มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม

นาวาแห่งความทุกข์

ดวงตะวัน ใกล้จะลับทิวไม้ลงทุกที ความมืดมน เริ่มแผ่ขยาย ปกคลุมผืนแผ่นดิน บริเวณนี้ มากขึ้นทุกขณะ เช่นกัน

เวรบ่ายวันนี้ มีเหตุการณ์ที่ ชวนสลดสังเวช ผ่านเข้ามาให้ได้ยิน ได้พบเห็น อีกเช่นเคย ประมาณห้าโมงเย็น ดิฉันทราบข่าว จากพี่พยาบาลตรวจการว่า เจ้าหน้าที่ห้องยา คนหนึ่ง กินยาฆ่าตัวตาย ศพเพิ่งถูกเข็นมาไว้ ที่ห้องเก็บศพ เมื่อครู่นี้เอง

ดิฉันรีบสาวเท้า มุ่งตรงไปยัง ห้องเก็บศพทันที เมื่อไปถึง ก็พบเจ้าหน้าที่ ของโรงพยาบาล หลายคน และ ญาติผู้ตาย กำลังร้องไห้กัน อยู่หน้าห้องเก็บศพ ประตูห้อง เปิดแง้มไว้เล็กน้อย พนักงานเข็นศพ พยักพเยิดให้ดิฉัน เข้าไปในห้อง ดิฉันจึงเดินตามเข้าไป

ภายในห้อง เจ้าหน้าที่กำลังเตรียม ฟอร์มาลีน (Formalin = สารละลายชนิดหนึ่ง สำหรับฉีด ป้องกันศพเน่า) ให้กับศพ ยายแก่ๆของผู้ตาย และเจ้าหน้าที่ห้องยา อีกคนหนึ่ง กำลังฟอกสบู่ และอาบน้ำ ให้ศพอยู่ ดิฉันจึงตรงเข้าไป ช่วยถูสบู่ ลงบนร่างนั้น และล้างด้วยน้ำ จนสะอาด

ร่างที่นอนนิ่งอยู่นี้ มีอายุเท่ากับดิฉันพอดี ชีวิตแต่งงานของเธอ เต็มไปด้วย ความขมขื่น เนื่องจาก ความไม่เข้าใจกัน กับคู่ครอง ประกอบกับ มีหนี้สิน ล้นพ้นตัว ในที่สุด เธอจึงกำหนด ชะตากรรมของตนเอง หนีความทุกข์ ความชุลมุนของโลก ด้วยการกินยานอนหลับ เป็นจำนวนมาก และหลับไป กว่าจะมีคนไปพบศพ ร่างนั้น ก็แข็งเสียแล้ว

ขณะที่อาบน้ำศพอยู่นั้น กลิ่นศพซึ่งเริ่มจะเน่า ก็โชยเข้าจมูก อนิจจา... เธอผู้นี้หมดโอกาส ที่จะใช้ร่าง เพื่อชำระล้าง ความโลภ ความโกรธ ความหลง และสั่งสม บุญบารมีเสียแล้ว ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่นี้ น่าเวทนานัก หากเธอรู้สักนิดว่า การฆ่าตัวตาย เป็นบาปมหันต์ เธอคงไม่ตัดสินใจ ดับชีวิตของตนเอง อย่างนี้ พ่อท่าน เคยแสดงธรรม โปรดลูกๆว่า

"แม้เราจะสูญเสีย ทุกสิ่งทุกอย่าง ในชีวิตไป แต่สิ่งที่เรายังมี เท่าๆกับคนอื่น คืออนาคต อันยาวไกล ให้เราได้ลิขิตตน ด้วยสมองและสองมือ ของเราเอง"

ธรรมะของพระพุทธองค์ต่างหาก ที่ทำให้เรา อยู่กับทุกข์ได้ อย่างอยู่เหนือทุกข์ (โลกุตระ) ไม่ใช่หนีทุกข์ (โลกันตะ) อย่างนี้

ครู่ใหญ่ที่ดิฉัน ช่วยอาบน้ำให้ศพ เมื่อก้าวพ้น ประตูห้องออกมา ก็พบว่า เจ้าหน้าที่ห้องยา หลายคน กำลังร่ำไห้อยู่ คนเราส่วนใหญ่ ก็มักเป็นเช่นนี้ บางคน ขณะที่เพื่อนมีชีวิตอยู่ ก็ทะเลาะกัน แก่งแย่งแข่งดี แย่งลาภ ยศ และ โลกียสุขกัน พออีกฝ่ายหนึ่ง ตายจากไป ก็กลับร้องไห้ เสียใจมากมาย แต่ก็สายเสียแล้ว ที่จะปลุก ร่างไร้วิญญาณ ให้ฟื้นคืนมา เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันใหม่

