว่า ทำไปอย่างนั้นเอง แล้วก็นึกว่า ตัวเองรับข้อมูล ๒ ข้างแล้ว

อาตมาพยายามดูข้อมูลทุกด้าน เอาล่ะ ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ไม่รู้ อาตมาก็ว่าอาตมาก็ใช้ภูมิปัญญา และความสามารถ ของอาตมา ตรวจสอบหลักฐาน ข้อมูล สิ่งที่มี ที่เป็นจริงๆทั้งหมด แล้วก็เอามา บวก ลบ คูณ หาร ว่าน้ำหนักอะไร ที่ดีที่สุด ถูกที่สุด อาตมาก็สรุป เอาอันนั้น บอกแล้วว่า เมื่อเกิด bipolar เมื่อมันแยกเป็น ๒ ขั้วแล้วจริง เราก็จะต้อง take side ต้องเลือกเอา ข้างใด ข้างหนึ่ง เพราะความเป็นกลาง ต้องเข้าข้างคนดี หรือ เข้าข้างที่เราเชื่อ ว่าถูกว่าดี ก็ต้องเป็น เช่นนั้น"

๐๙.๐๐ น. มีรายการอภิปรายธรรมวิจัยทักษิณ ที่สันติอโศก ก่อนเข้าสู่รายการพ่อท่านได้นำเอาข้อพึงปฏิบัติ ในการชุมนุม ที่ทางหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ได้รวบรวม มาอ่าน ให้พวกเราได้รับฟัง ผู้ร่วมอภิปรายมี คุณโสภณ สุภาพงษ์ เริ่มพูด เป็นคนแรก ขณะที่ ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ และ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ ยังมาไม่ถึง

คุณโสภณ พูดสุภาพช้าๆ แต่เน้นเข้าถึงจิตวิญญาณได้อย่างหนักหน่วง จากบางส่วนดังนี้
"รู้จักคุณทักษิณมา กว่า ๒๐ ปีแล้ว....เห็นว่าคนๆนี้ไม่มีศีลธรรม เคยเตือนคุณทักษิณว่าอย่าทำกับคุณจำลองอย่างนั้น ขณะที่คุณจำลองพยายามจะทำให้สังคมปลอดจากอบายมุข แต่คุณทักษิณ กำลังมีแต่จะเอาอบายมุข มาสู่สังคม เคยเตือน คุณทักษิณ อย่าให้มีลักษณะ อย่างศรีธนญชัย แต่สิ่งที่คุณทักษิณทำนั้น ทำอย่าง ศรีธนญชัย ....." (สำหรับ ผู้ที่รับไม่ได้ กับการพูด บนเวทีพันธมิตรฯ อาจจะรู้สึกว่า หยาบคาย และใช้อารมณ์ ก็ขอแนะนำ ให้หาการพูด ของคุณโสภณนี้ ไปฟัง)

ดร.วุฒิพงษ์ เป็นอีกท่านหนึ่งที่รู้ข้อมูลเยอะ ลีลาการพูดต่างจากคุณโสภณ เผ็ดร้อนกว่า แต่ก็มีแง่คิดที่ตรงไป ตรงมา คำกล่าว ทิ้งท้ายที่ว่า "ถ้าการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่สำเร็จ ต้องยกประเทศ ให้มันไปเลย" เหมือนกับ จะสะท้อน ความอัดอั้น ในข้อมูลลึกๆ ที่ไม่สามารถพูดได้ เป็นความร้ายแรง ที่คนส่วนใหญ่ คาดไม่ถึง

ดร.เทียนชั เป็นนักเขียนไม่ถนัดในการพูด แต่ก็สะท้อนข้อมูลกว้างๆอย่างน่าสนใจ "ผมเห็นว่า สันติอโศก เป็นแหล่ง ประเทืองปัญญา ขณะที่ การเคลื่อนตัว ของการคัดค้าน กระแสทุนนิยม เกิดมาจากกลุ่มคน ที่มีปัญญา ไม่ว่าจะเป็น นักคิด นักเขียน นักวิชาการ พระ ครูบาอาจารย์ ส่วนคนชั้นล่าง ยังหลงอยู่กับ สิ่งที่โลกมอมเมา

มันเป็น ความผิด ของนักวิชาการด้วย ที่ไม่สามารถ ถ่ายทอด ความเข้าใจ ไปยังคน ในระดับต่างๆ ได้ อย่างผมเอง ก็ไม่สามารถ อธิบายกับชาวบ้านได้ เรื่องของโลกาภิวัตน์ ภาวะ เศรษฐกิจ ฟองสบู่แตก หลังจาก จอร์จโซรอส ทุนใหญ่ จากสิงคโปร์ เข้ามาในไทย และทุนใหญ่จาก อเมริกา แบงค์ต่างๆ เป็นของต่างชาติ เกือบหมดแล้ว ขณะที่ กลุ่มทุนอื่นๆ ล้มละลาย แต่ทำไม คุณทักษิณ ร่ำรวยขึ้น ผมสงสัยว่า จอร์จโซรอส กับ คุณทักษิณ เป็นกลุ่มเดียวกัน

การขายหุ้น ให้กับสิงคโปร์ สื่อสารสำคัญของชาติไปอยู่ในมือสิงคโปร์ แล้วอเมริกาอยู่หนุนหลัง ทุนสิงคโปร์ ในระบบ โลก กำลังมีการเผชิญหน้า ของอเมริกากับจีน การรีบเข้ามาซื้อ ของเทมาเส็ก สิงคโปร์ ภายใต้เงาร่างของ อเมริกา ก็เพราะกลัวว่า จีนจะเข้ามาก่อน"

๑๖.๐๐ น. เริ่มรายการชี้แจงทำความเข้าใจกับญาติธรรมที่จะไปร่วมชุมนุมพรุ่งนี้ ตั้งแต่คำถามที่มักถูกถาม ไปจนถึง ผู้รับหน้าที่ ในด้านต่างๆ เรื่องการเดินทาง สัมภาระสิ่งของ การจัดริ้วขบวนที่จะเดิน เส้นทางที่จะเดิน เรื่องอาหาร และเวลา รวมถึงเรื่องเพลงที่จะใช้ร้อง เป็นการตกลงให้รู้ร่วมกัน

