แฉ..ความลับ @ เสธ น้ำเงิน1 / 16 กค57
https://www.facebook.com/topsecretthai

แฉ..ความลับ
วันที่ 16 ก.ค.57 เผย..หากเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 3 ใครจะชนะ และไทยจะเป็นเช่นไร

ยูเครน เป็นพื้นที่ชายขอบ ทางตะวันออก ของ EU อดีตเคยเป็น ส่วนหนึ่งของ สหภาพโซเวียต และตั้งอยู่ในพื้นที่ ทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ตรงกลาง ระหว่าง รัสเซียและยุโรป การปะทะกัน ที่ยูเครน ทวีความรุนแรง มากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่าง กลุ่มติดอาวุธ ที่ฝักใฝ่รัสเซีย กับกองทัพยูเครน ที่มะกันและ EU ชักใยหุ่นเชิด

ส่งผลให้มีพลเรือน เสียชีวิตไปแล้ว กว่า 550 ราย ส่วนปูติน ผู้นำรัสเซีย ก็ไม่สนใจ ไม่คุยด้วย ไปดูการแข่งขัน ฟุตบอลโลก ที่บราซิล หน้าตาเฉย ยูเครน โดนมะกันปั่น เสียประเทศ แตกเป็นเสี่ยง เกิดสงครามกลางเมือง คนในชาติ ห้ำหันกันเอง ตายเป็นเบือ การสู้ทำให้ ความสัมพันธ์ ระหว่างตะวันตก และ ตะวันออก ลุกเป็นไฟ และทำท่า จะบานปลาย ขยายตัวไปเป็น สงครามกลางเมือง อย่างเต็มขั้น อีกรอบแล้ว

มีการโจมตีอีกหลายระลอก ตลอดพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครน ดับความหวังในการพักรบ ทำให้ทหารยูเครนอีก 18 ราย รวมถึงพลเรือนอีก 20 ราย ต้องสังเวยชีวิตเพิ่ม และมีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ แถวชานเมืองของโดเน็ตสก์ เมืองที่มีประชากรนับล้าน และเป็นฐานที่มั่น ของกองกำลังติดอาวุธ ฝักใฝ่รัสเซีย

ส่วนเมืองลูกันสก์ ที่มีประชากร ประมาณ 425,000 คน และก็เป็นที่มั่น สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ของกลุ่มติดอาวุธ ก็มีผู้เสียชีวิต ในละแวกนี้ และบาดเจ็บอีก หลายราย จากเหตุการณ์สู้รบ กับรัฐบาลยูเครน สมุนมะกัน ตลอดทั้งคืน

จำนวนผู้บาดเจ็บ ล้มตาย ที่เกิดขึ้นกับพลเรือน เป็นสถิติสูงสุด ตลอดช่วงระยะ เวลากว่า 3 เดือน ของความขัดแย้ง ครั้งนี้ เป็นภัยคุกคาม ต่อความอยู่รอด ของยูเครน ปลายสัปดาห์ก่อน กองกำลังติดอาวุธ กลุ่มติดอาวุธ ฝักใฝ่รัสเซีย ได้ใช้เครื่องยิงจรวด หลายลำกล้อง ยิงใส่กองทัพรัฐบาล จนทำให้ ทหารยูเครน เสียชีวิต 19 ราย และได้รับ บาดเจ็บเกือบ 100 ราย บริเวณใกล้กับ ชายแดนรัสเซีย

ความสูญเสียของ กองทัพยูเครน ยังได้บ่อนทำลาย ความหวัง ที่จะได้ชัยชนะ ในสนามรบ เป็นตัวโน้มน้าว ให้ฝ่ายกลุ่มติดอาวุธ ต้องยอมสงบศึก

ประธานาธิบดียูเครน หุ่นเชิดมะกัน คุยโอ่ว่า จะสังหาร กลุ่มติดอาวุธ หลายร้อยคน แลกกับทหารทุกๆ คน ที่ต้องเสียชีวิตไป เขายังสั่งให้กองทัพ ปิดล้อม ทางอากาศ อย่างหนาแน่น ต่อเมืองลูกันสก์ และเมือง โดเน็ตสก์ สองเมือง ที่สถาปนาตัวเอง เป็นสาธารณรัฐ และประสงค์จะแยกตัว เข้าร่วม เป็นส่วนหนึ่ง ของรัสเซีย เพิ่มเติม จากเมืองไครเมีย ที่รวมไปแล้ว

