อนุสสติ ๑๐ (ตอนที่ ๑)
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๑

 

เจริญธรรม ญาติโยมทั้งหลาย

ในวาระนี้ อาตมาก็ได้มาพบกับ ญาติโยมที่นี่อีก อาตมาเพิ่งเคยมา ในวันธรรมดาเป็นครั้งแรก คงจะมีหลายคน ที่มาที่นี่ ในวันธรรมดา อาตมาเคยมาเทศน์ที่นี่ แต่เฉพาะวันอาทิตย์ทุกที แม้วันพระ ก็ไปเจอเอา วันอาทิตย์ตามที่เคย สำหรับวันนี้ เป็นวันธรรมดา อาจจะมีผู้ใหม่ ผู้ที่ไม่เคยฟังธรรม ของอาตมาก็ได้ ก็ตั้งใจฟังดู อาตมาออกจะเป็น พระที่แปลก แปลกหลายอย่าง ก็อย่าเพิ่งไปคิดว่า สิ่งแปลกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นธรรม ถ้าว่ากันจริงแล้ว อานิสงส์ในการฟังธรรมนั้น ผู้ใดได้รับสิ่งแปลก ผู้ใดได้รับสิ่งใหม่ เป็นอุฏฐานะ สิ่งนั้นแหละ เป็นอานิสงส์ ถ้าเราฟังแล้วฟังเล่า มีแต่สิ่งซ้ำซาก มีแต่สิ่งเฉยๆ ฟังแล้วก็อยู่เท่าเก่า ไม่มีอะไรเรืองปัญญา ไม่มีอะไรเกิด ให้เราได้ข้อคิด หรือไม่ได้ซาบซึ้ง ได้เพิ่มความรู้ขึ้นเลย อย่างนั้น ฟังธรรมก็ไร้อานิสงส์ ไร้ปัญญา ไร้ความรู้ ไม่เกิดอานิสงส์ ในการฟังธรรมเลย

ถ้าเผื่อว่าฟังแล้ว มันเกิดแปลกเกิดใหม่ เกิดว่า เอ๊อ! สิ่งนี้ไม่เคยได้ยิน ก็ได้ยินหนอ อย่างนี้ เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑

เมื่อได้ฟังสิ่งแปลกสิ่งใหม่นั้น และมันทำให้เราเอง เข้าใจได้มากขึ้น ฟังแล้วลึกซึ้งขึ้น เข้าใจดีขึ้น อย่างนี้เรียกว่า อานิสงส์ประการที่ ๒

ประการที่ ๓ ฟังเข้าไปแล้ว พ้นความสงสัยได้ ฟังแล้ว สิ่งที่เคยสงสัยอยู่ เคยข้องใจอยู่ หมดความข้องใจ หมดความสงสัย หมดความเคลือบแคลงได้

ประการที่ ๔ ความเห็นที่เคยเห็นอย่างหนึ่ง แต่ก่อนที่จะฟังธรรมนั้น มีความเห็น ปักไปทางหนึ่ง หรือว่า เห็นอย่างที่เราเคยเห็น พอฟังนี้ เอ๊ะ! เห็นแปลก เห็นใหม่ และก็เห็นจริง เห็นดี เห็นชัด เห็นได้อย่าง แจ่มแจ้งชัดขึ้น เป็นความเห็นที่ถูกต้อง แน่ใจยิ่งขึ้น กลับความเห็น เรียกว่า กลับมิจฉาทิฐิ เป็นสัมมาทิฐิได้ นี่เป็นอานิสงส์ ในการฟังธรรม ประการที่ ๔

เมื่อเราเอง ฟังแล้วดูแปลกดูใหม่ เข้าใจดี คลายสงสัยได้ ความเห็นเกิดเป็น สัมมาทิฐิแจ้งชัด เราก็เกิด ร่าเริง เบิกบาน แจ่มใส ปลื้มปีติ นี่เป็นอานิสงส์ ในการฟังธรรม ประการที่ ๕

เพราะฉะนั้น ในการฟังธรรม ถ้าเกิดฟังธรรมทีใด เกิดอานิสงส์ ๕ ประการนี้อยู่ นั่นแหละ พึงรู้ตัวเถิดว่า เราฟังธรรม มีประโยชน์ ฟังธรรมได้ความ ถ้าเผื่อว่า ฟังธรรมทีใด มีแต่นั่งแล้วก็เฉยไป ดีไม่ดี นั่งหลับไปเสียเลย หรือไม่หลับก็ฟังเฉย ฟังแล้วจบ แล้วก็เหมือนกับ เราไม่ได้ฟัง เวลานั้น ๓๐ นาที ชั่วโมงหนึ่ง ผ่านไป พระก็เทศน์ไป เราก็ฟังไป ผ่านจ้อยๆไปเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ เรียกว่าฟังธรรม ไม่มีอานิสงส์ เราจะต้องพยายามฟังธรรม ให้เกิดอานิสงส์ให้ได้

วันนี้อาตมาตั้งใจว่า จะแสดงธรรม ยกเอา อนุสสติ ๑๐ ขึ้นมาเทศน์ สู่กันฟังบ้าง อนุสสติ ๑๐ อาตมาจะกล่าว เป็นหัวข้อชื่อ ฟังหัวข้อชื่อไว้ เป็นหมวดๆ จะจำได้ ใครเคยเล่าเรียนมา ก็คงระลึกออก ถ้าใคร ไม่เคยเล่าเรียนมา ก็เป็นเรื่องรู้กันดีอยู่หรอก ได้เคยได้ยิน ได้ฟัง อนุสสติ ๑๐ ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ของที่จำไม่ค่อยได้ ไม่ใช่ของที่ไม่เคยผ่านหู

ข้อที่ ๑ ท่านเรียกว่า พุทธานุสสติ จำเป็นหมู่ๆนะ อาตมาจะเอาเป็นหมู่ หมู่แรก พุทธานุสสติ
๒.ธรรมานุสสติ
๓.สังฆานุสสติ
พุทธะ ธรรมะ สังฆะ นี้หมู่หนึ่ง

หมู่ที่ ๒ สีลานุสสติ สีลาก็คือศีล หมู่ที่ ๒ นะ สีลานุสสติ และก็จาคานุสสติ เทวตาหรือเทวดา เทวตานุสสติ ๓

หมู่ที่ ๒, ๓ ข้อเหมือนกัน รวมเป็น ๖ แล้ว นี้เป็นอนุสสติ ๒ หมู่ จำให้ได้ ศีล จาคะ เทวดา หมู่ที่ ๒ ศีล จาคะ เทวดา

หมู่ที่ ๓ เป็นอนุสสติเชิงหลัก ไม่ใช่อนุสสติหรอก มีตัวสติตัวเดียว จำไว้ ๓ ตัวนี้มีสติ ไม่ใช่อนุ

๑.มรณัสสติ
๒.กายคตาสติ
๓.อานาปาณสติ
จำง่าย นี้หมู่ที่ ๓ สติ สติ ๓ สติ

๑.มรณะ ความตาย กายคตา ความเป็น ฟังง่ายๆ จำง่ายๆ มรณะ ความตาย กายคตา ความเป็น อานาปาณะ ความลึกซึ้งของชีวิต มีสติ จะต้องพยายามปฏิบัติ ถึงที่สุดแห่งชีวิต เดี๋ยวจะอธิบาย จะขยายความนะ นี่จำง่ายๆเป็นหมู่ที่ ๓ มรณะ กายคตา และ อานาปาณะ มรณัสสติ กายคตาสติ อานาปาณสติ นี่ ๓ หมู่

ส่วนอันสุดท้าย เป็นอันสรุป อุปสมานุสสติ หมายความว่า สงบ รำงับ หรือที่ เป็นนิพพาน อุปสมานุสสติ เป็นอันสุดท้าย อันที่ ๑๐

เราแบ่งเป็น ๓ หมู่ หมู่ ๑ หมู่ ๒ หมู่ ๓ และก็มีธรรม มีอันสุดท้าย อุปมานุสสติ อีกอันหนึ่ง นี่เป็น อนุสสติ ๑๐ ที่เราเคยเล่าเรียนกันมา เป็นคำสั่งคำสอน

อาตมาจะขยายความให้ฟัง เอาตั้งแต่อันแรกๆ
พุทธานุสสติ อนุสสติ เอาคำนี้ก่อน หมายความว่า เราพยายาม ทำให้เกิดรู้ รู้ตาม หรือว่าตามรู้ รู้ตาม หรือ ตามรู้ขึ้นมาให้ได้

