แฉ..ความลับ เสธ น้ำเงิน4
https://th-th.facebook.com/topsecretthai

วันที่ 12 มิ.ย. 57
เผย..สงครามสะท้านโลก อดีต ปัจจุบัน ส่องอนาคต ตั่วเฮียจีน อาตี๋ไทย

เรื่องการแทรกแซง กิจการภายในประเทศอื่น และก่อสงครามแตกแยกไปทั่วโลก ไม่มีใครเกินรัฐบาลอเมริกา สงครามที่เกิดขึ้น ในโลกใบนี้ ทั้งสงครามโลก ครั้งที่ 1 และ ...2 และสงครามย่อยๆ ในภูมิภาคต่างๆ และในประเทศใหญ่ กลาง เล็ก ล้วนมีรัฐบาล อเมริกา อยู่เบื้องหน้า หรือเบื้องหลัง ทั้งสิ้น

ที่ใกล้ตัวคนไทยจนสัมผัสกลิ่นดินปืนได้ ก็คือ สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อเมริกาถึงกับ มาตั้งฐานทัพ และส่งกำลังทหาร มาประจำ ในประเทศไทย เพื่อสู้รบกับญี่ปุ่น , การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ ที่เมือง ฮิโรชิมา กับนางาซากิ ของญี่ปุ่น ที่ทำให้ทั้ง 2 เมืองราบพนาสูญ ประชาชน ล้มตาย กองเท่าภูเขา เลากา พิการอีกมาก คนานับ

ต่อมาก็สงครามเกาหลี จนแยกเกาหล ีออกเป็นเหนือไต้ ในปัจจุบัน สงครามในเวียดนาม ที่สร้างความทุกข์เข็ญ เป็นบาดแผลในใจ ให้คนเวียดนาม ต่อมาอีก หลายสิบปี สนามบินอุดร ที่อเมริกา ใช้บรรทุกระเบิด ไปทิ้งใส่ประชาชน เวียดนาม ยังคงอนุสรณ์ อยู่จนทุกวันนี้

ในภูมิภาคอื่น ก็แถวแอฟริกา เช่น ซูดาน , ในอาฟกานิสสถาน ที่อเมริกา ส่งกำลังไปประจำการ เอาระเบิด มาทิ้งปูพรม ใส่เทือกเขา แทบทุกตารางนิ้ว เพื่อล่าตัว บินลาเดน จนประเทศ เละไปหมด

หนุนให้เกิดความยุ่งเหยิง วุ่นวาย ในย่านมุสลิม เกิดอาหรับสปริง เริ่มจาก จนรัฐบาลอาหรับ เป็นคลื่นปฏิวัติ การเดินขบวน การประท้วง และสงคราม ซึ่งเกิดขึ้นในโลกอาหรับ ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2553 จนปัจจุบัน ผู้ปกครอง ถูกโค่นจากอำนาจ จากในตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบีย และเยเมน การก่อการจราจล อุบัติขึ้นใน บาห์เรน และซีเรีย การประท้วงใหญ่ เกิดขึ้นใน อัลจีเรีย อิรัก จอร์แดน คูเวต โมร็อกโก และซูดาน

และการประท้วงเล็ก เกิดในเลบานอน มอริเตเนีย โอมาน ซาอุดิอาระเบีย จิบูตี และ เวสเทิร์นสะฮารา การประท้วง ใช้เทคนิค การดื้อแพ่ง ร่วมกัน การรณรงค์ อย่างต่อเนื่อง การนัดหยุดงาน การเดินขบวน การเดินแถว และการชุมนม การใช้โซเชียลมีเดีย

การเดินขบวนอาหรับสปริง หลายประเทศ เผชิญกับ การปราบปราม อย่างรุนแรง จากทางการ การใช้ทหาร อาสาสมัคร นิยมรัฐบาล และ ขบวนโต้ตอบ การโจมตี จากผู้ประท้วง ด้วยความรุนแรง ในบางแห่ง