การใช้เครื่องยิงจรวด หลายลำกล้อง ของฝ่าย กลุ่มติดอาวุธนั้น แสดงให้เห็นว่า ได้รับการสนับสนุน จากรัสเซีย แต่ปูตินได้ปฏิเสธ ข้อกล่าวหาที่ว่า รัสเซีย เป็นผู้บงการ อยู่เบื้องหลัง การลุกฮือ ของกลุ่มติดอาวุธ เพราะหวัง ที่จะควบคุม พื้นที่บางส่วน ทางตะวันออก ของยูเครน รวมถึงเป็นการ ลงโทษยูเครน ที่หันไปผูกมิตรกับ สหภาพยุโรป

ประธานาธิบดี หุ่นเชิดยูเครน โม้ต่อว่า การสงบศึก กับฝ่ายกบฏ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ จนกว่า กองทัพของเขา จะสามารถปิดกั้น แนวชายแดนรัสเซีย เพื่อหยุด การหลั่งไหลเข้ามา ของบรรดาอาวุธ และกองกำลัง สนับสนุน

รัสเซีย โมโหยูเครนมาก เมื่อกระสุน ของฝ่ายยูเครน เลยข้ามพรมแดน ไปตกในพื้นที่ ชุมชนเล็กๆ ใกล้กับ ชายแดนรัสเซีย ทำให้พลเรือนรัสเซีย เสียชีวิต 1 ราย กับผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย จาก รัสเซียบอกว่า เหตุครั้งนี้ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

ต่อมาเครื่องบินลำเลียง ทางทหาร AN-26 ของยูเครน ที่เข้าร่วม ปฏิบัติการทางทหาร กวาดล้าง กลุ่มติดอาวุธ ถูกสอยร่วง ด้วยจรวดลูกหนึ่ง ที่ยิงออกมาจาก ดินแดนรัสเซีย เครื่องบินลำดังกล่าว บินอยู่ในระดับ ที่สูงมาก จนจรวดแบบหิ้ว ที่กลุ่มติดอาวุธ ยิงไม่ถึง จึงเป็นการยิง โดยอาวุธจรวด ทรงแสนยานุภาพ มากกว่า ออกมาจาก ดินแดนของรัสเซีย นั่นเอง

รัฐบาลยูเครน กำลังเร่งมือ ปฏิบัติการค้นหา และกู้ภัย ในพื้นที่ ซึ่งอยู่ติดกับ ชายแดนรัสเซีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของเมืองลูฮานสก์ อันเป็นจุดที่ มีการปะทะกัน อย่างดุเดือด ระหว่าง กองทัพยูเครน กับนักรบฝ่ายกบฏ นิยมมอสโก

รายงานทางลับ ระบุว่า รัสเซียกำลังพิจารณา ถึงความเป็นไปได้ ในการโจมตีรวดเดียว ต่อที่ตั้งต่างๆ ในยูเครน ซึ่งเป็นจุดที่ เปิดฉากยิงอาวุธ เข้าใส่ดินแดน ของรัสเซียโดยตรง เนื่องจาก ความอดทน มีขีดจำกัด และรัสเซีย รู้แน่ชัดแล้วว่า พวกยูเครน ยิงปืนใหญ่มาจากไหน

จุดนี้ก็เป็นจุดที่ อย่างไรเสีย รัสเซียก็ยอมไม่ได้ เพราะมะกัน และ EU หยามกันเกินไป ที่กล้ามาแหย่ หมีขาว ยามสลึมสลือ ตอนนี้ พี่หมีตื่นแล้ว.. ตะปบ เคี้ยวๆๆ !!

ขณะที่วิกฤตยูเครน กำลังฉุดให้สายสัมพันธ์ ระหว่าง รัสเซีย กับสหรัฐฯ และ บรรดาชาติยุโรป ถลำลงสู่ จุดต่ำสุด นับตั้งแต่ ยุคสงครามเย็น เป็นต้นมา ประธานาธิบดี ปูติน ของรัสเซีย ก็เดินสาย กระชับสัมพันธ์ กับภูมิภาค ลาตินอเมริกาใต้

โดยแผนการเดินทางเยือน ของผู้นำ แดนหมีขาว รวมถึง การร่วมหารือ กับเหล่าผู้นำฝ่ายซ้าย ของชาติที่เป็น ปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ และเข้าร่วมประชุม ระดับผู้นำ ของกลุ่มประเทศ เศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ รายใหญ่ ของโลก หรือ BRICS เพื่อหาทางผลักดัน ให้เกิดโลกหลายขั้ว ที่ได้รับอิทธิพล จากโลกตะวันตก น้อยลง

ปูติน และ ประธานาธิบดี กริสตินา เคิร์ชเนอร์ แห่งอาร์เจนตินา ได้แถลงให้มีการ วางกฎระเบียบ สำหรับ “โลกแบบหลายขั้ว” อันเป็นแนวคิด ที่เกิดจาก การที่ประเทศ เศรษฐกิจเกิดใหม่ เริ่มมีบทบาท ในเศรษฐกิจโลก มากขึ้น

