แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน
https://www.facebook.com/topsecrettha

แฉ..ความลับ
วันที่ 25 มิ.ย.57 อัศจรรย์..สามเสาค้ำยัน ให้ชนชาติไทย รอดจากการแตกเป็นเสี่ยง (ตอนที่2)

ตามที่อเมริกา ประเทศสหภาพยุโรป บางประเทศ ออสเตรเลีย รวมหัว กับกลุ่มการเมือง แดงเผาไทย กลั่นแกล้งๆ กดดันคนไทย ต่างๆ นานา ตลอดมา โดยเฉพาะที่ ที่ชัดเจน และกระทบกระเทือน จิตใจคนไทย อย่างรุนแรง คือ การให้ทุนกับ ขบวนการล้มเจ้า ในไทย ที่เป็น NGO , นักวิชาเกิน , หมู่บ้านเสื้อแดง , กลุ่มเยาวชนแดง ฯลฯ

เพราะต่างชาติพวกนั้น ชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ ถูกหล่อเลี้ยงด้วย ทฤษฎีทุนนิยม บริโภคนิยม ฟุ่มเฟือย และ อาวุธ แต่ การที่ชนเผ่าไทย มีสถาบัน เสาค้ำหลัก 1 ใน 3 เสาคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ส่งเสริมแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ชาติ ล่าอาณานิคม ตะวันตก เสียประโยชน์

ชาติตะวันตก ก็เหมือนปลิง ดูดทรัพยากรจากไทย เกาะไปตรงไหน ก็ดูดๆ ตรงนั้น ไปหลายปีจนซีด ยักย้ายทรัพยากร กลับไป สร้างความมั่งคั่ง และหล่อเลี้ยง ประชากร ของตนเอง พอดูดจนซีด ก็เคลื่อนย้าย ไปดูดจุดใหม่ๆ เพราะเมืองไทย อุดมสมบูรณ์ ทรัพยากรเหลือเกิน

ส่วนนักแสวงโชค ทางการเมืองของไทย ก็อ้างผลการเลือกตั้ง ขี้โกง จากการซื้อเสียง เข้ามาเป็น รัฐบาลจอมปลอม ข่มขืนรุมโทรม ประชาธิปไตย จนพิกลพิการ แล้วกลายร่าง เป็นเห็บ โลน ดูดเอาทรัพยากรของไทย ที่เหลือซาก จากต่างชาติ เอาไปเป็นของตนเอง และพวกพ้อง

เห็บ โลน นักแสวงโชค ทางการเมือง เหล่านี้ จะต้องยอมพลีใจ เป็นทาสต่างชาติ ตะวันตกด้วย โดยยอมให้ต่างชาติ กดรีโมท ระยะไกล มาควบคุม การบริหาร ประเทศไทยได้ ผ่านบริษัท ทางการเมืองขี้ข้า ที่ไร้ศักดิ์ศรีชนชาติ

เมื่อปลิงต่างชาติ ต้องการดูด ทรัพยากรไทยจุดได้ ก็จะกดรีโมทถึงเห็บ โลน นักการเมืองทาส ไร้ศักดิ์ศรี ให้อนุมัติสัมปทาน หรือแก้กฎหมาย ให้เปิดทางสะดวก แลกกับการยอม โยนส่วนแบ่ง ทรัพยากรเล็กๆ น้อยๆ ให้กับ เห็บ โลน นักแสวงโชค ทางการเมืองของไทย ใจเป็นทาส ได้ดูดกิน

ตั้งแต่ประเทศไทย เปลี่ยนแปลง การปกครองปี 2475 เป็นต้นมา ชนเผ่าไทย แทบไม่เคยได้ลิ้มรส ทรัพยากรดีๆ เช่น พลังงานน้ำมัน แก๊ส และป่าไม้ จากแผ่นดิน สุวรรณภูมิ ของตนเองเลย เพราะถูกปลิง ต่างชาติ กับ เห็บ โลน ทาสต่างชาติ ดูดกินของดีๆ ไปจนหมดสิ้น คนไทย จึงแทบไม่รู้สึกได้ว่า เข้าถึงประโยชน์ใดๆ จากทรัพยากรดีๆ ที่มีอยู่แล้ว เหล่านั้นเลย