ล่าสุดที่เห็นๆ หมาดๆ กลิ่นคาวเลือด จากคมอาวุธ ยังคละคลุ้งอยู่ปัจจุบัน ก็ที่ประเทศซีเรีย และยูเครน ที่รัฐบาลอเมริกา และผองเพื่อน ผู้ใช้กลยุทธ์ “ แบ่งแยก เพื่อปกครอง “ มาตลอด โดยการสนับสนุน ทางนโยบาย เงินทุน อาวุธ ในกับกลุ่มๆ หนึ่งในประเทศนั้น เพื่อให้คน ในชาตินั้นๆ สู้รบกันเอง จนปั้วเปี้ย หมดแรง ถึงตอนนั้น อเมริกา และพันธมิตร ก็จะกรีฑาทัพ ไปซ้ำเติม บดขยี้ทันที ภาษาไทย เรียกแต้มแก่ ว่างั้นเถอะ

สงคราม ยุยงให้คนฆ่ากันเอง ที่สำคัญๆ จะไม่กล่าวเสียไม่ได้ ก็คือ สงครามอิหร่าน โดยอเมริกา สนับสนุน พระเจ้าชาร์ มูฮัมหมัด เรซา ปาฮ์เลวี ของอิหร่าน ต่อมาก็ถูก อะญาตุลลอฮ์ โคไมนี ผู้นำศาสนา ประกาศการปฏิวัต ิอิสลาม ล้มล้างอำนาจลง และก้าวขึ้นสู่อำนาจ เป็นผู้นำประเทศ อิหร่านแทน

ช่วงนั้น อเมริกา จึงหันไปหนุน ซัดดัม ฮุสเซน อย่างลับๆ ทำให้กองทัพอิรัก มีกำลังเข้มแข็งกว่า ละเมิดพรมแดน ระหว่าง ทั้งสองประเทศ ประธานาธิบดี อะญาตุลลอฮ์ โคไมนี อิหร่าน จึงประกาศสงคราม กับอิรัก ที่นำโดย ซัดดัม ฮุสเซน กินระยะเวลา ยืดเยื้อถึง 8 ปี ระหว่างเดือน กันยายน 2523 ถึง เดือนสิงหาคม 2531 เสียหายยับเยิน อ่วมทั้ง 2 ประเทศ สงครามครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ ฝ่ายอิหร่าน ระหว่าง 750,000 -1,000,000 คน ฝ่ายอิรักประมาณ 375,000 - 400,000 คน

เมื่อยุอิรักเกิดสงคราม จนอ่วมอรทัยแล้ว ทีนี้อเมริกา ก็หันมาเล่นงาน อิรักเองบ้าง โดยก่อสงคราม อ่าวเปอร์เซีย ครั้งที่ 1 เริ่มจากอิรัก ที่เป็นประเทศ มีน้ำมันมาก แต่ไม่มีทางออกทะเล จึงบุกคูเวต ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2533 อเมริกาได้ยืมมือ คณะมนตร ีความมั่นคง แห่งสหประชาชาติ บีบอิรัก ทางเศรษฐกิจทันที และส่งทหารอเมริกัน ไปยัง ซาอุดิอาระเบีย โดยมีกำลังทหาร ส่วนใหญ่มาจาก อเมริกา ซาอุดิอาระเบีย อังกฤษ และอียิปต์ เพื่อขับไล่ กองกำลังอิรัก ออกจากคูเวต

เริ่มต้นขึ้นจาก การทิ้งระเบิด ทางอากาศ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2534 ตามมาด้วย การโจมตีภาคพื้นดิน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ สงครามดังกล่าว สิ้นสุดลง ด้วยชัยชนะ อย่างเด็ดขาด ของกองกำลังผสม รุกเข้าไปใน พรมแดนอิรัก และยุติการรุกคืบ และ ประกาศหยุดยิง 100 ชั่วโมง หลังจากการทัพ ภาคพื้นดิน เริ่มต้นขึ้น การรบทางอากาศ และพื้นดิน จำกัดอยู่ภายในอิรัก คูเวต และพื้นที่บริเวณพรมแดน ของซาอุดิอาระเบีย และอิรัก ได้ปล่อยขีปนาวุธสกั๊ด ต่อเป้าหมาย ทางทหาร ของกองกำลังผสม ในซาอุดิอาระเบีย และ อิสราเอล

