มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม
ดาบสองคม

เช้าวันหนึ่ง ขณะที่กำลังทำงานอยู่เวรดึก ที่โรงพยาบาล ฉันได้ปรารภกับ พี่ผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งเป็นผู้ร่วมงาน ในแผนกว่า

"พี่คะ ชีวิตของพวกเรานี่ โชคดีจังเลยนะคะ ยามเจ็บป่วย เราก็ดูแลตัวเองได้ รักษาตัวเอง พึ่งตัวเองได้ มียา มีเสื้อผ้า อาหาร อุดมสมบูรณ์ ไม่เคยขาดแคลนเลย"

"อืมม์" จริงๆด้วยนะ แถมเวลา ญาติพี่น้องของเราเจ็บป่วย เราก็ยังช่วยเขาได้อีก" พี่ผู้ช่วยพยาบาล ก็เห็นตาม

"เนี่ย...เพราะบุญ ที่เราเคยทำไว้แต่อดีต ส่งผลมาล่ะ เราถึงมีชีวิต ที่ไม่ขาดแคลนเลย แถมยังมีอาชีพ ที่เป็นบุญอีกด้วย" ฉันสรุป

บางครั้ง เวลางานยุ่งๆ มีคนไข้มากมาย ฉันก็มักจะพูด ให้กำลังใจพี่ๆ และเพื่อนๆร่วมงานว่า

"พี่จ๊ะ...เหนื่อยก็ทำไปเถอะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว... นี่ล่ะเสบียงของเราทั้งนั้น ถ้าเราช่วยเหลือคนไว้มาก ชาติต่อๆไป เราก็จะได้พบ แต่ผลกรรมที่ดี มีสุขภาพที่แข็งแรง"

ว่ากันที่จริง ชีวิตของฉัน นับตั้งแต่จำความได้ มาจนบัดนี้ มีแต่เรื่องที่ต้องอดทน ต่อความยากลำบาก ต้องเหน็ดเหนื่อย จากการทำงาน (อาหารปริเยฏฐิทุกข์) เพราะต้องแสวงหา เครื่องอาศัย ได้แก่ อาหารกาย เพื่อยังอัตภาพนี้ไว้ แสวงหาอาหารใจ เพื่อเลื่อนฐานจิต สู่ภพภูมิที่สูงขึ้น และต้องขวนขวาย สร้างกุศลกรรม ไว้เป็นเครื่องอาศัย เป็นเสบียงของตน ในการเดินทาง ไปสู่จุดหมาย อันยิ่งใหญ่ของชีวิตอีกด้วย

บ่อยครั้ง ที่ฉันอยู่เวรมาทั้งคืน รู้สึกง่วงนอน และอ่อนเพลียมาก กะว่าเดี๋ยวพอออกเวรแล้ว จะต้องนอนพัก เอาแรงให้เต็มที่เลย แต่พอลงเวร ก็กลับถูกตามตัว ให้ช่วยพาคนโน้นคนนี้ ไปตรวจโรค หรือถูกตาม ให้ไปดูแลคนไข้ (ซึ่งบางคน ก็เป็นคนรู้จักกัน บางคนก็เป็นญาติ) พวกเขาเหล่านั้น ต่างก็หวังมาพึ่งพาเรา อย่างเต็มที่ บ่อยครั้ง ฉันก็จำต้องกล้ำกลืน ฝืนข่มความง่วง ความอ่อนเพลียเอาไว้ บางวัน พอออกเวรแล้ว ก็ต้องไปสอนนักเรียน ในโรงเรียนต่างๆ (ที่ทางโรงเรียน มีหนังสือขอมาทาง ร.พ.) แล้วยังมีงานอื่น ที่เป็นประโยชน์ อีกมากมาย ซึ่งฉันก็ไม่เคยคิด ค่าตอบแทนใดๆเลย เพราะซาบซึ้ง ในคำพูดที่ว่า

"การได้มีโอกาส กระทำความดี ก็นับว่าเป็นรางวัลสูงสุด ของชีวิตแล้ว"