ออกจากห้องเก็บศพ รีบตรงมายังหอผู้ป่วย เพื่อนร่วมงาน เกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน และโวยวายว่า ดิฉันเอากลิ่นศพ ติดตัวมาด้วย ดิฉันยกมือขึ้นดม จึงได้กลิ่นหอมของสบู่ ที่ใช้ถูศพ เมื่อครู่นี้ พอดมไปนานๆ ไม่รู้ว่า อุปาทานหรือเปล่า มีกลิ่นที่เริ่มเน่าของศพ ติดตัวมาจริงๆ

เกือบทุ่มหนึ่ง หลังจากฉีดยาให้คนไข้ เวลา ๑๘.๐๐ น. ได้ไม่นาน แผนกหลังคลอด และนรีเวช ก็ได้รับคนไข้ใหม่ มารายหนึ่ง เป็นสาววัยรุ่น ๑๕ ปี หน้าตาดูยังเด็กอยู่มาก เธอมารับการรักษา ด้วยอาการ ปวดท้องน้อย แพทย์วินิจฉัย ว่าเป็น Acute Pelvic Inflammatory Disease (อวัยวะ ในอุ้งเชิงกราน อักเสบ มักเกิดจากเชื้อซิพิลิส) จากประสบการณ์ ดิฉันทราบทันทีว่า เธอเป็นหญิงบริการ หลังจากฉีดยา บรรเทาอาการปวด และ ยาฆ่าเชื้อ ให้แล้ว เธอก็เล่าให้ฟังว่า บ้านเกิดอยู่จังหวัดชุมพร พ่อเสียตั้งแต่ เธอยังเล็กๆ แม่มีสามีใหม่ ครั้นพอเธอโต เป็นสาวรุ่น ก็ถูกพ่อเลี้ยงรังแก ความเสียใจ ทำให้เธอหนีเตลิด มาจนถึงที่นี่ และได้ทำงาน ในสถานบริการ แห่งหนึ่ง

ดิฉันถามว่า "แล้วหนูไม่ลำบากใจหรือ เวลาทำงานน่ะ"

เธอตอบว่า "ก็ทุกข์ใจค่ะ หนูนอนร้องไห้ทุกคืน"

"อ้าว...แล้วทำไม ไม่หาอาชีพใหม่ทำล่ะ"

เธอตอบว่า “ก็เพื่อนๆของหนูเขาว่า ‘มึงนึกหรือว่า สังคมเขาจะยอมรับมึงอีก กูว่าไหนๆ เลวแล้ว ก็เลวให้ตลอดไปเลย รวยเมื่อไหร่ แล้วค่อยคิดเลิก’ หนูก็เลยเชื่อเขาค่ะ"

ดิฉันพยายามหว่านล้อม ให้เธอเปลี่ยนอาชีพใหม่ ไหนๆชีวิตเดิมของเธอ ก็อาภัพพออยู่แล้ว ทำไมจึงต้องหาอาชีพ ที่เติมความอาภัพ ให้ตนเอง เพิ่มขึ้นไปอีก ดิฉันรู้สึก สงสารคนไข้ หญิงบริการคนนี้ ขึ้นมาอย่างจับใจ

ปราชญ์ท่านหนึ่ง เคยกล่าวไว้ว่า "พระจันทร์เสี้ยว ยังมีวันเต็ม ชีวิตมนุษย์ ใช่จะมืดมนเสมอไป" แต่ปราชญ์ ผู้กล่าวคติพจน์นี้ จะทราบหรือไม่ว่า ชีวิตของคนบางคน ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ความมืดมน อนธการ จนชั่วชีวิต อย่างที่ไม่เคยจะได้พบแสงสว่าง ในชีวิตบ้างเลย

ห้าทุ่มกว่า ขณะที่ดิฉัน เคลียร์งานเวรบ่าย เรียบร้อยแล้ว ช่วงที่พยาบาลเวรดึก ยังไม่ขึ้นมารับเวร ดิฉันก็ใช้เวลา ให้เป็นประโยชน์ โดยการเดินตรวจผู้ป่วย ทั่วแผนกอีกครั้ง ปรับหยดเลือด และน้ำเกลือ ให้เหมาะสมกับ อาการของคนไข้ แต่ละราย

ผู้ป่วยแต่ละคน นอนหลับสนิท อยู่บนเตียง และบางเตียง ก็เอาญาติ ขึ้นไปนอนด้วย บางเตียง ญาติก็นอน อยู่ใต้เตียง

พอเดินมาถึงเตียงที่ ๒๖ ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ดิฉันชะงัก ตรึงอยู่กับที่ ปล่อยความคิด ให้โลดแล่นไป อย่างรวดเร็ว