พุทธานุสสติ ก็หมายความว่า รู้พุทธให้ได้ พยายามมีความระลึกรู้พุทธ คำว่า พุทธคำนี้ มีความหมาย ลึกซึ้ง จะเป็นความหมาย เป็นสมมุติ ที่ใช้แทนคุณธรรม เป็นความหมาย ยอดของศาสนาเรา เราจะต้อง เข้าใจให้ได้ว่า เราระลึกถึงพุทธ ถ้าเราระลึกถึงพุทธได้ แค่วัตถุ ได้แค่รูปปั้น รูปเขียน หรือได้แค่ ตัวตน บุคคลเราเขา ถ้าบอกว่าพุทธ ก็นึกถึง เจ้าชายสิทธัตถะ หรือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ดับขันธ์ ปรินิพพานไปแล้ว เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี เราก็ระลึกถึงตัวถูกอยู่ แต่ว่าเราจะไปเอาอะไร จากนั้นไม่ได้ เราจะเอาตัวพระพุทธเจ้า มาไว้ที่เรา ก็เอาไม่ได้ ยิ่งเราจะไปยึดถือรูปปั้น ที่เป็นพระพุทธรูป ไม่ว่าจะปั้น ด้วยโลหะ ดิน ไม้ อะไรก็ตาม เอามา มันก็ไม่ได้อะไร ไม่มีอะไร รูปเขียนมันก็มีแต่ รูปเขียน เราจะต้องแทงลงไป ให้ลึกซ้อนลงไป ยิ่งกว่าระลึกถึงรูป หรือวัตถุ หรือตัวตน บุคคล หรือหยั่งลงไปว่า "พุทธ" ท่านหมายเอาอะไร และเราจะเอาได้ก็คือ เอาสิ่งที่เป็น นามธรรม หรือเป็นคุณธรรม เป็นนามธรรม หรือเป็นคุณธรรมมาก่อน จนมาปั้นเป็นรูปธรรมที่ตัวเรา มาทำที่ตัวเราให้ได้ เรารู้ความหมาย รู้ความรู้ รู้ว่าพุทธหมายเอาอะไร

พุทธะนี่ถ้าแปล ตัวพุทธะก็หมายความว่า ความเบิกบาน แจ่มใส ความรู้ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น นี่เรียกว่า พุทธะ เพราะฉะนั้น ถ้าใครก็ตาม คนทุกคน ถ้าเป็นผู้ที่เบิกบานแจ่มใส ไม่เศร้าไม่หมอง ไม่ทุกข์ ไม่โศก พ้นโศก พ้นปริเทวนาการ พ้นทุกข์ พ้นโทมนัส พ้นอุปายาส บุคคลผู้นั้นเรียกว่า เป็นพุทธ ดูได้แม้แต่ ภายนอกว่า เห็นหน้าก็รู้ว่า โอ้! นี่เบิกบาน แจ่มใส ผู้นี้มีรังสีของพุทธ มีคุณธรรมของพุทธ ถ้าเห็นแล้วว่า หน้าหงิกหน้างอ หน้าเขียว เขี้ยวงอก อย่างนี้ไม่ใช่พุทธ อย่างนี้เป็นยักษ์เป็นมาร ไม่ใช่พุทธ นี่ดูแต่แค่ รูปนอก เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่จะระลึกตามพุทธ ก็ต้องระลึกถึง คุณธรรมอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้ ถ้าเมื่อระลึกถึง ลักษณะอย่างนี้ แล้วก็น้อมเข้ามาหาตัว ตัวเราเองในขณะนี้ เราเป็นอยู่ เราเป็นพุทธหรือเปล่า ถ้าเราหน้าเขียวหน้าแดง หน้านิ่วคิ้วขมวด หม่นหมอง เขี้ยวงอกออกอย่างนี้ แล้วก็ นั่นไม่ใช่พุทธแล้ว นั่นไม่ใช่ แม้แต่รูปธรรมของพุทธ ก็ไม่ใช่ เราต้องเข้าใจนามธรรม ถ้าความเป็นอย่างนี้เป็นพุทธ เราต้องระลึกรู้ว่า เราต้องเป็นอย่าง พระพุทธ พระพุทธพาให้เราเป็น ผู้เบิกบานแจ่มใส เราต้องรู้ และเราก็ต้องตื่น อย่าไปงมงาย อย่าไปสงสัย ฟังดีๆนะ นี่สงสัยไหม ที่อาตมาว่านี่ มันจริ๊งจริงนะ ถ้าเห็นหน้ากันแล้ว เขี้ยวงอกเลย หน้าเขียวหน้าแดง มันไม่น่าเบิกบาน โลกไม่สันติ แต่ถ้าเห็นแล้ว ก็เบิกบาน แจ่มใสอยู่ นี่เป็นเบื้องแรก นี่เป็นจุดแรกเลย

สูงไปกว่านั้นมีอีก ในความหมายว่าพุทธ ที่มีความหมายว่ารู้ คำว่ารู้คำนี้ ไม่ใช่ตื้นๆ ลึกซึ้งนัก รู้คำนี้ ยิ่งกว่าอะไร ต้องรู้ รู้ลึก รู้ซึ้ง รู้เป็นวิปัสสนา รู้อะไรมากมาย เป็นญาณทัสสนวิเศษ เป็นอะไรต่างๆนานา ต้องรู้ยิ่ง เราจะต้องรู้ว่า กิเลสคืออะไร จิตคืออะไร โน่นแน่ะ และก็ละกิเลส ให้ออกจากจิต อาการของกิเลส ละออกจากจิตเป็นอย่างไร รู้ พอได้แล้วก็เป็นพุทธ ทำให้เป็นอย่างที่เป็นนั้น อย่างที่เรารู้นั้นให้ได้ นี่เรียกว่าพุทธ

จะต้องเกิดปัญญา เรียกว่า ปัญญาธิคุณ เมื่อมีปัญญารู้ว่า จะต้องทำให้ได้อย่างนี้ จนกระทั่ง สะอาด บริสุทธิ์ จนกระทั่ง เป็นไปอย่างนี้ ให้เต็มที่ ถ้าเต็มที่ได้เมื่อไหร่ ก็เรียกว่า บริบูรณ์หรือบริสุทธิ์ เรียกว่า บริสุทธิคุณ นี่เป็นพุทธคุณ ๑ พุทธคุณ ๒ เมื่อได้แล้ว และเราก็จะต้อง เอาไปช่วยผู้อื่น ให้ผู้อื่น เขาได้เป็นพุทธ กับเราบ้าง มีปัญญาขนาดไหน เราก็ช่วยผู้อื่น ให้เขาได้รับพุทธคุณนี้อีก ให้เขารู้บ้าง ให้เขาทำความบริสุทธิ์ ผุดผ่องขึ้นมา เป็นพุทธบ้าง เรียกว่า กรุณาธิคุณ เป็นการช่วยเขา นี่เป็นพุทธคุณ ๓

ปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ นี้เป็นพุทธคุณ ๓ นะ เพราะฉะนั้น การจะรู้พุทธ ระลึกตามพุทธ จึงไม่ใช่ไประลึกถึง พุทธแต่แค่ พระพุทธรูป หรือพระเครื่อง อย่าไประลึกอยู่แค่นั้น ยังไม่ได้พระพุทธเลย จะมีพระพุทธรูปเต็มบ้าน ก็ยังไม่ใช่พุทธ จะมีพระเครื่องเต็มตู้ ก็ยังไม่ใช่พุทธ จะต้องรู้ความหมายว่า พุทธนั้น จะต้องเป็นที่ตัวคน จะต้องทำที่ตัวคน จะต้องอภิเษกขึ้นที่ตัวเรา ให้เราเป็นพุทธ เรียกว่า พุทธาภิเษก

การพุทธาภิเษก อย่าไปพุทธาภิเษกแก่อิฐ หิน ดิน ปูน โลหะ ทองคำ อะไรก็ตามแต่ ที่ทำอยู่ พุทธาภิเษก ไม่ได้ทำให้อิฐ หิน ดิน ปูน เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ไม่ได้เป็นผู้เบิกบาน ไม่ได้ ไม่ได้ เป็นอุตริ อย่าไปอวดอุตริเข้า ผู้ใดยังทำอยู่ ผู้นั้นอวดอุตริทุกคนนะ แต่ถ้าจะปั้นขึ้นมา เป็นตัวแทน เป็นรูปแทน เครื่องหมายแทน พระพุทธเจ้า ก็ปั้นได้ อาตมาเคยเทศน์ที่นี่เอง พระพุทธรูป พระเครื่ององค์ใด ที่หล่อขึ้น ว่าเป็นเครื่องหมาย แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ถ้าไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก แบบนั่งปรก แบบงึมๆงำๆ อะไรกันนั่นนะ ที่บอกว่า พุทธาภิเษกแบบที่เขานั่งปรก หลับตาอะไร พระทุกองค์นั่น เก๊ทุกองค์ ไม่ใช่พุทธ เพราะว่า เป็นไสยคุณหมดแล้ว

