มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม

วันนี้...ที่รอคอย

ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ดิฉันมาพบธรรมะ ที่สันติอโศก นึกอนุโมทนา ชื่นชม คนที่ทำงานอยู่ในวัด พวกเขาได้ใช้ แรงกายบริสุทธิ์ มาทำงานให้กับศาสนาโดยตรง บางคน ก็มาทำงานให้วัด อย่างเต็มตัว เขาเหล่านั้น ได้ฟังธรรมะทุกวัน หากทำผิดแม้เล็กน้อย ก็จะมี "ตำรวจ" มาคอยชี้แนะ คอยบอก ให้เราเดินตรงทาง อยู่เสมอ การได้ทำงาน กับเพื่อนรัก ร่วมอุดมการณ์ การได้อยู่ใกล้สัตบุรุษ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่จะมาเสริม แรงเพียรของเรา ให้ได้ลดละกิเลส ได้เร็วได้มากยิ่งขึ้น และ พ้นทุกข์เร็วขึ้น

ปีต่อมา ดิฉัน จึงตัดสินใจจะเข้าวัด แต่ขณะนั้น น้องๆ ทั้ง ๕ คน ยังเรียนอยู่ ดิฉัน จึงต้องอยู่ทำงาน เพื่อหารายได้ ไปส่งเสียน้องๆ และ เลี้ยงดูพ่อแม่ก่อน ดิฉันทำเรื่อง ย้ายเข้ากรุงเทพ หาที่ทำงาน ที่อยู่ใกล้สันติอโศก มากที่สุด (เพื่อที่จะได้มาฟังธรรมะ และ มาช่วยงานในวัด ได้มากขึ้น)

ขณะทำเรื่องย้าย พ่อดิฉันก็ล้มป่วย ด้วยโรคปวดหลัง ต้องเข้ารับการรักษาตัว ในโรงพยาบาล เป็นเวลานาน ในปีต่อมา ดิฉันก็ทำเรื่องย้ายไปอยู่ ร.พ.นครปฐม เพื่ออยู่ใกล้ปฐมอโศก มากยิ่งขึ้น แม่ดิฉันป่วย ต้องเข้ารับการรักษาตัว ในโรงพยาบาล ด้วยอาการปวดท้องมาก ต่อมาแพทย์ได้พบว่า แม่เป็นโรคเบาหวาน ที่ต้องมา รับการตรวจรักษา ที่โรงพยาบาลทุกเดือน ดิฉันคิดว่า หากเราจากท่านทั้งสอง ไปอยู่ไกลๆ ใครจะดูแล ปรนนิบัติท่าน การทำบัตรการเบิกจ่ายยา การรับการตรวจรักษา จะสะดวกยิ่งขึ้น หากเรายังอยู่ใกล้พ่อแม่ ดิฉัน จึงหยุดเรื่องย้ายไว้ก่อน

อีก ๔ ปีต่อมา ดิฉันได้ส่งน้องสาว เข้าเรียนพยาบาล อีก ๒ ปีต่อมา ก็ส่งน้องสาวอีกคน เรียนพยาบาลอีก เดิมที น้องๆ ไม่อยากเป็นพยาบาล เพราะเห็นชีวิตพยาบาล ของดิฉัน ต้องทำงานหนัก ไหนจะงานที่โรงพยาบาล งานที่คลินิกเอกชน งานเฝ้าไข้พิเศษ และ ยังต้องจัดสรรเวลา เพื่อมาช่วยงาน และ ฟังธรรมที่วัด งานอบรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ของข้าราชการ ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด ต้องแบ่งเวลาไปดูแล ปรนนิบัติพ่อแม่ ไปดูแลน้องๆ ทั้งห้าคน ที่แยกย้ายกันไปเรียน ในแต่ละจังหวัด

หลายปีที่ผ่านมา ดิฉันไม่ได้รับการพักผ่อน อย่างเพียงพอ เป็นเวลายาวนาน อดนอนบ่อยมาก ใบหน้าหมองคล้ำ อยู่เป็นนิตย์ ดิฉันได้ชี้แจง ให้น้องๆ ได้เห็นประโยชน์ ของการเป็นพยาบาล ซึ่งมีโอกาส ช่วยเพื่อนมนุษย์ ในยามป่วยไข้ การที่ได้อยู่ในอาชีพ ที่เป็นบุญ และ ยังมีความรู้ ช่วยดูแลญาติพี่น้อง ดูแลตนเองได้ และ ยังหารายได้พิเศษ หากเราต้องการ น้องๆ จึงจำนนในเหตุผล และ ไปเรียนพยาบาล ด้วยประการฉะนี้