ประธานาธิบดี เคิร์ชเนอร์ กำลังต่อสู้กับ คำตัดสินของ ศาลสหรัฐฯ ที่มีคำสั่ง ให้อาร์เจนตินา ชดใช้เงิน มูลค่ากว่า 4.2 หมื่นล้านบาท ให้แก่กองทุน ป้องกันความเสี่ยง ภายในสิ้นเดือน ก.ค.57 นี้ สืบเนื่องมาจาก การที่อาร์เจนตินา ปฏิเสธ ไม่ยอมปรับ โครงสร้าง หนี้ค้างชำระ ของประเทศ

ปูติน กล่าวยอว่า รัสเซียมี “ทัศนะเรื่องความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ ที่เหมือนกับ อาร์เจนตินา เป็นอย่างยิ่ง” เขายังแสดงจุดยืน สนับสนุน การที่อาร์เจนตินา อ้างกรรมสิทธิ์ เหนือหมู่เกาะ ฟอล์กแลนด์ มาเนิ่นนาน เพราะหมู่เกาะ ที่ฟอล์กแลนด์ หรือที่อังกฤษเรียกว่า “มอลวินาส” ได้จุดชนวน ให้เกิดสงคราม ระหว่างอาร์เจนตินา กับ อังกฤษ เมื่อปี 1982 จนอังกฤษ ใช้ระเบิดตอร์ปิโด ยิงเรือรบ อาร์เจนตินา จนล่มมาแล้ว

ปูติน ระบุว่า รัสเซียสนับสนุนหลักการ “โลกหลายขั้ว” ซึ่งมีความเท่าเทียม ความมั่นคง และไม่สามารถ แบ่งแยกได้ โดยที่รัสเซีย จะเดินหน้า สนับสนุนให้ อังกฤษ กับ อาร์เจนตินา เปิดโต๊ะเจรจากัน เพื่อการหาหนทางแก้ไข กรณีพิพาท เรื่องหมู่เกาะ ฟอล์กแลนด์ ต่อไป.. โห้..ตบหน้าอเมริกา ฉาดเบ่อเร่อเลย

ผู้นำหญิงอาร์เจนตินา ได้เน้นย้ำว่า จะต้องมีการยกเครื่อง สถาบันระดับโลก เสียใหม่ เชื่อมั่นในโลก แบบหลายขั้ว และ ระบบพหุนิยมในโลก ที่ประเทศต่างๆ ไม่ใช้ระบบ สองมาตรฐาน.. เดิมกระแสเงินทุน ทั่วโลก เปลี่ยนโลกนี้ ให้กลายเป็นคาสิโน จนหลายประเทศ กลายเป็นหนี้ท่วมหัว จำเป็นต้อง วางระเบียบ ควบคุมใหม่.. เปรี๊ยะๆๆ คมมาก

และที่ต้องทำให้ อเมริกาสะดุ้ง เหงื่อตก ก็คือ คณะผู้แทนของรัสเซีย และอาร์เจนตินา ร่วมลงนาม ข้อตกลง ทวิภาค หลายฉบับ เช่น ข้อตกลงด้าน พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งทั้งสองชาติ บรรลุร่วมกัน โดยรัสเซียจะช่วย อาร์เจนตินา เร่งมือสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แห่งที่ 4 ของประเทศ ชื่อ “อาตูชา 3” ด้วยงบประมาณ ราว 9.6 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ สมาชิกคณะผู้แทนรัสเซีย ยังจะเดินทางเยือน แหล่งน้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ “วากา มูเอร์ตา” ซึ่งอาจเป็น การสำรวจ พบบ่อน้ำมัน ครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ โดยอาร์เจนตินา ที่กำลังขาดแคลนเงิน ภายหลัง ถูกกีดกัน จากตลาดทุน ตั้งแต่ผิดนัด ชำระหนี้ เมื่อปี 2011 กำลังต้องการ เงินลงทุน เพื่อพัฒนา แหล่งพลังงาน แห่งนี้

แถม รัสเซีย และอาร์เจนตินา ยังมีกำหนด จะร่วมหารือ ในประเด็น ความร่วมมือทางทหาร ซึ่งรวมถึง ช่องทางที่ รัสเซีย จะส่งเครื่องบินลำเลียง ทางทหาร เข้าไปดำเนินภารกิจ แถบขั้วโลกใต้.. แถมออกจาก อาร์เจนตินา ไป พี่หมีขาว แกก็ไปดูบอลโลก รอบชิงชนะเลิศ ที่บราซิลต่อเลย เอากะลีลา กวนๆ ยั่วไอ้มาม่า ของแกซิ !!