คนเผ่าไทย จะได้ประโยชน์ ก็ต่อเมื่อ ต้องลงมือทำสิ่งต่างๆ ตามรอยพ่อสอน เศรษฐกิจพอเพียง ด้วยตัวเองเท่านั้น เช่น การทำการเกษตร ทำนา เพาะปลูก ทำสวน ทำประมง เลี้ยงสัตว์ โดยการใช้ประโยชน์ จากผิวดิน ผิวน้ำ และฝน ที่เกิดจากป่าไม้ และตกกลับลงมา

น่าแปลก ที่คนไทย แทบ ไม่ได้ประโยชน์อะไร จากทรัพย์ที่บรรพบุรุษ รักษาแผ่นดินไว้ให้ มาเป็นพันปี และ มีอยู่มา นมนานแล้ว แต่อยู่ลึกๆ ลงไปใต้ดิน และ ลึกลงไป ในใต้น้ำทะเลลึก เช่น น้ำมัน แก๊ส ทองคำ รัตนชาติ แร่ ถ่านหิน ป่าไม้ ฯลฯ

น่าแปลก ที่ทรัพย์มรดก จากบรรพบุรุษ ที่มีอยู่แล้วเหล่านี้ คนไทยจะเข้าไปใกล้ ยังทำไม่ได้เลย ขนาดมีหลุม แอบขุดเจาะน้ำมัน อยู่พื้นที่ใกล้ๆ ตนเอง จะเข้าไปดู ให้เป็นบุญตาในชีวิต นายทุน ปลิง เห็บ โลน เขายังห้ามเข้า

พอเกษตรกร จะเอาของที่เหลือ พืชการเกษตร ที่ตนเองปลูก เช่น อ้อย ปาล์ม ของตนเอง ไปทำประโยชน์ ยังต้องพึ่งนายทุน โรงงาน ทำเอทธานอล และ ไบโอดีเซล จึงทำให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว ประชาชน ไม่เคยได้รับ ประโยชน์ใดๆ แท้จริง จากระบอบทุนนิยม ผ่านคำว่า ประชาธิปไตยเลย

นอกจากต่างชาติ จะใช้คนไทย ใจเป็นทาส มาบ่อนทำลายเสาหลัก สถาบันกษัตริย์ เพื่อทำลายระบบ เศรษฐกิจพอเพียง ภูมิปัญญา ของไทยแล้ว ต่างชาติ ยังใช้เครื่องมือ ที่เขาประดิษฐ์เอง แต่บังคับใช้ไปทั่วโลก โดยไม่สนใจว่า ชาติอื่น เขาจะเห็นดีเห็นงาม เครื่องมือที่ว่านั้น ด้วยหรือไม่

เครื่องมือที่ต่างชาติ มักใช้นั้นคือ " การจับประเทศไทย เป็นตัวประกัน แล้วเรียกค่าไถ่ " โดยมีอาวุธ ที่มักใช้จี้ คือ อ้างเหตุการค้ามนุษย์ และ การกดดัน และการกีดกัน ทางการค้า ถ้ายามใด ที่เครื่องมือนี้ ถูกนำมาใช้กับไทย นั่นหมายถึง ต่างชาติเริ่มงอแง และรังแกเรา เพื่อจะแลกเปลี่ยน เอาอะไร สักอย่าง ที่เขาต้องการ

แฉเอาเรื่อง ค้ามนุษย์ก่อน อเมริกานี่แหละ ตัวการ ค้ามนุษย์รายใหญ่ ชนชาวโรฮิงยา เลยแหละ พวกเขาคือ ชนกลุ่มน้อยในพม่า อาศัยอยู่ใกล้ ตะเข็บ ชายแดน ติดกับประะเทศ บังคลาเทศ และนับถือ ศาสนาอิสลาม พม่าเอง ก็ไม่ยอมรับ ว่าเป็นพลเมือง ของตนเอง จึงไม่มี บัตรประชาชน ตามกฎหมาย

