สำนึกดี คุณราตรี
อาตมาเพิ่งได้รับจดหมายจากคุณวันที่
๔ พ.ย.๕๔ ซึ่งพ่อท่านก็เพิ่งได้รับมา แล้วมอบหมาย ให้อาตมาตอบ ก่อนหน้านี้ได้เห็นคุณตุ๊ก
มารับอาหารแห้ง บอกว่า จะฝากแม่คุณวีระ มาเยี่ยมคุณ แต่ไม่ได้พูดคุย
ถามไถ่กันเท่าไรนัก ดีเลย จดหมายคงเป็นโอกาส ให้ได้คุยกันในฉบับนี้เลย
คุณถามว่า จะฝึกให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม
ให้สติอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไร ? (พยายามแล้ว แต่ไม่ก้าวหน้า
กิจกรรมที่ทำอยู่ เป็นกิจกรรมที่ทำได้โดยอัตโนมัติ เช่น ซักผ้า กวาดบ้าน....
สติเลยหลุดอยู่เสมอ ..แม้แต่เวลาสวดมนต์ ก็พยายามให้สติอยู่กับบทสวด
ก็ยังทำไม่ได้ตลอด แต่ก็พยายามฝึก พิจารณาอารมณ์จิตที่เกิดว่า ผิดศีลข้อไหนบ้าง
ตามทันบ้าง ไม่ทันบ้าง และหาเหตุ พิจารณาให้เกิดปัญญาให้ได้)... จึงอยากได้คำชี้แนะ
และ วิธีการฝึกเจโตสมถะ
ตอบ จะฝึกให้สติอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไรนั้น
? ก็ต้องลองตรวจเช็คดูซิว่า มันหลุดเพราะอะไร? ซึ่งต้นเหตุสำคัญมี
๓ ประการด้วยกัน คือ ๑.กามวิตก (รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส) ๒.พยาบาทวิตก
(เจ้าคิดเจ้าแค้น) ๓. วิหิงสาวิตก (หมกมุ่นกับอดีต ที่ควรดีดมันออกไป
หรือฟุ้งซ่าน ไปกับอนาคต ที่คด ๆ งอ ๆ เอาเป็นสาระแก่นสารไม่ได้) ความจริงจึงอยู่ที่ปัจจุบัน
(ควรตะบันเข้าไป) แม้ปัจจุบันขณะ แต่ละขณะความจริง ก็ตั้งอยู่บนปลายเข็มที่ผ่าน
แว็บไป ๆ อยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้า ได้ตรัสสอนไว้ว่า อดีตคือสิ่งที่ล่วงเลยมาแล้ว
(อย่าไปขยำขี้) อนาคต คือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
(อย่าไปกังวล เหมือนนั่งเขกหัวตัวเอง) พึงทำแต่ละปัจจุบันขณะ ให้ดีที่สุด
(เพราะแต่ละขณะ ก็อยู่ชั่วแว็บเดียว เท่านั้นเอง เกิดขึ้น- ตั้งอยู่-
และดับไป ถ้าใครไปคิด ยึดมั่นถือมั่น อะไรขึ้นมา จากชั่วแว็บ ก็จะกลายเป็นชั่ววูบ
และชั่วนิจนิรันดร์)
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ปัจจัยที่จะทำให้สติแข็งแรงขึ้นคือ
โยนิโสมนสิการ เช่น ตอนนี้ เรากำลังฝึกไม่กินขนม
ก็ต้องหยั่งเข้าไปอ่าน อารมณ์ ที่ทำให้เราชอบขนม ไม่มีอารมณ์ชอบตัวนี้
เราตายไหม? เราไม่ได้สนองอารมณ์ชอบตัวนี้ มันก็ไม่เห็นตาย แล้วทั้งร่างกาย
และจิตใจ ก็ยังสบายกว่าด้วยหรือเปล่า?