คนไข้หญิงวัย ๔๘ ปี เธอมาคลอดบุตรคนที่ ๖ ที่นี่ ร่างของเธอนอนนิ่ง หายใจระรวย แผ่วเบา ดวงตาคู่นั้น หลับไม่สนิทนัก เปลือกตาเปิดครึ่งหนึ่ง เห็นตาขาว ทั้งสองข้าง อย่างไม่ตั้งใจ แก้มตอบ บนใบหน้า เรียวเล็กนั้น เผยให้เห็น กระดูกโหนกแก้ม ที่แหลมนูนขึ้นมา ได้อย่างชัดเจน อะไรก็ไม่น่าสะดุดใจเท่า ฟันบนทั้งแผง ที่เขยินออกมา จากปาก ที่อ้าค้าง ฟันทุกซี่ ดำเหนี่ยง เพราะกินหมาก น้ำหมากบางส่วน ไหลย้อย เยิ้มไปที่ มุมปากข้างหนึ่ง มือทั้งสอง ที่ยกขึ้นประสานไว้ บนหน้าอกนั้น มีแต่หนังหุ้มกระดูก มีเส้นเอ็นขึ้น ปูดโปน อยู่ทั่วไป

ขณะที่ยืน ปลงสังเวชต่อ"ซาก" เห็นอยู่ตรงหน้า ดิฉันก็ถามตนเอง ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า "อะไรกันนี่!... มีลูกมาได้ยังไง ตั้ง ๖ คน เขามีสามีได้ยังไงน่ะ!... ดูซินั่น กินหมาก ปากเปรอะ ฟันดำมะเมื่อม ยังงั้นน่ะ ร่างก็มีแต่ หนังหุ้มกระดูก ผมแห้งแข็ง ยุ่งเป็นกระเซิง... สามีของเขา เป็นคนประเภท ไหนหนอ เขามองข้ามอสุภะ อันมากมาย บนร่างนี้ ไปได้ยังไง!"

อนิจจา... ความหลงใหล ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี่เอง ที่ทำให้มนุษย์ เวียนว่ายตายเกิด ตามอุปาทาน และแรงกรรม ที่ตนไปก่อไว้ ด้วยความไม่รู้ทั้งสิ้น

ตราบใดที่พวกเขา ยังไม่ได้พบสัจธรรม และนำมาฝึก ขัดเกลาความหลง อันครอบคลุม จิตวิญญาณอยู่ ให้เบาบางลง และรู้กุศลอกุศล อย่างชัดเจน ชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ จะยังหลงวนว่าย ทุกข์ทรมาน ไปตามแรง วิบากกรรม อันตนได้ก่อขึ้นไว้ อย่างมากมาย อีกนาน เท่าใดกันหนอ...

มองฝ่าความมืด ไปยังลำน้ำท่าจีน ซึ่งไหลผ่านโรงพยาบาล ด้านทิศตะวันตก สายน้ำที่ไหลผ่านไป ไม่เคยหวนกลับ ดุจเดียวกับ กาลเวลา ที่เสียไปแล้ว จะเอาคืนมาอีก ไม่ได้เช่นกัน เรือลำเล็กๆ ลอยตะคุ่มๆ ไหลล่องลงใต้ ตามแรงแห่งกระแสน้ำ เปรียบเหมือนชีวิตมนุษย์ ที่ลอยอยู่ในสายธาร แห่งสังสารวัฏ

การที่ดิฉันได้เกิดมาทำงาน เพื่อบรรเทาทุกข์ ให้เพื่อนมนุษย์ ได้พบสัจธรรม และได้ขัดเกลา จิตวิญญาณของตน ประสบการณ์ ที่ผ่านมาแต่อดีต ได้พบเห็นมวลมนุษย์ ซึ่งเต็มไปด้วย ความทุกข์ ทรมานมากมาย ทำให้ดิฉัน ตระหนักอยู่เสมอว่า

"มนุษย์ คือเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

มนุษย์ มิได้มีไว้ เพื่อให้รัก มิได้มีไว้ เพื่อให้ชัง

หากมีไว้เพื่อ ให้เราฝึกตัดรัก ตัดชัง มีไว้เพื่อให้เราได้ฝึก เป็น"ผู้ให้" เท่านั้น"

และพร้อมกันนี้ ดิฉันได้ตั้งจิตไว้เสมอว่า

"ไม่ว่า เราจะต้องเกิดมาอีก กี่ภพกี่ชาติก็ตาม ขอให้ "นาวาชีวิต" ของเรา คือ นาวาที่รับใช้ เพื่อนมนุษย์ ให้บรรเทา และรอดพ้น จากความทุกข์ ทั้งกายและใจ ทุกภพทุกชาติด้วยเถิด"

ก่อนที่จะหันหลัง กลับมาที่ เคาน์เตอร์พยาบาล เพื่อเตรียมส่งเวร ให้เวรดึก ก็ย้ำเตือนตนเองอีกว่า

"อุดมการณ์นี้ จะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อ เราได้ช่วยตนเอง ให้อยู่เหนือทุกข์ ให้ได้ก่อนเท่านั้น"

"ลูกไกลพ่อ" ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๓

(สารอโศก อันดับ ๑๔๑ เม.ย. – พ.ค. ๒๕๓๓)