คนพม่าเองที่นับถือพุทธ ก็มีขบวนการต่อต้าน โรฮิงยา มีการฆ่า เผา และปะทะกัน เป็นระยะๆ จนมีผู้เสียชีวิต ครั้งละมากๆ อเมริกา ทำการค้ามนุษย์ โรฮิงยา ในนาม UNHCR มีสำนักงาน ในเมืองปาร์ซาร์ ของบังคลาเทศ เป็นตัวการใหญ่ ให้โรฮิงยา หนีออกมาจาก ค่ายผู้อพยพ ปล่อยลอยเรือ ลงทะเล แบบแออัด ยัดเยียด มาทางพม่า ถึงไทย ขึ้นฝั่งที่ภาคไต้ของไทย และโดนจับกุม ฐานหลบหนีเข้าเมือง อยู่เป็นประจำ

จะส่งตัวกลับประเทศ พม่าก็ไม่ยอมรับ ว่าเป็นพลเมืองตัวเอง และโรฮิงยา ยังลอยเรือไปขึ้นฝั่ง ตามยถากรรม ที่ประเทศอื่นๆ อีกในเอเซีย อีกหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโด ฯลฯ พวกที่เรือล่ม ก็เสียชีวิตหมู่ไป ไทยจึงเป็นเพียง รับผู้อพยพ ชาวโรฮิงยา ปลายทางเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ซึ่งก็ต้นทาง มาจาก UNHCR นั่นแหละ

อเมริกายังเป็น ตัวการค้ามนุษย์ แห่งที่สอง คือในไทย ที่ จ.ตาก อำเภอชายแดน ติดต่อกับพม่า ที่เมื่อก่อน มีการสู้รบ ของชนกลุ่มน้อย ในพม่า กับ รัฐบาลพม่า พวกเขาจึงอพยพ มาลี้ภัยสงคราม มาอยู่ค่ายอพยพในไทย 3 ค่าย คือ อุ้มเปี้ยม แม่หละ นุโพธิ์ ราวประมาณ 8 หมื่นกว่าคน

องค์กรเจ้าเก่า UNHCR ก็มาเจ้ากี้เจ้าการอีก โดยทุก 4 เดือน จะมาคัดพันธ์มนุษย์ ในค่ายไป โดยเลือกเอาเฉพาะ มนุษย์พันธ์ดี เช่น จบแพทย์ วิศวะ หรือความรู้ดีๆ รับไปอยู่ออสเตรเลีย และอเมริกา ครั้งละ 4-5 พันคน ส่วนที่พันธ์ไม่ดี เขาปล่อย ให้เป็นภาระไทย เลี้ยงดูในค่าย ตลอดมา อ้างว่า ไทยต้องปกป้อง สิทธิมนุษยชน

อีกชนเผ่าที่ๆ อเมริกาค้ามนุษย์ แบบหน้าไม่อาย คือ ม้งลาว ตัวการใหญ่ เรื่องนี้คือ สถานทูตอเมริกา ทำเองเลย ร่วมกับ สำนักข่าว AP ที่อาคาร แพนแปซิฟิค โดยร่วมมือกับ เครือข่าย ในรัฐแคลิฟอเนีย จัดส่งค้ามนุษย์เผ่าม้ง ออกจากลาว ผ่านมาทางไทย ไปอเมริกา แต่คัดเลือก ม้งพันธ์ดีๆ อีกเหมือน ถ้าพันธ์ไม่ดี เขาทิ้งไว้เหมือนเดิม

เครื่องมือที่สอง คือการกดดัน และกีดกันทางการค้า โดยอเมริกากับ EU จะเลือกกีดกัน สินค้าเกษตร อาหารทะเล กุ้งแช่แข็ง ตลาดสินค้าพวกนี้ ในไทย อยู่ในมือ บริษัท CP ไม่เกี่ยวกับ ประชาชนไทยส่วนใหญ่ มูลค่าส่งออก แค่ปีละราว 2 หมื่นล้านบาท ส่วนยางพาราของไทย ตลาดหลัก ส่งออกของไทย อยู่ในเอเซีย ที่มีประเทศถึง 48 ประเทศ ไม่ใช่อเมริกา และ EU