มีสมณะเขียนถามพ่อท่านว่า การเดินธรรมยาตราพรุ่งนี้"สมณะ"จะไปร่วมเดินด้วยได้ไหม มีเสียงขานรับดังขึ้นมา จากญาติธรรม หลายคน อาจไม่ได้คิด อะไรมาก เพียงต้องการ ความอุ่นใจบ้าง มีสมณะนำ ก็ดีกว่าไม่มี เพราะเคยผ่าน ผลการเดินตาม สมณะมาแล้ว หลายคนอาจจะเกรง ความรุนแรง แต่หากมีสมณะไปด้วย ก็อาจจะช่วย ให้ผู้ประสงค์ร้าย จะยับยั้ง ชั่งใจบ้าง มาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้ที่ร่วมประชุมอยู่นั้น อาจจะไม่มีใครคิดแล้วว่า ไม่เหมาะ คำว่า "สมณะร่วม เดินขบวน ประท้วง" ดูจะเป็นเอกฉันท์ กันทีเดียว ณ บัดนั้น บรรยากาศอย่างนั้น สมณะหลายท่าน ก็คงอยากจะมี ส่วนร่วม [อย่างน้อยๆ ก็เป็นมวลส่วนเพิ่ม ให้กับกองทัพธรรม ที่มีเพียงระดับ ร้อย-พัน ถ้ามีเป็นแสน เป็นล้าน ก็คงไม่ต้องถึงขั้น สมณะก็ได้] คำว่า "โลกวัชชะ" ต่างก็ไม่กริ่งเกรง กันแล้ว เพราะล้วน มั่นใจกันว่า โดยสมณสารูป ในการไปร่วม เดินขบวนนั้น เราเคยเดินขบวน กันมาแล้ว เมื่อมีคณะสมณะ ที่เป็นรูปธรรม ของนักบวช เดินธรรมยาตรา นำขบวน ซึ่งจะนำพา หมู่ฆราวาส เดินขบวน ตามหลังมาได้ อย่างดีงามทีเดียว จะมีอิริยาบถ อย่างเรียบร้อย สงบเย็น พรักพร้อม งดงาม

จึงทำให้สถานการณ์พลิกกลับจากที่ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าสมณะจะ"ไม่ไปร่วมด้วย กลายเป็นไปร่วมด้วยขึ้นมาทันที"

ปิดท้ายด้วย พ่อท่านให้ข้อคิด ย้ำจุดยืน ของการไปชุมนุม เราจะแสดงพลังของ ความสงบ เรียบร้อย ง่าย งาม สันติ อหิงสา อโหสิ และขออวยพร ให้ได้มรรคผล จากการชุมนุมกันทุกคนเทอญ

หลังจบรายการชี้แจงก่อนชุมนุม บางส่วนก็ไปพัก บางส่วนก็ดูสารคดี มหาตมะ คานธี

ก่อน ๑๙.๐๐ น. หมอสันต์ หัตถีรัตน์ หมอเหวง โตจิราการ และผู้หญิงอีกคน ได้มาขอพบ ประเด็นที่มาก็คือ เป็นห่วง เกรงจะเกิด ความรุนแรง เนื่องจาก ได้ข่าวมา มีผู้ต้องการให้เกิด เหตุการณ์นองเลือด เพื่อจะได้อาศัย สถานการณ์ ได้รัฐบาล พระราชทาน ซึ่งทางคณะของหมอเหวง และ หมอสันต์ ไม่เห็นด้วยเลย จึงเป็นห่วง ชาวอโศก เพราะเชื่อว่า ทางอโศก จะไม่เป็นผู้ทำให้เกิด สถานการณ์ เช่นนั้นแน่

พ่อท่านบอกถึงจุดยืนของเรา และบอกเล่าถึงการติดต่อ จากท่านผู้ใหญ่ต่างๆ เป็นเหตุการณ์ที่ทางเรา ไม่ได้เตรียมการ ใดๆ มาก่อน ทำไปตาม สถานการณ์เฉพาะหน้า

หมอเหวง ถามถึงเรื่อง พรรคเพื่อฟ้าดิน อยากจะให้ทำออกมา เป็นรูปธรรม เพื่อจะได้เป็นทางออก ของสังคม พ่อท่าน ได้อธิบายว่า เรามุ่งหมาย แม้การเมือง ก็จะต้อง ทำให้ได้ถึงขั้น บุญนิยม การจะทำให้คน มีสมรรถนะ ถึงขั้นเป็น บุญนิยม ไม่ง่าย ทุกวันนี้เราเอง ก็ยังมีมวลไม่มากพอ และการจะสื่อ กับคน ในสังคม ซึ่งยังคงมืดบอด จมหนัก อยู่กับ ทุนนิยม ก็ยังเป็นเรื่องไม่ง่าย เช่นกัน เรายังไม่ส่ง ผู้สมัคร ส.ส. แน่ เพราะแนวคิด การเมืองบุญนิยมนั้น จะทำงาน กับประชาชนไป จนประชาชน ในพื้นที่เข้าใจเรา และมั่นใจเรา ถึงขั้นผู้มีสิทธิออกเสียง ในเขตนั้นๆ ต้องมีจำนวนมาก เกินกว่า ครึ่งขึ้นไป มาขอร้องเรา ให้ไปสมัคร เป็น ส.ส. เราจึงจะไปสมัคร และหลักเกณฑ์ การเมือง บุญนิยมนั้น ผู้สมัคร อาสาไปเป็น ส.ส.ถือว่า ผู้ที่ประชาชน ต้องศรัทธาจริง ไม่ใช่เรื่อง ฉาบฉวย ดังนั้น ผู้สมัคร ส.ส. ของระบบ บุญนิยม จึงไม่หาเสียง เด็ดขาด เพราะการหาเสียงให้ตนเอง ถือว่ายังไม่เป็น ประชาธิปไตย

ระหว่างการสนทนาทั้งหมด หมอสันต์ หมอเหวง รวมถึงผู้หญิง ที่มาด้วย ยิ้มหัว อาจเป็นเพราะพ่อท่าน ไม่ได้มีท่าที กังวลอะไร กับสถานการณ์ ที่ค่อนข้าง จะตึงเครียดนี้เลย ทำให้คณะหมอที่มา กล่าวว่า การได้มาพบพ่อท่าน ทำให้ คลายใจขึ้น อย่างน้อยๆ ก็ได้มีโอกาส มาฟังธรรม

# # # ธรรมยาตรา หยดน้ำเย็นเล็กๆ กลางวิกฤติร้อนๆ
๒๖ ก.พ. ๒๕๔๙ ธรรมะวันอาทิตย์ทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย วันนี้เป็นท่านเจ้าคุณวัดสุทัศน์ พระราชวิจิตรปฏิภาณ ดูพยายามเตือน ทั้งสองฝ่าย แต่น้ำหนักเอียง มาว่าผู้ชุมนุมอยู่ดี