ดิฉันได้เรียนให้พ่อกับแม่ ทราบว่า เมื่อน้องๆ ทุกคน เรียนจบหมดแล้ว ดิฉันจะลาออก ไปอยู่วัด ตอนนั้น พ่อกับแม่ ไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าระยะเวลา อันยาวนานนี้ ดิฉันอาจพบ คนที่ถูกใจ แต่งงานแต่งการไป ชีวิตก็จะหักเหไป จนลืมเรื่องลาออก ไปอยู่วัดก็ได้

"อีก ๕ ปี ฉันจะเข้าวัดละนะ"

ตอนนั้น อโศกกำลังมีข่าว ออกที.วี.ทุกวัน เรื่องพ่อท่าน สมณะ ถูกจับไปคุมขัง ข่าวที่ออกมาทางที.วี.นั้น มันรุนแรง ต่อความรู้สึก ของพ่อแม่มาก ท่านเดือดร้อนใจ และ ห้ามดิฉันไปวัด ในระยะนั้น แต่ดิฉันกลับไปวัด บ่อยยิ่งขึ้น และ ได้ชี้แจงให้ท่านทราบว่า ข่าวที่ออกมานั้น อโศกไม่มีสิทธิ ออกมาแก้ตัว หรือ ชี้แจงข้อเท็จจริง ได้เลย ฝ่ายโน้นออกข่าวฝ่ายเดียว

สองปีต่อมา ดิฉันได้เลื่อนขั้นเป็น ซี.๖ ซึ่งนับเป็นคนที่มี อายุราชการน้อยที่สุด ที่ได้ ซี.๖ ก่อนหน้านั้น ดิฉันก็ได้รับ รางวัลดีเด่น ในการทำงานเป็นระยะๆ พ่อแม่ก็คิดว่า ความก้าวหน้าทางราชการ แบบก้าวกระโดด ของดิฉัน การได้รับรางวัล คำชื่นชมต่างๆ คงจะทำให้ดิฉัน เปลี่ยนใจได้ แต่ดิฉันก็ยังคง บอกท่านทุกปีว่า เหลืออีก ๓ ปีแล้วนะ เหลืออีก ๒ ปีแล้วนะ จนกระทั่ง เหลืออีก ๑ ปี น้องเรียนจบ มีหน้าที่การงานมั่นคง น้องๆ เรียนเก่ง และ เป็นคนดีทุกคน น้องคนสุดท้อง จะจบพยาบาลในปีหน้า ดิฉันเรียกพี่น้อง มารวมกันหมด และ บอกว่า ปีรุ่งขึ้น ดิฉันจะลาออกแน่นอน ทั้งพี่ชาย ๒ คน และ น้องๆ ทั้ง ๕ คน ก็เต็มใจ ที่จะมาช่วยกันดูแล ปรนนิบัติพ่อแม่ ในด้านสุขภาพ ของท่าน ก็ยังมีลูก ที่เป็นพยาบาลเหลืออีก ตั้งสองคน

ดิฉัน จึงไม่มีสิ่งใด ที่จะต้องห่วงกังวลอีก

เมื่อดิฉันยื่นใบลาออก เรื่องก็ถูกระงับไว้ พี่หัวหน้าพยาบาล คืนใบลาออกกลับมา ดิฉันถูกผู้ใหญ่หลายท่าน เรียกขึ้นไปพบหลายครั้ง เพื่อให้ดิฉันรับงานราชการต่ออีก หลายท่านเสียดายอนาคต ที่กำลังเจริญก้าวหน้า ของดิฉัน บางท่านก็ห่วงว่า จะไปอยู่ที่วัดได้อย่างไรโดยไม่มีรายได้ ข่าวนี้ดังไปทั้งใน และ นอกโรงพยาบาล ตั้งแต่ระดับคนงาน จนถึงแพทย์ และ ผู้หลักผู้ใหญ่ หลายคนก็อนุโมทนา ในความตั้งใจจริง ที่จะไปทางธรรม ของดิฉัน หลายคนก็เสียดาย อนาคตหน้าที่การงาน ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ ดิฉันยื่นใบลาออก ขึ้นไปอีก

