มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม

ไปเถิด… บนเส้นทางที่หนาวเย็น

“เวรคืนนี้ เงียบสงัดดีจริง”

ฉันบอกกับตัวเอง ขณะเดินตรวจเยี่ยม ดูแลช่วยเหลือคนไข้ ในแผนกสูตินรีเวช

ในท่ามกลาง อากาศที่หนาวเย็น ของฤดูหนาว สายลมเย็นยะเยือก พัดเข้ามา ทางระเบียงหอพักผู้ป่วย เป็นระยะๆ และ บาดลึกเข้าไป ในร่างกายของฉัน ทำให้ขนลุก และ หนาวสะท้าน

เมื่อฤดูหนาวมาเยือน เวรดึกจะเป็นเวรที่ทรมาน สำหรับฉัน เพราะนอกจาก จะต้องต่อสู้กับความง่วงแล้ว ยังต้องต่อสู้กับ ความเย็นยะเยือกอีก เพราะสรีระร่างกาย ของฉันนี้ ทนได้ดี เมื่ออากาศร้อน แต่สำหรับ ความหนาวแล้ว จะรู้สึกทนได้ยากกว่า

วันไหน ถ้าเพื่อนๆเขาว่า “อากาศเย็น” แต่สำหรับฉันนั้น หนาวแล้ว ถ้าวันไหน เขาว่าหนาวนั่นแหละ ฉันกำลังปวดกระดูก มือเท้า แข็งขัดไปหมด เพราะความหนาวเหน็บ

ด้วยภาระหน้าที่ ฉันยังเดินฝ่าความหนาวเย็น ของยามดึก เพื่อปรับหยดน้ำเกลือ หยดเลือด วัดความดันโลหิตชีพจร และ ฉีดยาให้คนไข้อยู่ อย่างดีใจว่า

“ดีเหมือนกัน ได้ตั้งตนอยู่บนความลำบากอย่างนี้ จะได้เห็นทุกข์ และ เบื่อหน่าย ในการเวียนว่าย ในสังสารวัฏมากขึ้น”

หนาวจัดอย่างนี้ ฉันจึงต้องสวมเสื้อแจ็คเก็ต สีขาวนวล และ มีกระเป๋าน้ำร้อน ๒ ใบซ่อนอยู่ ระหว่างชุดขาว กับเสื้อแจ๊คเก็ต

เพราะบ่อยครั้งที่หนาวจัด (สำหรับฉัน) ท้องจะแข็ง เหมือนเป็นตะคริว เหมือนลำไส้ทุกขด หดหมด คลื่นไส้ อาเจียน นึกถึงถ้อยคำที่ว่า

“ทางเดินแห่งชีวิต ที่จะไปสู่พระนิพพาน ยิ่งใกล้จุดหมาย กลับยิ่งโดดเดี่ยวหนาวเย็น ความหนาวเย็น (ในจิตวิญญาณ) เท่านั้น ที่จะกระตุ้น ให้ต้นพุทธะ ผลิใบ แตกกิ่งเขียวขจี”

“ลูกเอ๋ย ในโลกนี้ ไม่มีที่ไหนดอก ที่มีความรื่นรมย์ และ ความสบายสำหรับเจ้า”

ฉันจึงยิ้มออกมา พร้อมกับทอดสายตา ไปยังเหล่าคนไข้ ที่นอนเรียงรายอยู่ บางคนใส่เสื้อผ้า มอมแมม เก่าคร่ำคร่า บางคนก็ใส่เสื้อผ้าบาง และขาดวิ่น

ทำให้ฉันนึกไปถึงเสื้อผ้า ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ชุด ของฉัน ที่แฟลตพยาบาลทันที

ในงานมหาปวารณา’๓๑ ที่ได้สิ้นสุดไป เมื่อเร็วๆนี้ พ่อท่านบอกกับลูกๆอโศกว่า ความจนเป็นอุปสรรคที่ดี เพราะต้องดิ้นรน ถูกเอารัดเอาเปรียบ และ ทำให้เห็นทุกข์ได้ง่าย ความรวยเป็นอุปสรรคที่ซวย เพราะทำให้ ตัดทรัพย์ และ ตัดญาติ (โภคักขันธา ปหายะ และ ญาติปริวัฏฏัง ปหายะ) ได้ยากอีก เพราะมันมีเยอะ จึงมีโอกาส เป็นหนี้สังคมได้มาก เนื่องจาก ได้ดูดเอามาไว้ที่ตนเองได้มาก และ ทำให้เห็นทุกข์ ที่มีอยู่จริงได้ยาก เพราะมันพรางลวงไว้