ต่อมาอเมริกา ใช้ปฏิบัติการ พายุทะเลทราย ก่อสงครามในอิรัก ครั้งที่สอง โดยก่อนการรุกราน อเมริกา และอังกฤษ ใส่ร้ายอิรักว่า ครอบครอง อาวุธอานุภาพ ทำลายล้างสูง คุกคามความมั่นคง ของตน และพันธมิตร ในภูมิภาคยุโรป พ.ศ. 2545 อเมริกายืมมือ คณะมนตรีความมั่นคง แห่งสหประชาชาติ อีกแล้วครับท่าน ผ่านมติกำหนดให้อิรัก ต้องยอมตรวจสอบว่า มิได้มีอาวุธอานุภาพ ทำลายล้างสูง และขีปนาวุธ ร่อนอยู่ในครอบครอง

แต่คณะตรวจสอบอาวุธ ไปตรวจกี่รอบ ก็ยังไม่พบหลักฐาน อาวุธสักที จึงยุยงคนอิรัก ให้ก่อสงคราม กลางเมืองซะเลย เพื่อขับไล่ ซัดดัม ฮุสเซน เอาดื้อๆ จนอิรัก วุ่นวายยุ่งเหยิง วันที่ 20 มีนาคม 2546 อเมริกา จึงสวมรอย ยึดครองอิรัก และจับกุมตัว ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ถูกพิจารณา โดยศาลอิรัก และประหารชีวิต โดยรัฐบาลใหม่ของอิรัก ที่อเมริกาชักใย

ประเทศอิรัก ภายหลังถูกอเมริกา โจมตีด้วยอาวุธ และสังหารซัดดัม ฮุสเซน ลง ก็ชักใย ประเทศนี้ มาตลอด โดยการตั้ง รัฐบาลหุ่นเชิด จากมุสลิม นิกายซุนนีย ์ปกครอง แล้วก็ครอบงำรัฐบาลใหม่ ยึดเอาแหล่งน้ำมัน มาทั้งหมด และเงินทุน สำรองประเทศ ราว 9 ล้านๆ บาทด้วย.. แม้สงคราม จะสิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 ก็ยังมีการสู้รบกัน ประปราย

สงครามครั้งนี้ ได้คร่าชีวิตคนอิรัก ไปแล้วถึง 5 แสนคน บาดเจ็บพิการ อีกนับไม่ถ้วน สหประชาชาติ รายงานว่า มีผู้ลี้ภัย 4.7 ล้านคน (ประมาณ 16% ของประชากร) โดยมี 2 ล้านคน หนีออกนอกประเทศ และประชาชน พลัดถิ่นในประเทศ 2.7 ล้านคน ในปี 2550 คณะกรรมการ ต่อต้านคอร์รัปชัน ของอิรัก รายงานว่า เด็กอิรัก 35% หรือเกือบ 5 ล้านคนกำพร้า กาชาดแจ้งว่า ในเดือนมีนาคม 2551 สถานการณ์ ด้านมนุษยธรรม ในอิรัก อยู่ในระดับ วิกฤตที่สุดในโลก โดยมีชาวอิรัก หลายล้านคน ถูกบีบให้พึ่งพา แหล่งน้ำ ที่ไม่เพียงพอ และคุณภาพต่ำ

ตั้งแต่นั้นมา ความรุนแรง ประปราย ยังมีต่อไป ทั่วประเทศ กองกำลัง ติดอาวุธผสม ระหว่าง กลุ่มนิกายต่าง ๆ ได้นำไปสู่ การก่อความไม่สงบ ในอิรัก ในเวลาไม่นานนัก การต่อสู้ ระหว่างกลุ่มในอิรัก โดยนิกายซุนนีย์ และ ชีอะห์ หลายกลุ่ม มีการเกิดกลุ่มย่อย แยกใหม่ของ อัลกออิดะฮ์ ขึ้นในอิรัก ในปี 2551 ก็เกิดสงคราม ระหว่าง นิกายสุหนี่ กับนิกายชีอะห์