ส่วนอีกเรื่อง ที่ฝรั่งเพิ่งคิดมุกใหม่ คือ เล็งจะย้ายฐาน การฝึกทางทหาร คอบบร้าโกล ไปที่อื่น อันนี้ต้องหัวเราะ แบบเสียงเข้มๆ เพราะยิ่งส่งผลดี กับไทยใหญ่เลย คอบบร้าโกล เมื่อก่อนเกิดขึ้น การฝึกที่จัดขึ้นมา เพื่ออเมริกา ส่งกำลัง มาโจมตีเวียดนาม จนตายไป เป็นล้านคน และ โจมตีเขมร ตายอีกหลายแสน เพื่อดุลอำนาจกับจีน

เพราะไทย เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่พร้อมทางระบบ โลจิสติกส์ บก เรือ อากาศ เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่พร้อมทุกอย่าง ที่รองรับ กำลังทหาร นานาชาติ ที่มาฝึกราว 2 หมื่นคน หากย้ายไปที่อื่น แทบไม่มีทางเลือกเลย ไปเวียดนาม ค่าใช้จ่ายขนส่ง จะแพงขึ้นมหันต์ ไปฟิลิปปินส์ ก็ไม่ใช่ จุดยุทธ์ศาสตร์ ทางการรบเสียแล้ว และค่าใช้จ่ายขนส่ง ก็แพงอีก หรือขึ้นไปฝึกที่ ออสเตรเลีย ยิ่งตลกกว่า เชิญยิ้มอีก ระบบข่าวกรอง ถูกวางไว้ที่ไทย อเมริกาก็รู้ว่า ย้ายไปแล้ว พังครืนทั้งระบบ

และถ้าไทย หันไปฝึกร่วมกับจีน รัสเซีย ทีนี้แหละมะกัน และ EU ดิ้นปัดๆ แน่ๆ เพราะระบบอาวุธ ที่ใช้ฝึก และยุทธศาสตร์ ต้องเปลี่ยนไปหมด หลักสูตรการฝึก ก็จะกลายเป็น การฝึกเพื่อต่อต้าน อเมริกา และ EU แทน การซื้ออาวุธ ระยะต่อไป ก็อาจจะต้องปรับ ชนิดอาวุธ ประจำการกองทัพ กลายเป็นเทคโนโลยี จากของรัสเซีย และจีนแทน

ดังนั้น แม้อเมริกา และ EU จะกลั่นแกล้ง หาเรื่องไทย ทั้งเรื่องอ้าง การค้ามนุษย์ กีดกันทางการค้า และการฝึกร่วม ทางการทหาร มันก็แผนการ สมคบคิด ของปลิงฝรั่ง กับเห็บ โลน คนไทยหัวใจเป็นทาส เท่านั้นเอง แค่ต้องการบีบ คสช. หวังให้ไทย ต้องอยู่ภายไต้ การควบคุม กดรีโมท ได้จากเขา เหมือนรัฐบาล เลือกตั้งซื้อเสียง ที่ผ่านมา

ไม่ต้องไปสนใจ กับพวกปลิง เห็บ โลน เกาะดูดกิน ทรัพยากร ของไทยพวกนี้ ชนเผ่าไทย ก็ต้องมีศักดิ์ศรี ของเราเอง เรามีอารยธรรม เก่าแก่ ของประเทศเรา เราก็หัน ไปเปิดตลาดใหม่ ในเอเซีย ที่เขาหัวอก เดียวกับเรา เช่น จีน รัสเซีย อินเดีย อิหร่าน แอฟริกา

ไทยไม่เห็น จะเดือดร้อนอะไร ยังมีประเทศ ในเอเซียอีก 48 ประเทศ ประชากรเกิน 3 ใน 4 ของโลก อยากทำการค้า กับไทยอยู่ ข้าวไทย อร่อยที่สุดในโลก สินค้าเกษตร คุณภาพดีเพียบ อาหารทะเลชั้นเลิศ ครัวของโลก ตั้งอยู่ที่ไทยนี่แหละ พลังงาน ก็มีอีกมาก ฝรั่ง มันวุ่นวายกันนัก ก็ยกเลิกสัญญา สัมปทานเก่า ให้หมด แล้วค่อยมาพิจารณา เงื่อนไขกันใหม่ ให้ประชาชนในชาติ ได้เข้าถึง ประโยชน์ไต้ดิน ในทะเล ที่บรรพบุรุษ ทิ้งมรดกไว้ ให้มากที่สุด