๑๖ กันยายน ๒๕๓๖ เป็นวันประวัติศาสตร์ ดิฉันไปเซ็นรับทราบคำสั่ง อนุมัติให้ลาออกได้ ต้นเดือนตุลาคมนี้

ดิฉันกลับไปบ้าน เรียนให้พ่อกับแม่ทราบ แม่บอก แม่ใจหายวาบเลย แม่อุตส่าห์ไปบนไว้ว่า ถ้าลูกไม่ลาออก แม่จะบวชให้ ๑ พรรษา

ดิฉันหัวเราะขำแม่

"อ้าว... ทำไมแม่บนไว้น้อยนักล่ะ น่าจะบนบวชตลอดชีวิต สิ่งที่แม่ขอ อาจจะสำเร็จก็ได้"

แม่บอกว่า "แม่รู้ว่าลูกจะไปทำดี แต่ถ้าหากไม่ได้มาเจออโศก เราแม่ลูกก็คง ไม่ต้องพรากจากกัน"

ดิฉันว่า "จากไปที่ไหน ก็อยู่ที่วัดนั่นแหละ แม่คิดถึง ก็ไปเยี่ยมได้"

แม่ยังรู้สึกว่า ถูกแย่งลูกไป สำหรับพ่อ ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ความรู้สึก ก็คงไม่ได้ต่างจากแม่ เท่าใดนัก

เราพ่อแม่ลูก มานั่งคุยกันที่ศาลา ริมสระน้ำหน้าบ้าน คุยกันถึงเรื่องเก่าๆ ตั้งแต่สมัยดิฉัน ยังเล็กๆ บ้านเราเคยถูกปล้น พ่อเคยถูกโกงเงิน ที่มีคนมายืมไป แล้วไม่ยอมคืนหลายๆ ครั้ง แต่บ้านของเรา ก็ไม่เคย ไปโต้ตอบใครเลย เราอยู่กันสงบมาตลอด พ่อแม่จะสอนลูก แบบคนไทยสมัยก่อน อบรมลูก ให้เป็นคนดี ทั้งสองท่าน ชอบทำบุญทำทาน อยู่เสมอ

หลายปีมานี้ พ่อได้ไปมอบทุนการศึกษา ให้กับนักเรียน ปีละหลายๆ คน ทั้งๆ ที่บ้านของเรา ไม่ร่ำรวยเลย ครอบครัวของเรา ได้เป็นครอบครัวตัวอย่าง ของตำบลนั้น แม่ก็ได้รางวัล แม่ดีเด่นด้วย พี่น้องทั้ง ๘ คน ก็ได้โล่ ได้รางวัลดีเด่น ในเรื่องความประพฤติ การเรียน และ การทำงานเกือบทุกคน ครอบครัวของเรา ขาดอยู่สองอย่าง คือ "ความฉลาดทันคน" พวกเราซื่อเกินไป มักรู้ไม่เท่าทัน เล่ห์เหลี่ยม ของคนอื่น

สำหรับ "เงินทอง" แม้จะไม่ถึงกับขาดแคลน แต่ก็ไม่ร่ำรวย พี่น้องทุกคน จะรักกันมาก หากมีใครคนหนึ่ง เดือดร้อน พี่น้องที่เหลือ ก็จะเฮละโล มาช่วยทันที คนที่มาเป็นเขยสะใภ้ ก็เป็นคนดีทุกคน สำหรับตัวดิฉันเอง น้องทั้งห้าคน คือดวงใจ ขนาดดิฉัน มาปฏิบัติธรรมแล้ว พอทราบว่า ใครมาทำให้ น้องของเราเดือดร้อน จิตดิฉัน ก็โลดแล่นไปทันที อยากจะไปจับ คนที่ทำน้องเรา มาตีเข่าเสียให้เข็ด!