ข่าววันนี้ไม่ว่าจะวิทยุหรือโทรทัศน์แทบจะไม่มีช่องไหน ไม่รายงานข่าวการชุมนุมใหญ่ที่สนามหลวงวันนี้

๙ นาฬิกาเศษ ขณะกำลังฉันอาหาร ได้รับโทรศัพท์จากญาติธรรมแจ้งว่า คุณหญิงท่านหนึ่งได้ให้ข้อมูลว่า สายลับ ที่ได้มาร่วม สังเกตความเคลื่อนไหว เมื่อวาน ได้รายงานให้รัฐทราบ หมดแล้ว นอกจากนี้ คุณหญิงยังพูดถึง ขุนนาง ท่านหนึ่ง ในคณะรัฐบาลนี้ ได้ให้เงิน ๑๐๐ ล้าน กับสำนักปฏิบัติ แห่งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือ การเลือกตั้ง ที่จะมีขึ้นด้วย แต่เราก็ ไม่ได้คุ้นเคย กับคุณหญิง ท่านนี้นัก จึงให้ฟังหูไว้หู

ครู่ต่อมาได้รับโทรศัพท์จากญาติธรรมแจ้งว่า อาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสังคม ฝากเตือนพวกเรา ว่าขอให้ระมัดระวัง การไป เก็บขยะ ในที่ชุมนุม ขอให้ดูกัน ให้ดีก่อน เกรงอาจจะมีวัตถุระเบิดได้

พ่อท่านฉันอาหารเสร็จก่อน ๑๑.๐๐ น. ขณะกำลังเข้าห้องน้ำแปรงฟัน ได้รับโทรศัพท์จากญาติธรรม แสดงความ ไม่เห็นด้วย ที่สมณะ จะไปร่วมเดิน นำขบวน กองทัพธรรม เกรงว่า จะเป็นภาพที่ไม่งาม รวมถึงอันตราย ที่จะมี ต่อพ่อท่าน และสมณะ ข้าพเจ้าชี้แจงไปว่า เราได้ร่วมกันคิด และมีความเห็น ตัดสินร่วมกัน มาแล้ว(ผู้โทรมา ไม่ได้อยู่ ร่วมประชุมเมื่อวาน) ถ้าจะมา เปลี่ยนตอนนี้ ขณะกำลังจะเดิน กันอยู่แล้วนี้ มันไม่ทันแล้ว

ได้เวลาก่อน ๑๑.๐๐ น. พ่อท่านเดินนำขบวนหมู่สมณะและสิกขมาตุ ออกจากประตูในซอยเทียมพร ออกไปสู่ถนนใหญ่ เดินเลียบ ริมถนน สมณะเดินแถว เรียงสาม ขณะที่ฆราวาส ส่วนใหญ่ นั่งรออยู่บนรถแล้ว เมื่อไปถึงขบวนรถ ได้แยกย้าย กันขึ้นรถ ตามที่เขาได้จัดให้

พ่อท่านขึ้นรถ คันที่ ๑ ซึ่งมี พล.ต.จำลอง นั่งอยู่ด้านหลังรถ เป็นรถของ มนตรีทรานสปอร์ต เมื่อเคลื่อนตัว ออกจาก ปั๊มแก๊ส มีรถตำรวจ ของสถานีบึงกุ่ม คอยกันรถ เพื่อให้ขบวนรถของกองทัพธรรม เคลื่อนตัวออกจากปั๊ม ได้สะดวก และต่อเนื่อง เป็นขบวน

ระหว่างรถเคลื่อนตัว มาถึงบางกะปิ ได้รับโทรศัพท์ จากนักข่าวรอยเตอร์ แจ้งชื่อว่า คุณประชา สอบถาม เรื่อง การเคลื่อนตัว

ถึงจุดรวมตัวหน้าสนามมวยราชดำเนิน จัดแถวขบวนในเวลาไม่นาน พ่อท่านและหมู่สมณะนำหน้า มีธงทิวประกอบ ในริ้วขบวน ของฆราวาส ช่วยให้ดู มีสีสันขึ้นมาบ้าง แถมมีรถเครื่องเสียง เปิดเพลง "กองทัพพุทธธรรม" ประกอบ คลอไปด้วย ตลอดทาง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ คอยอำนวยความสะดวก และ วิทยุประสาน ไปยังเจ้าหน้าที่อื่นๆ ให้ได้รับทราบ ตลอด ดูเหมือนเป็น นายตำรวจ ชั้นผู้ใหญ่ ไม่รู้ว่าเป็นใคร

๑๒.๐๗ น. เริ่มเดินจากจุดหน้าสนามมวยราชดำเนิน ผ่านหน้าหน่วยงานทหารอะไรสักอย่าง มีเสียงแซวเบาๆ ได้ยิน ไม่ถนัด ว่าพูดอะไร มีญาติธรรม ที่เดินนอกแถว เพื่อคอยคุ้มกันให้ หากมีภัย หันไปแลๆ คนกลุ่มนั้น อยู่เหมือนกัน ไม่ได้โต้ตอบถ้อยคำ เดินผ่านกันไป อย่างสงบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่า ท้ายขบวน จะถูกแซวหรือเปล่า
พื้นถนน ในเวลาเที่ยง อย่างนั้น ร้อนไม่ใช่เล่น ดีที่พื้นถนน บางจุด ไม่ร้อนมาก บางจุด ร้อนเอาเรื่องทีเดียว ตำรวจจราจร ช่วยอำนวย ความสะดวก กับขบวน

เมื่อถึงบริเวณด้านหน้าของอนุสรณ์สถานวีระชน ๑๔ ตุลาฯ มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ปรบมือให้ ต่อด้วยเสียง "ทักษิณ ออกไป" ขณะที่พวกเรา เดินผ่านเลยไป อย่างสงบ นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ของการเดินขบวน ประท้วง ขับไล่ ผู้นำประเทศ ซึ่งเป็นไป อย่างสงบ เป็นระเบียบ เรียบร้อย ไม่เคยมีปรากฏ เช่นนี้มาก่อน ในสังคมโลก อาการไม่ซัดส่าย สำรวม สงบในที ทุกก้าวย่าง ตรึงความสนใจ ของผู้คนรอบข้าง หยุดความเคลื่อนไหว ได้ชั่วขณะ เป็นพลังสงบ ที่หาญกล้า เผชิญหน้ากับ อำนาจที่ไม่ชอบธรรม