ประเทศไทย โยนเมล็ดพันธ์พืช ไปตรงไหนลงดิน ก็ได้ผลผลิต เพราะแผ่นดิน อุดมสมบูรณ์เหลือเกิน คนไทย ไม่มีวันอดตาย แต่อเมริกา เข้าประเทศไหน ก็ได้ผลผลิต ด้วยการบีบบังคับเอา การลดเครดิต การสูบเลือดสูบเนื้อ ปล้นสดมภ์ และจับประเทศนั้น เป็นตัวประกัน เรียกค่าไถ่

เมืองไทย แค่ปราบ นักการเมืองชั่ว เห็บโลน ข้าราชการทุจจริต แล้วสอน หน้าที่พลเมือง ให้ประชาชน มีจิตสำนึก ในหน้าที่ ประเทศไทย ก็เจริญ และ มีดัชนีความสุขกว่า อเมริกา สหภาพยุโรป และ ออสเตรเลียแล้ว

ต่อไปประชาชน สัญชาติอเมริกา ที่เป็นเชื้อชาติ คนเอเซีย ลาว เขมร และเมียฝรั่งชาวไทย อาจต้องก่อการ ประท้วง รัฐบาลอเมริกา และ EU เพราะหากิน ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม.. หนอนล้วนๆ หัววิตามิน ที่อร่อยที่สุดในโลก แถวอุบล อุดร ขอนแก่น ยโส ฯลฯ ส่งของแท้ ออกจากไทย ไปกินไม่ได้

ผลก็คือ ทำให้บรรดาเมียๆ ไทย ลาว เขมร ขาดวัตถุดิบ ทำส้มตำปลาร้า ที่เป็น Original ต้องไปหาสินค้า Copy ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ มากินแทน.. อารมณ์ก็จะเสีย เกิดความไม่มั่นคง ในครอบครัว เรื่องใหญ่เลยนะนั่น..ฮา

@ เสธ น้ำเงิน1
https://www.facebook.com/topsecretthai

 

แฉ..ความลับ
วันที่ 26 มิ.ย.57 อัศจรรย์..สามเสาค้ำยัน ให้ชนชาติไทย รอดจากการแตกเป็นเสี่ยง (ตอนที่ 3)

จีนกับไทย เป็นบ้านพี่เมืองน้อง กันมากว่า 1,000 ปี มาแล้ว แต่ได้ห่างหาย ทางการทูตกับไทย ไประยะหนึ่ง หลังจากประเทศเขา เปลี่ยนการปกครอง เป็นระบอบ คอมมิวนิสต์ ตามแนว เหมาเจ๋อตุง และปิดประเทศ อยู่หลังม่านไม้ไผ่ ไประยะหนึ่ง

แต่แล้วก็เกิดเหตุพลิกผัน เปลี่ยนโฉมหน้า ความสัมพันธ์ไทย-จีน เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ซึ่งเป็นโอรส คนที่ 4 ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) เมื่อครั้งท่าน ตั้งพรรคการเมือง และได้รับการเลือกจากสภา ให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 13 ของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2518

ในช่วงนั้น มีการสู้กันของเขมร 3 ฝ่าย อเมริกา สนับสนุนเขมรฝ่ายหนึ่ง ตอนนั้น มีกรณีที่ เรือรบขนาดใหญ่ ของอเมริกา ใช้น่านน้ำไทย ผ่านไปสู่น่านน้ำ และแผ่นดินเขมร โดยอเมริกา มีการใช้ไทย เป็นฐานสงคราม รัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ประกาศ นโยบายว่า ต่อไป ถ้าอเมริกา ใช้น่านน้ำไทย หรือผ่านแผ่นดินไทย จะต้องได้รับความเห็นชอบ จากรัฐบาลไทยก่อน

