http://www.facebook.com/topsecretthai เสธ น้ำเงิน3
แฉ..ความลับ

วันที่ 10 มิ.ย.57
เผย..เมื่อคนไทยหันหน้ามาหากัน ความสงบสุขจะค่อยๆ กลับคืนมา

เมื่อประชาชน มีความเข้าใจ ในการทำงานของ คสช. มากขึ้น เป็นลำดับ ผสานกับ การดำเนินการ ในด้าน ความมั่นคงต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้ความสุข ที่หายไปนาน ค่อยๆ กลับคืน มาสู่สังคมไทย อีกครั้ง

ยามนี้ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ร่วมมือกัน ให้ความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน กับประชาชน ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ ประชาชน อยู่เย็นเป็นสุข รอยยิ้ม จึงกลับมา ในทุกภาคส่วน ของสังคม

แต่โบราณกาล อาณาจักรสุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี สู่รัตนโกสินทร์ ตอนต้น ยามบ้านเมือง เกิดศึกสงคราม กับอริราชศรัตรู ที่มีอาณาจักรใกล้กัน เช่น พม่า ฯลฯ ชายไทยทุกคน ก็จะถูกเกณฑ์ เป็นทหาร เพื่อปกป้อง ราษฏรแนวหลัง และครอบครัว

ประมาณว่า ช่วงอาณาจักร อยุธยารุ่งเรือง มีราษฏร ราว 3 ล้านคน มีทหารพร้อมรบราว ไม่เกิน 1.5 แสนคน ที่เหลือจะเป็น กองเสบียง และหน่วยสรรพาวุธ ทหารสมัยโบราณ ไม่เงินเดือนประจำ แต่เมื่อรบชนะศึก ก็จะได้ส่วนแบ่งทรัพย์ จากการยึด จากข้าศึกมาได้ การได้รับยกเว้น การเก็บภาษีอากร การได้บรรดาศักดิ์ การได้ที่ทำกิน ฯลฯ

พอยุคต่อๆ มา บ้านเมืองเจริญขึ้น มีประชากร มากขึ้น การจัดรูปแบบ กองทัพทหาร ก็เปลี่ยนไป เป็นระบบ ระเบียบ และมีการบริหารจัดการ ที่มีประสิทธิภาพ มากขึ้น และแยกออกเป็น กองทัพย่อย คือ บก เรือ อากาศ ตำรวจ

โดยตำรวจ เน้นการรักษา ความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย ภายในราชอาณาจักร ส่วนทหาร เน้นภาระกิจ การปกป้อง อาณาเขต ของราชอาณาจักร ไม่ให้มีศรัตรูรุกล้ำ มาทำอันตราย ต่อประชาชน ในอาณาจักร ได้โดยง่าย

แต่เมื่อยามว่างเว้นจาก การศึกสงคราม กับประเทศ เพื่อนบ้าน หรือ การก่อการร้าย และบ้านเมืองสงบ ทหาร ก็จะเข้ามา ช่วยเหลือ พัฒนาประเทศ และช่วยเหลือ ประชาชน ด้านต่างๆ เช่น ในยามภัยพิบัติ น่ำท่วม ดินถล่ม วาตภัย ฯลฯ

เนื่องเพราะทหาร มีเครื่องจักร ที่มีความพร้อม หลายชนิด และกำลังพล ที่มีระเบียบวินัย มีขวัญ กำลังใจดี ได้รับการปลูกฝัง จากผู้บังคับบัญชาให้ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมเสียสละ ให้ผู้อื่น ที่อ่อนแอ กว่าเสมอ

ที่ผ่านมา ช่วงทหารมาดูแล ความปลอดภัย ในเมืองหลวง จะพบเห็นภาพ ทหารเข็นรถ ให้คนพิการ จูงมือคนชรา ขึ้น ลง สะพานลอย ข้ามถนน เข็นรถเข็นของ น้ำหนักมาก ช่วยถือของ ฯลฯ นับเป็นภาพ ที่แสดงออกถึง อารยะธรรม แต่โบราณ ของทหารไทย ตั้งแต่โบราณ จนถึงปัจจุบัน