บรรดาผู้ที่เดินตามนอกแถว หลายคนท่าทีไม่น่าจะเป็นนักข่าว เข้าใจว่าอาจจะเป็นทหารหรือสันติบาลก็ได้ ชายคนหนึ่ง อายุ ประมาณ ๔๐-๕๐ สวม กางเกงทหาร แต่ใส่เสื้อยืด เข้ามา จับภาพหน้า ถ่ายใกล้มาก หลายครั้ง หลายจุด ทำให้ ช่างกล้องคนอื่น ถ่ายภาพไม่ได้ โอกาสที่จะได้มุมสวยๆ ก็พลาดไป อย่างจุด อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เขาไปบังมุมกล้อง กับช่างกล้อง คนอื่นหมด เห็นคุณไฟงาน พยายามเรียก บอกให้เขาขยับ ออกมาห่างหน่อย แต่เหมือนเขา ไม่ได้ยิน หรืออย่างไร ไม่ทราบ คุณไฟงาน ต้องเดินเข้าไป สะกิดบอกให้เขาออกมา ดูท่าทีเขาไม่พอใจ แต่หลังจากจุดที่ ตรงอนุสาวรีย์ ประชาธิปไตยไปแล้ว ไม่เห็นช่างกล้อง ที่สวมกางเกงทหาร คนนั้นอีก

เมื่อขบวนเดินมาถึงบริเวณใกล้โรงแรมรัตนโกสินทร์ Royal Hotel มีพระรูปหนึ่งยืนรอ มือถือพวงมาลัย เมื่อพ่อท่าน เดินใกล้ เข้าไปได้ระยะ พระรูป ดังกล่าว ถอดรองเท้า ที่สวมอยู่ แล้วเดินเข้ามาหาพ่อท่าน มอบพวงมาลัย ถวายให้ พ่อท่าน เราอยู่ห่าง ไม่ได้ยินว่าท่านพูดอะไร ทราบภายหลังว่า พระรูปดังกล่าวนั้น ได้กล่าวว่า มาเป็นกำลังใจให้

ขบวนผ่านเลยมาถึงป้ายรถเมล์หน้ากระทรวงยุติธรรมหรือก่อนถึงหน้าศาลฎีกา ชายหญิงมีอายุขึ้นเลขหกแล้ว กระมัง ประมาณ ๕ คน ส่งเสียง ตะโกนมาว่า ไม่เอาๆๆๆ ...(เหลือบไปเห็น ชายสวมแว่นตาดำ กำลังส่งเสียงอยู่) แล้วมีเสียง ตามมาว่า ทักษิณดีที่สุด นับว่าเขาก็กล้ามาก อาจเป็นเพราะนี่คือ กองทัพธรรม แม้คน จะมากกว่าเขาเยอะ ก็ไม่ทำ อันตรายเขาหรอก ถ้าขบวนที่กำลังเดินอยู่นี้ เป็นกลุ่มที่ไปปิดล้อมเครือเนชั่น หรือ กลุ่มที่ปิดล้อม กกต. หรือ กลุ่มคน เชียงใหม่ ที่ปิดล้อมแกนนำ ประชาธิปัตย์ หรือ กลุ่มคนรักอุดรฯ ที่ปิดล้อมคุณไชยวัฒน์ และคุณสุริยะใส ผู้มีอายุเหล่านี้ คงไม่กล้า ส่งเสียงตะโกน อย่างนี้แน่ เพราะเขาจะโดนโต้ตอบ ด้วยสิ่งที่แรงกว่า หยาบกว่าได้ ข้าพเจ้าเหลือบ ไปมอง ญาติธรรม ที่คอยเดินคุ้มกัน ยังคงควบคุมตนเองได้อยู่ หนุ่มๆแน่นๆ กันทั้งนั้น ถ้ามีสักคน เดินปรี่เข้าไปหา ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น

เดินข้ามถนนเข้าสนามหลวง คนในบริเวณสนามหลวงยังไม่มาก บริเวณที่จะมีการพูดในค่ำนี้ยังโล่งๆ พ่อท่าน เดินนำ พวกเรา เข้าไปในเต็นท์ ตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งญาติธรรม ได้จัดเตรียมกางไว้รอ ล่วงหน้าแล้ว โดยมีกลุ่มของ พันธมิตรฯ อยู่เป็นแถว ขนานกันไป เมื่อขบวนของ กองทัพธรรม ผ่านเข้าไป มีเสียงปรบมือ ต้อนรับ ตลอดระยะ

อากาศช่วงบ่ายอย่างนี้ ประกอบกับการเดินฝ่าแดดมาใหม่ๆ ทำให้ร้อนเอามากๆ แต่ก็ยังดีที่เท้า ไม่ร้อนแล้ว นั่งพัก รอขบวนท้ายแถว ที่กำลังเดินตามมา สักครู่ใหญ่ ก็มาถึงกันหมด ทุกอย่างปลอดภัย รอความพร้อม ของพวกเราสักครู่

๑๓.๒๕ น. พ่อท่านเริ่มนำสวดมนต์ มีประชาชนที่อยู่รอบๆสนใจมายืนดู บางส่วนที่อยู่เต็นท์ข้างๆร่วมสวดมนต์ด้วย แต่หลายคนไม่ได้สวดอะไร

เสร็จจาก การสวดมนต์แล้ว ฆราวาสทั้งหมด ร่วมกันร้องเพลง คนสร้างชาติ โดยมีกลุ่มศิษย์เก่า สัมมาสิกขา เป็นแกนนำ ในการร้อง ญาติโยม ตามศูนย์อบรมต่างๆ ร่วมร้องเป็นเสียงหลักด้วย ต่อด้วยเพลง กองทัพพุทธธรรม

ไม่มีกิจกรรมใดๆต่อ ส่วนใหญ่ก็ยังคงนั่งอยู่ในเต็นท์ พ่อท่านเปรยให้ฝ่ายเสียงเปิดเพลง ฝ่าฟ้าสังคมฝัน เชือดนิ่มๆ สังคมใจเลือด แต่รถที่ตามมา ในการเดินธรรมยาตรา ไม่มีแผ่นเพลง เหล่านี้เลย มีแต่เพลงกองทัพพุทธธรรม เท่านั้น
พ่อท่านทักถามถึงเท้า ของหลายคน ที่อาจจะทนร้อนไม่ได้ ทำให้มีอาการพอง ก็ให้หายาทาได้