รวมทั้งได้เรียกตัวทูต กลับประเทศ เพื่อเป็นการแสดง ความไม่พอใจ เป็นการแสดง ความกล้าหาญของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จนอเมริกา ถอนกำลังทหาร ออกจากประเทศไทย ในเวลาต่อมา เป็นการเปิดฉากการเมือง ระหว่างประเทศ ในเวลาที่แหลมคมมาก

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มีนโยบาย เปิดความสัมพันธ์กับจีน หลังจากที่ตัดขาด ความสัมพันธ์ ระดับรัฐบาล มาเป็นเวลานาน เป็นการตัดสินใจ จุดเริ่มต้นการเมือง ระหว่างประเทศ และทางการทหารด้วย เพราะจีนหนุนหลัง พรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย ท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และคณะผู้แทน รัฐบาลไทย เดินทางไปเยือน กรุงปักกิ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2518 เป็นการเปิดหน้า ประวัติศาสตร์ ทางการทูต ระหว่าง ประเทศท ี่การเมืองไทย สามารถควบคุม ระบบทหารได้

นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2518 เป็นต้นมา มีการลงนาม อย่างเป็นทางการ ของผู้นำรัฐบาล ทั้งสองฝ่าย ในพิธีสถาปนา ความสัมพันธ์ ทางการทูต มิตรภาพอันแน่นแฟ้น และ ความร่วมมือ ด้านต่างๆ ทำให้ความสัมพันธ์ ระหว่าง ประเทศไทยกับจีน เป็นไปด้วยดี ความสัมพันธ์ ของทั้งสองฝ่าย ได้พัฒนาไป อย่างรวดเร็ว และรอบด้าน

โดยเฉพาะ สัมพันธไมตรี ที่แน่นแฟ้น ระหว่างผู้นำจีน และสถาบัน พระมหากษัตริย์ไทย เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้จีน ยกเลิก การสนับสนุน พรรคคอมมิวนิสต์ ในไทย ด้านทุน อาวุธ ในเวลาต่อมา จนอ่อนแอ และพ่ายแพ้ต่อรัฐบาล พล.อ.เปรม ในที่สุด และมีการเจริญ สัมพันธไมตรี ทางการทูต อีกหลายครั้ง อย่างแน่นแฟ้น ซึ่งยากที่ประเทศอื่นใด จะเสมอเหมือน ตราบกระทั่งปัจจุบัน

อเมริกา สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย จึงคั่งแค้น ต่อสถาบัน พระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ ของไทย จึงร่วมหัวกับ บริษัทเผาไทย แดงล้มเจ้า ให้ร้าย สถาบันเบื้องสูง ต่างๆ นานา กุข่าว เรื่องเสียๆ หายๆ กล่าวร้าย ให้พระองค์ เกี่ยวโยงกับ เรื่องทางการเมือง และธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมาย เพื่อให้ประชาชน ที่หูเบา เข้าใจผิด

สมัยรัฐบาล เลือกตั้งเผาไทย ที่ผ่านมา ได้ยอมเป็นทาส ประเทศตะวันตก หลายอย่าง ที่สั่นคลอน ความสัมพันธ์ ของไทยกับจีน จนเกิดการหมางเมิน การค้าระหว่าง 2 ประเทศ หยุดชะงักลง เช่น การยอมให้อเมริกา มาเช่าฐานทัพเรือ โดยอ้างว่า ใช้เป็นฐานทดลอง ทางวิทยาศาสตร์ แต่ที่แท้คือ เป็นฐานใช้สำหรับ ส่งอาวุธ ชนิดไร้คนขับ เพื่อโจมตี ทางทหารต่อจีน ทำให้จีนไม่พอใจ รัฐบาลปูเน่า กรณีนี้อย่างมาก

และจีนนั้น มีโยบาย การปราบปรามทุจริต อย่างเฉียบขาด รัฐมนตรีรถไฟเขา ถูกจับได้ ศาลก็ตัดสิน ประหารชีวิต ผู้บริหารมณฑลหนึ่ง ของเขา จัดงานเลี้ยง หรูหรา อีกมณฑลหนึ่ง ขี่หลังลูกน้อง ขณะเกิดน้ำท่วม เขาปลดออกหมดทันที รัฐบาลที่แล้ว ชอบอ้างชื่อประเทศจีน ว่าทำการค้า แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับไทย เช่นเรื่องขายข้าว , เรื่องแท็บเล็ต พีซีเด็ก ป.1 ฯลฯ แต่จริงๆ ไม่เคยมีเลย