แต่ถ้าพระองค์ใดทำขึ้น เป็นรูปเครื่องหมาย แทนพระพุทธเจ้า ไม่ได้รับการปลุกเสก หรือพุทธาภิเษก แบบไสยศาสตร์ พระทุกองค์ เป็นพระแท้ ถ้าไปได้รับการปลุกเสก หรือพุทธาภิเษกแบบไสยศาสตร์ นั่งหลับหู หลับตา ทำสายสิญจน์ สายทอง สายคำอะไรนั่นนะ เก๊ทุกองค์ ฟังดีๆนะ มันกลับกันแล้ว นี่แปลกใหม่แล้วไหมนี่ ฟังธรรมแล้ว ชักแปลกหูแล้ว มันชักไม่เหมือน ที่เคยได้ฟังมาแล้ว สิ่งที่เคยฟังมา นั่นอย่างหนึ่ง อาตมาพูดนั่น อีกอย่างหนึ่ง อาตมาพูดนี่ ไม่ใช่บังคับ ให้คุณเชื่อ ฟังดีๆ เข้าใจแล้ว ก็พยายาม ทำความเข้าใจ ถ้ายังไม่เข้าใจ ทำความเข้าใจดีๆ ใครเข้าใจได้ก็เข้าใจ ใครเข้าใจไม่ได้ ก็แล้วแต่ อาจจะเห็น ไม่ตรงกับอาตมาเลยก็ได้

พระพุทธรูปองค์ใด ไม่ได้รับพุทธาภิเษก แบบไสยศาสตร์เลย พระพุทธรูปองค์นั้นน่ะ ปั้นขึ้นปุ๊บก็เสร็จปั๊บ ดีแล้ว ไม่เก๊ แต่เข้าพิธีเมื่อไหร่ เก๊ทันที ฟังดีๆ ยิ่งบอกว่า ปรกปลุกเสกกัน ๗ เที่ยว ๑๐ เที่ยว ยิ่งเก๊ ๗ เที่ยว เก๊ ๑๐ เที่ยวเลยนะ ฟังดีๆนะ เก๊ ๗ เที่ยว ๑๐ เที่ยวเลยนะ

เรามีเครื่องหมาย เหมือนเรามี รูปพ่อรูปแม่ที่บ้าน เป็นการระลึกถึง บุญคุณพ่อแม่ฉันใด เรามีเครื่องหมาย แทนพระพุทธเจ้า อย่างมีองค์ พระแก้วมรกต จะใช้วัตถุอย่างไรก็ได้ จะเอามรกต จะเอาทองคำ จะเอาดิน จะเอาทราย จะเอาปูน เอาหิน เอาอะไรก็ได้ เขียนเฉยๆ ไม่ต้องเอาอะไร เป็นกระดาษ แล้วก็เอาสีวาดเฉยๆก็ได้ เป็นรูปพระพุทธ เป็นองค์แทน สมมุติว่านี่แหละ เป็นองค์บรมศาสดา ที่มีพระคุณเหลือล้น มีคุณธรรมเหลือแสน และคุณธรรมนั้นอะไร เราก็ไปหยั่งเอา คุณธรรมอันนั้น เมื่อเรียนรู้ คุณธรรมแล้ว ก็มาประพฤติปฏิบัติ อย่าไปอุตริว่า โอ้โฮ! เนื้อดี สีสวย สนิมเขียว สนิมแดง อาตมาก็เคยบ้ามาแล้ว แต่ก่อนนี้ เดี๋ยวนี้สารภาพบาปว่า เคยมิจฉาทิฐิมา เคยหลงผิดมา เล่น สนิมเขียว สนิมแดง เนื้อทอง เนื้อเงิน เนื้ออะไร สะสมซื้อกัน เป็นเงินพันเงินหมื่น เงินแสน เคยซื้อ เคยเล่นมา จนเข้าใจจริงแล้ว แจกทิ้งเกลี้ยงเลย อิฐไม่เหลือ เดี๋ยวนี้ ไม่เหลือ แล้วไม่แนะนำ ให้ใครไปหลง ไม่แนะนำให้ใคร ไปหลงวุ่นวายมาก เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเรื่องเลอะเทอะ เป็นไสยศาสตร์ และก็ค้าก็ขายกัน อย่าไปซื้อ อย่าไปค้า อย่าไปขาย ขายพ่อขายแม่ ขายบรมศาสดา บรมบิดา พระพุทธบิดา อาย บาปตาย ไปขายอย่างนั้น ไม่ได้ อย่าไปทำ

แต่ถ้าเผื่อว่า ใครจะมีสักองค์หนึ่ง อยู่ที่บ้าน ก็พอแล้วละ ไว้ระลึกถึงองค์ท่าน จะเป็นยังไงก็ได้ เราไม่ได้ระลึกว่า ท่านจะต้องหล่อ ท่านจะต้องงาม ท่านจะต้องเป็นศิลปะ แบบนั้นแบบนี้ ไม่จำเป็น นั่นเป็นการสมมุติ สมมุติแบบสุโขทัย สมมุติเป็นแบบอู่ทอง สมมุติ เป็นแบบรัตนโกสินทร์ เป็นแบบโน้น แบบนี้ รูปโน่นรูปนี่ นั่นเป็นเรื่องของโลก เขาสมมุติกัน แบบศิลปะ มันไม่ใช่เรื่องของคุณธรรม เรามีรูปไหนก็ได้ ว่าเป็นองค์แทน ก็ใช้ได้แล้ว อย่าไปหลงเฟ้อ หยุด ได้ ๑ องค์ก็พอแล้วนะ ๑ องค์ ก็พอแล้ว ถ้าจะมี ถ้าแม้ว่า เราเข้าใจดีแล้ว ไม่มีสักองค์ ก็ไม่เป็นไร มุ่งเข้าหาคุณธรรม เรียนรู้ให้ได้ว่า พระพุทธเจ้า ตรัสรู้อะไร พระพุทธเจ้า มีคุณธรรมอะไร นี่เรียกว่า ระลึกตามแท้ ตามให้รู้ ถึงรูป ถึงนาม การจะรู้รูปรู้นามนี่ เราเพ่งเข้าไปหานามธรรมสำคัญ รูปธรรมเป็นของเปลือกนะ เพราะฉะนั้น ได้แค่รูปมาก็ไอ้เท่านั้น ถ้าเราได้นามธรรม ได้เป็นจิตเป็นวิญญาณ เราจะต้อง ทำจิต ทำวิญญาณ ของเราให้สำคัญ จิตวิญญาณพระพุทธเจ้า เป็นจิตวิญญาณ ที่บริสุทธิ์ด้วยกิเลส

เราจะต้องรู้ว่า บริสุทธิ์กิเลสทำยังไง เรียกว่า มรรค ทำให้กิเลส หลุดออกจากจิต เหมือนอย่าง พระพุทธเจ้าเป็น นั่นแหละ เรากำลังเป็นลูก พระพุทธเจ้า เรากำลังตาม ไม่ใช่ระลึกเฉยๆ ไม่ใช่อนุสสติ เฉยๆ เรียกว่า มีสติระลึกตาม แล้วทำตาม ตัดกิเลสออก ตามเข้าไป อย่างนี้ไม่ระลึกเปล่า ระลึกแล้วได้ผล ระลึกแล้วทำถูก ระลึกแล้วทำตาม เราได้น้อย ก็เป็นพระพุทธน้อยๆ เราได้มาก ก็เป็นพระพุทธ มากๆ ตั้งแต่อนุพุทธ จนกระทั่งถึง มหาพุทธเลย นั่นแหละ เรียกว่า มหานี่แปลว่าใหญ่ ก็จงทำให้ได้ อย่างนี้เรียกว่า เราระลึกถึงพุทธแท้ อย่าไประลึกถึงพุทธ ผิดทำนองคลองธรรม อย่าไประลึก แล้วก็เลอะๆ เทอะๆหลงๆ ต้องระลึกถึงพุทธให้ถูกพุทธ และก็พยายามเอาพุทธ มาไว้ที่ตัว ถ้าผู้ใด เอาพุทธมาไว้ที่เราได้ เรียกว่า เราพุทธาภิเษก