คำว่า " ประชาชนคือทหาร ทหารคือประชาชน " จึงเป็นจริงเสมอ ตลอด 800 ว่าปี ที่คนเผ่าไทย อาศัย ในแผ่นดินทอง สุวรรณภูมิ แห่งนี้ ที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ใต้ดินมีทรัพยากร ภายใต้พระบารมี ของพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่อาณาจักร สุโขทัย เป็นต้นมา รวม 52 พระองค์

ยามใดที่คนไทย ส่วนน้อยขัดแย้ง แตกความสามัคคีกัน อาณาจักร ก็จะมีภัยคุกคาม ราษฏรส่วนใหญ่ เช่น ในสมัย กรุงอโยธยา แตกครั้งที่ 2 ครั้งนั้น มีคนในเมืองหลวง เอาใจออกห่าง ไม่ซื่อสัตย์ แปรพักตร์ ไปเข้าพม่า เปิดประตูเมือง จนพม่าบุกเข้า ใจกลางเมืองหลวงได้ ฆ่าฟันทหาร และราฎรไทย ไปจำนวนมาก ปล้นสดมภ์ ทรัพยสิน ในปราสาทราชวัง บ้านเรือน วัดวาอาราม และเผาจนไฟลุกโชน อยู่หลายวัน

จากนั้นก็จับคนไทย ไปเป็นเชลย ช้างม้าวัวควาย ของมีค่า จำนวนมาก กลับไปพม่า ทิ้งไว้แต่ซาก ปรักหักพัง และราษฎร เพียงประมาณ 1,500 คน ไว้ในเมืองอโยธยา เท่านั้น ที่เหลือจาก ถูกจับเป็นเชลย ก็แตกกระสาน ซ่านเซ็น หนีออกไป นอกเมือง จนสิ้น ผลกระทบนี้ ถึงกับทำให้ สมเด็จ พระเจ้าตากสิน มหาราช หลังกู้เอกราช ได้แล้ว พระองค์ ทรงตัดสินใจ ย้ายเมืองหลวง อพยพราษฎร ไปอยู่ที่ กรุงธนบุรี

ยามนี้ประชาชน ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ควรจะได้นำบทเรียน การแตก ความสามัคคี จนเกิด บาดแผลใหญ่ ในชาติ มาทบทวน ขบคิด พูดคุย ปรับความเข้าใจกัน มุ่งสร้าง ความสามัคคี เริ่มจาก การมีรอยยิ้มให้กัน ในครอบครัว เพื่อนบ้าน ชุมชน สังคม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปัน ซึ่งกันและกัน

แรกๆ บางคนอาจมี ตะขิดตะขวงใจบ้าง แต่เมื่อนานๆ ไป ก็จะเคยชิน และปรับตัวเข้ากับ ความรู้สึกใหม่นี้ได้ ไม่มีใครสมบูรณ์ 100% มาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเจริญวัยขึ้น เรียนรู้จาก ประสบการณ์ บทเรียน ที่ผ่านมา ก็จะค่อยๆ เข้าใจ และมองสภาพ ปัญหาออก ทีละเล็กละน้อย และกลมกลืน ไปในที่สุด

แม้เพียงภาพถ่าย 1 ภาพ ของทหาร ตำรวจ ประชาชน ก็สามารถบอกสื่อ ความรู้สึกที่ดี ได้มากมาย ว่าแท้จริงแล้ว เราขัดข้อง ขัดแย้งกันนั้น มีต่อไป ก็ไม่เกิดประโยชน์ รังแต่ประเทศชาติ จะเสียโอกาส ทุกเวลานาที และชัยชนะ ท่ามกลาง ซากปรักหักพัง ของบ้านเรือน ก็เป็นบทพิสูจน์ แล้วว่า ไม่จีรัง ยั่งยืนนาน

การจับมือกัน ไม่ว่าหลวมหรือแน่น ล้วนแล้วแต่คือ จุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะนำไปสู่ การโอบไหล่ เดินไปด้วยกัน ในวันข้างหน้า เมื่อใดก็ตาม ที่คนเดินรวมกลุ่ม ไปด้วยกันแล้ว ก็จะรู้สึกถึง ความเป็น พวกเดียวกัน ผูกพันสายใย จะเกิดขึ้นเอง โดยธรรมชาติ