เมื่อหมดยุค รัฐบาลเลือกตั้งเผาไทย ที่เป็นทาสอเมริกา และเข้าสู่ยุค คสช.บริหารประเทศ จีนจึงรู้สึก พึงพอใจอย่างมาก เพราะจีนอ่านขาด ว่าไทยเป็น ศูนย์กลาง ของกลุ่มประเทศ อาเซียน ที่จะรวมตัวกันเป็น AEC มีประชากร รวมกันกว่า 630 ล้านคน

จีนจึงอยากกลับมาฟื้นฟู ความสำคัญใกล้ชิด ทางการเศรษฐกิจการค้า กับไทย ยิ่งเขาทราบว่า หัวหน้า คสช. มีความจงรักภักดี กับสถาบัน พระมหากษัตริย์ อย่างมาก จีนยิ่งมีความมั่นใจ ในการลงทุน ทำการค้ากับไทย มากขึ้นไปอีก ถึงขนาด ส่งคณะทูตจีน มาพบผู้แทน ฝ่ายเศรษฐกิจของ คสช. อย่างเป็นทางการ

เมื่อวานนี้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการ ทหารอากาศ รองหัวหน้า คสช.ฝ่ายเศรษฐกิจ ได้ให้การต้อนรับ นายหนิง ฟู่ขุย (H.E. Mr.Ning Fukui) เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย และคณะที่ ได้เข้าเยี่ยมคารวะ เพื่อหารือข้อราชการ ได้มีการสนทนากัน ในเรื่องต่างๆ ด้วยบรรยากาศ ที่เป็นมิตรไมตรีมาก

ทูตจีนได้ขอบคุณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ที่ได้เคยเดินทาง ไปเยือนจีน เมื่อปลายปี 2556 และ อีกทั้งจีน มาเยี่ยมไทย ในฐานะที่ ผู้บัญชาการ ทหารอากาศ เป็นรองหัวหน้า คสช. และเป็นหัวหน้า ฝ่ายเศรษฐกิจด้วย จีนมีความเข้าใจ สถานการณ์ ของประเทศไทย ในปัจจุบัน โดยในช่วง รัฐบาลเลือกตั้ง ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อ ความสัมพันธ์ ทางเศรษฐกิจ ระหว่างไทย กับสาธารณรัฐ ประชาชนจีน เป็นอย่างมาก

แต่หลังจากที่ คสช. ได้เข้ามาบริหารจัดการ และใช้นโยบาย การกระตุ้นเศรษฐกิจ ทางด้านต่างๆ แม้จะเป็นเวลาเพียง 1เดือน ก็ทำให้เกิด ความเชื่อมั่น และมั่นใจว่า การพัฒนา ทางด้านเศรษฐกิจ ระหว่างไทยกับจีน จะมีการพัฒนาไป ในทิศทางที่ดีขึ้น จีนได้มองเห็น ถึงศักยภาพ ทางเศรษฐกิจ ของไทยที่ "เป็นศูนย์กลาง ของกลุ่มประเทศอาเซียน"

นอกจากนั้น ไทยกับจีน ยังมีความสัมพันธ์ ที่ใกล้ชิดกันมา เป็นเวลาช้านาน จึงเชื่อมั่นว่า นักลงทุนของจีน จะได้กลับมา ดำเนินธุรกิจการค้า ในเวลาอีกไม่นานนี้ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการ ทหารบก และหัวหน้า คสช. และ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการ ทหารอากาศ และหัวหน้า ฝ่ายเศรษฐกิจ