พล.ต.จำลอง ร่วมเดินธรรมยาตรา โดยไม่ใส่รองเท้าด้วย ยังคงนั่งร่วมกับญาติธรรม อยู่ในเต็นท์

๑๔.๑๕ น. ญาติธรรมช่วยกันกางซาแลนในช่วงต่อระหว่างเต็นท์ เพื่อให้มีพื้นที่นั่งได้มากขึ้น นอกจากนี้ ญาติธรรม ส่วนหนึ่ง กำลังช่วยกัน ขึงผ้าข้อความ ต่างๆ ที่พวกเราเขียนมา บริเวณรอบๆเต็นท์ กองสัมภาระของญาติธรรม วางกอง รวมกันไว้ก่อน เนื่องจาก ยังต้องใช้พื้นที่ ในการนั่ง ถ้าจะนอน จึงค่อยนำ สัมภาระ ออกมากางข้างๆ เต็นท์ มีกลุ่มคณะ ของคุณสนธิ หรือ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้เข้ามาช่วยกันทั้งขาย และแจกสิ่งของต่างๆ ส่วนหนังสือ ที่พวกเราได้ติดมา ก็เอามาแจกด้วย

๑๔.๔๒ น. อ.สุเทพ อัตถากร และ คุณวิทยา วิทยอำนวยคุณ เจ้าของหนังสือพิมพ์ เส้นทางเศรษฐกิจ ได้มากราบพ่อท่าน ขณะที่ คุณสุทธินันท์ จันทระ ได้บอกเล่าความเป็นมาของตน ที่ได้มารู้จักชาวอโศก แล้วบอกว่า ขอมาร่วมบุญด้วย จากนั้น ได้ร้องเพลง อย่างไพเราะ ให้ฟังกัน

อาจารย์สุเทพ ได้รับเชิญ ให้กล่าวอะไรกับ กองทัพธรรม ระบบเสียงไม่ดีเลย พอจับความได้ว่า เห็นความรักชาติ รักสังคม ของชาวอโศก และขอให้ คุณธรรม จริยธรรม กลับคืนมา จากนั้น ได้ร้องเพลง"สักวันหนึ่งดอกไม้บานสะพรั่ง" และ ขอให้ทุกคน ช่วยกันร้องด้วย บรรยากาศ ดูดีเหมือนกัน

หลังจากอาจารย์สุเทพและคุณวิทยาลาจากแล้ว อ.สมาน ศรีงาม ได้มากราบพ่อท่าน และสนทนาด้วยเล็กน้อย

ขณะนั้นมีผู้ส่งแผ่นกระดาษมาให้พ่อท่าน มีข้อความว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ได้นำทหารออกมาแล้ว (ยังไม่ทันไร มีเสียงตามมาว่า ข่าวลือเยอะ) เรื่องของ ข่าวลือ อาจจะเป็นความกลัว ของคนในสังคม ที่ไม่ไว้ใจฝ่ายอำนาจ เกรงว่า เขาจะลุแก่อำนาจ ใช้กำลังที่ไม่ควรจะใช้ กับผู้บริสุทธิ์ หรือฝ่ายอำนาจ ใช้เล่ห์ ปล่อยข่าวเพื่อขู่ผู้ชุมนุม ให้เกิด ความหวาดกลัว จะได้มาร่วมชุมนุมกันน้อยๆ เป็นการตัดกำลัง ของผู้ชุมนุม

๑๔.๕๙ น. เห็นชายมุสลิมคนหนึ่ง คุ้นๆว่าได้มาร่วมประท้วงเรื่องน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ที่หน้า ก.ล.ต.ด้วยกัน แต่ชื่ออะไรเราจำไม่ได้ เขามา กราบนมัสการ พ่อท่าน แล้วขยับไปคุยกับ คุณแซมดิน ก่อนไปคุยอะไรกับ พล.ต.จำลอง

๑๕.๐๒ น. คุณพิทยา ว่องกุล นักคิดนักเขียนที่มีชื่อคนหนึ่ง ได้มาพร้อมกับอาจารย์ขวัญดี ได้มากราบ และสนทนา ด้วยเล็กน้อย ก่อนลาไปทำกิจอื่น ขณะที่ คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ได้เข้าไปหา พล.ต.จำลอง

๑๕.๑๗ น. คุณชิงชัย มงคลธรรม ได้เดินเข้ามากราบพ่อท่าน แล้วจากไปญาติธรรมช่วยกันสร้างบรรยากาศ ผลัดกันขึ้น ร้องเพลง ท่ามกลางอากาศ ที่ระอุร้อน มีคนนอกมาขอร้องเพลงบ้าง ต่อด้วยกลุ่มหนุ่มสาว ศิษย์เก่า สัมมาสิกขา ร่วมกัน ขึ้นมาแสดงพลัง ร้องเพลง คนบ้านนอก เย้าว่าเป็นเพลง ที่ท่านนายกฯชอบ พยายาม จะฟังเนื้อ แต่ไม่รู้เรื่องเอาเลย แล้วต่อด้วยเพลงพิราบขาว

๑๕.๕๐ น. นักข่าว TV Nation ขอสัมภาษณ์ มีประเด็นที่ต่างไปจากข่าวอื่น คือถามว่า จะขึ้นเวทีพูดหรือไม่ "ไม่ได้ขึ้น ปราศรัยหรอก มันไม่เหมาะ แต่ถ้าจะให้เทศน์ก็ได้" พ่อท่านตอบ

๑๖.๒๖ น. นักเรียนเตรียมอุดมฯที่ออกแถลงการณ์บอกถึงความผิดของท่าน นายกฯทักษิณ ๑๔ ประการ ได้แวะมาดู กิจกรรม ของผู้ชุมนุม มีญาติธรรม พามากราบนมัสการ พ่อท่าน พ่อท่านแจกหนังสือให้ แล้วกล่าวชมว่า กล้าแสดงออกได้ดี

นักเรียนได้กล่าวว่า มาให้กำลังใจนะครับ และจะกลับไปปรึกษากับเพื่อนๆดู ถ้าท่านนายกฯ ยังไม่ทำ อย่างที่ได้ เรียกร้องไป ก็อาจจะมาร่วม ต่อสู้ด้วยครับ

พ่อท่าน : ดีมาก ขอบคุณ

๑๖.๓๕ น. ชายเริ่มจะสูงวัย อายุประมาณ ๖๐ บอกว่ามาจากอุดรธานี นั่งเครื่องบินมาร่วมชุมนุมด้วย มาร่วมเป็นกำลังใจ ให้กับผู้ที่ รักชาติ