เมื่อข่าวดิฉันลาออก ดังออกไป เพื่อนร่วมรุ่นพยาบาล ก็มารวมกันเกือบหมด จากต่างจังหวัดก็มา (ตั้งแต่เรียนจบพยาบาลมา ก็เพิ่งมารวมสังสรรค์กัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก) ดิฉัน จึงได้ข่าว ไม่สู้ดีนัก เพื่อนๆบอกว่า

"ไอ้อ้อ แกไปห้ามทัพเร็วๆเข้า ไอ้สองคนนั่น มันแย่ง ซี.๗ กันใหญ่เลย มันจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว"

ชีวิต ของฉันที่ผ่านมา อยู่กับการได้ช่วยเหลือ แก้ปัญหาให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทางกาย หรือทางใจ

หันกลับมาดูตัวเอง จิตใจยังพัฒนาไปไม่ได้ถึงไหนเลย (มัวแต่ช่วยคนอื่น) จิตวิญญาณ ยังหนาไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง มากมาย พ่อท่านเคยเทศน์สอน เมื่อปีก่อนว่า คนบางคน มีชีวิตเหมือน "จับกัง" รับจ้าง แบกหีบทองคำ ไปให้คนอื่น ได้ค่าจ้าง ๕ บาท ๑๐ บาท ก็เอาไปซื้อฝิ่นมาถุน อยู่นั่นเอง ชาติแล้วชาติเล่า คนที่รับเอาทองคำไป ก็ร่ำรวยกันไปหมดแล้ว ตนเองยังมาหลงเสพฝิ่น อยู่นั่นเอง เปรียบได้กับคนบางคน ช่วยคนได้เก่ง สอนคนได้เก่ง จนคนเหล่านั้น เป็นอรหันต์ไปหมดแล้ว ตนเองยังไปไม่ถึงไหน สอนเก่งๆ เทศน์เก่งๆ คนก็มาศรัทธา ยกย่อมมาก พอได้สรรเสริญมาก ก็พอใจเสพ อยู่แค่นั้นเอง ไม่ดูตัวเองว่า ชาตินี้ จะมาเอาอะไร แค่ไหน และ ไม่ได้พัฒนาตนขึ้นเลย

ดิฉันคิดว่า เทศน์กัณฑ์นี้ เตือนดิฉัน โดยตรงเลยแหละ เมื่อเพื่อนๆ มาบอกให้ไปห้ามทัพ เพื่อนที่แย่ง ซี.๗ กัน

ดิฉันดีใจว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป จะพยายามอบรมฝึกตน ขัดเกลาตน จะพยายามเลื่อนฐาน จากการเป็น "จับกัง" ขึ้นมาเป็น "เจ้าของทอง" ให้จงได้

๒๙ กันยายน วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิด ตื่นขึ้นมาตอนเช้า สิ่งแรกที่คิดคือ วันนี้เราจะทำ ประโยชน์อะไร ให้กับตนเอง เพื่อให้จิตวิญญาณ เจริญขึ้นบ้าง ดิฉันนึกถึง พ่อ แม่ และ หมอตำแย วันที่ดิฉันเกิด สามท่านนี้ คงยุ่งน่าดู หมอตำแยคงตายไปแล้ว ดิฉันคิดพลาง ทำอาหาร ๑ อย่าง เพื่อนำไปให้ พ่อกับแม่ที่บ้าน แต่ปรากฏว่า แม่มาหาที่แฟลตพยาบาล ทำกับข้าวมาให้ ๔ อย่าง และ มาอวยพรวันเกิดด้วย

ท้องฟ้า ยามเช้าตรู่วันนี้ สวยงามอย่างประหลาด แสงเงินแสงทอง ที่ฉายมากระทบ หอดูเมือง ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้าง แบบโบราณ สูงถึง ๘๗ เมตร ตั้งตระหง่าน อยู่ท่ามกลางแมกไม้ เขียวชอุ่ม ทำให้ดิฉัน นึกไปถึง อาณาจักร ของบาบิโลน ในเทพนิยาย

พอค่ำลง ดวงจันทร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ ก็ลอยเด่นขึ้น บนท้องฟ้า งามกระจ่าง วันนี้เป็นวันโกน ดิฉันนึกขึ้นมาได้ว่า แม่เล่าว่า เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน วันนี้เป็น "วันพระ" และ ดิฉันเกิด ตอนพระ กำลังออกบิณฑบาตพอดี

๓๐ กันยายน ดิฉันยืนดูตนเอง ในเครื่องแบบสีขาว ในกระจกเงา อาจารย์เคยสอนไว้ว่า เวลาติดกระดุม และ เข็มเครื่องหมาย ให้เอา "งูพันคบเพลิง" ชี้ขึ้นให้เป็นระเบียบ ชุดขาวต้องเรียบ ขาวสะอาดอยู่เสมอ ดิฉันก็ได้ปฏิบัติตาม มาโดยตลอด วันนี้เป็นวันสุดท้าย ที่เราจะได้สวม เครื่องแบบสีขาว