เมื่อคำว่าพวกนั้นค่อยๆ กลุ่มใหญ่ขึ้น มีความคิดคล้ายๆ กัน แตกต่างกัน น้อยที่สุด ก็จะกลายจาก พวกนั้น พวกนี้ เป็นเผ่าไทยดังเดิม สีทั้งหลาย ก็จะถูกสลัดออก เหลือเพียง จุดศูนย์รวม ทางจิตใจ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เท่านั้น

คนที่เคยมีความผิด ตามกฎหมายต่างๆ ก็ดำเนินคดี ไปตามระบบ ศาลยุติธรรม แต่คนที่ ไม่มีความผิด ตามกฎหมาย แต่เพียงแค่ "หลงผิด" ก็ควรได้รับ การอภัยกัน เหมือนกับว่า เราเอาน้ำดีส่วนใหญ่ มารวมกัน แล้วเทใส่ กาละมัง เอาน้ำเสียส่วนน้อย มาเทผสมลงไป จากนั้น ก็ใช้สารส้มแกว่ง ส่วนที่เกินเยียวยา จริงๆ ก็จะตกตะกอน นอนก้น แยกออกไป ชัดเจน ส่วนที่ยัง พอแก้ไขได้ ก็มารวมกับน้ำดี หากเราตักเอาน้ำนี้ ไปต้มให้สุก เราก็ดื่มกินได้ อย่างปลอดภัย

นักปราชญ์กล่าวไว้ว่า " มหาสมุทร ไม่อาจจมเรือได้ ตราบใดที่เรือนั้น ไม่รั่วเสียก่อน " ประเทศเรา ก็เหมือน เรือลำหนึ่ง ที่กำลังนำพาผู้คน จำนวนมาก ฝ่าคลื่นลม ในมหาสมุทร หากเราสมัคคีกัน คอยสอดส่อง รูรั่วของเรือ ตลอดการเดินทาง มีกัปตันเรือ ที่เข้มแข็ง มีกลาสีเรือ ที่เชื่อฟังกัปตัน เรือลำนี้ ก็จะผ่าน อุปสรรคขวางกั้น ไปถึง อีกฝากฝั่ง ที่แสนไกล สุดลูกหู ลูกตาได้

ประเทศไทยเรา หยุดกับที่มา 9 ปีแล้ว มาบัดนี้ คสช. ได้คืนความสุข ให้คนไทย ในชาติแล้ว ประชาชน ทั้งหลาย ขอจงกลายเป็น ทหารเอก พระราชาพญาผึ้ง มาร่วมกันเดินหน้า ทำมาหากิน สร้างรังผึ้งหลวง ให้อุดมสมบูรณ์ ด้วยน้ำผึ้ง เป็นที่ดื่มกิน ของลูกหลาน เผ่าไทย ต่อไปอีก ตราบนาน เท่านาน

ตอนนี้ประเทศไทยเรา มาถึงบทกลอน ที่มีผู้แต่งไว้ ท่อนที่ว่า
" ..แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา
ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ"

@ เสธ น้ำเงิน3
http://www.facebook.com/topsecretthai

2

แฉ..ความลับ ได้แชร์ลิงก์ 5 ชั่วโมงที่แล้ว.
วันที่ 10 มิ.ย.57
บทเพลง "คืนความสุขให้ประเทศไทย" มีความยาว 4 นาที
ป็นการนำเสนอ ความในใจ และ ความรู้สึกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เพื่อสื่อความหมายจากใจ ที่ต้องการ คืนความสุข ให้ประชาชน โดยท่านใช้เวลา แต่งเนื้อเพลง เพียงแค่ 1 ชั่วโมง เท่านั้น และเขียนด้วยลายมือ บอกว่าต้องการ สื่อความหมาย ในแนว คืนความสุข ให้กับประชาชน โดยให้ ไปตีโจทย์ กิจกรรม คืนความสุข สู่ประชาชน ที่จัดกิจกรรม ในช่วงนี้ ท่านต้องการ ให้มีสัก 1 เพลง ที่สื่อความหมาย จากความรู้สึก ของท่าน ถึงประชาชน ได้เพลง ที่แบบฟังแล้ว ทำให้คนไทย ได้รักกันโดยเร็ว

มอบให้นายวิเชียร ตันติพิมลพันธ์ นักร้อง นักแต่งเพลง ประกอบละคร ชื่อดัง เป็นผู้เรียบเรียง ประกอบทำนอง จริงๆ ท่านเขียนเนื้อเพลง ที่มีเนื้อหา มากกว่านี้ แต่พอเรียบเรียงใหม่ ก็ออกมา ตามที่ปรากฏ และขับร้องโดย กองดุริยางค์ กองทัพบก..