รัสเซียดันมา พัฒนานิวเคลียร์ ในพื้นที่ จ่อรูตูดมะกันเลย โดยอ้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เป็นฉากบังหน้า และความร่วมมือ ทางทหารอีกด้วย.. ใครๆ ก็รู้ว่า มันสามารถ นำกากนิเคลียร์ มาพัฒนาเป็น หัวรบนิวเคลียร์ และนำไปติดตั้ง ในขีปนาวุธ พิสัยไกลได้

ประธาธิบดี ปูติน แห่งรัสเซีย ยังพยายามสร้างอิทธิพล แถบละตินอเมริกา เพื่อต้านมาตรการ คว่ำบาตร ของชาติตะวันตก โดยไปเยือน และพบ ประธานาธิบดี ราอูล คาสโตร แห่งคิวบา ณ ทำเนียบ กรุงฮาวานา คิวบา ก่อนหน้านี้ ได้ประกาศ “ยกหนี้” สมัยสหภาพโซเวียต ให้แก่คิวบาถึง 90% ซึ่งคิดเป็น มูลค่าสูงถึง 1.03 ล้านล้านบาท มาแล้ว.. รวยซะอย่าง จะยกหนี้ให้ มีไรป่ะ !!

ปูติน ยังรับปาก จะแปรสภาพ “หนี้” ส่วนที่เหลือ ของคิวบา อีกราว 1.12 แสนล้านบาท เป็นเม็ดเงินลงทุน ในโครงการใหญ่ๆ และยังได้พา ประธานบริษัท รอสเนฟต์ รัฐวิสาหกิจพลังงาน ของรัสเซีย ซึ่งได้เดินทางไปยัง กรุงฮาวานาด้วย เพื่อลงนาม ข้อตกลง สำรวจน้ำมัน นอกชายฝั่ง ตอนเหนือ ของคิวบา

แหล่งน้ำมันดิบ อายุเก่าแก่ บนแผ่นดินคิวบา มีกำลังผลิตเพียง ราวๆ 55,000 บาร์เรลต่อวัน รัฐบาลจึงจำเป็น ต้องนำเข้าน้ำมัน ราว 110,000 บาร์เรลต่อวัน จากเพื่อนบ้าน อย่างเวเนซุเอลา ซึ่งจำหน่ายให้ ในราคาถูก เป็นพิเศษ หากมีการสำรวจ พบแหล่งน้ำมันดิบ ขนาดใหญ่ นอกชายฝั่ง จะช่วยกระตุ้น เศรษฐกิจของคิวบา ได้อย่างมาก

แผนปลดหนี้ และแปรสภาพหนี้ จะช่วยอัดฉีดเม็ดเงิน ลงทุนต่างชาติ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคิวบา ในยามนี้ และถือเป็น การประกาศ คานอำนาจ กับสหรัฐฯ ซึ่งคว่ำบาตร ทางเศรษฐกิจ กับคิวบา มานานถึง 52 ปี จนเป็นผลให้ บริษัทตะวันตก หลายแห่ง ไม่สามารถ เข้าไปทำธุรกิจ ในคิวบาได้

ปูติน กล่าวว่า “เราพร้อมที่จะสนับสนุน มิตรชาวคิวบา เพื่อให้สามารถ เอาชนะการกีดกัน ทางเศรษฐกิจ อันไม่ชอบด้วย กฎหมาย” การเดินทาง เยือนหลังบ้านสหรัฐฯ ของ ปูติน ในครั้งนี้ เขาแกล้งเดินไป ขณะมี กระแสกดดัน จากชาติตะวันตก ที่ต้องการให้รัสเซีย ใช้อิทธิพล บีบกลุ่มกบฏ แบ่งแยกดินแดน ในยูเครน ให้ยอมวางอาวุธ และเปิดเจรจาสันติภาพ กับรัฐบาลยูเครน อย่างจริงจัง

อมริกา ยังกลั่นแกล้งรัสเซีย โดยประกาศ ขึ้นบัญชีดำ บุคคลใกล้ชิดของ ปูติน หลายราย ซึ่ง ประธานบริษัท รอสเนฟต์ เองก็เป็นหนึ่ง ในบรรดา ผู้ทรงอิทธิพล ของรัสเซีย ที่ตกเป็นเป้าหมาย คว่ำบาตรด้วย

ปูติน ได้เข้าพบอดีต ประธานาธิบดี ฟิเดล คาสโตร วัย 87 ปี บิดาแห่ง การปฏิวัติคิวบา โดยได้หารือเกี่ยวกับ กิจการ ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจโลก และ ความสัมพันธ์ ระหว่างรัสเซีย และคิวบาด้วย จากนั้นรัฐบาลคิวบา ได้มอบเหรียญ เชิดชูเกียรติ “โฆเซ มาร์ตี” ซึ่งเป็นอิสริยาภรณ์ ชั้นสูงสุด ของคิวบา แก่ ปูติน