เราสวมเครื่องแบบ มาสิบปีกว่า ดิฉันไม่เคยมองตัวเอง ว่าสวยงามเลยจริงๆ แต่วันนี้ ทำไมผู้หญิง ในกระจกเงาตรงหน้า จึงสวมชุดขาว ได้พอเหมาะพอดี และ งามสะอาดตาเหลือเกิน หรือว่าวันนี้ กระจกมันหลอกเรา! (สงสัยจะหลอกจริงๆ!)

ที่โรงพยาบาล ตึกผู้ป่วยนอก ๗ ชั้น กำลังจะสร้างเสร็จ รอรับตำแหน่งใหม่

แฟลตพยาบาล สีเขียวมรกต ที่เต็มไปด้วย ดอกไม้นานาพันธุ์ ส่งกลิ่นหอม โดยเฉพาะซุ้มดอกราตรี ที่อยู่หน้าแฟลต มันจะส่งกลิ่นหอม อบอวลขึ้นมา จนถึงชั้นสาม เวลาดิฉันลงเวร มาตอนเที่ยงคืน อาบน้ำเสร็จ ก็นอน ได้กลิ่นดอกราตรี จนหลับไปทุกคืน บอกกับตัวเองว่า "ยังกะอยู่บนวิมานเลยเรา"

คนงานที่ทำความสะอาดแฟลต ก็ชอบเอาดอกจำปี มาให้เสมอ บางวัน ดิฉันนอนหลับ อยู่ในห้อง เขาก็จะวางดอกจำปี ไว้ให้ที่หน้าห้อง เป็นประจำ

เจ้า "สะเก็ดศักดิ์" (ดิฉันตั้งชื่อให้มันเอง) สุนัขแสนรู้ ที่จงรักภักดี มันจะวิ่งรับ วิ่งส่งดิฉัน เวลาขึ้นเวรลงเวร ตอนเช้าวันไหน ดิฉันไปออกกำลังกาย มันก็จะวิ่งตามไม่ห่าง แต่ก่อน มันเป็นขี้เรื้อนทั้งตัว ไม่รู้ใคร เอายาทาให้มัน เดี๋ยวนี้ขี้เรื้อน หายไปหมดแล้ว ขนขึ้นเต็มตัว เรียงเป็นระเบียบ หนานุ่มสีขาว สวยงามมาก แต่ดิฉันก็ยังเรียกมันว่า "สะเก็ดศักดิ์" อยู่ดี ดูมันจะพอใจ กับชื่อนี้ด้วย เพราะเรียกชื่อมันทีไร เหมือนมันจะยิ้มๆ อย่างพอใจทุกครั้ง

บ้านของดิฉัน ก็ร่มรื่น อยู่ท่ามกลางแมกไม้ และ ดอกไม้นานาพันธุ์ สระใหญ่หน้าบ้าน มีดอกบัวบานสะพรั่ง อยู่เต็มสระ ส่งกลิ่นหอมไปทั้งสระ และ ยังมีน้องๆ ทั้งห้าคน ที่ดิฉันรัก มากกว่าสิ่งใดๆ

บัดนี้ดิฉัน ได้ตระหนักแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่งของ บุคคล ที่เรารัก เราคิดว่า เป็นของเรานั้น แท้จริง ไม่มีอะไร เป็นของเราเลย เราเป็นเพียง "ผู้ดูแลชั่วคราว" เท่านั้น อีกไม่ช้า เราก็ต้องจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไป เพียงแต่ ช่วงที่สิ่งเหล่านี้ อยู่กับเรา เราควรทำหน้าที่ของ "ผู้ดูแล" ให้ดีที่สุด เท่านั้นเอง

คิดถึงพ่อแม่ แม้ท่านจะไม่เต็มใจนัก ท่านต่อต้าน ตั้งแต่สมัยดิฉัน เริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ผลจาก การปฏิบัติธรรม ได้ขัดเกลาดิฉันเรื่อยๆ ทำให้นิสัยดีขึ้น จนพ่อแม่ไม่ต่อต้าน แต่ก็ต้องใช้เวลา ยาวนาน พอสมควร ท่านจึงจะเข้าใจ