การพุทธาภิเษก อภิเษก แปลว่า ทำให้เกิด ทำให้เกิดพุทธ พุทธาภิเษก ก็หมายความว่า ทำให้เกิดเป็นพุทธ ใครไปอุตริทำให้อิฐ หิน ดิน ปูน รูปปั้น รูปเขียนเป็นพุทธ นั่นน่ะเลอะ ทำไม่ได้ แต่ทำให้เป็นพุทธได้ที่คน พระพุทธเจ้า พุทธาภิเษก พระอริยสาวกทั้งหลาย พอท่านตรัสรู้แล้ว ท่านก็สอน พระปัญจวัคคีย์ พุทธาภิเษกพระปัญจวัคคีย์ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นั่นแหละ ท่านทำให้เกิดพุทธคุณได้ พระปัญจวัคคีย์ เป็นพระอรหันต์ มีพุทธคุณขึ้นมาจริงๆ มีอริยสัจจริงๆ มีจิตหมดกิเลส ลงไปได้จริงๆ อย่างนี้เรียกว่า พุทธาภิเษกแท้ การพุทธาภิเษกนั้น ต้องพุทธาภิเษกใส่คน พระพุทธเจ้า เป็นองค์บรมครู อาตมาเอง เป็นสาวก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลียนแบบ เดินตามรอย พระยุคลบาท อาตมากำลังทำการแสดงธรรม กำลังพุทธาภิเษก ให้พวกคุณ อย่างนี้เรียกว่า พุทธาภิเษก ถ้าเผื่อว่าคำสอน หรือคำกล่าว ของอาตมานี่เกิดผล เราเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ถ้ามาทำให้คุณ ที่นั่งอยู่ที่นี่ ฟังธรรม บรรลุได้เลยเดี๋ยวนี้ ก็เป็นอิทธิปาฏิหาริย์

อิทธิ แปลว่า เก่ง เก่งทันทีเลย ถ้ามันยังไม่ถึงขั้นออกมาเก่ง เห็นชัดเดี๋ยวนี้ ว่ากลายเป็น ผู้เบิกบานแจ่มใส กลายเป็น ผู้ละกิเลสได้ทันที ยังเป็นอยู่แต่ข้างใน เราเรียกว่า อาเทสนาปาฏิหาริย์ เรียกว่าเป็น ปาฏิหาริย์ ที่อยู่ในๆ ยังเป็นเรื่องของจิต ยังไม่ออกมาถึงนอกกาย แต่ถ้าเก่งออกมา ทั้งกายนอกด้วย อยู่ข้างในจิต ก็ได้ด้วย อย่างนี้เรียกว่าเป็น อิทธิเลย เกิดจากอนุสาสนี เกิดจากคำสอน อนุสาสนี แปลว่าคำสอน เป็นปาฏิหาริย์ เป็นได้ ยิ่งรู้ตามเห็นตาม ปฏิบัติตามได้ ละ ลด หน่าย คลาย เป็นนิพพานได้ มีมรรค มีผลแท้ นั่นแหละเรียกว่า ปาฏิหาริย์แท้

พระพุทธเจ้าหมายอย่างนี้ แล้วก็กระทำศาสนา ด้วยการสืบทอดต่อ พุทธธรรม อย่างนี้ นี่ระลึกถึงพุทธ เรียกว่าข้อที่ ๑

ข้อที่ ๒ ธรรมานุสสติ พระธรรม ระลึกตามพระธรรม หรือตามรู้พระธรรม พระธรรมนี่ เราหมาย อย่างต้นที่สุด เราหมายเอาคำสอน กับกิริยาสอน กิริยานี่ก็เป็นตัวสอนนะ เราสัมผัสทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วแต่ แต่มันก็จะชัดตรงที่ทางตา ทางหูเนี่ย ทางหูก็ฟังเป็นคำสอน ฟังคำสอนเรียกว่าพระธรรม สัมผัสทางตา เห็นอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน มีอิริยาบถที่เป็น ผู้เบิกบาน เราดูเห็นว่า เออ! ผู้นี้เบิกบาน ผู้นี้เป็นผู้รู้ ผู้นี้เป็นผู้ไม่โกรธ ไม่โลภแฮะ เราเห็นได้ รับทราบได้ อิริยาบถเหล่านั้น เป็นการสอนได้ คำสอนโดยตรงนี่ ขยายความได้ละเอียดลออ ก็แน่ละ ใช้ภาษา ใช้เสียง เป็นคำสอน อย่างนี้ เรียกว่า เป็นคำสอนเบื้องต้น เป็นสิ่งที่สอนเบื้องต้น โดยตรง แล้วพระธรรม สูงไปอีก ความหมายของพระธรรม ระลึกตาม หยั่งเข้าไปลึกกว่านั้นอีก เมื่อเราได้รับฟังแล้ว เกิดปัญญา รู้ว่า อ๋อ! ท่านหมายอย่างนี้ ออ! ลักษณะอย่างนี้ เป็นของดี คำพูดความหมายอย่างนี้ เป็นของดี เราฟังรู้ เกิดความเข้าใจ เรียกว่ารู้ฟัง รู้แค่ฟัง รู้แค่ได้ยิน รู้แค่เห็น รู้แค่สัมผัสด้วยตา เรียกว่า สุตมยปัญญา เป็นปัญญาแค่ฟัง แค่รู้ แค่เห็น เมื่อฟังแค่รู้แค่เห็นเท่านั้น ยังไม่ถึงที่ ยังไม่เกิดการทรงธรรม ยังไม่เกิด การตั้งขึ้น ทำ ภพ มันเพิ่งเกิดจุดเดียว สุตมยปัญญา เอามาคิดไตร่ตรอง อีกทีหนึ่ง อย่าเพิ่งเชื่อง่าย พิจารณาคิดทบทวน หาเหตุหาผล จริงๆนะ ไม่ใช่ว่า ฟังไปแล้ว ก็ไม่คิดเลย ก็ได้แค่นั้น แต่ถ้าเผื่อว่า ฟังไปแล้ว ไปคิดจริงๆ ทบทวนจริงๆ เอ๊ะ! ฟังแล้วจำได้ หรือจำไม่ได้ ก็พยายามทบทวน และก็พยายาม ใช้ปัญญาของเรานี่แหละ เข้ามาวิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัยด้วย ออ! จริงแฮะ มีความหมายอย่างนี้ ความรู้อย่างนี้ โอ้! ลึกซึ้ง เห็นจริง แหม! ชัดเด่นเหลือเกิน มันเกิดปัญญาลึกซึ้ง เข้าไปอีก เรียกว่า จินตามยปัญญา ปัญญาลึก เข้าไปอีกชั้นหนึ่ง จินตามยปัญญา เมื่อเข้าใจแน่ มั่นคง และทีนี้ ไม่หลงใหลแล้ว สอบทานสอบทวนดีแล้วทีนี้ เอาไปประพฤติเลย ลงมือกระทำ ให้เกิดตามนั้น ตามที่เราได้รู้ ได้ทบทวนคิดแล้วนี่แหละ เอาไปกระทำจริง ผู้ใดไปประพฤติ จนเกิดผลจริง เรียกว่า ภาวนามยปัญญา เห็นแจ้งในสิ่งที่ทำ จนเกิดผล ภาวนา แปลว่าเกิดผลนะ อย่าเพิ่งไปแปลว่า เริ่มทำ ถ้าเริ่มทำ มันก็เกิดผลแต่เพียงเริ่มทำ จนบรรลุถึงที่สุดว่า เป็นได้เกิดได้ จริงแล้ว มั่นคงแล้ว เที่ยงแท้แล้ว แน่นอนแล้ว อย่างนี้เรียกว่า ภาวนาถึงที่สุด เป็นการบรรลุเกิดผล เรียกว่าผล เป็นอริยผล เป็นอรหัตผล เป็นผลสุดท้าย เป็นผลที่ดีที่สุด ให้ได้ ถึงขั้นนี้ เรียกว่า ภาวนามยปัญญา เกิดปัญญาแทงทะลุ เป็นอธิปัญญา เป็นปัญญา ไม่ใช่ปัญญาทางโลกนะ เป็นปัญญาทางธรรม เกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นที่เรา เอาไปปฏิบัติ ประพฤติเกิดขึ้นที่เรา ไม่ใช่ไปทำอยู่ที่อื่น ทำให้เกิดที่เรา นี่แหละ ทรงธรรม เรียกว่าทรงขึ้น เกิดขึ้น ธรรมะแปลว่า การทรงไว้ การทรงขึ้น ตอนแรกก็ทรง แค่รู้แค่ฟังแค่เห็น แล้วก็ไปคิดทบทวน ให้ลึกซึ้ง ให้แน่ใจ พอแน่ใจแล้ว ทำให้เกิด ให้เป็นให้มี เกิดจนกระทั่งบริบูรณ์ บริสุทธิ์ เป็น บริสุทธิคุณ ก็เป็นอันเดียวกับพุทธะอีกแหละ ทรงขึ้นแล้วหนอ เหมือนพระพุทธเจ้าเป็น โดย เฉพาะจุดวิมุติ โอ้! อันนี้บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว กิเลสอันนี้ เคยเป็นเคยมี หลุดออกไป จนหมดแล้ว มันหมดแล้ว พระพุทธเจ้า หมดกิเลสอย่างไร เราปฏิบัติจะหมดกิเลส เหมือนอย่าง พระพุทธเจ้าปฏิบัติได้ เหมือนกัน การหมด เป็นอันเดียวกัน เรียกว่าสูญ สูญเหมือนกันหมดทุกคน พระพุทธเจ้าสูญ ก็เหมือนกับ พระอริยะทุกองค์ เราเองปฏิบัติได้ ก็สูญเหมือนกัน คือ ไม่มีกิเลสแล้ว กิเลสมันแค่ อย่างสมมุติว่า มันอยากฆ่าสัตว์ จิตใจเรา ไม่อยากฆ่าจริงๆ จะสัมผัสสัตว์ที่ไหนๆ เมื่อไหร่ ก็ไม่คิดอยากฆ่าเลย วางเฉยอยู่ เอ็นดู เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลอยู่ ถ้าสงเคราะห์กันได้ อนุเคราะห์กันได้ มีเมตตาเกื้อกูลเสมอ จิตอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเป็น เราเป็นเหมือนกัน แม้แต่สัตว์นั้น จะทำร้ายแก่เรา จะดุร้ายเอากะเรา เราก็เฉย ไม่มีการโกรธ ไม่มีการเกิดการโหดร้าย ทารุณอะไร ขึ้นมาเลย เป็นผู้ที่เกิดศีล บริบูรณ์ เรียกว่าปกติ ดี อย่างนี้เรียกว่าวิมุติ อย่างนี้เรียกว่าหลุดพ้น อย่างนี้เรียกว่าถึงจิตสูญ จิตกลาง จิตไม่ขึ้นไม่ลง จิตไม่ไปไม่มา จิตว่างได้ จิตวางเปล่าได้ ฟังดีๆนะ นี่อาตมา พยายามอธิบาย พุทธก็ดี ธรรมะก็ดี จะต้องไปนิพพาน จะต้องไปหาจุดสูง เมื่อจิตเราวาง เราว่าง เราเฉยอย่างนั้นแหละ เรียกว่า ทรงไว้ ซึ่งความวาง ทรงไว้ซึ่งความสูญ