บางครั้ง เหนื่อยมากๆเข้า ฉันก็ออเซาะกับตัวเองว่า

"เนี่ย...หากเราไม่ได้มาพบอโศก ป่านนี้ นอนตีพุงอยู่บ้าน สบายไปแล้ว ไม่ต้องมีชีวิต ที่เหน็ดเหนื่อย อย่างนี้หรอก"

แต่พ่อท่าน ได้กรุณาตักเตือนว่า

"ชีวิตที่สบาย คือ ชีวิตที่ไม่เป็นหนี้ต่างหาก...คือ ทำงานให้มาก เอามาแต่น้อย ขยัน สร้างสรรค์ เกื้อกูลผู้อื่น นี่ต่างหาก คือชีวิตที่สบาย"

และท่านมักจะคอยย้ำเตือน ลูกๆอโศก ทั้งทางวาจา และทางกายกรรม ของท่านเอง เสมอๆว่า

"วันเวลาอย่าได้ล่วงไปเลย โดยปราศจาก การสะสมบารมี"

ดังนั้น ฉันจึงต้องมีชีวิตอยู่ "อย่างสบายๆ" แบบอโศกต่อไป (ไม่ใช่แบบเบิร์ดนะ)

การที่ชีวิตมีโชคดี เพราะได้มีโอกาส สร้างคุณประโยชน์ ให้กับสังคม และรับใช้เพื่อนมนุษย์นั้น ฉันพยายาม อ่านอารมณ์ ในจิตของตัวเอง หากไม่ระวังให้ดี มันจะเกิดมานะ หลงตัวว่า เราคือ "ผู้ให้"

ฉันเตือนตนเองอยู่เสมอ เมื่อมีงานยุ่งๆ ในขณะทำงาน อยู่ที่โรงพยาบาล แถมคนไข้และญาติ แต่ละเตียง ก็มาตาม ให้ไปช่วยเหลือดูแล พร้อมๆกันหลายๆเตียง บางคนก็จะเอาทุกอย่าง ให้ได้ดังใจตัวเอง บางคนก็วางอำนาจ ข่มเบ่งกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากเป็นสมัย ก่อนปฏิบัติธรรม จิตใจของฉัน คงจะต้องร่ำร้อง แน่ๆว่า

"ดูซิเนี่ย เราก็ทำงาน จนเหนื่อยแล้ว ทำไมคนพวกนี้ ไม่เห็นใจเราบ้างเลย จะเอาแต่ใจตัวเอง กันทั้งนั้น"

ฉันอดเห็นใจ เพื่อนร่วมอาชีพ ด้วยกันไม่ได้ ที่บางคน ก็มีอารมณ์เครียด จนบางครั้ง ก็ระบายออกมา ทางวจีกรรม จนทำให้ประชาชน ผู้มารับบริการ ที่ตั้งเป้าหมายไว้สูงว่า พยาบาลคือ "ผู้ให้" ตลอดกาล คือผู้ไม่มี อารมณ์เครียดเลย คือผู้อ่อนโยนยิ้มแย้ม พูดจาไพเราะ ตลอดเวลา คือ บุคคลที่ใกล้ๆ พระอรหันต์ นั่นทีเดียว! (คือต้อง ไม่มีความโกรธเลย) คนเหล่านี้จะผิดหวัง หากบังเอิญ ไปพบพยาบาล อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งต่างจาก อุดมคติ ของพวกเขา

มีบทกวีหนึ่ง ที่เขียนเตือน เพื่อนร่วมวิชาชีพพยาบาลว่า

"แม้พบความ หยามเหยียด รังเกียจยิ่ง
จะทนนิ่ง เพื่อดับ ความสับสน
จะปลอบเลือด ทุกหยด ให้อดทน
ประพฤติตน ให้สมค่า พยาบาล"

เมื่อได้นำธรรมะมาคุ้มครองจิตบ้าง บ่อยครั้ง ฉันก็บอกกับตัวเองว่า

"เป็นธรรมดา ที่มนุษย์มักจะอยากได้บริการ หรือการเอาใจใส่ ที่ดีที่สุด ต่อตัวเขา หรือญาติของเขา เขาไม่ใช่เรา เขาจึงไม่รู้ว่า ตอนนี้ เราเหนื่อย เราเพลีย หรือเรากำลังยุ่งอยู่"