จากการที่มีอาชีพหลัก เป็นนักปฏิบัติธรรม (อาชีพรอง เป็นพยาบาล) จิต จึงยินดีแล้วอย่างยิ่ง ต่อการเป็นผู้ให้ และ การมีปัจจัย เครื่องยังชีพ เพียงเล็กน้อย อย่างมักน้อย สันโดษ เพราะได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วว่า ยิ่งมีได้น้อยเท่าใด ก็ยิ่งเบาว่าง มากขึ้น เท่านั้นๆ

รุ่งเช้า เมื่อลงเวรดึกแล้ว จึงรีบกลับมายังแฟลตที่พัก ขนเอาเสื้อผ้าเนื้อดี ใหม่เอี่ยม (ซึ่งมีน้อยชุดอยู่แล้ว แต่ก็คิดว่า มีคนอื่น ที่เขาทุกข์ยาก และ จำเป็นกว่าเรา) นำไปแจกให้กับ บรรดาคนไข้ที่ยากจน ที่พบในแผนกเมื่อคืนนี้

การได้ให้เสื้อผ้า ยา เครื่องอุปโภค บริโภคนี้ ฉันทำติดต่อกันมานาน จนเป็นปกติ เป็นที่รู้กันทั่วไป ดังนั้นต่อมา จึงมีน้องๆ และ เพื่อนๆพยาบาล นำเสื้อผ้า ข้าวของมาให้ฉัน เพื่อนำไปบริจาคเสมอๆ

ขณะเอาของ ไปแจกให้คนไข้ หรือ คนยากจนนี่ สมัยแรกๆ จิตฉันแอบเสพย์ ความชื่นใจซะอีกแน่ะ ว่าเราเป็นผู้ให้ เป็นตัวนำประโยชน์ ให้กับโลกนะ แต่มาบัดนี้ จิตวางเฉย สงบได้มากขึ้น เพราะทราบชัดแล้วว่า

แท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ที่เป็นของเรา ทุกอย่างเป็น "ความวน” ยิ่งให้ไปก็จะยิ่งได้มา ถ้ายิ่งหอบหวงไว้ ก็ยิ่งไม่มีสิทธิจะได้มาอีก

เราจะไปพอใจอยู่กับ คำขอบคุณ หรือ เสียงสรรเสริญมันทำไม ที่จริง สิ่งที่เราให้ออกไปนั้น มันเป็นสมบัติ ของโลก (เราเป็นผู้เกิดมา อาศัยโลกอยู่ อาศัยปัจจัยต่างๆอยู่ แม้ร่างกายนี้ เราก็ขอยืมจากโลก มาใช้ชั่วคราว) เราจึงไม่ใช่ "ผู้ให้” ซักหน่อย เป็นเพียงไปรษณีย์ นำส่งเท่านั้น เพราะ ของเหล่านั้น มันไม่ใช่ของเรา

ออกจากแผนกสูตินรีเวช ก็สวนกับหมอหัวหน้าฝ่ายสูติ ตรงบันได หมอทักทันทีว่า “เออ! อ้อ หมอเตรียม เสื้อผ้าไว้ให้ สองลังใหญ่ๆแน่ะ! จะเอามาให้นานแล้ว แต่ไม่เจออ้อซักที อ้อจะเอาไปให้ร้านทึ่ง หรือ จะเอาไปบริจาคยังไง ก็ตามใจอ้อนะ” ฉันอนุโมทนา ในจิตที่เป็นกุศล ของหมอ แล้วเดินจากมา ด้วยจิตที่ยินดีด้วยอย่างยิ่ง

พอไปถึงแฟลตพยาบาล เพื่อนพยาบาลรุ่นเดียวกัน ก็เอาเสื้อผ้า มาบริจาค อีกหลายชุด

ในกรณีคล้ายๆกันนี้ หลังจากที่ฉันได้สละ เงินเดือนส่วนหนึ่ง ซื้อของให้กับทางราชการ หรือ เพื่อนร่วมงาน ในแผนก ทุกๆเดือน เสมอมา จนเพื่อนๆร่วมงาน ต่างก็เห็นดีด้วย และทำตามในที่สุด

“พี่อ้อว่า ตอนนี้ ตึกเราขาดอะไร เดือนหน้านี้ หนูจะซื้อให้” น้องพยาบาลคนหนึ่ง ตั้งใจอย่างเต็มที่ ที่จะเป็นผู้ให้บ้าง

ฉันฟังแล้ว เกิดจิตยินดีว่า หากกุศลกรรมของเรา มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ของคนในโลกอย่างนี้ เราก็ควรอย่างยิ่ง ที่จะทำ ให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก เพื่อความมีสันติสุขในโลก”

ที่จริงเราทำเพื่อ ให้ตัวเรา เบาว่างขึ้นต่างหาก แต่สิ่งเหล่านี้ มันคือผลพลอยได้ (ที่น่ายินดี) เท่านั้นเอง

พลตรีจำลอง ศรีเมือง กล่าวไว้ในงานมหาปวารณา วลีหนึ่งที่ฉันจำได้แม่นยำ คือ “เอากุ้งฝอยไปตกปลากะพง” ฉันจึงคิดว่า มันคล้ายๆกันเลย ในกรณีต่างๆ เช่นนี้

และ การเดินตามรอยพระอรหันต์ เพื่อไปสู่พระนิพพาน ก็เช่นกัน ฉันคงต้องกล้าสละ สิ่งอันเป็นที่รัก ที่ยึดมั่น ผูกพัน ออกไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ โลกุตรสมบัติ ซึ่งสูงค่ากว่า มาให้กับตน (เอากุ้งฝอย ไปตกปลากระพง)

จากประสบการณ์ ของฉันทางโลกที่ผ่านมา ฉันเห็นว่า ยิ่งเราสละออกไป เราก็จะยิ่งได้รับเข้ามาทุกครั้ง และ การได้มาครั้งหลังๆนี้ เป็นโจทย์ ที่สูงขึ้นไปอีกว่า เรายังจะกล้าสละออกไปอีก หรือไม่ เราไปหลงยึดถือ เปรมปรีดิ์ กับสิ่งที่ได้มาใหม่นี้ หรือไม่

เช่น เราให้วัตถุทาน อภัยทานออกไป สละลาภออกไป เราก็ยิ่งจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ กลับมา จิตของฉัน บางขณะ ยังมีแวบไหว ฟูฟองกับยศ และ สรรเสริญอยู่บ้าง แต่ก็พยายามเตือนตัวเอง อยู่เสมอว่า เป้าหมายแห่งชีวิต ที่แท้จริงของเรา ไม่ได้จมแช่อยู่แค่ โลกธรรม หรือ กามคุณ เท่านั้น

ชีวิตนี้เกิดมา เพื่อละล้างกิเลส มิใช่เพื่อสะสมกิเลส เพื่อกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ มิใช่เพื่อสะสมทุกข์ เพื่อช่วยเหลือ เกื้อกูล มนุษยชาติ มิใช่เพื่อเบียดเบียนมนุษยชาติ

ในงานมหาปวารณาปีนี้ นอกจากพ่อท่าน จะแจกแจงถึงเรื่อง ๔ วรรณะ คือ วรรณะนักบวช นักบริหาร นักบริการ และ นักผลิต ได้อย่างกระจ่างแจ่มแจ้ง ดุจหงายของที่คว่ำ บอกทางที่คนหลงทาง และ จุดประทีปในที่มืดแล้ว พ่อท่าน ยังฝากลูกๆอีกว่า ให้เป็นผู้พึ่งตนเอง ไม่เป็นภาระต่อผู้อื่น รับผิดชอบตัวเอง ไปที่ไหน ควรเอากลด เสื่อ มุ้ง กะลา และ ช้อน ของตนเองไปด้วย จะได้ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น

เมื่อกลับจาก ไปขนเสื้อผ้าที่บ้านหมอ มาไว้ที่แฟลต เพื่อจะนำไปสะพัดออก สู่ผู้ขัดสน ทุกข์ยาก ให้เร็วที่สุด และ สมควรที่สุดนั้น ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว อากาศยังคงหนาวเย็น ท้องฟ้าสีขาวซีด ไร้แสงแดด

ขณะที่จะนอนหลับไป ในตอนเที่ยงวัน หลังจากลงเวรดึกวันนั้น บทกวีบทหนึ่ง ซึ่งตราตรึงใจตลอดมา ดังก้อง ขึ้นในจิต ฉันทบทวนขึ้นอย่างตั้งใจ

ฉันขอก้าวตามพ่อไป ฝ่าไพรรกลึกพฤกษ์หนา
ฝ่าแดดแผดลวกมรรคา ฝ่าฟ้าแรงกล้าแปรปรวน
กลางน้ำตัณหากราดเชี่ยว กลางเกลียวโลกีย์พัดหวน
กลางโคลนมูตรคูถดูดกวน กลางมวลมายาอาดูร
ก้าวไปแม้ไฟโลมโลก ก้าวไปแม้โชคอับสูญ
ก้าวไปแม้ไร้คนทูน ก้าวไปแม้พูนคนชัง
ฉันขอก้าวตามพ่อไป ไม่ขอย้อนรอยถอยหลัง
มุมุ่งรุดหน้าจริงจัง ความหวังคือฝั่งนิพพาน

และ ก่อนที่จะหลับลงไป ในท่านอนตะแคงขวา ด้วยจิตที่มุ่งมั่น สว่างโพลง และ ปีติ ก็ได้ยินเสียงต่ออีกว่า

“ไปเถิด.. ถ้าเจ้าต้องการ เดินตามรอยเท้าพ่อ”

แล้วฉันก็หลับดิ่งลงไป ในท่ามกลาง ความหนาวเย็น แห่งเหมันตฤดู

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๑

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 132 เดือนพฤศจิกายน 2531