TV ๑๑ และช่องอื่นๆ ได้ขอสัมภาษณ์ เนื้อหาการมาที่สนามหลวงเพื่ออะไร พ่อท่านได้กล่าวถึง ความเป็นกลาง ต้องเลือก ข้างคนถูก เหมือนอย่าง กรรมการฟุตบอล ต้องตัดสิน เมื่อมีผู้ทำผิดกติกา ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ถ้าเข้าข้างคนดี มันจะมีน้ำหนักมากเลย ถ้าไม่เลือกฝ่ายดี ฝ่ายถูก ฝ่ายดีก็จะอ่อนแรง เพราะมีคนเห็นด้วยน้อย

๑๖.๕๒ น. มีข่าวลือว่าท่านนายกฯทักษิณขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศแล้ว
๑๖.๕๓ น. มีโยมผู้เฒ่าได้มากราบนมัสการ แล้วกล่าวว่า ดีใจที่ท่านได้มาช่วย ไม่อย่างนั้นไม่ไหว
๑๗.๔๘ น. คุณวิชิต แสงทอง ได้มากราบนมัสการและสนทนาด้วย ทราบในภายหลังว่าเป็นอดีตอธิบดีกรมอะไร สักอย่าง
๑๘.๑๐ น. ญาติธรรมโทรมาจากอังกฤษ ถามข่าวด้วยความเป็นห่วง ขณะที่พระ ๔ รูป ไม่ทราบว่า มาจากวัดไหน เข้ามาร่วมนั่งกับ หมู่สมณะ ฟังรายการ ที่เวที

๑๘.๒๙ น. ผู้หญิงคนหนึ่ง เข้ามานมัสการแล้วแนะนำตัวเองว่าเป็นหมอ เคยพบและกราบพ่อท่านที่พังงา ตอนที่ได้ไปกับ ครูประทีป ขอเป็นลูกศิษย์ท่าน ด้วยนะคะ แต่ไม่ได้ใส่เสื้ออย่างนี้

มีข่าวลือว่า รมว.เกษตรสั่งทำฝนเทียม

๑๘.๓๐ น. ได้รับโน้ตจากท่านเด่นตะวันเขียนเล่ามาว่า มีพวกเราเดินเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงคนซุบซิบกันว่า ม็อบอโศกนี่ มีคุณภาพ อยู่กัน อย่างสงบ เรียบร้อย และช่วยเก็บขยะด้วย

๑๘.๕๐ น. คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้มากราบนมัสการพ่อท่าน "ตั้งใจมากราบพ่อท่านนานแล้ว ได้บอกพี่ลองว่า มีโอกาส ให้พามากราบ พ่อท่านหน่อย จะได้ไป ฟังธรรมพ่อท่านบ้างครับ"

พ่อท่าน : "ดี เอ้า เอาหนังสือไปอ่านก่อนได้เลย" (หยิบหนังสือส่งให้)

คุณสนธิ : "ได้ครับพ่อท่านครับ ...ก็เป็นบุญคุณแก่แผ่นดินที่พ่อท่านได้ออกมา ผมสู้ครั้งนี้ผมเอาธรรมนำหน้า (ดีมาก) ผมเอาธรรม พระพุทธเจ้านำหน้า"

พ่อท่าน : "อาตมาหมายอย่างนี้นะ ที่คุณสนธิจัดมา ๑๕ ครั้ง มันสงบ สันติ อหิงสา ตลอดมาเลย แล้วครั้งนี้ เป็นครั้ง สอบไล่ใหญ่ ถ้าเผื่อว่าสันติ อหิงสาได้ประสิทธิผล แล้วได้ชัยชนะ จะถือเป็น ประชาธิปไตย ที่สวยงามมากเลย จัดโอลิมปิก ๑๐ ครั้งแม้จะดังไปทั่วโลก ก็ไม่เท่าประชาธิปไตย ที่ชุมนุมต่อต้าน ให้ผู้นำประเทศ ออกไปได้ โดยสันติ อหิงสานี้ ถ้าไทยทำได้ จะเป็นประวัติศาสตร์ หน้าหนึ่ง ของโลกเลย อาตมาได้ขอร้องนักข่าวทุกคน ให้พยายามจุดสำนึกนี้ แก่คนไทยทุกคน (ครับผม) คนที่จุดชนวน ให้เกิดความรุนแรงขึ้นมา บาปนรกมหาศาลเลย ครั้งนี้อาตมาก็หวังอยู่ว่า จะสันติ อหิงสา"

คุณสนธิ : "ผมก็เชื่ออย่างนั้นครับ ยิ่งพ่อท่านออกมาอย่างนี้สำเร็จครับ ผมก็มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ก็อยากจะกราบพ่อท่าน เป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ อีกองค์หนึ่ง กระผมถือว่า ธรรมนี่ ใครก็ตาม ที่เอาธรรมที่ถูกต้องมา จะเป็นใครก็ตาม ผมก็ถือว่า เป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ผมได้ ทั้งสิ้นนะครับ ผมขออนุญาต ปวารณาเป็นลูกศิษย์ด้วยคนหนึ่ง"

พ่อท่าน : "เอาเถอะ"

"ผมขออนุญาตไปทำภารกิจต่อครับ" คุณสนธิได้กล่าวก่อนจากลาไปที่เวที

ต่อด้วยนักข่าว ลอสเองเจอลีสไทม์ ได้มาขอสัมภาษณ์

๑๙.๔๐ น. อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มาถึงได้มอบหนังสือส่งให้ แล้วพูดเย้าๆ พระมามารเลยแพ้ ก่อนเดินกลับไปที่เวที อาจารย์สุลักษณ์ ได้แนะนำชายอีกคนที่เดินตามมาด้วยว่า นี่คุณปรีชา เป็นนายทุนที่มาทำกุศล แล้วเดินจากไป

ดร.เทียนชัย วงษ์ชัยสุวรรณ และ คุณไชยวัฒน์ นามสกุลอะไรจำไม่ได้แล้ว เคยสมัครส.ส. ของพรรคพลังธรรม ที่ลำปาง เป็นนักคิดนักเขียนกลุ่มเดียวกับ ดร.เทียนชัย ทั้งสองได้มากราบและสนทนาด้วยเล็กน้อย

"นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สังคมไทยยังน่าภูมิใจที่ยังจะมีพระที่พึ่งได้ ยามมีวิกฤติ ประชาชนจะเห็นได้ว่าธรรมะพึ่งได้" คุณไชยวัฒน์ กล่าวก่อนขอตัวไปที่เวที

๒๐.๑๒ น. มีรายงานข่าวว่า มีพระออกมาตำหนิว่า กองทัพธรรมทำอย่างนี้ไม่ใช่พุทธ มีเหตุที่ทำให้ตระหนก ตื่นเต้น เมื่อมีรถ ปั่นกระแสไฟฟ้า เกิดมีไฟลุกไหม้ขึ้น มีควันโขมงขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงร้องบอกญาติธรรม อย่าเพิ่งตื่นตระหนก นั่งลงก่อน อย่าตกใจ อย่าวิ่ง ไม่เช่นนั้น จะชุลมุน ไม่มีอะไรมาก แค่ไฟฟ้าช้อต เท่านั้น ทุกคนสงบ นั่งกันนิ่ง เพียงแต่ หันไปมอง รถปั่นกระแสไฟฟ้า ที่กำลังถูกไฟไหม้ ลุกโหมขึ้นๆ ส่วนบรรยากาศ ก็สงบเรียบร้อย ไม่มีความชุลมุนเลย ไฟลุกโชน พวยพุ่งไหม้รถ อยู่นานพอควร กว่ารถดับเพลิง จะมาจัดการดับไฟลงได้สำเร็จ

พ่อท่านออกจากสนามหลวงกลับพุทธสถานประมาณ ๒๐.๓๐ น. โดยญาติธรรมชายเป็นการ์ด คอยคุ้มกัน ขอทาง แหวกผ่านฝูงคน ก่อนขึ้นรถ กว่าจะกลับถึงสันติอโศก ก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว

ที่สันติอโศก ขณะที่เรายังทำงานอยู่ในห้อง ได้รับโทรศัพท์จากคุณวิชาญ แจ้งว่านักข่าว ASTV แจ้งมาว่า สันติบาล จะมาสลาย กลุ่มผู้ชุมนุมคืนนี้

๒๗ ก.พ. ๒๕๔๙ คณะสมณะออกจากสันติอโศกตั้งแต่ตีห้า ไปบิณฑบาตสองสาย สายหนึ่งเริ่มจากปากคลองตลาด อีกสาย จากวัดสุทัศน์ คนใส่บาตรกันมาก มาถึงสนามหลวง ยังมีรายการข่าวที่เวที แต่ประชาชนส่วนใหญ่ กลับกันไปแล้ว เห็นญาติธรรมส่วนหนึ่ง กำลังเก็บกวาด ทำความสะอาด บริเวณที่ชุมนุม รอบๆสนามหลวง บางส่วน กำลังออกกำลังกาย ยืดคลายเส้น บางส่วนยังคงนอนพักในเต็นท์ เข้าใจว่า คงพักนอนกันไม่ได้เต็มที่ เพราะเสียงดัง ตลอดทั้งคืน อย่างนั้น

๐๘.๕๐ น. เสียงพิธีกรที่เวทีไม่ทราบชื่ออะไร กล่าวถึงสันติอโศกเป็นกลุ่มชุมชนที่เป็นตัวอย่างของเศรษฐกิจ พอเพียง ผู้ที่สนใจเข้าไปสนทนาด้วยได้ ส่วนผู้ใด ที่ได้ข้อมูลส่วนใดที่รับรู้ว่าไม่ดี ขอให้เปิดใจเป็นกลางเปิดรับด้วยนะครับ

พ่อท่าน นำไหว้พระสวดมนต์ โดยหันหน้ากราบไปทางวัดพระแก้ว ใช้เวลาสวดมนต์ยาวกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนการ แสดงธรรม ประมาณชั่วโมงเศษนิดหน่อย

หลังฉันอาหาร ที่เต็นท์เราอยู่กันยังคงมีนักข่าวและคนใหม่มาสนทนาบ้าง

บ่าย ไม่มีกิจกรรมอะไรเป็นจริงเป็นจังนัก มีคนออกมาร้องเพลงบ้าง บอกเล่าข่าวสารบ้าง มีรายการญาติธรรม เขียนคำถาม ให้พ่อท่านตอบ คล้ายเอื้อไออุ่น มีคำถามหนึ่ง ถามความรู้สึกของพ่อท่าน ตอนที่มีพระรูปหนึ่ง นำพวงมาลัย มาถวาย ขณะเดินธรรมยาตรา พ่อท่านเผยว่า ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร เหมือนจะเคย พบกันครั้งหนึ่ง แต่จำไม่ได้ ว่าที่ไหน

คุณสุทธินันท์ จันทระ ร้องเพลงประกอบการบอกเล่าประวัติของตน การเข้าสู่แวดวงการเมือง และได้มารู้จักอโศก

๑๘.๒๖ น. นักข่าว TV ๗ ได้มาขอสัมภาษณ์พ่อท่าน เนื่องจากมีข่าวว่าบรรดาพรรคร่วมฝ่ายค้าน ตัดสินใจ ไม่ส่งผู้สมัคร รับเลือกตั้ง เนื่องจาก รัฐบาลสั่งการเลือกตั้ง ไม่ชอบธรรม

หลังจากนักข่าวสัมภาษณ์แล้วไม่นานคุณสนธิได้มากราบนมัสการพ่อท่าน สนทนากันนิดหน่อย ก่อนที่คุณสนธิ จะขอตัว ไปที่หลังเวที เพื่อร่วมประชุมกับแกนนำ

พ่อท่านและหมู่สมณะกลับสันติอโศก ในเวลาสองทุ่ม

ประมาณห้าทุ่มเศษได้รับโทรศัพท์จากคุณแซมดินแจ้งเรื่องทางพันธมิตรฯเคลื่อนขบวนไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปแสดงคารวะ แล้วกลับมา ที่สนามหลวง พวกเราส่วนใหญ่อยู่ที่สนามหลวง บางส่วนที่ร่วม ไปอนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย ด้วย เหตุการณ์ปลอดภัย ไม่มีอะไรร้ายแรง

๒๘ ก.พ. ๒๕๔๙ ที่สนามหลวง ญาติธรรมส่วนหนึ่งกำลังเก็บกวาดทำความสะอาดบริเวณสถานที่ อีกส่วนหนึ่ง กำลังบริหารกาย อีกส่วนหนึ่ง กำลังนั่งดูข่าว จากทีวี พ่อท่านเข้าไปร่วมนั่งดูข่าวด้วย สักครู่ พล.ต.จำลอง และแกนนำ กองทัพธรรม ได้ช่วยกันมาบอกเล่า สถานการณ์ ให้พ่อท่านได้ทราบ คุณขวัญดิน รายงานว่า ทางวัดมหาธาตุ มีท่าที ไม่ต้อนรับพวกเรา ที่ไปเข้าห้องน้ำ พล.ต.จำลอง ได้บอกเล่าเรื่อง อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ได้ออกมาบอก ให้ท่านนายกฯ เว้นวรรค ทำให้ศูนย์คุณธรรม อาจจะตกงานแล้ว

ก่อน ๘ นาฬิกา ประชุมแบ่งงานเตรียมขนของกลับ เพื่อนัดหมายมาชุมนุมกันใหม่ ๕ มี.ค.