สถานการณ์ สงครามกลางเมือง ในอิรักตอนนี้ วิกฤติหนัก เพราะกลุ่มติดอาวุธ รัฐอิสลามอิรัก และเลแวนท์ หรือ ไอซิล ซึ่งมีนักรบอยู่ ราว 3,000-5,000 คน และมีความโยงใยกับ กลุ่มอัลกออิดะห์ กลุ่มติดอาวุธนี้ เป็นพวก วาฮะบี สายเคร่ง ต่อต้านทุกศาสนา ทุกนิกาย ที่ไม่ใช่ นิกายเดียวกัน กลุ่มนี้ได้รับทุน อาวุธ สนับสนุน จากอเมริกา ยุโรป และอิสราเอล

เป็นแนวคิดเดียวกับ กลุ่มตอลีบัน ที่เคยใช้ปืนใหญ ่ยิงทำลาย พระพุทธรูป และโบสถ์คริส ในอาฟกานิสถาน เป็นกลุ่มเดียวกับ ก่อความไม่สงบ ในภาคใต้อิรัก เป็นสายป่านเดียวกับ กลุ่มที่ปฏิบัติการ ถล่มสนามบิน ในเมืองการาจี ที่ปากีสถาน จนย่อยยับ คนตาย และเจ็บเพียบ

ตอนนี้กลุ่มนี้ ได้ยึดเมือง รามาดี และ ฟัลลูจา ไว้ได้สำเร็จ และต่อเนื่องด้วย บุกโจมตี และยึดเมืองโมซูล เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิรัก ที่มีประชากร ราว 2 ล้านคน ไว้ได้อีก ประชาชนกว่า 5 แสนคน (หนึ่งในสี่) ต้องอพยพ หนีตาย กันอลหม่าน

กลุ่มไอซิล ยังได้รุกคืบต่อไป ด้วยการเข้ายึดเมือง ติกริต บ้านเกิดของ อดีตประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ที่อยู่ใกล้กับ กรุงแบกแดด เพียง 150 กิโลเมตร มีการสู้รบกับ ทหารของรัฐบาล ด้วยอาวุธหนัก นานาชนิด แม้แต่ทหาร จำนวนมาก ก็ถอดเครื่องแบบ แล้วใส่ชุด พลเรียน หนีไปด้วยเช่นกัน การยึดเมือง โมซูลไว้ได้ ต้องถือว่า เป็นความสำเร็จ ครั้งสำคัญ ของกลุ่มติดอาวุธนี้

เหตุผลในการรุกคืบ อย่างหนัก ครั้งนี้ เป้าหมายหลัก ไม่ใช่ยึด ทั้งประเทศอิรัก เพราะอเมริกา และพันธมิตร ยึดครอง ชักใยอยู่เบื้องหลัง อยู่แล้ว แต่พวกเขาต้องการ วางรากฐาน เพื่อเตรียมการ ทำสงคราม กับประเทศอิหร่าน ที่อยู่ติดกันอีกครั้ง แล้วทำลายมุสลิม นิกายชีอะห์ และขบวนการ ฮิสบุลเลาะห์ ที่เป็นคู่ต่อกร กับอิสราเอลอยู่

นายกรัฐมนตรี นูรี อัลมาลิกี ของอิรัก เองก็ประกาศ จะขับไล่ กลุ่มติดอาวุธให้ได้ พร้อมกับจะเอาผิด กับทหารอิรัก ที่หนีทัพ ในระหว่างที่ กลุ่มไอซิล เข้าโจมตี หลังถูกกลุ่มติดอาวุธ หัวรุนแรง โจมตี ผู้นำอิรัก บอกว่า จะไม่ร้องขอ ความช่วยเหลือ จากต่างชาติ แต่จะจัดการวิกฤต ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ กงศุลตุรกี ในเมืองโมซูล เกือบ 50 คน ก็ถูกกลุ่มติดอาวุธ จับตัวไปด้วย

นายบัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ประณาม การลักพาตัว เจ้าหน้าท ี่กงศุลตุรกี ว่า การกระทำดังกล่าว เป็นเรื่องที่ รับไม่ได้ ส่วนสหรัฐ แสดงความกังวล กับสถานการณ์ ในอิรักเช่นกัน

นี่คือตัวอย่าง อย่างเป็นรูปธรรม แผนการยุยง ของอเมริกา และพันธมิตร ให้อิสลาม สู้รบกันเอง จนง่อยเปลี้ย เจ็บจริง ตายจริง พินาศจริง เพื่อทำลายอิสลาม ให้อ่อนแอลง แล้วประเทศ พวกตนเอง ก็จะเข้าไปค่อยๆ ฮุบสมบัติ และทรัพยากร ของประเทศเหล่านั้น มาเป็นของตนเอง ไปเรื่อยๆ เหมือนไม่รู้จักพอ ใช้กำลังที่แข็งแรงกว่า ปล้นเอาคนอ่อนแอกว่า ว่างั้นเถอะ

เมื่อใด ที่คนในชาติ แตกแยกเป็น 2 ฝ่าย หรือฝ่ายย่อยๆ เมื่อนั้น อเมริกา และผองเพื่อน จะเข้ามารุมตอด ทันที โดยเข้ามา สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง ทั้งทางลับ และเปิดเผย ในรูปแบบ ทุนทางการเงิน อาวุธสงคราม การบ่อนทำลาย สถาบันหลัก การแทรกแซง ทางการทหาร ทางเศรษฐกิจการเงิน ฯลฯ

ทีนี้มาดูทาง ตั่วเฮีย จีน บ้าง พฤติกรรมโดยธรรมชาต ิคนเอเชีย จะให้ความสำคัญ กับเพื่อนตนเอง มากกว่าฝรั่ง คนจีน จะพร่ำสอน ลูกหลานเสมอ เรื่องบุญคุณ ต้องทดแทน มีผู้รู้ให้ข้อมูลว่า สมัยก่อน ประเทศไทย มีวิกฤติสูงสุด ทางทหาร คือ เมื่อเวียดนามบุกเขมร ในเดือน ธันวาคม 2521 จนมาประชิด ชายแดนไทย

เวียดนามช่วงนั้น มีกองทัพเกรียงไกรมาก เพิ่งไล่อเมริกา เตลิดเปิดเปิง กลับบ้าน จนอเมริกา หงอยมาแล้ว เวียดนามยังส่งกำลัง มาชักใบ หนุนหลัง รัฐบาลเขมรด้วย ในช่วงนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศ เวียดนาม เบ่งกล้าม ขู่ไทยว่า อย่าหือนะ เพราะกองทัพ เวียดนาม สามารถบุกยึด ถึงกรุงเทพ ได้ภายในเวลา ไม่นาน ในตอนนั้น กองทัพไทย ยังต้องต่อสู้ ติดพันกับ พรรคคอมมิวนิสต์แดง แห่งประเทศไทย รุนแรงอยู่ ไม่อยู่ในสถานะ ที่จะก่อสงคราม ภายนอกประเทศ ได้อีก

ไทยหันไปขอให้ อเมริกาช่วย เพราะเราเคย ให้เขาใช้ สนามบินอุดร มาเป็นฐานบิน นกยักษ์ B52 ไปทิ้งระเบิด เวียดนาม ตั้งหลายปี อเมริกาตอบว่า เขาเองก็ยัง เอาตัวไม่รอด หมดสภาพจาก สงครามเวียดนาม เขาจึงขอแค่ส่งใจ มาช่วยแทน ว่าแล้ว ส่งความช่วยเหลือ มาให้ ขนปืนใหญ่รุ่น M-198 ขนาด 155 มม. ขึ้นเครื่องบินมา แค่ 1-2 กระบอก แล้วหลังจากนั้น ก็ส่งบิลตามมา เรียกเก็บเงินอีก... ฮา โหย

