แถลง
นวัตกรรมของการต่อสู้ทางการเมือง....
ชนะกันด้วยความสงบ (สันตาภิวัฒน์)

จะชนะไหม ? จะจบกันอีท่าไหน? นับเป็นคำถามยอดฮิต ที่เข้าหาพ่อท่านฯ อยู่ตลอดเวลา คำตอบจากหนังสือ "เปลี่ยนแปลงไม่ได้ การเมืองใหม่ไม่เกิด" พิมพ์เมื่อ ตุลาคม ๒๕๕๑ ให้ อรรถาธิบายไว้ว่า "เมืองไทยทำสงคราม ต่างแย่งชิงเก็บคะแนน ให้ตนเอง ด้วยการใช้สันตาวุธ ความสงบ อหิงสา ไม่รุนแรง นี่แหละคือ สันตาภิวัฒน์ ซึ่งสงครามชิงธงสันติคราวนี้ คะแนนของ ตุลาการภิวัฒน์ก็ดี ประชาภิวัฒน์ก็ตาม ทำให้ประชาชนเลือกข้าง เลือกฝ่าย สุดท้ายก็ออกมา ออกมาๆๆๆ เป็นประชามติ ให้ คะแนนชี้ผลคำตอบ ตัดสิน แพ้ชนะ...ชัดขึ้นๆๆ

คุณดูลีลาของคณะรัฐบาลสิ ขณะนี้ยังไม่หมดท่า แต่เสียท่าๆๆๆไปเรื่อยๆ คุณว่ามั้ย เอาล่ะพันธมิตรฯ ก็มีเสียท่าบ้าง แต่บวก ลบคูณหารกันแล้ว ใครเสียท่ามากกว่ากัน นี่แหละ มันจะดำเนินไปเป็นประชาภิวัฒน์ จนสุดท้าย หมดท่า นี่คือตัวจบ สุดท้ายตัว เองแอ้งแม้งหงายเก๋ง หมดท่าด้วยพลังสงบ พลังความถูกต้อง มันไม่ได้เผด็จศึกด้วยอาวุธ ด้วยอำนาจข่มเบ่ง ความรุนแรง ตีทุบอะไร (ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นในโลกนี้) มันเป็นเรื่องหมดท่า เพราะได้เสียท่า จนสุดท้าย มหาประชาชนจะร้องเฮ ตะโกนว่า....

นั่นหมดท่าแล้ว!! (ขนาดนายกฯต้องหนีซมซานไปกบดานที่เชียงใหม่ และถูกตุลาการภิวัฒน์ตัดสิน ให้แพ้ในที่สุด นั่นคือเส้นชัย ของพันธมิตรฯ ที่นายสมชายต้องลาออก และไม่แก้รัฐธรรมนูญ)

จุดสำคัญของเผด็จการทุกยุคทุกสมัยที่สืบทอดกันมา นั่นก็คือ "การไม่ฟังเสียงประชาชน" หลายๆคนประทับใจ บทบาทลีลา ที่นุ่มนวล ของลุงจำลอง ในช่วงสุดท้าย ที่แกนนำต้องแบ่งกันไปรักษาฐานที่มั่นถึง ๔ แห่ง ทำให้ลุงต้องกลายเป็น จุดศูนย์กลาง ที่เวทีทำเนียบ ช่วงขณะโกลาหล บนเวที ที่มีการสั่งการกันไป คนละทิศคนละทาง ลุงต้องขออภัยแต่ละคนๆ อย่างสุภาพนุ่มนวล แล้วค่อยๆ แก้ไขให้เข้าที่เข้าทางกัน ความนิ่ง และ ความสงบของผู้นำ บ่งบอกสัญญาณแห่งชัยชนะได้ปรากฏแล้ว

ขุมทรัพย์อย่างสำคัญที่ชาวอโศกมักได้รับกันนั่นก็คือ....ดี๊ดีเสียจนไม่ดี! นั่นแปลว่า ดีจนหลงดี จนกระทั่ง ไม่ฟังใครๆ ซึ่งการฟังคน อื่นนั้น เป็นหัวใจสำคัญ ของสัมมาทิฐิๆ เปรียบดังกระดุมเม็ดแรก ของมรรค ๘ หากติดกระดุมผิด ตั้งแต่เม็ดแรกแล้ว ที่เหลือนอกนั้น ก็ย่อมผิดไปตามๆกัน

ในงานมหาปวารณาปีนี้ พ่อท่านได้เฉลย เหตุที่ทำให้พวกเราไม่บรรลุธรรม กันเสียที นั่นก็เพราะ "ไม่มีญาณตัวเก่ง" ที่สามารถ อ่านอาการ อารมณ์ของกิเลสว่า มันลดได้ มันจางคลาย มันเบาว่าง จนอ่านได้ถึงวิมุตติรส ญาณตัวเก่งนี้ ได้มีการฝึกฝน ให้หัดอ่านอารมณ์ หัดอ่านสภาวะได้มากขึ้น ได้รู้ของจริง จนชำนาญขึ้นๆ เมื่อมีผัสสะ มากระทบกระทั่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็สามารถอ่านละเอียดได้ถึง จิต เจตสิก และเจโตวิมุติ ที่ตนมีอยู่ แต่ก่อนที่จะ ทะลุทะลวง ถึงขั้นมี"ญาณตัวเก่ง" จนอ่านตัวเองออก ก็ควรจะได้ฝึกฝน ด้วยความนอบน้อม ยอมให้คนอื่นบอกได้ว่าได้เสียก่อน นั่นก็คือ "ญาณตัวเก่ง" กำลังสอง ที่จะส่องกิเลส เราได้อย่าง คม-ชัด-ลึก แถมยินดี บริการให้ฟรีๆ อีกต่างหาก!

คณะผู้จัดทำ

สารอโศก อันดับ ๓๑๐ กันยา-ตุลา ๒๕๕๒