พระพุทธเจ้าก็เหมือนกับเรา แต่ท่านมีมาก นอกจากท่านมีความว่าง อย่างหนึ่งแล้ว ท่านยังมี ปัญญาธิคุณ มีพระสัพพัญญุตญาณ อีกเยอะ ยังมีความสามารถ ความเก่งอีกมาก จึงเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าจุดอันหนึ่ง อันนั้นนะ อันเดียวกัน เราต้องเริ่มไต่ที่จุดวิมุติ หรือสูญอันนี้ เหมือนกัน ตั้งแต่ศีลข้อต้นๆ ก็สูญ ข้อ ๑ ก็สูญ ข้อ ๒ ก็สูญ ข้อ ๓ ก็สูญ ศีลข้อ ๔ ก็สูญ ศีลข้อ ๕ ก็สูญ เป็นสุญตาด้วยกันหมด ทุกๆศีล มันจะต้องขยายความกันอย่างนั้น เรียกว่าพระธรรม

ศีลนี่แหละ จะทำให้ขัดเกลา จนกระทั่งจิตของเรา บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ ระลึกศีลไปเสมอ ว่าเราถือศีล อย่างนี้แล้ว เราก็จะต้องพยายามเลย อย่างศีลข้อที่ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์ เราอยู่กับสัตว์ มนุษย์นี่ก็เป็นสัตว์ เราจะไม่โกรธ เราจะไม่โทสะ แม้แต่มนุษย์ ก็จะเกื้อกูลกัน เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ไม่โทสะ ไม่โกรธ ไม่เครียด มีแต่จะเบิกบานแจ่มใส เข้าหากัน เป็นผู้เบิกบาน แจ่มใส อย่างนี้ศีล อย่างนี้ศีลบริบูรณ์ อย่างนี้เป็นจริง จิตใจก็ไม่มี จิตใจมันไม่เกิดอารมณ์ กระทบสัมผัสแรงยังไง เราก็ไม่หวั่นไหว ตลอดเวลา นั้นเรียกว่า วิมุติ เรียกว่า ศีลปกติ เรียกว่า ศีลถึงนิพพาน ฟังดีๆนะ อาจจะได้ยินได้ฟัง ภาษามันใหม่ๆ แปลกๆนะ ตั้งหลักดีๆ เพราะฉะนั้น เราจะทรงขึ้นที่จิตของเรา เราจะต้องมีปัญญารู้ ความหมายของภาษา แล้วเรา ก็กระทำให้ตรงตามภาษา จนเกิดจริง เป็นจริง ไม่ใช่นั่งโม้เอา เกิดจริงเป็นจริง จริงๆ เป็นเมื่อไหร่แล้ว แหม! มันสบาย มีจิตวางๆ จิตว่างๆ จิตเฉยๆ ไม่เกิดอารมณ์โกรธ อารมณ์โลภ ไม่เกิดอารมณ์ราคะ อะไรแล้วนี่ เห็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันอยู่ เห็นสัตวโลก ไม่ว่าจะเป็นชั้นบุคคล หรือสัตว์เล็ก สัตว์น้อย สัตว์ใหญ่อะไร เอื้อเฟื้อเกื้อกูลได้แค่ไหน เราก็เกื้อกูลกัน โดยเฉพาะบุคคล หรือสัตว์คนนี่แหละ เรียกว่าสัตว์เมือง หรือสัตว์สังคมคนนี่ อันนี้แหละ ช่วยกันให้มาก

เดี๋ยวนี้สังคมมันเดือดร้อน เพราะคนไม่ช่วยกัน คนมีแต่จะเอาเปรียบกัน จะแก่งแย่งกัน โลภโมโทสัน เดือดร้อน สังคมลำบาก อาตมาขอยืนยันว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรอีกแล้ว ที่จะแก้สังคมได้ จะปรับปรุง ให้สังคมดีขึ้นมานั้น ไม่มีอะไรอีกแล้ว นอกจากศาสนา นอกจากศาสนา นอกจากจะมาชี้ชวนกัน ให้มาประพฤติ ด้านจิตวิญญาณ ด้านจิตใจ ความเก่งทางด้านวัตถุนั้น คนทุกวันนี้ เก่งหมดแล้ว เก่งจริงๆ อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟัง เช่นว่า