ทีนี้ไทยเราก็มึน จึงหันไปทางจีนบ้าง เริ่มที่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ฯ สั่งการให้นายทหาร ฝ่ายเสนาธิการ ไม่กี่คน ในศูนย์อำนวยการร่วม สนามเสือป่า ประสานกับ ทูตทหารจีน ชื่อ เหมา มากับเลขาทูตหนุ่ม พูดไทยคล่อง ชื่อ จาง ( 20 กว่าปีต่อมาคือ เอกอัครราชทูตจาง) เพื่อขอพบ ผู้นำของจีน

จากนั้น พันเอก 2 คน ของกองทัพไทย บินไปปักกิ่ง แล้วได้รับเกียรต ิให้ได้เข้าพบ เติ้งเสี่ยวผิงด้วย ต่อมาไม่นาน ก็มีคณะนายทหาร ระดับสูงมาก จากจีน เดินทางมาเยือนไทย เข้าร่วมประชุม และฟังการบรรยาย สรุปที่ ศูนย์อำนวยการร่วมฯ สนามเสือป่า พล.อ.เกรียงศักดิ์ฯ ถึงกับพูดตรงๆว่า ถ้าเวียดนามบุกไทย ไทยคงไม่สามารถ รับมือได้แน่ ขอให้ตั่วเฮีย จีนช่วยด้วย

ไม่นานนัก จีนก็ก่อสงครามสั่งสอน ที่ชายแดน ระหว่างจีน กับชายแดนเวียดนาม ด้านทิศเหนือ รบกันอย่างรุนแรง เวียดนาม จึงจำใจ ต้องถอนกำลัง หน่วยรบหลัก ทั้งหมด 10 กว่ากองพล ออกจากเขมร และเวียดนามใต้ เพื่อไปรบกับจีน ที่ชายแดน ด้านเหนือ พอเวียดนามหลงกล ดึงกำลัง กลับไปไว้ที่เหนือหมด จีนก็เลิกรบ ถอนกำลังรบกลับ.. อ้าว..เวียดนาม ก็วืดๆๆๆ

ตามประวัติศาสตร์นั้น จีนเคยปกครองเวียดนาม อยู่หลายร้อยปี จึงเป็นไม้เบื่อไม้เมา กันมาแต่โบราณแล้ว หลังจากนั้น ไทยก็เริ่มพัฒนา กำลังรบ อาวุธหนัก ตามแบบสากล โดยจัดหารถถัง และยานเกราะ จากจีน หลายร้อยคัน ซื้อในราคามิตรภาพ แต่จริงๆ ซื้อไม่กี่คัน เพราะที่เหลือ ตั่วเฮียจีน แถมให้ แบบซื้อ 1 แถม 5 ประมาณนั้น พวกรถถัง T-69 สมัยนั้น ที่ปลดประจำการไปแล้ว ปัจจุบัน ก็แปรสภาพเป็น ปะการังเทียม ในทะเล ยานลำเลียงพลหุ้มเกราะ บางรุ่น ที่ปรับปรุงอะไหล่ ก็ยังมีประจำการ ในกองทัพบก

สัปดาห์ก่อน กลุ่มนักธุรกิจไทย-จีน สภาอุตสาหกรรมไทย-จีน นักธุรกิจ ภาคธนาคาร เช่น ธนาคารไอซีบีซี นักธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ไอที การสื่อสาร บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า บริษัทผลิตรถยนต์ โรงงานผลิตปุ๋ย ธุรกิจทำเหมืองแร่ และบริษัทบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำ ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา หัวหน้า คสช.