อเมริกาและ EU เจาะยูเครน ข้างบ้านรัสเซีย แต่รัสเซีย ก็เจาะทะลวง หลังบ้านอเมริกา โดยเลือกประเทศ ที่มะกัน แกล้งคว่ำบาตรเขา ด้วยข้อหา ไม่เปิดขาย กัญชาเสรี เหมือนอเมริกาบ้าง ที่คิวบานี่แหละ... ติดตั้งขีปนาวุธ เพื่อถล่มมะกัน.. เจ๋งสุดๆ

จากนั้น ปูติน ก็ทะลวงตูดไอ้มาม่า ไม่หยุด โดยเดินทาง เยือนบราซิลต่อ เพื่อโน้มน้าว ให้เหล่าผู้นำ ในภูมิภาคนี้ ร่วมกันสนับสนุน นโยบายของเขา ในช่วงที่รัสเซีย กำลังตึงเครียด กับบรรดา ชาติตะวันตก โดยผู้นำบราซิล และรัสเซีย ได้ลงนามข้อตกลง ทางการทหาร, เศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และสาธารณสุข ร่วมกัน

ประธานาธิบดี ดิลมา รูสเซฟฟ์ แห่งบราซิล กล่าวขณะ ยืนเคียงข้างปูติน ว่า “เราขอเน้นย้ำว่า การร่วมมือกัน ด้านกลาโหม และการใช้ พลังงานนิวเคลียร์ เชิงสันติ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ” ตามข้อตกลง ทางทหาร ที่สองชาติ บรรลุร่วมกัน กองทัพรัสเซีย และบราซิล จะซ้อมรบร่วมกัน ในเดือน ส.ค.57 เพื่อทดสอบ ระบบขีปนาวุธ จากพื้น สู่อากาศ พิสัยใกล้ และพิสัยกลาง “แพนต์ซีร์ - เอส 1” และระบบปืนใหญ่ ต่อสู้อากาศยาน ซึ่งบราซิล จะขอซื้อ จากรัสเซีย ในเร็วๆ นี้

ประธานาธิบดี บราซิล ฮึ่มเหน็บมะกันว่า “เนื่องจากชาติของเรา จัดอยู่ในกลุ่มประเทศ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราจึงไม่อาจพอใจ ที่ยังต้องพึ่งพาผู้อื่น ในศตวรรษที่ 21 เช่นนี้.. เราจำเป็นจะต้อง มีศักยภาพมากพอ ที่จะพึ่งตนเองได้ ทั้งทางด้าน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี” ..แสบ !!

ปูตินได้ยาหอมบราซิลว่าเป็น “หุ้นส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ของรัสเซีย ในภูมิภาค อเมริกาใต้ พร้อมบอกว่า พวกเขา ได้ผนึกกำลังกัน จัดการ “ประเด็น ปัญหาที่สำคัญ ระดับนานาชาติ” ทั้งสอง ต่างตั้งความหวังที่จะ “พัฒนาศักยภาพ ด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ ด้านเทคโนโลยี” โดยถือเป็นส่วนหนึ่ง ของแผนความร่วมมือ ระหว่างสองชาติ

โดยวางแผน จะร่วมกันสร้าง สาธารณูปโภค สำหรับโรงไฟฟ้า สถานีรถไฟปลายทาง เครื่องบิน และรถบัส บราซิล ยังตั้งเป้า จะเปิดทางให้รัสเซีย เข้ามาลงทุน ด้านพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขึ้น เพื่อพัฒนา สายสัมพันธ์ ด้านการค้า ของสองประเทศ

โดยลงนาม ร่วมกันไปแล้วว่า ตั้งเป้ายกระดับ การค้าจาก ราว 1.8 แสนล้านบาท เมื่อปีที่แล้ว ขึ้นเป็น ราว 3.21 แสนล้านบาท การทำเช่นนี้ จะช่วยผลักดัน ให้ทั้งสองฝ่าย ทุ่มเม็ดเงินลงทุน โดยตรงมากขึ้น บราซิล ได้บอกปูติน เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงโอกาสด้านพลังงาน และโครงสร้าง ด้านพื้นฐาน ที่มีมากมาย ในบราซิล ซึ่งบรรดา บริษัทรัสเซีย สามารถเข้ามา แสดงบทบาท ที่สำคัญได้มากขึ้น โดยเฉพาะการอนุญาต เพื่อเปิดทาง ให้เข้ามาลงทุน ด้านน้ำมัน ท่าเรือ และทางรถไฟ