ขณะนี้ เราอยู่ในกรุงเทพฯนี่ เขาบอกว่า มันเป็นพิษหมดแล้ว อากาศก็เป็นพิษ ถนนหนทางก็เป็นพิษ ไปไหนมาไหนรถติดหมด นี่เรียกว่าเป็นพิษ เรียกว่ามันเป็นมลพิษ คือ มันเกิดการไม่ดี เป็นพิษเป็นภัย มันไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ มันไม่สะดวก มันไม่ราบรื่น เรียกว่า มันเป็นพิษเป็นภัย ถ้าเผื่อว่า เขาจะทำการสร้างถนน เขาจะทำการให้หยุดตรงนั้น แล้วก็ให้ไปตรงนี้ การจราจร ก็จะไปได้อยู่ จะให้อากาศนี่ มันเป็นอากาศสด จะทำให้อากาศดี โดยเอาเคมีธาตุ มาเปลี่ยนอากาศ มาปรับปรุงอากาศ กรองอากาศขึ้น ทางด้านวิทยาศาสตร์ เขาทำได้ แต่เขาก็ทำไม่ได้ ฟังดีๆนะมันซ้อนอยู่ ที่ว่าเขาทำได้ เพราะว่าความสามารถทางวัตถุเนี่ย ทางด้านวิทยาศาสตร์ เขาทำได้จริงๆ แต่ไปทำจิตใจคนไม่ได้ พอทำอากาศเป็นพิษ นี่ดีปั๊บ ไอ้คนตามหลังมา มันก็มาทำพิษใหม่ ใส่เข้าไปทันที น้ำมันเน่า เขาจะทำน้ำให้สะอาด เดี๋ยวนี้ก็ทำได้ อย่างทำน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มันสะอาด เดี๋ยวนี้นะ นี่เขากรองประเดี๋ยวเดียว เขามีธาตุเคมี เขามีวิทยาศาสตร์ ทำได้ทันที แต่ไอ้คน อยู่ข้างแม่น้ำเจ้าพระยา มันเป็นพิษ มันเน่า คนนะเน่า ไม่ใช่แม่น้ำ ประเดี๋ยวมันทำเน่าอีกแล้ว ทำเน่าอีกแล้ว ไม่ช้าเลย ไม่ช้าเลยนะ มันทำเน่าทันที ไม่เกินชั่วโมงหรอก ประเดี๋ยวมันเน่าตาม เพราะฉะนั้น ใครจะไปเก็บทำทันละ ให้เอาเคมีมา ให้เอาธาตุอะไร วิทยาศาสตร์มาทำ เท่าไหร่ๆ มันก็ทำไม่หาย ทำแล้วคนทำซ้ำ ทำซ้ำแล้วคนทำซ้ำ ออกกฎหมาย ออกอะไรต่ออะไรมา มันเลี่ยงทำ อย่างกฎจราจร อย่างนี้ ออกมามันทำมันเลี่ยง ไม่มีทางพ้น ไม่มีทางพ้น ไม่ใช่อำนาจวิทยาศาสตร์ทำไม่ได้นะ ทำได้ แต่จิตใจคนสิ เลว เดี๋ยวนี้คนเท่านั้นเน่า คนเท่านั้นเป็นมลพิษ จิตวิญญาณของคน เอาเปรียบเอารัด จิตวิญญาณของคนไม่ใฝ่ดี จิตวิญญาณของคน ไม่เสียสละ ทุกคนจะเอาเปรียบ ทุกคนจะเอาชนะ คะคาน ไม่มีใคร ขอยอมเสียเปรียบ อย่างนี้ไม่มีทางสำเร็จ

อาตมาจึงขอยืนยันว่า โลกไม่ใช่แต่เมืองไทย โลกทั้งโลกเดี๋ยวนี้ ไม่มีวิชาการใด ที่จะสามารถทำให้สังคมนี้ สันติราบรื่น และบริบูรณ์ได้ นอกจากธรรมะ อันเป็นสัจธรรม ขอยืนยัน ฟังไว้ อาตมาเปล่งกล่าววันนี้ ในวันที่เท่านี้ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๑ ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ที่นี่ จำไว้ อาตมาขอยืนยันเด็ดขาด ใครจะว่าอย่างไร ว่าเก่งด้วยวิธีการ ทางโลกอย่างไร อาตมาขอยอมรับด้วยว่าเก่ง แต่ไม่สำเร็จ ความเก่งเหล่านั้น ทำความสำเร็จไม่ได้ จะต้องเอาศีลธรรม หรือจะต้อง เอาศาสนานี้ เท่านั้น ไปประดิษฐานลงนะ ไปประดิษฐานลง จึงจะสำเร็จ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า พหุสฺส ชนตา อริเย ญาเย ปติฏฐาปิตา หมายความว่า เราจะต้องพยายาม ประดิษฐาน ความที่เป็น อารยะ หรือ อริยะ ความที่มีญายธรรม ความฉลาด ประดิษฐานความฉลาด ลงไปใน จิตวิญญาณ ของคน พหุสฺส ชนตา หมายความว่า มวลมหาชน ทั้งหลายในโลก ต้องทำอย่างนี้ และ ศาสนา มีจุดหมายอย่างนี้ จึงจะสำเร็จ ถ้าไม่เช่นนั้น ไม่มีทางสำเร็จ ทีนี้เราจะไปทำให้ผู้อื่น เราก็ต้อง ทำขึ้นที่เราก่อน เราจะต้องเป็นผู้ทรงธรรม เราจะต้องเป็น ผู้ที่ทำได้ ทรงไว้ที่เราก่อน เรียกว่า มีธรรม ถ้าเราทำ ที่เราไม่ได้แล้ว เราจะไปให้คนอื่นเกิดบ้าง ไม่มีทาง ไม่มีทาง จึงจะต้องศึกษาที่ตัวเอง และ ตัวเอง ทำให้เกิดซะก่อนให้ได้ เรียกว่า เรามีธรรมะแล้ว จึงจะไปสอนผู้อื่น จึงจะไปช่วยผู้อื่น ขนาดเรามีบ้างแล้ว แล้วจะไปสอนผู้อื่นนี่ ไม่ใช่ของง่ายเลย...

ก่อนนั้นอีก กระทำให้เรามีนี้อีก มันยังไม่ง่ายเลย มันยังยากแสนยาก เพราะฉะนั้น เราจะไปให้ คนอื่นเป็น คนอื่นมี อย่างเราเป็น เรามีบ้าง เราเองยังทำที่เรา ยังยากแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะต้อง ทำที่เรา ให้ได้จริงๆ เมื่อเราทรงขึ้น ตอนนี้แหละ เราจะเป็นสงฆ์ ผู้ที่เป็นสงฆ์ คือผู้ที่มีอริยายธรรม ของพระพุทธเจ้า หรือมีคุณธรรม ของพระพุทธเจ้า เรียกว่าสงฆ์ คุณธรรมตั้งแต่ โสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล สกทาคามีมรรค สกทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล จนกระทั่งถึง อรหัตมรรค อรหัตผล นี่แหละ สงฆ์ก็คือผู้มีอย่างนี้ รวมแล้วจะต้องมี ๔ ผลใหญ่ๆ จึงเรียกว่า องค์สงฆ์มี ๔ ตอนนี้ เรากำลังระลึกถึง สังฆานุสสติ นะ ต่อขึ้นมาแล้ว

ผู้ใดทรงธรรม ผู้นั้นเป็นสงฆ์ ทีนี้ก่อนอื่น เอาญาติโยม ญาติโยมจะพยายาม ระลึกถึงสงฆ์ เอาบุคคลซะก่อน เอาตัวสมมุติ จะระลึกถึงสงฆ์ ก็ต้องพยายาม ระลึกถึงพระสงฆ์ ที่เป็นอริยสงฆ์ ผู้ใดเป็น อริยสงฆ์ เราจะต้องพยายามสอดส่อง อ่านให้พบ อ่านให้เจอ ถ้าไปเจอ ผู้ที่ไม่ใช่อริยสงฆ์ ไปเจอเอาสงฆ์ที่ไม่ใช่ ไม่มีภูมิ ไม่ได้เป็นอริยะแท้ ไม่มีคุณธรรม แม้แค่ ๑ มันก็ไม่ได้อะไร ถ้าเป็นสงฆ์ที่ไม่รู้เรื่อง รู้ราวอะไรเลย ดีไม่ดี มิจฉาทิฐิด้วย พาหลงเลอะๆเทอะๆ พอไปหา บอกว่านี่ สมมุติว่าเป็นสงฆ์ แต่ไม่มีความรู้อะไรเลย เป็นมิจฉาทิฐิ พาแต่ไปเที่ยวได้ วุ่นวายยังไง สงฆ์พาแต่จะไปเอาเรื่องราว ไม่เข้าเรื่อง เช่นว่า มีแต่จะหาเงิน เอามาสร้างโน่น เอามาสร้างนี่ ก่อโน่นก่อนี่ อะไรต่างๆนานา สงฆ์อย่างนี้ ไม่สอนอะไรเลย เอาแต่จะหาเงิน เรี่ยไรท่าเดียวนี่ อย่าไปคบนัก อาตมาพูดอย่างนี้ สงฆ์ที่เขากำลังล่าเงิน เขาก็เคือง เขาก็หาว่า ตัดผลประโยชน์เขา ก็จริงนะ เพราะว่า พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอน ให้สงฆ์ไปเรี่ยไร หรือไปหาเงิน สงฆ์เป็นผู้ที่เลิกแล้ว ซึ่งเรื่องเงินทอง ไม่วุ่นไม่วาย เพราะฉะนั้น สงฆ์จะสอนธรรม สงฆ์จะพยายามบอกศีล บอกหลักการ บอกกรรมฐาน บอกให้เข้าใจ ให้ศรัทธาเลื่อมใสธรรมะ แล้วก็พึงปฏิบัติ เมื่อเห็นจริง เชื่อจริง เข้าใจจริง คนเรามันก็ปฏิบัติ ถ้าผู้ใดปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ก็เกิดผลสบาย สบาย กลายเป็นโสดาบัน เป็นอริยคุณอันที่ ๑ เราสังเกตได้ง่ายๆ สงฆ์นี่ หรือว่าพระ เราจะเรียกง่ายๆว่าพระ พระคำนี้ ไม่ได้หมายความว่า นุ่งจีวรแล้วก็โกนหัว ไม่ได้หมายเอาตรงนี้ พระของพระพุทธเจ้า หรือ ว่าสงฆ์ สังฆะเนี่ย อัฏฐะ ปุริสะปุคคลา นี่ บุคคล ๘ ย่นเข้าเป็น จัตตะ จัตตะแปลว่า ๔ เป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์นี่ นี้เรียกว่า พระของพระพุทธเจ้า หรือสาวก สาวกสังโฆ อยู่ในคนที่มีคุณธรรม โยมก็ได้ มีผมมีเผ้านี่แหละ นุ่งผ้าถุง นุ่งกางเกงอะไรนี่ก็ได้ โกนหัว นุ่งผ้าจีวร ก็เป็นได้นะ ไม่ได้หมายความว่า โกนหัวนุ่งจีวรแล้ว จะเป็นพระเลย ยัง ยัง สมมุติเท่านั้นเอง จึงเรียกว่าสมมุติพระ หรือสมมุติสงฆ์ เรายังไม่เรียกว่า พระสงฆ์แท้