และที่ต้องระลึกอยู่เสมอ เพื่อเตือนตน ให้เจียมตนว่า เราควรต้องขอบคุณ ผู้มารับบริการ เพราะพวกเขา เราจึงมีโอกาส ได้ทำความดี ได้สะสมมรดก แห่งกุศลกรรม แล้วได้ลดความเห็นแก่ตัว ของเราเองด้วย

พอทำงานมากขึ้น นักทำงานทั้งหลาย ก็จะต้องพบกับโจทย์ ที่เพิ่มขึ้น คือ โลกธรรม ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ นินทา ฯลฯ ฉันในฐานะเสขบุคคล ผู้กำลังฝึกตน ให้รู้เท่าทันโลกธรรม จึงต้องระมัดระวัง ในเรื่องนี้ เป็นอย่างยิ่ง

"ลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญ เป็นอันตรายอันแสนเผ็ด แม้พระขีณาสพ"

"ไม่มีอะไรจะทำลายคนได้เร็ว เท่าคำสรรเสริญเยินยอ... มันทำให้จิตฟูฟอง และหลงตัวสุดขีด..."

ความจริง คนเขาสรรเสริญ ก็เพียงเพื่อยืนยันกับเราว่า

"ทำอย่างนี้ดีแล้ว... จงทำต่อไป ต่อไป" เท่านั้นเอง

บางที การที่เราได้ลาภ ยศ สรรเสริญมากๆเข้า หากไม่ระวังให้ดี เมื่อไปพบกับเหตุการณ์ ที่ไม่พึงปรารถนา จิตของเรา จะหวั่นไหวได้ง่าย

เหมือนกับเหตุการณ์ เมื่อตอนใกล้เที่ยง วันหนึ่ง ที่แผนกสูตินรีเวช ฉันกำลังอยู่เวรเช้า และเป็นหัวหน้าเวรด้วย

ญาติคนไข้เตียงที่ ๘ ที่เพิ่งรับเข้ามาในแผนก เมื่อ ๓ ช.ม.ก่อน มาพูดจาวางอำนาจ กับเจ้าหน้าที่ โดยมีฉัน นั่งฟังบทสนทนา อยู่ใกล้ๆ ที่เคาน์เตอร์พยาบาล

"ใคร เป็นหมอเจ้าของไข้ คนไข้ของผม"

"หมอพรเทพค่ะ" พี่ผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งตอบ

"ทำไมป่านนี้ ยังไม่มาดูคนไข้อีกล่ะ" เสียงนั้น แสดงอารมณ์ไม่พอใจ ออกมาอย่างชัดเจน

"ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ หมออาจจะติดธุระ อะไรอยู่ก็ได้ เดี๋ยวก็คงมา"

"อะไรกัน! ทำงานกันประสาอะไรยังงี้ ปล่อยให้คนไข้มารอ ตั้งนานแล้ว!"

พี่ผู้ช่วยพยาบาลอีกคนหนึ่ง จึงพูดขึ้นบ้างว่า

"คุณคะ หมอเวรใหญ่ เขาก็สั่งยา สั่งน้ำเกลือให้แล้ว ที่นี่พยาบาล ก็ไม่ได้ทอดทิ้งอะไร คุณก็เห็นนี่คะ"

"แต่ผมต้องการพบหมอ เจ้าของไข้เดี๋ยวนี้! ใคร! ใครเป็นผอ. (ผู้อำนวยการโรงพยาบาล) ที่นี่ ! "

"หมอบัณฑิต" พนักงานผู้ช่วยอีกคนหนึ่งตอบ

"บัณฑิต อยู่ไหน! หือ บัณฑิตอยู่ไหน ! "

ฉันยิ้มขำๆ และชื่นชมว่า วันนี้พวกเจ้าหน้าที่เรา ช่างระงับอารมณ์ได้ เก่งมากจริงๆ หรือว่า...หรือว่า พวกพี่ๆเขา "ปลอบเลือดทุกหยดให้อดทน" กันได้แล้ว ? !

พอชายเจ้าของไข้ คนไข้เตียง ๘ เดินออกไปจากแผนก สูตินรีเวชแป๊บเดียว พี่ผู้ช่วยฯคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุมากแล้ว พูดดังๆ อย่างระบายอารมณ์เต็มที่ว่า

"ใครวะ...ไอ้อ้อ... แกรู้จักมั้ย โอ้โฮ... ทำไมพ่อวางก้ามขนาดนี้ !"

พี่ผู้ช่วยฯอีกคน ก็พูดขึ้น อย่างเหลืออดบ้างว่า

"แกจะใหญ่มาจากไหน ไม่สำคัญ... แต่ที่นี่ฉันใหญ่ !"

ฉันหัวเราะอย่างขบขัน... แหม หลงชื่นชมพี่ๆเสียตั้งนาน ที่แท้ก็อัด ดินระเบิดไว้นี่เอง... เราเองก็เถอะ หากมัวหลงฟูฟอง เมื่อได้รับสรรเสริญ บ่อยๆเข้า และไม่ระมัดระวังให้ดี เจอผัสสะอย่างนี้เข้า ก็คง "เข็มกระดิก" เหมือนกันนั่นแหละ

ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ ผู้ทรงพระปัญญาธิคุณ ก็ทรงสอนไว้แล้วว่า

ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โลกธรรมเหล่านี้ เป็นอนิจจัง เกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็ต้องเสื่อมไป อย่างไม่มีอะไร จะหยุดยั้งได้ ผู้มีสติและรู้เท่าทัน ไม่หลงไปติดยึด กับสิ่งเหล่านี้ จะไม่เดือดร้อนใจ เมื่อสิ่งเหล่านี้ แปรเปลี่ยนไป

ทุกวันนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งเป็นผลพลอยได้ จากการทำงาน ที่ได้รับมานั้น จึงเป็นเสมือน "ดาบสองคม" อันน่ากลัว

ฉันจึงมักต้องเตือนตัวเอง อยู่เสมอว่า

หากเราทำงานได้มาก สร้างสรรค์ประโยชน์ ให้กับสังคม ให้กับมนุษย์ได้มาก เราก็จงจำไว้ ตลอดเวลาว่า

"ผู้ให้" ต้องขอบคุณ"ผู้รับ" ต้องรู้สึกเป็นหนี้พระคุณ ผู้ที่มาอนุเคราะห์ ให้เราได้ช่วยเหลือ... ให้เราได้มีโอกาส ทำความดี

ขอบคุณคนไข้ และญาติคนไข้ และ เพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย

ที่ได้กรุณา ให้ฉันได้มีโอกาสทำความดี

ขอบคุณมิตรดี ผู้มาให้กำลังใจ ให้ความอบอุ่น และให้ขุมทรัพย์ อย่างอ่อนโยน

ขอบคุณมิตรดี ผู้มาชี้ขุมทรัพย์ อย่างแข็งกร้าว เพื่อให้ฉันแกร่งขึ้น หากได้พิจารณา ข้อบกพร่อง ที่ต้องแก้ไข ของตนเอง อยู่เสมอๆ ; การได้เจียมตน ว่าเรายังไม่เก่ง (ถ้าเก่งก็หมดกิเลส ไปนานแล้ว!) และ ความรู้สึกสำนึก ในพระคุณของผู้อื่น ที่มีต่อเราตลอดเวลา ทั้งสามข้อนี้ จะทำให้เราไม่ลืมตัว และสามารถต้านพิษภัย อันเกิดจาก การหลงติด ในลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญ อันเป็นดุจ "ดาบสองคม" ได้ เป็นอย่างดี

ลูกไกลพ่อ
๑๙ กันยายน ๒๕๓๓ ๑๒.๔๒ น.

"เย จิตตัง สัญญเมสสันติ โมกขันติ มารพันธนา"
"ผู้ใด จักระวังจิต ผู้นั้น จักพ้นจากบ่วงแห่งมาร"
พระพุทธพจน

(จากสารอโศก อันดับ ๑๔๗ มกรา กุมภา มีนา ๒๕๓๔)