วันที่ดิฉันจะมาอยู่วัด ทั้งครอบครัว จะยกขบวนมาส่ง คนที่ไม่เคยมาวัดเลย ก็จะมาดูว่า ดิฉันจะมาอยู่อย่างไร จะลำบากหรือไม่ เตรียมของยังกับว่า ดิฉันจะออกไปรบ อย่างนั้นแหละ ดิฉันหัวเราะขำ พ่อแม่ กับพวกพี่น้อง "ไม่ต้องไปส่งหรอก ฉันจะไปเอง เอากระเป๋าใบเดี๋ยวแหละ"

ดิฉันนั่งทบทวนชีวิต ๓๓ ปีที่ผ่านมา ชีวิตเราก็เหมือน ละครบนเวที บางครั้ง ก็ได้เล่นบท"นางเอก" (รูปร่างดำๆ น่าเกลียด อย่างดิฉัน อาจเป็นนางเอกได้ ในเรื่อง "นี่หรือคน!" หรือ "เงาะป่า ภาคพิสดาร!") บางครั้ง ดิฉันก็เล่นบท "นางร้าย" (บทนี้ถนัด มาตั้งแต่เกิด) ชีวิตขึ้นลง โลดโผน มีครบทุกรสชาติ ดีใจ เสียใจ เมตตา โกรธแค้น ขมขื่น ชื่นใจ... นับแต่บัดนี้ไป ดิฉันพอใจ ที่จะเล่นบท "ตัวประกอบ" ที่เล็กๆ เงียบๆ มีชีวิตผ่านไป วันต่อวัน อยู่กับการมองตน ขัดเกลากิเลส ออกไปเรื่อยๆ และ พอใจที่จะเล่นบทนี้ ไปเรื่อยๆ จนตลอดชีวิต

มนุษย์ทุกคน ต่างก็มีเป้าหมายชีวิต ของแต่ละคน แต่จะมีสักกี่คน ที่ได้ก้าวเดิน บนเส้นทาง อุดมการณ์ ที่ตนใฝ่ฝัน รอคอย

ดิฉันนึกถึงบทกวี ที่มีผู้แต่งไว้ อย่างกินใจว่า

"มีเส้นทาง มากสาย รอให้ก้าว
ทั้งเพริศพราว พร้อมสุข สนุกสนาน
ต่อเติม เสริมสร้าง อลังการ
ทะเยอทะยาน ให้ถึง ซึ่งหลักชัย
เหน็ดเหนื่อย หนักหนา มานานนับ
กี่กัลป์ กี่กัปป์ ก็ทนไหว
วนแล้ว เวียนเล่า เกินเข้าใจ
ที่สุดเหลือ สิ่งใด ให้ชีวี
แม้มีทาง มากสาย ให้เลือกมาก
ก็จะทน ลำบาก อยู่ที่นี่
ด้วยซาบซึ้ง คุณงาม และ ความดี
ขอพลี ใจกาย ถวายธรรม"

เมื่อ "วันนี้ที่รอคอย" ในชีวิตของดิฉันมาถึง "วันนี้...ที่รอคอย" จึงเป็นบันทึกเรื่องราว เรื่องสุดท้าย ในชีวิต ของลูกไกลพ่อ ขอปิดฉากชีวิต ของลูกไกลพ่อ "ภาคบนดิน" ลงแต่เพียงเท่านี้

Happy Ending

ลูกไกลพ่อ (ฉบับสุดท้าย)
๑ ตุลาคม ๒๕๓๖ : ๒๓.๔๐ น.

หมายเหตุ อาจมี "ภาคสวรรค์" อีกก็ได้ หากไม่ตกสวรรค์เสียก่อน หรือต่อไป อาจมีภาค "พระมาลัย... ท่องนรก" แต่งานนี้ ไม่ได้ไปโปรดสัตว์ แต่อาจไปตกนรกเสียเอง! อย่างไรก็ตาม ต้องขอกราบ ขอบพระคุณ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ท่านที่คอยชี้แนะ และ ท่านผู้มีอุปการคุณ ต่อผู้เขียน มาโดยตลอด.

(สารอโศก อันดับ ๑๖๖ ตุลาคม ๒๕๓๖ หน้า ๒๐ - ๒๕)