รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ----------------------------------------- สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า โดยที่หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้ กระทำ การยึดอำนาจ การปกครองแผ่นดิน เป็นผลสำเร็จ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ได้นำความ กราบบังคมทูลว่า เหตุที่ทำการยึดอำนาจ และ ประกาศ ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย เสียนั้น ก็โดยปรารถนา จะแก้ไข ความเสื่อมศรัทธา ในการบริหาร ราชการแผ่นดิน ความไร้ประสิทธิภาพ ในการควบคุม การบริหาร ราชการแผ่นดิน และการตรวจสอบ การใช้อำนาจรัฐ ทำให้เกิด การทุจริต และ ประพฤติมิชอบขึ้น อย่างกว้างขวาง โดยไม่อาจหาตัว ผู้กระทำความผิด มาลงโทษได้ อันเป็นวิกฤตการ ร้ายแรง ทางการเมือง การปกครอง และ ปัญหาความขัดแย้ง ในมวลหมู่ประชาชน ที่ถูกปลุกปั่น ให้แบ่งแยก เป็นฝักเป็นฝ่าย จนเสื่อมสลาย ความรู้รักสามัคคี ของชนในชาติ อันเป็น วิกฤตการณ์ ความรุนแรง ทางสังคม แม้หลายภาคส่วนจะได้ใช้ความพยายามในการแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าวแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล กลับมีแนวโน้มว่า จะทวี ความรุนแรง ยิ่งขึ้น จนถึงขั้นใช้กำลัง เข้าปะทะกัน ซึ่งอาจมีการสูญเสียแก่ชีวิต และเลือดเนื้อได้ นับว่า เป็นภยันตราย ใหญ่หลวง ต่อระบบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ และความสงบเรียบร้อยของประเทศ จำเป็นต้อง กำหนดกลไก ทางปกครอง ที่เหมาะสม แก่สถานการณ์ เพื่อใช้ไปพลางก่อน โดยคำนึงถึงหลัก นิติธรรม ตามประเพณี การปกครอง ของประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตย อันมี พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข การฟื้นฟู ความรัก ความสามัคคี ระบบเศรษฐกิจ และความสงบ เรียบร้อยของบ้านเมือง การเสริมสร้าง ระบบ การตรวจสอบทุจริต ที่เข้มแข็งและ ระบบจริยธรรมที่ดีงาม การส่งเสริม และคุ้มครอง สิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน การปฏิบัติตาม กฎบัตร สหประชาชาติ พันธกรณีตามสนธิสัญญา หรือ ความตกลง ระหว่าง ประเทศ การส่งเสริม สัมพันธไมตรี กับ นานา ประเทศ การดำรงชีวิต ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ขณะเดียวกันก็เร่งดำเนินการให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางจาก ประชาชน ในทุกขั้นตอน เพื่อให้การเป็นไป ตามที่คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ได้นำความ กราบบังคมทูล จึงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้ใช้บทบัญญัติ ต่อไปนี้ เป็นรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) จนกว่าจะได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ที่จะได้ จัดทำร่างขึ้น และนำขึ้นทูลเกล้า ทูลกระหม่อมถวาย มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย องค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะ อันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิด มิได้ และจะกล่าวหา หรือฟ้องร้อง ในทางใดๆ มิได้ มาตรา ๒ อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางสภานิติ บัญญัติ แห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา ๓ ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และ ความเสมอภาค บรรดาที่ ชนชาวไทย เคยได้รับ ความคุ้มครอง ตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข และตามพันธกรณี แห่งประเทศ ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับ การคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา ๔ พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งประธานองคมนตรีคนหนึ่ง และองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน สิบแปด คน ประกอบเป็น คณะองคมนตรี การเลือกตั้ง การแต่งตั้ง และการพ้นจากตำแหน่งองคมนตรี และองคมนตรีอื่น ให้เป็นไปตาม พระราชอัธยาศัย ให้ประธาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนอง พระบรมราชโองการ แต่งตั้ง ประธาน องมนตรี และให้ประธาน องคมนตรี เป็นผู้ลงนาม รับสนอง พระบรมราชโองการ แต่งตั้ง องคมนตรีอื่น มาตรา ๕ ให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่เกินสองร้อยห้าสิบคนคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้ง