พ่อท่านฯ เคยสอนพวกเราว่า ขนม
๑๐๐ อย่างทำจากข้าวอย่างเดียว เพราะฉะนั้น กินข้าวอย่างเดียว จึงเท่ากับ
กินขนม ๑๐๐ อย่าง แล้วพยายามอ่านอารมณ์ ที่เรากินข้าว โดยไม่มีขนมว่า
มันสงบกว่า ปราณีตกว่า มีสติรู้ตัวได้ดีกว่า ก็จะเป็นปัจจัย ที่จะทำให้สติ
แข็งแรงขึ้น แม้แต่เรื่อง พยาบาทวิตก หรือ วิหิงสาวิตก เราก็ตาม โยนิโสมนสิการ
แบบกัดไม่ปล่อย การเจริญสติของเรา ก็จะดีขึ้นไปตามลำดับ
ชีวิตช่วงนี้คุณมีโอกาสใช้เวลาอ่านหนังสือได้มาก
ก็ควรเอาประโยชน์ในจุดนี้ให้เต็มที่ อ่านหนังสือ เล่มใดแล้ว ก็อ่านซ้ำอีกได้
ดูซิ เราจะมีอารมณ์เบื่อมั้ย? ผัสสะมันก็เกิด
ตลอดเวลาอยู่แล้ว สังเกตดีๆ การอ่านหนังสือ (หรือจะทำอะไร)
ก็อย่าลืมอ่านใจด้วย พยายามพิจารณาให้ออก แยกแยะความแตกต่าง มันมีอาการอย่างไร
เอาสภาวะ มาเทียบเคียงกับที่เรารับรู้มา (จากหนังสือ หรือฟังธรรม)
ถ้ามันเกิดจิตว่าง ก็กำหนด จดจำไว้ ( จะจดบันทึกสภาวะจิต สภาวะธรรมทุกวันก็ยิ่งดี
เพราะเรามีเวลา มากอยู่แล้ว ...ต่อไปอาจส่งให้ บริษัท ฟ้าอภัยพิมพ์
กลายเป็น Best seller ก็ได้ )
พุทธะ
คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้อะไร.. ตื่นจากอะไร แล้วเบิกบานอย่างไร?
บางคน ยังไม่ค่อยเข้าใจ พยายามทำความเข้าใจในภาษา คำความ กับสภาวะจิต
อาจจะยากบ้าง ถ้าติดตรงไหน ก็ให้พยายามย้อนทวน กลับไปอ่านตอนก่อนๆดู
แล้วสรุปความหมาย ของภาษาธรรมะให้ได้
เจโตสมถะ คือทำจิตให้สงบ
(เจโต=จิต ; สมถะ=หยุดหรือสงบ) แต่ทั่วๆไป เขามักถือเป็นการ นั่งสมาธิ
ซึ่งมีอุบายวิธีมากมาย ให้เลือกใช้ ตามจริตของตน เช่น ลุงจำลอง ก่อนนอนเขาก็จะนับว่า
เขาเกิดมาได้กี่ปี กี่เดือน กี่วันแล้ว ถ้าจะตายเป็นไง? พร้อมที่จะตายหรือยัง?
การระลึกถึง ความตายไว้เสมอ ๆ เรียกว่า เจริญ มรณัสสติ ก็จะทำให้จิตของเราหยุด
และสงบขึ้นมาได้ ทำบ่อย ๆ ก็จะมีความชำนาญ ทำให้จิตสงบตั้งมั่นได้เร็วขึ้น
แต่ส่วนใหญ่เขานิยมใช้ ให้มีสติอยู่กับลมหายใจเข้า
ออก ไม่ว่าจะบริกรรม สัมมาอรหัง , พุท-โธ,
หรือ เย-ซู จะเพ่งลูกแก้ว หรือ เพ่งเทียน
ก็มีวัตถุประสงค์ เดียวกัน คือ การสะกดจิต ให้หยุดอยู่กับเรื่องนั้น
สิ่งนั้น ซึ่งจะเป็นอุปการะ ในการปฏิบัติธรรม ทำให้เราได้หัดอ่าน อารมณ์ของจิต
ที่สงบชั่วคราว และยังได้เป็นการพักผ่อน
นอกจากนี้ พ่อท่านก็สอนให้ทำเตวิชโชไปด้วย
คือ ขณะที่เรานั่งเจโตฯ เมื่อสงบแล้ว เราก็ทำการทบทวน ตรวจสอบพฤติกรรม
ที่ผ่านมา ของเราไปด้วย ก็เหมือนเราคิดบัญชี งบดุล แต่ละครั้งคราว