๐๘.๐๐ น. เริ่มสวดมนต์ไหว้พระก่อนการแสดงธรรม เนื้อหาเน้นเรื่องความเป็นกลางของพุทธ และได้เอาข้อเขียน ที่ลง เราคิดอะไร เกี่ยวกับ ความเป็นกลาง มาอ่านประกอบ การอธิบาย

ช่วงท้ายของการแสดงธรรม "ขออ้อนวอนผู้ที่เป็นผู้ใหญ่กรุณาออกมาเข้าข้างฝ่ายดี เพราะท่านมีน้ำหนักต่อสังคม ไม่เช่นนั้นสังคมจะเสียหาย อ้อนวอน ท่านผู้ใหญ่ด้วย และขอแรงชาวอโศกที่เห็นอยู่ว่าน่าจะเข้าข้างฝ่ายไหนก็ควรมาได้ มาฝึกบ้าง อย่าขี้กลัวนัก" พ่อท่านกล่าว

ขณะกำลังรอตักอาหาร พ่อท่านให้ข่าว ที่ธรรมศาสตร์มีการตั้งโต๊ะให้ไปร่วมลงชื่อ เพื่อขอให้มีนายกฯพระราชทาน พ่อท่านให้ญาติธรรม ที่มีสิทธิ ไปร่วม ลงชื่อด้วยได้ แต่สำหรับสมณะและสิกขมาตุ ไม่สามารถร่วมลงชื่อได้ เพราะเลือกตั้ง ที่ผ่านๆมาไม่ได้ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง แม้จะมีบัตรประชาชน แต่เราก็ยังถือว่า เราเป็นนักบวช จึงไม่ได้ไปใช้สิทธินี้

อาจารย์ขวัญดีช่วยประสานไปที่ มธ. เพื่ออำนวยความสะดวกให้พวกเราได้ร่วมลงชื่อกับนักศึกษา จะเอาแบบกรอก เขียนชื่อมาให้ แล้วให้ทางเรา จัดการกับหลักฐานเอง เนื่องจากทางเรามีเครื่องถ่ายเอกสารด้วย ญาติธรรม ที่ต้องการ ร่วมลงชื่อด้วย ให้มาถ่ายเอกสารกันได้

หลังฉันอาหารแล้ว ญาติธรรมช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดบริเวณสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ ก็ขนกันขึ้นรถ ไปเก็บไว้ที่สันติอโศก มีประชาชนยังนำของมาบริจาคทั้งสิ่งของ อาหาร และเงิน

ก่อนออกเดินทางกลับสันติอโศก มีนักข่าวทั้งหนังสือพิมพ์และวิทยุขอสัมภาษณ์ ไม่มีทีวี ครู่ต่อมา มีญาติธรรมโทรมา แต่ไม่ยืนยัน แหล่งข่าวว่า ทหารจากป่าหวาย เคลื่อนตัวเข้ากรุง เตรียมสลายการชุมนุม

๑๘.๐๐ น. ที่สันติอโศก มีการประชุมสรุปการไปร่วมชุมนุม

ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ด้วยคำกล่าวอธิษฐานก่อนการแสดงธรรมเกี่ยวกับความเป็นกลาง ๒๘ ก.พ. ๒๕๔๙ ที่สนามหลวง ดังนี้ "คนที่ได้ผ่านเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ของแต่ละบุคคล ก็เป็นวิบากหรือเป็นบุญเป็นบาปของแต่ละบุคคล เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เหตุการณ์บาป เป็นเหตุการณ์บุญ เพราะพวกเราทำด้วยสติสัมปชัญญะ ปัญญา และ ได้มีการพิจารณา วิจัยวิจารณ์กันตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างที่เป็นเหตุปัจจัยพร้อม และได้มีวิจารณญาณ ตัดสินว่า เราจะมา ทำสิ่งนี้ โดยกุศลเจตนาและอาตมาก็เห็นว่า มันเป็นบุญที่สำคัญมาก เป็นเหตุการณ์ที่มนุษย์จะพึงมีพึงได้ ซึ่งเป็นกุศลกรรม เป็นกุศลวิบาก อันเป็นทรัพย์แท้ที่ควรสะสมของแต่ละคน เพราะเป็นของของตนจริงๆ กัมมัสสกะ ที่ติดตัวคน ผู้ทำกรรม นั้นๆไป ชาติแล้วชาติเล่า ชาตินี้ชาติหน้าชาติไหนๆอีกตลอด

แม้เราจะผ่านเหตุการณ์ ช่วยสังคมมนุษยชาติ ประเทศชาติ พร้อมกันนั้นเราก็ได้มาปฏิบัติธรรม มาพิสูจน์ตนเอง ว่าการสอบ การตรวจสอบตนเอง ที่จะผ่าน เหตุการณ์เช่นนี้ มีอุปสรรค มีผัสสะต่างๆ มีความอดทน มีการได้ทำใจในใจ มนสิการ มีการเรียนรู้ ฝึกฝน ขัดเกลา ซึ่งเมื่อเราทำก็ได้ประโยชน์ตนด้วย และเป็นประโยชน์ ในสังคมมนุษย์ชาติ อย่างยิ่ง แต่ละคน ก็ตั้งจิตตั้งใจเอา อธิษฐานคือการตั้งจิตตั้งใจ ผู้ที่ตั้งจิตตั้งใจอยู่เสมอ จิตก็จะแข็งแรง จิตก็จะมี กำลังของตนๆ แต่ละคน อินทรีย์พละจะสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศรัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ หรือ ปัญญินทรีย์ ก็จะพัฒนาขึ้นไป ตามลำดับๆๆ ขอให้ทุกคนพึงสำนึกตนเองและเก็บเอาประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเถิด"

- รักข์ราม. -
๑๖ พ.ค. ๒๕๔๙

อ่านบันทึกจากปัจฉาสมณะ ตอนถัดไป ในสารอโศก ฉบับที่ 294

}