จาก ผู้มีสัญชาติไทย โดยกำเนิด และมีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ในการสรรหาบุคคล เพื่อแต่งตั้ง เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้คำนึงถึง บุคคล จากกลุ่มต่างๆ ในภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการ จากภูมิภาคต่างๆ อย่างเหมาะสม ในกรณีที่ มีกฎหมาย ห้ามมิให้บุคคล ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง มิให้นำกฎหมายนั้น มาใช้บังคับ แก่การได้รับ ตำแหน่ง แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มาตรา ๖ สมาชิกภาพของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติสิ้นสุดลงเมื่อ มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นประธานสภาคนหนึ่ง และเป็นรอง ประธานสภา คนหนึ่ง หรือหลายคน ตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้นำความในมาตรา ๖ มาใช้บังคับ แก่การพ้นจากตำแหน่งประธานสภา คนหนึ่ง และเป็นรองประธานสภา นิติบัญญัติแห่งชาติด้วย โดยอนุโลม ให้ประธานองคมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนาม รับสนอง พระบรมราชโองการ แต่งตั้งสมาชิก สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ และการแต่งตั้งประธานสภา และรองประธานสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ มาตรา ๘ ในกรณีที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติผู้ใดกระทำการอันเป็นการ เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ ของการเป็น สมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ มีพฤติการณ์ อันเป็นการขัดขวางต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ สมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน ไม่น้อยกว่ายี่สิบคน มีสิทธิ์เข้าชื่อ ร้องขอต่อ ประธานสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อให้ผู้นั้น พ้นจาก สมาชิกภาพ มติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้สมาชิก พ้นจาก สมาชิกภาพ ตามวรรคหนึ่ง ต้องมีคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่า สอง ใน สาม ของจำนวน สมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ ในวันลงคะแนน มาตรา ๙ การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก ทั้งหมด จึงจะเป็น องค์ประชุม สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจตราข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือก และการปฏิบัติหน้าที่ ของประธานสภา รองประธานสภา และ กรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอ และพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติ การอภิปราย การลงมติ การตั้ง กระทู้ถาม การรักษาระเบียบ และความเรียบร้อย และกิจการอื่น เพื่อดำเนินการ ตามอำนาจหน้าที่ มาตรา ๑๐ พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชบัญญัติโดยคำแนะนำ และยินยอมของสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ ภายใต้บังคับ มาตรา ๓๐ วรรคหนึ่ง ร่างพระราชบัญญัติ จะเสนอได้ก็แต่โดย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกัน จำนวน ไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าคน หรือ คณะรัฐมนตรี แต่ร่างพระราชบัญญัติ เกี่ยวด้วยการเงิน จะเสนอได้ ก็แต่โดย คณะรัฐมนตรี ร่างพระราชบัญญัติ เกี่ยวด้วยการเงิน ตามวรรคสอง หมายความถึง ร่างพระราชบัญญัติ ว่าด้วย ข้อความ ดังต่อไปนี้ ทั้งหมด หรือแต่อย่างหนึ่ง อย่างใด กล่าวคือ การตั้งขึ้น ยกเลิก ลด เปลี่ยนแปลง แก้ไข ผ่อน หรือวางระเบียบ การบังคับ อันเกี่ยวกับภาษี หรืออากร การจัดสรร รับ รักษา จ่าย โอน หรือ ก่อภาระ ผูกพัน แผ่นดิน การลดรายได้ แผ่นดิน การกู้เงิน การค้ำประกัน หรือ การใช้เงินกู้ หรือร่างพระราชบัญญัติ ว่าด้วย เงินตรา ในกรณี เป็นที่ สงสัยว่า ร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งสมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้เสนอ จะเป็นร่าง พระราชบัญญัติ เกี่ยวเนื่อง การเงินหรือไม่ ให้เป็นอำนาจของ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่จะวินิจฉัย มาตรา ๑๑ ในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกทุกคนมีสิทธิ์ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในเรื่องใด อันเกี่ยวกับงาน ในหน้าที่ใด แต่รัฐมนตรี ย่อมมีสิทธิ์ ที่จะไม่ตอบ เมื่อเห็นว่าเรื่องนั้น ยังไม่ควรเปิดเผย เพราะเกี่ยวกับ ความปลอดภัย หรือ ประโยชน์สำคัญ ของแผ่นดิน หรือเมื่อเห็นว่า เป็นกระทู้ที่ต้องห้าม ตามข้อบังคับ ในกรณีมีปัญหาสำคัญ สมาชิกสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน ไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคน จะเข้าชื่อเสนอญัตติ ขอเปิดอภิปราย เพื่อซักถาม ข้อเท็จจริง จากคณะรัฐมนตรีก็ได้ แต่จะลงมติ ไว้วางใจ หรือ ไม่ไว้วางใจไม่ได้ มาตรา ๑๒ ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรี เห็นสมควรจะรับฟัง ความคิดเห็น ของสมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี จะแจ้งไปยังประธาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขอให้มี การเปิด อภิปราย ทั่วไป ในที่ประชุมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ จะลงมติในปัญหา ที่อภิปรายมิได้ มาตรา ๑๓ ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใดๆ ในทางแถลงข้อเท็จจริง หรือ แสดง ความคิดเห็น หรือ ออกเสียง ลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด จะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้อง ว่ากล่าวผู้นั้น ทางใดมิได้ เอกสิทธิ์ ที่บัญญัติไว้ ในวรรคหนึ่ง ให้คุ้มครองถึง กรรมาธิการของสภา ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา รายงาน การประชุม โดยคำสั่งของ สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ หรือ คณะกรรมาธิการ บุคคลซึ่งประธานในที่ประชุม อนุญาตให้ แถลงข้อเท็จจริง หรือ แสดงความคิดเห็น ในที่ประชุม สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ ตลอดจน ผู้ดำเนิน การถ่ายทอด การประชุม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทางสถานีวิทยุ กระจายเสียง หรือ วิทยุโทรทัศน์ที่ ได้รับอนุญาต จากประธาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย แต่ไม่คุ้มครอง สมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้กล่าว ถ้อยคำ ในการประชุม ที่มีการถ่ายทอด ทางวิทยุกระจายเสียง หรือ วิทยุโทรทัศน์ หากถ้อยคำ ที่กล่าว ในที่ประชุม ไปปรากฏ นอกบริเวณ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และการกล่าว ถ้อยคำนั้น มีลักษณะ เป็นความผิดอาญา หรือ ละเมิดสิทธิ์ ในทางแพ่ง ต่อบุคคลอื่น ซึ่งมิใช่ รัฐมนตรี หรือ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในกรณีที่สมาชิก สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ ถูกควบคุม หรือขัง ให้สั่งปล่อย ในเมื่อประธาน สภานิติบัญญัติ แห่งชาติร้องขอ หรือ ในกรณี ถูกฟ้อง ในคดีอาญา ให้ศาลพิจารณาคดี ต่อไปได้ เว้นแต่ ประธาน สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ ร้องขอ ให้งด การพิจารณาคดี มาตรา ๑๔ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง และรัฐมนตรีอื่นอีกจำนวนไม่เกินสามสิบห้าคน ตามที่นายก รัฐมนตรี ถวายคำแนะนำ ประกอบเป็น คณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ทรงไว้ ซึ่งพระราชอำนาจ ในการให้ นายกรัฐมนตรี พ้นจาก ตำแหน่ง ตามที่ประธาน คณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ ถวายคำแนะนำ และให้รัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่ง ตามที่ นายกรัฐมนตรี ถวายคำแนะนำ การแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรี และ การให้นายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่ง ให้ประธาน คณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนาม รับสนอง พระบรมราชโองการ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี จะดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรรมาธิการ ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในขณะเดียวกันมิได้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี มีสิทธิ์ เข้าร่วมประชุม ชี้แจง แสดงความคิดเห็น ในที่ประชุม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง ลงคะแนน มาตรา ๑๕ ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความปลอดภัยของ ประเทศ ความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ ของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือเมื่อมีความจำเป็น ต้องมีกฎหมาย เกี่ยวกับ การภาษี อากร หรือเงินตรา ที่ต้องพิจารณาโดยด่วน