ปูติน เดินทางต่อไปยัง อาร์เจนตินา และ บราซิล เพื่อร่วมหารือ ทวิภาคี กับผู้นำทั้ง 2 ชาติ และจะเข้าร่วม การประชุม สุดยอดผู้นำ กลุ่มประเทศ เศรษฐกิจ เฟื่องฟูใหม่ หรือ BRICS ซึ่งประกอบด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และ แอฟริกาใต้ ช่วงวันที่ 15-16 กรกฎาคม 57 ต่อเลย

ต่อมาผู้นำ 5 ชาติ กลุ่มประเทศ เศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ หรือ BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และ แอฟริกาใต้ ) มีประชากร รวมกัน 40% ของประชากรโลก และมีมูลค่า เศรษฐกิจ 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจโลก กลุ่มนี้ ประกอบด้วย ชาติสมาชิก ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจ นโยบาย ต่างประเทศ และระบบการเมือง

สิ่งที่กลุ่มนี้มีร่วมกันคือ ความต้องการมีเสียง ในนโยบาย เศรษฐกิจโลก มากขึ้น ทุกประเทศ ล้วนมีประสบการณ์ เจ็บปวด กับการครอบงำทางการเงิน ของตะวันตก เช่น เคยถูกลงโทษ ทางเศรษฐกิจ ถูกบังคับ ให้ลดงบประมาณ และเงื่อนไข ยากลำบาก อีกหลายอย่าง เพื่อแลกกับ เงินกู้ฉุกเฉิน จากไอเอ็มเอฟ

เป็นโครงข่ายความปลอดภัย โครงข่ายสำรอง หากพวกเขา เกิดงัดข้อ กับตะวันตก การที่ห้าชาติ ปลีกตัวจาก สถาบันการเงิน ที่มีอยู่เดิม ตอกย้ำให้เห็น ความแตกแยก ของระบบเศรษฐกิจ ช่วงหลังสงคราม ที่เคยมี บทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน สันติภาพ และ ความมั่งคั่งของโลก ถึงขณะนี้ ไม่สามารถ ปรับตัว ให้เข้ากับความเป็นจริง ในยุคปัจจุบัน และการแจ้งเกิดของ มหาอำนาจ รายใหม่ๆ ได้เสียแล้ว

ปีที่ผ่านมา กลุ่มนี้ได้ประกาศ แผนตั้งธนาคาร ที่มีเป้าหมาย เพื่อเป็นทางเลือก แทนธนาคารโลก รวมทั้ง ตั้งกองทุน ที่เป็นคู่แข่ง ของกองทุนการเงิน ระหว่างประเทศ (IMF)

มุ่งปล่อยกู้ให้แก่ โครงการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน ในประเทศกำลังพัฒนา จะมีเงินทุนเริ่มต้น 16 ล้านล้านบาท ที่สมาชิก แต่ละชาติ สมทบเท่าๆ กัน กองทุนสำรอง มีทุนเริ่มต้น 3.2 ล้านล้านบาท จีนจะเป็นผู้สมทบ รายใหญ่สุด 1.32 ล้านล้านบาท ตามด้วยบราซิล อินเดีย และรัสเซีย ประเทศละ 5.76 ล้านล้านบาท และแอฟริกาใต้ อีก 1.6 ล้านล้านบาท และในอนาคต อาจมีประเทศอื่น ร่วมลงขันเพิ่มเติม

การประชุมสุดยอด กันครั้งนี้ หนึ่งในประเด็นสำคัญ ที่จะหารือคือ การจัดตั้งธนาคาร เพื่อการพัฒนา และกองทุนสำรอง ขึ้นมา เพื่อคานอำนาจ สถาบันการเงิน ที่ถูกตะวันตกครอบงำ อย่างธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟ ที่น่าอึ้งคือ เป็นครั้งแรก ที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ได้พบปะ แบบตัวต่อตัว กับนายกรัฐมนตรี คนใหม่ของอินเดีย นเรนทรา โมดี เพราะสองประเทศนี้ มีข้อขัดแย้งพรมแดน กันมานานแล้ว

ตอนนี้ มีประชาชน มากกว่า 3,500 ล้านคน จากอินเดีย 1,200 ล้านคน จีน 1,400 ล้านคน รวมถึงเพื่อนบ้าน อาเซียนอีก 600 -700 ล้านคน ที่เข้าใจ ประเทศไทย อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ที่ผ่านมา คสช.ได้ทำความเข้าใจ กับต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม ประเทศอาเซียน ซึ่งมีความเข้าใจ ประเทศไทย เป็นอย่างดี ที่ต้องปลดล็อก ปัญหาสะสม มานานกว่า 10 ปี