แต่ละวัน เมื่อมีโจทย์ มีผัสสะ เกิดกิเลสเพิ่มหรือลดอย่างไร กำไร-ขาดทุน
มากน้อย แค่ไหน ... เป็นการศึกษาเรียนรู้ ทำความเข้าใจจิตวิญญาณของเรา
ให้กระจ่าง ก็จะทำให้เรา สามารถแก้ไขตัวเรา ให้ดีขึ้นได้ แต่ทางที่ดี
ก็ควรกำหนดเวลาด้วย ว่า จะนั่งนานเท่าใด ฝึกๆไป ต่อไปก็จะกำหนดจิตใจ
ให้อยู่ในการควบคุมได้
เอาล่ะ สำหรับธรรมะคงพอเท่านี้ก่อนนะ
สงสัยอะไรก็ถามได้อีก ยินดีตอบให้เสมอ ส่วนสถานการณ์เมืองไทย ก็เริ่มจะวิกฤตแล้ว
ทุกขภัยได้กันถ้วนหน้า การออกไปช่วย ดูเหมือน จะไม่มีวันจบ วันสิ้น
อุทกภัยครั้งนี้ สาหัสจริงๆ พ่อท่านก็เตือนว่า ปีหน้า จะหนักกว่านี้
(ตามที่มีคำพยากรณ์กัน ทั้งโหราศาสตร์ และวิทยาศาสตร์) ที่ทุกข์กันมาก
ก็เพราะ มีข้าวมีของมาก ถ้าเรามีแต่พออยู่ หรือ อยู่อย่างพอเพียง รู้จักพอ
คงจะไม่ทุกข์มากนัก
คุณกับคุณวีระก็สามารถก้าวผ่านความทุกข์
ที่ต้องถูกจองจำนี้ได้ อาตมาเชื่อว่า พวกเราต้องสามารถ ผ่านด่านนี้
ลูกอโศกแทบทุกคน ล้วนแต่ มีโจทย์ประจำตัว จะเรียกว่า เป็นวิบากกรรมก็ได้
ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ ให้ชีวิตเราเข้มแข็งขึ้น ดีขึ้นอีกด้วยซ้ำไป
ลูกอโศก ย่อมสามารถเอาประโยชน์ได้
จากทุกสถานการณ์ นี่ก็เป็นเคล็ดลับ
ในการทำบุญ คุณวีระ อาจจะสำเร็จวิชา สูงสุดคืนสู่สามัญ
จากที่นั่นได้ เพราะคนที่จะเป็น จอมยุทธ์
ได้นั้น จะต้องมี สัจจานุโลมญาณ สามารถยืดหยุ่น
ต่อคนอื่นได้สูง โดยที่จิตใจตัวเอง ไม่เสีย ซึ่งพ่อท่านฯ เป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นอยู่แล้ว
แม้แต่คุณราตรีเองก็ต้องขอชื่นชม
ขนาดอยู่ในคุกอย่างนั้น ก็ยังอุตส่าห์มีแก่ใจ เป็นห่วงคนไทย ฝากสตางค์
มาช่วยซับขวัญ ผู้ประสพภัย น้ำท่วม แถมอยู่ในคุก ที่แสนจะยากลำบากอย่างนั้น
ก็ยังสามารถฝึกฝน บำเพ็ญ ตบะธรรม ให้เคร่งครัด ได้อย่าง น่าอัศจรรย์
ธรรมะที่ประพฤติดีแล้ว ย่อมคุ้มครอง ผู้ประพฤติธรรม
แม้จะตกน้ำ ก็ไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้ แม้จะอยู่ในคุก ก็ยังทำทุก วินาที
ให้เป็นวินาทีแห่งบุญได้
เพราะเราคุ้มครองธรรม ธรรมจึงคุ้มครองเรา
"...ฝึกหยุด..
แต่ไม่หยุดฝึก..."
เจริญธรรม
ส.ดินไท
๖ พ.ย.๕๔
ปล.
จม.ของคุณราตรี น่าจะเป็นประโยชน์กับมิตรสหาย และคนไทย ที่ยังติดตาม
ข่าวคราว ด้วยความเป็นห่วง เขียนเรื่องราว เล่ามาบ่อย ๆ ได้ก็ดี พร้อมกันนี้
ได้ฝากธรรมะ ของพ่อท่าน เรื่องความสำคัญของ โยนิโสมนสิการ มาให้พิจารณาด้วย
|