และลับ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ ซึ่งพระราชอำนาจ ในการตรา พระราชกำหนด ให้ใช้บังคับ ดังเช่น พระราชบัญญัติ เมื่อได้ประกาศใช้ พระราชกำหนดแล้ว ให้คณะรัฐมนตรี เสนอพระราชกำหนด ต่อสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ โดยไม่ชักช้า ถ้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อนุมัติแล้ว ให้พระราชกำหนดนั้น มีผลใช้บังคับ เป็นพระราชบัญญัติต่อไป ถ้าสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ ไม่อนุมัติ ให้พระราชกำหนดนั้น ตกไป แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือน กิจการที่ได้เป็นไป ในระหว่าง ที่ใช้พระราชกำหนดนั้น เว้นแต่พระราชกำหนดนั้น มีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิก บทบัญญัติ แห่งกฎหมายใด ให้บทบัญญัติ แห่งกฎหมาย ที่มีอยู่ก่อน การแก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิก มีผลใช้บังคับต่อไป ตั้งแต่วันที่ การไม่อนุมัติ พระราชกำหนดนั้น มีผลบังคับ การอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ พระราชกำหนด ให้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา ในกรณี ไม่อนุมัติ ให้มีผล ตั้งแต่ วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๖ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกา โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย มาตรา ๑๗ บรรดาบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการใดๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีนายก รัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรี เป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่รัฐธรรมนูญนี้ จะบัญญัติไว้ เป็นอย่างอื่น มาตร ๑๘ ผู้พิพากษา และตุลาการ มีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ในพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์ ให้เป็นไป โดยเที่ยงธรรม ตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา ๑๙ ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยสมาชิก ซึ่งทรงพระกรุณา โปรดเกล้า โปรดกระหม่อม แต่งตั้ง ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ มีจำนวนหนึ่งร้อยคน พระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้ง สมาชิกสภา ร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประธาน สภาร่างรัฐธรรมนูญ คนหนึ่ง และ รองประธาน สภาร่างรัฐธรรมนูญ อีกไม่เกินสองคน ตามมติของ สภาร่างรัฐธรรมนูญ ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้งประธานสภา และ รองประธาน สภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ ต้องไม่เป็น หรือเคยเป็นสมาชิก พรรคการเมือง หรือ ดำรงตำแหน่งใด ในพรรคการเมือง ภายใน เวลา ๒ ปี ก่อนวัน ได้รับการคัดเลือก ให้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และต้อง ไม่ดำรงตำแหน่ง สมาชิก สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ ในขณะเดียวกัน ให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการของสภา ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา รายงาน การประชุม โดยคำสั่ง ของสภา ร่างรัฐธรรมนูญ หรือคณะกรรมาธิการ บุคคลซึ่งประธานในที่ประชุม อนุญาต ให้แถลง ข้อเท็จจริง หรือ แสดงความคิดเห็น ในที่ประชุม สภาร่างรัฐธรรมนูญ และผู้ดำเนินการ ถ่ายทอด การประชุม สภาร่าง รัฐธรรมนูญ ทางวิทยุ กระจายเสียง หรือ วิทยุ โทรทัศน์ ที่ได้รับอนุญาต จากประธานสภา ร่างรัฐธรรมนูญ ได้รับเอกสิทธิ์ และ ความคุ้มกัน ตามที่บัญญัติไว้ ในมาตราที่ ๑๓ เช่นเดียวกับ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้นำมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับ แก่องค์ประชุม ของสภาร่างรัฐธรรมนูญ และให้นำ ข้อบังคับ ของสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ มาใช้บังคับ แก่การประชุม สภาร่างรัฐธรรมนูญด้วย โดยอนุโลม มาตรา ๒๐ ให้มีสมัชชาแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิก ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งจาก ผู้มีสัญชาติไทย โดยกำเนิด อายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี มีจำนวนไม่เกินสองพันคน ให้ประธานคณะมนตรี ความมั่นคง แห่งชาติ เป็นผู้ลงนาม รับสนอง พระบรมราชโองการแต่งตั้ง สมาชิก สมัชชาแห่งชาติ ตามวรรคหนึ่ง ให้นำความ ในมาตรา ๕ วรรคสามและวรรคสี่ มาใช้บังคับ แก่การสรรหา บุคคล และ การได้รับการแต่งตั้ง เป็นสมาชิก สมัชชาแห่งชาติด้วย โดยอนุโลม มาตรา ๒๑ ในการประชุมสมัชชาแห่งชาติ ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานสมัชชา แห่งชาติ และ รองประธาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รองประธานสมัชชาแห่งชาติ การประชุมสมัชชาแห่งชาติ และ วิธีการคัดเลือก สมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามที่ ผู้ทำหน้าที่ ประธานสมัชชาแห่งชาติ กำหนด มาตรา ๒๒ ให้สมัชชาแห่งชาติ มีหน้าที่คัดเลือกสมาชิกด้วยกันเอง เพื่อจัดทำบัญชีรายชื่อ ผู้สมควรได้รับ การโปรดเกล้า แต่งตั้ง เป็นสมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ มีจำนวนสองร้อยคน ให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดวัน นับแต่ วันเปิดประชุม สมัชชาแห่งชาติ ครั้งแรก และ เมื่อได้คัดเลือก สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้ว หรือ เมื่อครบ กำหนด เวลาแล้ว ยังไม่อาจคัดเลือก ได้ครบถ้วน ให้สมัชชาแห่งชาติ เป็นอันสิ้นสุดลง การคัดเลือกตามวรรคหนึ่ง ให้สมาชิก สมัชชาแห่งชาติ มีสิทธิเลือกได้คนไม่เกินสามรายชื่อ และให้ผู้ได้ คะแนนเสียง สูงสุด เรียงไปตามลำดับ จนครบสองร้อยคน เป็นผู้ได้รับเลือก ในกรณีที่มีคะแนนเสียง เท่ากัน ในลำดับใด อันจะทำให้มี ผู้ได้รับเลือก เกินสองร้รอยคน ให้ใช้วิธีจับสลาก มาตรา ๒๓ เมื่อได้รับบัญชีรายชื่อที่ได้รับการคัดเลือกจากสมัชชาแห่งชาติแล้วให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ คัดเลือก บุคคล ตามบัญชีรายชื่อ ดังกล่าว ให้เหลือหนึ่งร้อยคน และนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ สมัชชาแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ ไม่แล้วเสร็จ ภายใน กำหนดเวลา ตามมาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง ให้คณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ เลือกสมาชิก สมัชชาแห่งชาติ จำนวนหนึ่งร้อยคน เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อนำความ กราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนาม รับสนอง พระบรมราชโองการ แต่งตั้ง สมาชิก สภาร่าง รัฐธรรมนูญ ให้นำความในมาตรา ๕ วรรคสี่ มาใช้บังคับ แก่การได้รับ แต่งตั้ง เป็นสมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการ ตามมาตรา ๒๕ ด้วยโดยอนุโลม มาตรา ๒๔ ในระหว่างที่สภาร่างรัฐธรรมนูญยังปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญนี้ไม่แล้วเสร็จ หากมีสมาชิก สภาร่าง รัฐธรรมนูญ พ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ให้ประธานคณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ คัดเลือก บุคคล จากบัญชีรายชื่อ ตามมาตรา ๒๒ ที่เหลืออยู่ หรือจากบุคคล ที่เคยเป็น สมาชิก สมัชชาแห่งชาติ แล้วแต่กรณี เพื่อนำความ กราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณา โปรดเกล้า โปรดกระหม่อม แต่งตั้ง เป็นสมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ มีตำแหน่งว่าง ในระหว่าง ที่ยังมิได้แต่งตั้ง สมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ แทนตำแหน่งที่ว่าง ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย สมาชิก เท่าที่เหลืออยู่ มาตรา ๒๕ ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นหรือมิได้เป็น สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับการคัดเลือก ตามมติของสภา จำนวนยี่สิบห้าคน และ ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็น หรือมิได้เป็นสมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน สิบ คน ตามคำแนะนำ ของประธาน คณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนด ในพระราชกฤษฎีกา มาตรา ๒๖ เมื่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วให้จัดทำ คำชี้แจงว่า ร่างรัฐธรรมนูญ ที่จัดทำ ขึ้นใหม่นั้น มีความแตกต่างกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ในเรื่องใด พร้อมด้วยเหตุผล ในการแก้ไข ไปยัง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ องค์กร และบุคคล ดังต่อไปนี้ เพื่อพิจารณา และเสนอความคิดเห็น (๑) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารชี้แจงตาม วรรคหนึ่ง ให้ประชาชน ทั่วไปทราบ ตลอดจนส่งเสริม และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น จากประชาชน ประกอบด้วย มาตรา ๒๗ เมื่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้รับร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารตามมาตรา ๒๖ แล้ว หากประสงค์ จะแปรญัตติ แก้ไขเพิ่มเติม ให้กระทำได้ เมื่อมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ลงชื่อรับรอง ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบ ของจำนวน สมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีอยู่ และต้องยื่นคำขอแปรญัตติ พร้อมทั้งเหตุผล ก่อนวัน นัดประชุม สภาร่าง รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๒๘ สมาชิก ที่ยื่นคำขอ แปรญัตติ หรือ ที่ให้คำรับรอง คำแปรญัตติ ของสมาชิก อื่นแล้ว จะยื่นคำขอแปรญัตติ หรือ รับรอง คำแปรญัตติ ของสมาชิกอื่นใด อีกไม่ได้ มาตรา ๒๘ เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวัน นับแต่วันที่ส่งเอกสารตามมาตรา ๒๖ ให้คณะกรรมาธิการ ยกร่าง รัฐธรรมนูญ พิจารณา ความเห็น ที่ได้รับมา ตามมาตรา ๒๖ และคำแปรญัตติ ตามมาตรา ๒๗ พร้อมทั้ง จัดทำรายงาน การแก้ไข เพิ่มเติม หรือไม่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้ง เหตุผล เผยแพร่ให้ทราบ เป็นการทั่วไป แล้วนำเสนอ ร่างรัฐธรรมนูญ ต่อสภา ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณา การพิจารณา ของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ตามวรรค ๑ เป็นการพิจารณา เพื่อให้ ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และเฉพาะ มาตราที่ สมาชิก ยื่นคำขอแปรญัตติ ตามมาตรา ๒๗ หรือ ที่คณะกรรมาธิการ ยกร่าง รัฐธรรมนูญเสนอ โดยสมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ จะแปรญัตติ แก้ไขเพิ่มเติม นอกจาก ที่บัญญัติไว้ ในมาตรา ๒๗ มิได้ เว้นแต่ คณะกรรมาธิการ ยกร่าง รัฐธรรมนูญ จะเห็นชอบด้วย หรือ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีจำนวน ไม่น้อยกว่า สามในห้า เห็นชอบด้วยกับ การแก้ไข เพิ่มเติมนั้น มาตรา ๒๙ ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญและพิจารณาแล้วเสร็จตามมาตรา ๒๘ ภายใน หนึ่งร้อย แปดสิบ วัน นับแต่วันเปิดประชุม สภาร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งแรก เมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ให้เผยแพร่ ให้ประชาชน ทราบ และ จัดให้ มีการออกเสียง ประชามติว่า จะให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ ร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับ ซึ่งต้องจัดทำ ไม่เร็วกว่าสิบห้าวัน และ ไม่ช้ากว่า สามสิบวัน นับแต่วันที่เผยแพร่ ร่างรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ และ วิธีการที่ สภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกาศ กำหนด การออกเสียงประชามติ ต้องกระทำภายในวันเดียวกัน ทั่วราชอาณาจักร มาตรา ๓๐ เมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมาธิการ ยกร่างรัฐธรรมนูญ ดำเนิน การยกร่าง พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญเฉพาะที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ในการจัดให้มี การเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จ ภายในสี่สิบห้าวัน นับจาก วันที่จัดทำ ร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ เพื่อเสนอต่อ สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ ดำเนินการ ต่อไป ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต้องพิจารณา ให้แล้วเสร็จ ภายในสี่สิบห้าวัน นับแต่วัน ที่ได้รับร่าง จากคณะกรรมาธิการ ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ ในการขจัด ส่วนได้ ส่วนเสีย ห้ามมิให้กรรมาธิการ ยกร่าง รัฐธรรมนูญ ลงสมัคร รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร หรือ ดำรงตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภา ภายในสองปี นับแต่ วันที่พ้นจากตำแหน่ง กรรมาธิการ ยกร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๑ ในการออกเสียงประชามติ ถ้าประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งโดยเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง ประชามติ เห็นชอบ ให้นำ ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ มาใช้บังคับ แล้วให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นำร่าง รัฐธรรมนูญ ขึ้นทูลเกล้า ทูลกระหม่อม ถวาย และ เมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ ใช้บังคับ ได้ เมื่อมีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ และ สภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๐ แล้วเสร็จ หรือ เมื่อครบกำหนด ระยะเวลา ตามมาตรา ๓๐ สุดแต่เวลาใดจะถึงก่อน ให้สภาร่าง รัฐธรรมนูญ เป็นอันสิ้นสุดลง มาตรา ๓๒ ในกรณีที่สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๒๙ วรรค หนึ่ง ก็ดี สภาร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ให้ความเห็นชอบ ร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๘ วรรคสอง ก็ดี หรือการออกเสียง ประชามติ ตามมาตรา ๓๑ ประชาชน โดยเสียงข้างมาก ของผู้มาออกเสียงประชามติ ไม่เห็นชอบ ให้ใช้ร่าง รัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ ก็ดี ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญ สิ้นสุดลง และให้คณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ ประชุมร่วมกับ คณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณา รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย ที่ได้เคย ประกาศใช้บังคับมาแล้ว ฉบับใด ฉบับหนึ่ง มาปรับปรุง ให้แล้วเสร็จ ภายในสามสิบวัน นับแต่ วันออกเสียง ประชามติ ไม่เห็นชอบ และนำขึ้นทูลเกล้า ทูลกระหม่อมถวาย เพื่อทรงลง พระปรมาภิไธย ประกาศใช้ เป็นรัฐธรรมนูญ ต่อไป ในการประชุม ร่วมกัน ตามวรรคหนึ่ง ให้ประธาน คณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธาน ในที่ประชุม การประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ ตามมาตรานี้ ให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการ มาตรา ๓๓ เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาและรองประธานสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ และ สภาร่างรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ สมาชิกสภา นิติบัญญัติ แห่งชาติ สมาชิก สภาร่าง รัฐธรรมนูญ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่ง ในคณะตุลาการ รัฐธรรมนูญ ให้เป็นไป ตามที่กำหนด ในพระราชกฤษฎีกา มาตรา ๓๔ เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงแห่งชาติ ให้มีคณะมนตรี ความมั่นคง แห่งชาติ ประกอบด้วย บุคคลตามประกาศของ คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมี พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๒๔ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ประธาน คณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ อาจแต่งตั้ง สมาชิก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เพิ่มขึ้นได้อีก ไม่เกิน สิบห้า คน ให้หัวหน้า รองหัวหน้า สมาชิก เลขาธิการ และผู้ช่วยเลขาธิการ คณะปฏิรูป การปกครอง ในระบอบ ประชาธิปไตย อันมี พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข เป็นประธาน รองประธาน สมาชิกเลขาธิการ และ ผู้ช่วย เลขาธิการ คณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ ตามลำดับ ในกรณีที่ประธาน คณะมนตรี ความมั่นคง แห่งชาติ ไม่อยู่ หรือ ไม่อาจ ปฏิบัติ หน้าที่ได้ ให้รองประธาน และ คณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ กำหนดทำหน้าที่ ประธาน คณะมนตรี ความมั่นคง แห่งชาติ และ ในกรณีที่ ประธาน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรองประธาน คณะมนตรี ความมั่นคง แห่งชาติไม่อยู่ หรือ ไม่อาจ ปฏิบัติ หน้าที่ได้ ให้สมาชิกคณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ เลือกสมาชิก คณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ คนหนึ่ง ทำหน้าที่ ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ในกรณี ที่เห็นสมควร ประธานคณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ หรือนายกรัฐมนตรี อาจขอให้มีการประชุมร่วมกัน ของคณะมนตรี ความมั่นคง แห่งชาติ และ คณะรัฐมนตรี เพื่อร่วมพิจารณา และแก้ไข ปัญหาใดๆ อันเกี่ยวกับ การรักษา ความสงบ เรียบร้อย และ ความมั่นคงแห่งชาติ รวมตลอดทั้ง การปรึกษาหารือ เป็นครั้งคราว ในเรื่องอื่นใด ก็ได้ มาตรา ๓๕ บรรดาการใดที่มีกฎหมายกำหนด ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ หรือเมื่อมีปัญหาว่า กฎหมายใด ขัดต่อ รัฐธรรมนูญหรือไม่ ให้เป็นอำนาจของ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบด้วยประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นรองประธาน ผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่า ผู้พิพากษา ศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือก โดยที่ประชุมใหญ่ ของศาลฎีกา โดยวิธีลงคะแนนลับ จำนวน ห้าคน เป็นตุลาการ รัฐธรรมนูญ และตุลาการ ในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้รับเลือก โดยทีประชุมใหญ่ ศาลปกครองสูงสุด โดยวิธี ลงคะแนนลับ จำนวนสองคน เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ ให้สำนักงาน ศาลรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย ว่าด้วย สำนักงาน ศาลรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ธุรการ และการอื่นใด ตามที่ประธาน คณะตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ มอบหมาย องค์คณะในการพิจารณาพิพากษา วิธีพิจารณา และการทำ คำวินิจฉัย ให้เป็นไป ตามที่คณะตุลาการ รัฐธรรมนูญ กำหนด โดยประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา บรรดาอรรถคดี หรือ การใด ที่อยู่ในระหว่าง การดำเนินการ ของศาล รัฐธรรมนูญ ก่อนวันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ให้โอนมาอยู่ในอำนาจ และความรับผิดชอบ ของคณะ ตุลาการ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๖ บรรดาประกาศและคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็น ประมุข หรือ คำสั่งของ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ที่ได้ประกาศ หรือสั่งไว้ ในระหว่าง วันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ จนถึงวันประกาศใช้ รัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปใด และไม่ว่าจะประกาศ หรือสั่ง ให้มีผลบังคับ ในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือ ในทางตุลาการ ให้มีผลใช้บังคับต่อไป และให้ถือว่า ประกาศ หรือ คำสั่ง ตลอดจน การปฏิบัติตามประกาศ หรือ คำสั่งนั้น ไม่ว่าการปฏิบัติตามประกาศ หรือคำสั่งนั้น จะกระทำก่อน หรือหลัง วันประกาศใช้ รัฐธรรมนูญนี้ เป็นประกาศ หรือคำสั่ง หรือการปฏิบัติ ที่ชอบด้วยกฎหมาย และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๗ บรรดาการกระทำทั้งหลาย ซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึด และควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ของหัวหน้า และคณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมี พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้ง การกระทำของบุคคล ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำ ดังกล่าว หรือ ของผู้ซึ่ง ได้รับมอบหมาย จากหัวหน้า หรือ คณะปฏิรูป การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข อันได้กระทำไป เพื่อการดังกล่าว ข้างต้นนั้น การกระทำ ดังกล่าวมา ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าเป็น การกระทำ เพื่อให้มีผลบังคับ ในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือ ในทางตุลาการ รวมทั้ง การลงโทษ และการกระทำ อันเป็น การบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ ให้กระทำ และ ไม่ว่ากระทำ ในวันที่กล่าวนั้น หรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้น ผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำ พ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิง มาตรา ๓๘ ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใดให้วินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณี การปกครอง ประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวแก่การวินิจฉัย กรณีใด ตามในวรรคหนึ่ง เกิดขึ้น ในวงงานของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ เมื่อมีกรณีที่คณะรัฐมนตรี ขอให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ วินิจฉัย ให้สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ วินิจฉัยชี้ขาด มาตรา ๓๙ ก่อนคณะรัฐมนตรีเข้ารับหน้าที่ ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่นายก รัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี
อ่านต้นฉบับได้ที่ http://www.mict.go.th/cdrc/image/constitution1.pdf แถลงการณ์ ประกาศ คำสั่ง คณะปฏิรูปการปกครองฯ
|