สำหรับเนื้อเพลง คืนความสุข ให้ประเทศไทยนั้น มีว่า

วันที่ชาติและองค์ราชา
มวลประชาอยู่มาพ้นภัย
ขอดูแลคุ้มครองด้วยใจ
นี่คือคำสัญญา
วันนี้ชาติเผชิญพาลภัย
ไฟลุกโชนขึ้นมาทุกครา
ขอเป็นคนที่เดินเข้ามา
ไม่อาจให้สายไป
เพื่อนำรักกลับมา
ต้องใช้เวลาเท่าไร
โปรดจงรอได้ไหม
จะข้ามผ่านความบาดหมาง
เราจะทำตามสัญญา
ขอเวลาอีกไม่นาน
แล้วแผ่นดินที่งดงาม จะคืนกลับมา
เราจะทำอย่างซื่อตรง
ขอแค่เธอจงไว้ใจ และศรัทธา
แผ่นดินจะดีในไม่ช้า
ขอคืนความสุขให้เธอ ประชาชน
วันนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยก็รู้
จะขอสู้กับอันตราย
ชาติทหารไม่ยอมแพ้พ่าย
นี่คือคำสัญญา
วันนี้ชาติเผชิญพาลภัย
ไฟลุกโชนขึ้นมาทุกครา
ขอเป็นคนที่เดินเข้ามา
ไม่อาจให้สายไป
แผ่นดินจะดีในไม่ช้า
ความสุขจะคืนกลับมา ประเทศไทย....

** ไปฟังที่ http://www.youtube.com/watch?v=yQpbyEnHqSM

ฟังเพลงไปด้วย อ่านและคิด ตามเนื้อหา ในบทเพลง ไปด้วย และสามารถ เปิดฟังซ้ำใหม่ เพื่อให้เข้าใจ ในท่านหัวหน้า คสช. มากขึ้น เพื่อให้คนไทย ร่วมมือกัน พัฒนาประเทศ ให้ราบรื่น มั่นคง ปลอดภัย แบ่งปัน ความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ แต่ไปอย่างมั่นคง

ตอนนี้ประเทศไทยเรา มาถึงบทกลอน ที่มีผู้แต่งไว้ ท่อนที่ว่า
" ..แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา
ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ"

@ เสธ น้ำเงิน3
http://www.facebook.com/topsecretthai

3

แฉ..ความลับ 4 ชั่วโมงที่แล้ว ? แก้ไขแล้ว.
วันที่ 10 มิ.ย.57
เผย..คนไทย ประเทศไทย โชคดีที่สุดในโลก 9 ประการ

ความอุดมสมบูรณ์ และมั่งคั่ง วัฒนธรรม ประเพณี อารยธรรม เก่าแก่ ของประเทศไทยนั้น เลื่องลือระบือ ไปถึง ชาวต่างด้าว ท้าวต่างแดน มานมนาน ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ไต้ดินมีทรัพยากร ใครอยู่อาศัย บนดินแดน สุวรรณภูมิ แห่งนี้ จะไม่มีวันอดตาย หากมีความขยัน หมั่นเพียร มุมานะ อุสาหะ และดำเนินรอยตาม เศรษฐกิจ พอเพียง ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว

สื่อจีนได้ลงข่าว บอกว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่ โชคดีที่สุดในโลก 9 ประการด้วยกัน คือ

1. ประเทศไทย เป็นศูนย์กลาง ครัวโลก ไม่ต้องกลัวอดตาย มีอาหารกิน ตลอดเวลา และส่งออก ไปทั่วโลก

2. ประเทศไทย มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่สมบูรณ์มาก มีป่าไม้ ภูเขา ทะเล ทองคำ จนได้ชื่อว่า ดินแดน สุวรรณภูมิ

3. ประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในเขต แผ่นดินไหวโดยตรง แนวแผ่นดินไหว อ้อมประเทศไทย ทั้งประเทศ ในขณะที่ เกือบทั้งโลก อยู่ในเขต แผ่นดินไหวรุนแรง

4. ประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในเขต พายุรุนแรง นานๆ จะเจอสักครั้ง เพราะพายุไต้ฝุ่น ส่วนใหญ่เกิดใน ทะเลจีนใต้ บริเวณประเทศ ฟิลิปปินส์ มาถล่มหนัก เวียดนาม ลาว เขมร และอ่อนตัวลง กลายเป็น พายุธรรมดา เมื่อเข้าประเทศไทย

5. ประเทศไทย ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม ของชาติตะวันตก ในขณะที่ ทุกประเทศ ในอาเซียน ตกเป็นอาณานิคม

6. ประเทศไทย ไม่ได้เป็นผู้พ่ายแพ้ ในเหตุการณ์ สงครามโลก ครั้งที่ 1 และ 2

7. คนทุกชนชาติ และทุกศาสนา ในประเทศไทย มีสิทธิ เสรีภาพ มากที่สุด ประเทศหนึ่ง ในโลก

8. ประเทศไทย มีพระมหากษัตริย์ ที่ทรงงานหนัก เพื่อพสกนิกร ชาวไทย ตลอด ระยะเวลา ที่ทรงครองราชย์ ทรงมีโครงการ ในพระราชดำริ กว่า 3,000 โครงการ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ทรงก่อตั้ง มูลนิธิต่างๆ มากมาย เช่น มูลนิธิ ราชประชานุเคราะห์ มูลนิธิพระดาบส มูลนิธิชัยพัฒนา เป็นต้น

ทรงอุปถัมถ์พระศาสนา ภาษาไทย วัฒนธรรม ประเพณี พระราชพิธี งานช่างหลวง การศึกษา การแพทย์ การคมนาคม การอนุรักษ์ดินและน้ำ ทรัพยากรป่าไม้ ป่าชายเลน เกษตรทฤษฎีใหม่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ

9. พระพุทธศาสนา เจริญที่สุดในโลก ในประเทศไทย เพราะประเทศไทย มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเอกอัคร ศาสนูปถัมภก และทรงเป็น พุทธมามกะ

เมื่อวาน เวลา 16.57 น. พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ ท้องพระโรง ศาลาเริง วังไกลกังวล อำเภอ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงบำเพ็ญ พระราชกุศล ทรงพระราชอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรมหา อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรม ราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี และ สมเด็จพระเจ้า พี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง นราธิวาส ราชนครินทร์ เป็นการส่วนพระองค์

เมื่อเสด็จลง ณ ท้องพระโรงศาลาเริง พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ประทับพระราชอาสน์ เจ้าพนักงาน พระราชพิธี เชิญเครื่องนมัสการ และเครื่องทองน้อย เข้าถวาย พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียน เครื่องนมัสการ บูชาพระรัตนตรัย ทรงจุดธูปเทียน เครื่องทองน้อย ถวายราชสักการะ ถวายบังคม พระบรม ฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรมหา อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร, พระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก, สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี และพระรูป สมเด็จพระเจ้า พี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง นราธิวาส ราชนครินทร์ แทนพระบรมอัฐิ และพระอัฐิ, ทรงคม, ทรงศีล

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ถวายศีล พระสงฆ์ 10 รูป สวดพระพุทธมนต์ จบแล้ว พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงหลั่ง ทักษิโณทก พระสงฆ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงคมไปยังหน้า พระพุทธรูป และหน้า พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรมหา อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร, พระฉายาลักษณ์ สมเด็จ พระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จ พระศรีนครินทรา บรมราชชนนี และพระรูป สมเด็จพระเจ้า พี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง นราธิวาส ราชนครินทร์ แล้วเสด็จขึ้น