เพื่อยืนยันเจตนารมณ ์ในการดำเนินธุรกิจ กับประเทศไทย เพื่อประสาน ความร่วมมือ ด้านการค้า การลงทุน และสร้างความมั่นใจ ในการลงทุน ของสองประเทศ หัวหน้า คสช. ได้อธิบายเหตุผล และความจำเป็น ในการเข้ามา บริหารประเทศ ที่ต้องปลดล็อค ข้อกฎหมาย และข้อระเบียบต่างๆ เพื่อให้มีการขับเคลื่อน อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีอุปสรรค

หัวหน้า คสช.ได้ให้ความมั่นใจ กับนักลงทุนว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้น การลงทุนจากนี้ไป จะมีความโปร่งใส มีความยุติธรรม ตรวจสอบได้ ไม่มีคอรัปชั่น มุ่งผลประโยชน์ ของประชาชน เป็นหลัก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับ นักธุรกิจ ที่ประสงค์ ที่เข้ามาลงทุน ในไทย ขอให้มีข้อคำนึง 5 ข้อ

1. มองผลประโยชน์ตอบแทน ที่ประเทศไทย ควรได้รับมากที่สุด
2. สร้างความเข้มแข็ง ให้กับคนไทยใน เรื่องวิชาชีพ เทคโนโลยี การตั้งบริษัทลูก
3. เพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาราคา ผลผลิตตกต่ำ เช่น ใช้น้ำยางดิบของไทย ในอุตสาหกรรม ยางรถยนต์
4. โรงงานที่ตั้งขึ้นใหม่ ต้องนำพลังงานทดแทน มาช่วยลดมลพิษ ไม่ให้ส่งผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม
5. พัฒนาบุคลากรของไทย โดยให้จัดฝึกอบรมดูงาน ให้ทุนการศึกษา เพื่อให้แรงงาน มีความรู้มากขึ้น

และได้ขอความร่วมมือ นักธุรกิจชาวจีน ให้ข่าวสารกับ นักลงทุนรายอื่น รวมทั้ง นักท่องที่ยวชาวจีน ให้มาเที่ยว และมาลงทุนในไทย และได้ยืนยัน กับนักธุรกิจจีนว่า ขอให้มั่นใจประเทศไทย และเชื่อมันว่า ไทยจะกลับมา แข็งแกร่ง พร้อมกันนี้ ไทยยืนยัน ความเป็นหุ้นส่วน ทางยุทธศาสตร์ ที่มีต่อจีน มายาวนาน ในทุกระดับ

สัปดาห์นี้ ผู้แทน กระทรวงกลาโหม ของไทย ก็นำคณะ สามเหล่าทัพ ไปเยือนจีน ตามคำเชิญ อย่างเป็นทางการ ย้อนอดีต ในประวัติศาสตร์ ที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว จะเห็นว่า ความสัมพันธ์ มีเชื้อสายเผ่าพันธ์ รากแก้ว รากแขนง หยั่งลึก ระหว่างไทย จีน และนี่ ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ตั่วเฮียจีน พร้อมเป็นมิตรแท้ ในยามยาก ให้อาตี๋ไทย เรื่องนี้เกิดมา นานกว่า 1,000 ปีมาแล้ว

ก็เป็นความจริง ที่ท่านผู้รู้บอกว่า นายกฯ ไทย จะเข้าพบ ประธานาธิบดีอเมริกา แบบทวิภาคี แสนยากเย็น (ยกเว้นไอ้มาม่า กับปูเน่า อันนั้น อินเลิฟยามเย็น) แต่ยามไทยวิกฤติ แม้แต่นายทหาร ยศระดับพันเอก ยังได้รับเกียรติอย่างสูง ให้เข้าพบ ผู้นำยิ่งใหญ่ ของจีนได้ เห็นชัดเจน ถึงความแตกต่าง ในการแสดงออก แสดงความรู้สึก จริงใจ ของวัฒนธรรมเอเซีย และการให้เกียรติกัน แบบพี่น้อง บุญคุณของจีน ครั้งนี้ คนไทย จะไม่มีวันลืม และต้องทดแทนกัน ตามแบบตั่วเฮี่ย กับอาตี๋