นับแต่นี้ จะทำให้การค้า ระหว่างไทยกับจีน ที่หยุดชะงักลง จากรัฐบาลก่อน กลับมาฟื้นตัว ในเร็ววันนี้ ทางการจีน จะให้ความสำคัญ ทางด้านการค้า การลงทุนกับไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่ง ในการพัฒนา ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยกับจีน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ส่วน พล.อ.อ. ประจิน กล่าว ขอขอบคุณรัฐบาลจีน ที่ให้ความสำคัญ กับประเทศไทย และเข้าใจ ในปัญหาที่เกิดขึ้น กับประเทศไทย จนกระทั่ง เป็นเหตุให้ คสช. ต้องเข้ามา แก้ไขปัญหา เพื่อคืนความสันติสุข ให้กลับมาสู่ ประชาชน

โดย คสช. มีขั้นตอน การดำเนินการ ในการแก้ไขปัญหา ของประเทศ ตามแนวทางของ หัวหน้า คสช. เพื่อให้ประเทศไทย ได้กลับคืนสู่ ความเป็นประชาธิปไตย โดยสมบูรณ์ ในเวลาอีก ไม่นานนี้ และขอให้มั่นใจว่า คสช.จะดูแล ชาวต่างประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศ เป็นอย่างดี ด้วยความตั้งใจ และจริงใจ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ในการประกอบธุรกิจ ในประเทศไทย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอเชิญชวน นักท่องเที่ยวชาวจีน ได้กลับมาเที่ยว ประเทศไทย อย่างที่เคยเป็นมา และหากมีสิ่งใด ที่เป็นปัญหา และอุปสรรค ในการติดต่อระหว่างกัน ขอได้แจ้ง ให้ทราบ เพื่อให้ความสัมพันธ์ ระหว่าง 2 ประเทศ ได้ดำเนินไป ด้วยความราบรื่น และยั่งยืนตลอดไป

ถ้าเราไม่มี บารมีของ สถาบันพระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ เสาหลัก 1 ใน 3 ของชนเผ่าไทยในอดีต ไทยกับจีนวันนั้น ป่านนี้ ประเทศไทย อาจต้องเผชิญ มรสุมทางการเมือง การปกครอง 2 ด้าน คือ จากด้านแรก อเมริกา สหภาพยุโรป และด้านสอง จากจีน

คนไทยที่หมิ่นเบื้องสูง เป็นพวกเนรคุณ และไม่รู้จักสำนึก ว่าบรรพบุรุษ ประเทศของเรา รอดพ้นภัยคุกคาม จากต่างประเทศมาได้ ก็เพราะพระบารมี พระมหากษัตริย์ และราชวงศ์ ทุกพระองค์ ที่ทรงเสียสละ เพื่อราษฎร มาอย่างยาวนาน สั่งสมมานั่นเอง

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยรับสั่งว่า “ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทุกวันนี้ ที่ท่านเดินไม่ได้คล่อง เพราะทรงขับรถ เข้าไปในที่ ทุรกันดาร และไม่มีถนน เป็นเวลานานมากๆ เลยทำให้ กระดูกสันหลัง ของพระองค์ มีปัญหา

คณะแพทย์ เคยกราบบังคมทูล ให้ทรงงด พระราชกรณียกิจ แต่ทรงตรัสตอบว่า งานพระองค์ ไม่มีวันหยุด จะให้ทำอย่างไร พระองค์ จะทรงเฮลิคอปเตอร์ เฉพาะที่ทรงมี พระวินิจฉัยว่า จำเป็นเท่านั้น เพราะการที่ ทรงขับรถเอง จะทำให้มองเห็น สภาพพื้นที่จริง และจอดแวะ ตรวจพื้นที่ ได้ง่ายกว่า “

ทั้งหลายทั้งมวล ด้วยเหตุผลเดียว...” เพราะพระราชาของไทย ท่านทรงรักคนไทย ยิ่งกว่าชีวิต ของพระองค์เอง” ..คนไทยจงภูมิใจ และสามัคคีกันเถิด เพื่อตอบแทน พระมหากรุณาธิคุณ ของพระองค์ ที่ทรงเป็น เสาค้ำยัน ให้ชนชาติไทย รอดจากการ แตกเป็นเสี่ยง ตลอดมา และตลอดไป

@ เสธ น้ำเงิน3
https://www.facebook.com/topsecretthai

   www.asoke.info