ที่ผ่านมา ประเทศไทย เหมือนเป็นเจ้าชายนิทรา ที่รอวันตายเท่านั้น ทหารพยายาม ประคับประคอง ประชาธิปไตย แต่ทุกอย่าง ก็เดินไม่ได้ ถ้าวันนี้ กองทัพ ไม่ทำอะไรสักอย่าง ประชาธิปไตย ก็จะต้องล้มอยู่ดี เพราะมีสัญญาณ การใช้อาวุธ ทำร้ายกัน ของกลุ่มหัวรุนแรงแดง ที่รับไม่ได้กับ ประชาธิไตย แบบความคิดเห็นต่าง การรัฐประหาร กองทัพ จึงเป็นการยับยั้ง ไม่ให้เสียเลือดเนื้อ จากสงครามกลางเมือง

ตอนนี้อเมริกา เปิดตัวแรง โดยจะไม่ร่วมฝึก "คอบร้าโกลด์" กับไทย ซึ่งไทยไม่ได้ว่าอะไร และจะไปฝึกกับ ประเทศเพื่อนบ้าน แถบอาเซียน รวมทั้งจีน พม่า และอินเดีย ที่ตอบตกลง จะเข้าร่วมฝึกด้วย แต่ปรากฏว่า ล่าสุด มะกันความรู้สึกช้า กลับกลอก ได้ทำหนังสือ ขอที่จะร่วมฝึก กับไทยอีก แต่ขณะนี้ ไทยก็ยังไม่ยอม ตอบรับ โดยไทยให้มะกัน ทำหนังสือชี้แจง รายละเอียดมา เป็นลายลักษณ์อักษร ให้ดูก่อน แล้วจะพิจารณา เมื่อสบอารมณ์ !!

จากผลสำรวจ "โกลบอล ไฟร์ พาวเวอร์" ที่สำรวจจาก ปัจจัยด้านการทหาร มากกว่า 50 ปัจจัย เช่น กำลังพล จำนวนเรือรบ เครื่องบิน หัวรบนิวเคลียร์ ฯลฯ เป็นดัชนีชี้วัด กำลังพล และแสนยานุภาพ ทางการทหาร ทั่วโลก พบว่า ประเทศ ที่มีกำลังทหาร มากที่สุดคือ มะกัน รัสเซีย และจีน ส่วนประเทศไทย อยู่อันดับที่ 24 ของโลก และ มีความแข็งแกร่ง เป็นลำดับที่ 3 ของภูมิภาคอาเซียน

ไทยเคยเข้าร่วม แบบถูกบังคับ และโดนผล สงครามโลก ครั้งที่ 2 ที่มะกัน ทิ้งห่าระเบิด ใส่สะพาน และ สถานีรถไฟใน กทม. เต็มๆ มาแล้ว หากมีสงครามโลก ครั้งที่ 3 การต่อสู้กัน จะไม่มีทาง ที่จะหลีกเลี่ยง การใช้อาวุธ นิวเคลียร์ได้เลย เท่าที่ประกาศ “อย่างเป็นทางการ” ในการลงนาม สนธิสัญญา ห้ามแพร่กระจาย อาวุธนิวเคลียร์ 8 ประเทศ ที่มีอยู่ในครอบครอง มีดังนี้

1. รัสเซีย มีหัวรบนิวเคลียร์ 11,500 หัวรบ และอยู่ในคลัง นิวเคลียร์สำรอง 17,000 หัวรบ
2. อเมริกา มีหัวรบนิวเคลียร์ 9,200 หัวรบ และอยู่ในคลัง นิวเคลียร์สำรอง 5,700 หัวรบ
3. ยูเครน มีหัวรบนิวเคลียร์ ที่พร้อมปฏิบัติการได้ จำนวน 1,104 หัวรบ
4. คาซัคสถาน มีหัวรบนิวเคลียร์ ที่พร้อมปฏิบัติการได้ จำนวน 600 หัวรบ
5. ฝรั่งเศส มีหัวรบนิวเคลียร์ท ี่พร้อมปฏิบัติการได้ จำนวน 530 หัวรบ
6. จีน มีหัวรบนิวเคลียร์ ที่พร้อมปฏิบัติการได้ จำนวน 735 หัวรบ
4. อังกฤษ มีหัวรบนิวเคลียร์ ที่พร้อมปฏิบัติการได้ จำนวน 200 หัวรบ
5. เบรารุส มีหัวรบนิวเคลียร์ ที่พร้อมปฏิบัติการได้ จำนวน 34 หัวรบ
6. อิสราเอล มีหัวรบนิวเคลียร์ ที่พร้อมปฏิบัติการได้ จำนวน 1,104 หัวรบ
7. อินเดีย มีหัวรบนิวเคลียร์ ที่พร้อมปฏิบัติการได้ จำนวน 50 หัวรบ
8. ปากีสถาน มีหัวรบนิวเคลียร์ ที่พร้อมปฏิบัติการได้ จำนวน 35 หัวรบ