อเมริกากับสงคราม เป็นของคู่กัน วัฒนธรรมประเทศเขา เริ่มต้นมาจาก การแย่งชิง ดินแดนมาจาก ชนเผ่าพื้นเมือง แก่งแย่งคนอื่น มาตั้งแต่ ตั้งต้นสร้าง ประเทศเขา วัฒนธรรมแบบนี้ จึงถ่ายทอดต่อมา จนถึงปัจจุบัน บทเรียนสอนใจนี้ เตือนสติคนไทยว่า การมีอาวุธ ท่ามกลาง ความขัดแย้ง และการเจรจากัน ที่ไม่บรรลุผล จะนำมา ซึ่งการสู้รบกันเอง ของคนไทยด้วยกัน

มีความเสี่ยง จะเกิดสงครามกลางเมือง เหมือนหลายๆ ประเทศ อยู่ขณะนี้ ผลที่ตามมา คือ การบาดเจ็บล้มตาย ของลูกเด็กเล็กแดง ผู้หญิง คนชรา ที่อ่อนแอ และสภาพ การบังคับใช้ กฎหมาย บ้านเมือง ที่ล้มเหลว ไม่เหลือความปลอดภัย ในชีวิต และทรัพย์สิน การทำมาหากิน ตามปกติ ทำไม่ได้..

นี่เป็นบทเรียนที่ล้ำค่า สำรับเรา การที่ คสช. ระดมกวาดล้าง อาวุธสงคราม และจับกุมตัว ผู้ครอบครอง มาลงโทษ จึงเป็นเหมือน การตัดไฟ เสียแต่ต้นลม ที่สำคัญที่สุดคือ คนไทยต้องรัก และสามัคคีกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน มากกว่านี้ หันหน้า เข้าหากัน ก่อนที่ไฟ สงคราม กลางเมือง จะโหมกระพือ เอาชีวิตผู้คน ที่เรารัก ทั้งสองฝ่าย จากไปอย่าง ชั่วนิจนิรันดร์ ไม่มีวัน กลับคืนมา

การได้รู้ความจริง บางครั้ง มันเป็นทุกข์ แต่การไม่รู้อะไรเสียเลย มันเป็นทุกข์มากกว่า

พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จออก มหาสมาคม เนื่องในพระราชพีธี เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2530 ความว่า "...ความสามัคคีนี้ เป็นคุณธรรมสำคัญ ประการหนึ่ง ซึ่งหมู่ชน ผู้อยู่ร่วมกัน จำเป็นต้องมี ต้องถนอมรักษา และต้อง นำมาใช้ อยู่สม่ำเสมอ เนื่องด้วย สรรพกิจการงาน ที่เป็นส่วนรวม ทุกด้าน ทุกระดับ ต้องอาศัย บุคคลหลายฝ่าย ร่วมกัน ทำกิจกรรม “

และนำภาพ ที่ชวนรำลึก ในอดีต เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2523 พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตร การสาธิต อาวุธต่อสู้รถถัง แบบใหม่ ณ ศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ ตำบลเขาน้อย อำเภอปราณบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ( 11 June 1980. His Majesty inspecting the demonstration of TOW heavy anti-tank guided weapon missile, at Infantry Centre, Dhanarat Fort, Pran Buri District, Prachuap Khiri Khan Province)

ท่านจงภูมิใจเถิดว่า ประเทศไทย มีพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นจอมทัพไทย ที่กล้าแข็ง นำพา พสกนิกรไทย ฝ่าฟันอุปสรรค ทั้งปวงนานา มากกว่า 64 ปีแล้ว จากจำนวนราษฎร ต้นรัชกาลเพียง 17 ล้านคน ปัจจุบัน เพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว เป็นกว่า 67 ล้านคน ..คนไทย โชคดีที่สุด ในโลกแล้ว

เสธ น้ำเงิน4
https://www.facebook.com/topsecretthai