เป็นพระจริยวัตร อันงดงาม ตามขนบธรรมเนียม ประเพณีไทย ที่เป็นอารยธรรม เก่าแก่ ของคนไทย สืบเนื่องกัน ต่อมาถึง 800 ปี ยามใดที่ได้เห็น ภาพพระองค์ ทำให้ข้าพระพุทธเจ้า คนไทย และลูกหลาน ที่ได้อาศัย อยู่ไต้ร่ม พระเศวตฉัตร พระบารมีของพระองค์ มาตลอดชีวิต รู้สึกได้ถึง ความอบอุ่น ปลอดภัย ความร่มเย็น เป็นสุข ความผาสุก เกิดความปลื้มปีติ อิ่มเอิบ ขึ้นในใจ และเป็นความรู้สึก ภาคภูมิใจ เหมือนกันกับ ประชาชนชาวไทย ที่ได้อาศัยอยู่ ภายในประเทศ และนอก ประเทศไทย ในขณะนี้

ในทุกก่อนนอน ข้าพระพุทธเจ้า และครอบครัว นอกจากจะกราบพระ สวดมนต์ ตามขนบ ธรรมเนียม ที่ได้รับ การอบรม สั่งสอน จากบิดามารดา ครูบาอาจารย์แล้ว ก็ไม่เคยลืม แม้เพียงสักวัน ที่กราบไหว้ บูชาพระองค์ และ เชื้อพระวงศ์ ทำให้ข้าพระพุทธเจ้า และครอบครัว มีความสุข ตามอัตภาพ มีแผ่นดิน ได้อาศัยหลับนอน มีทรัพย์ ที่ทำมาหากิน โดยสุจริต เลี้ยงดูบุพการี และบุตร

ข้าพระพุทธเจ้า คือ คนไทยคนหนึ่ง ที่โชคดีที่สุด ในโลก ที่ได้เกิดมา เป็นราษฎร ในยุคสมัย ของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้า พร่ำสอน บุตรหลาน ให้ดูตัวอย่าง พระราชกรณียกิจ ของพระองค์ เพื่อจะได้จดจำ นำมาปฏิบัติ ตามแนว เศรษฐกิจพอเพียง เมื่อเขาเติบโต เป็นผู้ใหญ่ ที่มีคุณภาพสืบไป

ข้าพระพุทธเจ้า มีความมั่นใจว่า ในชาติปางก่อน เคยเป็นข้าพระบาท ของพระองค์ ตลอดมา และขอให้ คำมั่น สัญญาว่า ข้าพระพุทธเจ้า จะเป็นคนดี รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตรย์ ข้าพระพุทธเจ้า รู้สึกภาคภูมิใจ ยิ่งนัก ที่ได้เป็นราษฎร ของพระมหากษัตริย์ ในประเทศ ที่โชคดี ที่สุดในโลก เยี่ยงนี้

และจะขอถวายตัว เป็นข้าละอองธุลีพระบาท ของพระองค์ ตลอดไป ไม่ว่าจะชาตินี้ หรือชาติไหน เพราะข้าพระพุทธเจ้า มั่นใจยิ่งนักว่า ไต้ร่มบุญญาบารมี ของพระองค์ ภายไต้พระเศวตฉัตร สีทอง แต่โบราณกาลนี้ จะช่วยปกปักรักษา ปัดเป่า ภยันอันตราย นำมาซึ่งความเป็น สิริมงคล กับ ข้าพระพุทธเจ้า และ ครอบครัว ตลอดไป

และจะยึดถือ การดำเนินชีวิต พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า “..การกระทำ เพื่อประโยชน์ ส่วนรวมนั้น ได้ประโยชน์มากกว่า กระทำเฉพาะ ประโยชน์ส่วนตน และบอกได้ว่า คนไหน ทำเพื่อประโยชน์ ส่วนตัวแท้ๆ ล้วนๆ เชื่อว่าประโยชน์นั้น จะไม่ได้เท่ากับ รวบรวมของหนัก มาวางบนหัว แบกเอาไว้ ตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่สบาย ก็หนัก ก็เหนื่อย แต่ถ้าผู้ใด ทำเพื่อส่วนรวม ยิ่งมากยิ่งดี ยิ่งเบา ยิ่งคล่องแคล่ว ว่องไว และมีความสุข...”

@ เสธ น้ำเงิน3
http://www.facebook.com/topsecretthai


   www.asoke.info