พระสงฆ์แท้ จะต้องมีอริยคุณ เกิดที่จิต จิตละกิเลสได้ แม้ศีล ๕ ศีล ๕ บริบูรณ์ เรียกว่า เป็นผู้ที่บริบูรณ์ ถึงจิตนะ มีจิตว่าง มีจิตถึงขั้นวิมุติ อย่างที่อาตมาว่าแล้ว ผู้ใดปฏิบัติได้ถึงศีล ๕ บริบูรณ์ เมื่อกี้ก็เทศน์ ศีล ๕ บรรยายไปหน่อยหนึ่ง บริสุทธิ์จริงๆ เรียกว่า โสดาปฏิยังคะ คือองค์คุณของพระโสดา บริบูรณ์ แค่ศีล ๕ แค่นั้นแหละ โยมนี่แหละ ก็เป็นพระแล้ว เป็นพระ เป็นสงฆ์ เป็นผู้ที่ควร กราบไหว้บูชาแล้ว ฟังดีๆนะ แต่รูปนอก มันยังไม่เป็น แต่รูปในเป็น เป็นผู้นำไหม เป็นผู้นำ ควรระลึกตามไหม ระลึกตามได้ เอาอย่างได้ ผู้นี้ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปด ไม่เสพติดสิ่งอบายมุขต่างๆ บริสุทธิ์บริบูรณ์ ในอบายมุข ผู้นี้ควรเป็นตัวอย่าง เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นผู้นำ ควรเอาอย่าง ระลึกถึง อย่าไประลึกถึงคนที่ไม่มีคุณ ระลึกถึงคนที่ยังมีอบายมุข ยังโหดร้ายฆ่าแกงกันอยู่ ยังโกหกโกไหว้ ยังเอาของเขา ยังลักขโมย อย่าไปเอาคนนั้น มาเป็นที่พึ่ง อย่าไปเอาคนนั้น มาเป็นแบบอย่าง อย่าไปเอาคนนั้น มาเป็นมิตร อย่างนี้เรียกว่า เราจะต้องระลึกตามรู้สงฆ์ ถ้าไม่เช่นนั้น คุณไม่รู้สงฆ์นะ ฟังดีๆ ถ้าไม่งั้น สงฆ์ไม่รู้นะ อนุสสติ ๓ นี่ สังฆานุสสตินี่ ไประลึกถึงใครก็ไม่รู้ พอมาถึงก็เปล่งกล่าวว่า สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เสร็จแล้ว ก็ระลึกถึงเพื่อนที่บ้าน ก็ฆ่าสัตว์บ้าง ก็ลักทรัพย์บ้าง ก็ขี้ขโมย ขี้ขโจรกันอยู่ ขี้โกงกันอยู่ บ้างก็โกหกมดเท็จ บ้างก็ราคะหยาบคายอยู่ อย่างนั้นยังไม่ใช่ ผู้ที่ระลึกถึง ไม่ใช่ผู้ที่ จะเอาอย่างตาม นี่เป็นสงฆ์ขั้นต้น

ถ้ายิ่งผู้ใด มีคุณธรรมสูง เป็นโสดาก็ได้ สกิทาก็ได้ สกิทาก็คือ ผู้ที่มีศีล ๘ สูงขึ้นไปอีก บริสุทธิ์บริบูรณ์ แม้กระทั่ง เครื่องใช้ไม้สอยลดลง โลภะ โทสะ ลด เพราะว่าเครื่องกิน เครื่องใช้ท่านลดแล้ว รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามราคะบางเบาลงอีก ไม่ติดรูปติดรส แต่งเนื้อแต่งตัวก็น้อย ลดรูป ลดสี ลดกลิ่น ลดสัมผัส ลดสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เป็นคนมักน้อย ประหยัดมัธยัสถ์แล้ว ไม่หลงลาภ ไม่หลงยศจริงๆ เพราะสกิทา ลดพวกนี้จริงๆ เราเห็นได้ แม้แต่สัมผัสด้วยตา คบหาสัมผัส สัมพันธ์ดูแล้วรู้ เข้าใจ อ้อ! คนนี้เป็นสงฆ์ คนนี้เป็นอริยบุคคล เห็นได้ อยู่ในพุทธบริษัททั้งมวล อย่าเข้าใจหมายแต่เพียงว่า พระคือโกนหัว นุ่งจีวรเท่านั้น ส่วนผู้ที่นุ่งจีวร โกนหัวนี้ ถ้าแม้ว่าแต่แค่ศีล ๕ ก็ไม่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น เราไม่เอา อย่างนี้ไม่เอาว่าเป็นสงฆ์ เราจะต้องเอาคุณธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ใดยังไม่บริสุทธิ์ บริบูรณ์ แม้ศีล ๕ ก็ยังไม่ใช่สงฆ์ สาวกสังโฆ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า สาวกสังโฆนั่นคือปุถุชนนะ ยังไม่ใช่นะ สาวกสังโฆ คือ อัฏฐะ ปุริสปุคคลา ใครก็ท่อง ที่นี่ก็ท่องกัน จะแย่อยู่แล้วล่ะ อัฏฐะ ปุริสะ ยังไม่นับนะ ท่านยังไม่ได้นับว่าเป็น สาวกนะ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นสงฆ์สาวก ก็ต้องพยายามรู้ให้ชัด ยิ่งบริบูรณ์ บริสุทธิ์ สูงกว่าศีล ๕ ยิ่งเป็น อริยสาวกสูง โดยจริงแล้ว ผู้ที่มาบวชเนี่ย มีคุณเป็น อนาคามีคุณ นั่นคือส่วนที่เหมาะสม เป็นอนาคามีคุณ อนาคามีหมายความว่า เป็นผู้ที่ไม่เอาแล้ว บ้านช่องเรือนชาน ทรัพย์สมบัติ ญาติโกโยติกา เรียกว่าปล่อยวาง เป็นผู้ที่ โภคักขันธัง ปหายะ ญาติปริวัฏฏัง ปหายะ ภาษาบาลี ท่านว่าอย่างนั้น เป็นผู้ออกบวชให้บริสุทธิ์ ดุจสังข์ขัดโดยส่วนเดียว ว่างั้นนะ หมายความว่า เป็นผู้ที่ปลงภาระแล้ว เรื่องบ้านช่องเรือนชาน เป็นอนาคาริกะ เป็นผู้ที่ไม่เอาภาระแล้ว บ้านช่อง เรือนชาน ญาติโยมอยากจะผูกขา อยู่กับบ้านกับเรือน ก็ผูกไป แต่ส่วนผู้ที่ออกมาบวชแล้วนี้ ผู้ออกมา ปฏิญาณตน เข้าเป็นผู้ที่ จะนุ่งผ้ากาสายะ โกนหัว หมายความว่า ต้องวางเรื่อง โภคักขันธัง วางเรื่อง ญาติปริวัฏฏัง