ความจริงยังมีอีก หลายสิบประเทศ ที่สะสม อาวุธนิวเคลียร์ แต่ไม่ได้ประกาศเปิดเผย อย่างเป็นทางการ เท่านั้น นาทีต่อจากนี้ โลกกำลังหมุนทิศกลับ ใน 8 ประเทศ ที่มีอาวุธนิวเคลียร์นี้ ฝ่ายตะวันตก จะมีจำนวน หัวรบรวม น้อยกว่า ฝ่ายตะวันออก และจะโดนปิดล้อม ทางภูมิศาสตร์

แต่หากชาติมหาอำนาจ สู้กันแบบเต็มพิกัด จนเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 3 ขึ้นมาจริงๆ ฝุ่นทึบ คงจะฟุ้ง หุ้มชั้นบรรยากาศโลก บดบังแสงอาทิตย์ อยู่หลายเดือน และมนุษย์คงใช้เวลา เกือบทั้งหมด ดำรงชีพ อยู่ใต้ดินลึก แต่รับประกันได้ว่า โลกที่มีประชากร 7,000 ล้านคน จะเหลือคนเพียง ไม่มากเท่าไร เท่านั้น เราคงต้องเริ่ม วิวัฒนาการ มนุษย์กันใหม่

Facebook คงใช้ไม่ได้ เพราะเซิพเวอร์ แหล่งเก็บข้อมูล ระบบคลาร์ว ที่อเมริกา คงพังหมด , เจ้าของ มาร์ค ซัคเคอร์เบร์ก ที่มีเชื้อสายยิว คงไม่รอด , จะสร้างหนังสงคราม สตีเวน สปินเบร์ค เชื้อสายยิว ก็ไม่รอด , จะกู้ IMF เจ้าพ่อการเงิน จอร์ท โซรอท และ จะเล่นฟุตบอล เดวิต แบคแฮม ที่มีเชื้อสายยิว ก็คงไม่รอด , ธุรกิจการเงิน อุตสาหกรรมต่างๆ ในอเมริกา และยุโรป ร้อยละ 80% ที่เป็นของกลุ่ม ไซออนิสต์ (ยิวชาตินิยม ทรงอิทธิพล) คงพินาศเรียบ..

ระเบิดนิวเคลียร์ ที่เริ่มคิดขึ้นโดย อัลเบริต ไอน์สไตน์ ที่เป็นคนยิว คงทำลายทุกสิ่งหมด..แต่โชคดีที่ ซิกมันด์ฟรอยด์ ,นอสตราดามุส ,คาร์ล มากซ์ ที่เป็นยิว ตายไปเสียก่อน..สูงสุด คืนสู่สามัญ หันมาใช้ตะแล็ปแก็ปโทรเลขแทนกันไปพลางๆ เดี๋ยวก็ชิน..เออ.ว่าแต่จะอ่านเพจ แฉ ความลับ กันจากไหนล่ะนี่ คงต้องนุ่งห่มหนังสัตว์ แล้วเอาหินไปขีดเขียนสี ให้สมาชิกได้ปีนขึ้นไปอ่านทุกวันที่บนหน้าผา..โห่ ฮี๊ โฮ !!

ดินแดนประเทศไทย จะเสี่ยงต่ำกว่า ประเทศที่มี หัวรบนิวเคลียร์เหล่านี้ เขาคงหันพิกัด ใส่กันเอง คงไม่สนใจ ยิงนิวเคลียร์มาใส่เรา เพราะเรามีแค่ บั้งไฟพญานาค คนส่วนมากของเรา จะดำรงค์เผ่าพันธุ์ อยู่ต่อไปได้ จากชัยภูมิ ชั้นเลิศ อาหารอุดมสมบูรณ์ ที่บรรพบุรุษ สร้างมา..

อย่าลืมไปเตรียมหา ไดโนเสาร์ พันธ์ไทแรนโนซอรัส มาเลี้ยงไว้ เป็นเพื่อนแก้เหงาสักตัว พันธุ์นี้มันดุดี ถ้าหาไม่ได้ ก็ใช้กิ้งก่าแทน.. และเตรียม เปิดธุรกิจใหม่ ฟักไข่ไดโนเสาร์ขาย.. รักและสามัคคีกันไว้นะ !!

@ เสธ น้ำเงิน1
https://www.facebook.com/topsecretthai