โภคักขันธัง หมายความว่า ทรัพย์ศฤงคารน้อยใหญ่ ทั้งหลาย เลิกเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของ บริวาร อะไรต่างๆ เลิก อย่าไปยุ่ง ญาติปริวัฏฏัง ยังจะต้องมีพ่อมีแม่ ไม่เอาแล้วโยม บวชแล้ว ตอนนี้พ่อแม่ ผัวเมีย ลูกเต้าหลานเหลน อะไรไม่เอา ปลงวาง อย่างนี้เรียกว่า อนาคาริกะ เพราะผู้ที่จะมาถึงขั้นไม่เอา บ้านช่องเรือนชานแล้วเนี่ย โดยจริงแล้ว ที่ตรงตัวที่สุดก็คือ พระอนาคามี ผู้ที่ไม่มีสมบัติ ผู้ที่อยู่อย่าง มีบาตรใบ มีปัจจัย ๔ บิณฑบาตเลี้ยงชีวิต ไม่ได้ผูกยึดเป็น ปลิโพธะ แม้อย่างนี้ เป็นบ้านของเรา เรือนของเรา กุฏิของเรา ศาลาของเรา ไม่ใช่ ไม่ใช่ เป็นแต่เพียงเครื่องอาศัย เครื่องใช้ จรไปได้ทั่ว ทุกหนแห่ง เป็นสาวกของ พระพุทธเจ้านี่ จรไปได้ทุกหนแห่ง ไม่ยึด เนี่ยยึดข้าวยึดของ ยึดสถานที่ ยึดอะไรต่ออะไร ไม่ยึด จารีตประเพณีพระพุทธเจ้า สอนเอาไว้แล้ว เมื่อมาเป็นพระแล้ว เลี้ยงตนด้วย ปัจจัย ๔ มีอาหารบิณฑบาต เป็นต้น มีผ้า แม้ผ้าบังสุกุล ผ้าบังสุกุลนะ ไม่ใช่ผ้าคหบดี ผ้าคหบดีนั้น เป็นผ้าที่เฟ้อ จะปฏิเสธเสียก็ได้ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นมี ผ้าบังสุกุล เอาแต่ผ้าคหบดี บอกว่าไปบังสุกุล ใส่ซองพลาสติก อย่างดีเลย วางใส่หน้าศพ ไปอนิจจา วะตะสังขารา เอามา ไม่ได้บังสุกุล บังสุกุล แปลว่า สกปรก แปลว่า คลุกขี้ฝุ่นขี้ฝอย ไอ้นี่รีดอย่างเรียบเลยนะ ถ้าเผื่อว่าสกปรก ไม่เอาไปถวายด้วยนะ ไม่เอาไปให้บังสุกุลด้วย เดี๋ยวนี้มันถึงได้เปลี่ยนแล้ว ภาษาคำว่า บังสุกุลนั่นน่ะ สกปรก แต่พอไปเอาเข้าจริง ของสะอาด อย่างนี้มันไม่ตรงนะ

เพราะฉะนั้น พระต่างๆนี่ จะต้องเป็นผู้ที่ไม่ถือสา ในเรื่องความสะอาดสกปรก พออาศัยได้ เราพยายาม ทำความสะอาดกัน ไม่ต้องหลงงาม หลงสวย อย่างนี้เป็นผู้ที่ จะชักจูงญาติโยม ไม่เช่นนั้น ไปมัวแต่ ให้หลงงาม หลงสวย เดี๋ยวเฟ้อเป็นกาม เป็นกามารมณ์ กามคุณ เลอะเทอะ เสียหาย ถ้าผู้ใด มองสงฆ์ออก แทงทะลุสงฆ์ถูก ยิ่งเป็นพระอนาคามี เป็นสงฆ์อย่างนี้ชัดแล้ว ก็ยิ่งเป็นที่พึ่ง ที่จะมี คุณธรรมสูง จะช่วยเราได้มาก ยิ่งถึงขั้นพระอรหันต์ เป็นผู้บริบูรณ์ล่วงส่วนเลย รู้แม้กระทั่งอารมณ์ ของอัตภาพ อัตตาตัวตนต่างๆ มานะกิเลสสังโยชน์สูง ราคะชั้นใน เป็นรูปราคะ อรูปราคะ มานะต่างๆ หลงความดี หลงความสงบ พระอริยสงฆ์ ของพระพุทธเจ้า ไม่หลงความสงบ ขั้นพระอรหันต์แล้ว ไม่ติดความสงบ อย่าไปเข้าใจว่า พระอรหันต์แล้ว จะต้องนั่งหลับตาปี๋ๆๆๆไป อย่างนั้น ไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าพระองค์ใด ท่านเอาแต่นั่งหลับตาปี๋ๆ ไปหาก็ไม่ลืมตา เขาเรียกว่า ฤาษีตาไฟ คำว่า ฤาษีตาไฟนี่ เป็นคำแดกดัน อย่าลืมตานะแก ถ้าลืมตานะ ไฟไหม้เมืองนะแก ต้องหลับตาไปอย่างนั้นแหละ เป็นคำแดกดัน พวกนั่งหลับตาปี๋ๆนี่ พวกฤาษีตาไฟ เป็นคำแดกดันของคน

ถ้าไปเอาแต่นั่งหลับตาปี๋ๆ นี่ไม่ใช่ ศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้หลับตาปี๋ๆ ศาสนาพระพุทธเจ้า สอนให้มีสติสัมปชัญญะ มีสัมมาอริยมรรค องค์ ๘ มีความเห็นชอบ เข้าใจถูกทาง มีความนึกคิด สัมมาสังกัปโป ความนึกคิดที่ได้ประโยชน์ ได้ผล ได้ดี มีสัมมาวาจา พูดได้ ไม่ใช่นั่งหุบปาก ใบ้ อึ๊บ อย่างนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่นะ พระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อย่างนั้น มีสัมมาอริยมรรค องค์ ๘ คิดได้ พูดได้ มีการงานได้ สัมมากัมมันโต ไม่ใช่นั่งแข็งทื่อ ไม่ใช่ องค์นี้บอกอรหันต์ ไม่ใช่ นั่นเป็นฤาษีตาไฟนะ และก็มีอาชีพ สัมมาอาชีวะ ของพระพุทธเจ้า ก็คือ การสอนธรรม การสร้างจิตวิญญาณ ให้แก่มนุษย์ เรียกว่า อาชีพของพระ เป็นอาชีพที่ไม่มีเงินเดือน เป็นอาชีพที่ ไม่มีรายได้ เป็นอาชีพที่เสียสละ เป็นการเสียสละสบาย ทำแล้วไม่ต้องกลัวว่า เงินเดือนจะขึ้น อัตราจะลง เงินมันขึ้น เงินมันตก ของขึ้นราคา ของลงราคา โอ๊ย! ไม่ต้องห่วงเลย สบาย สบาย อาตมาอยากให้ญาติโยม มารู้ความสบายอันนี้

อาตมาบวชมาหลายปี แต่ก่อนนี้ อาตมายังอยู่กับโลก ต้องใช้เงินใช้ทอง ต้องเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ สังคม ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าข้าว ค่าของ ค่ากับข้าวกับน้ำ ค่าโน่นค่านี่ แหม! ทุกข์มหาทุกข์ เดี๋ยวนี้ไม่มีเงิน สักบาทเลย เขาบอกว่า ของขึ้นราคาแล้ว อาตมาก็ เฉยๆ เหรอ เฉยๆ ไม่ได้มีเดือดร้อน ทั้งๆที่อาตมา ไม่มีเงินสักบาท สบาย ของขึ้นราคาก็สบาย ของลงราคาหรือ ก็สบาย อนุโมทนา ถ้าของลงราคา ญาติโยม จะได้เบาๆ ถ้าของขึ้นราคาน่ะเหรอ เอ้อ! ญาติโยม คงทุกข์ขึ้นหลายหนอ เพราะฉะนั้น จะต้องงานหนักแล้วเรา ต้องสอนให้ญาติโยม ลดจิตลดใจ ลดความเฟ้อ ความหลงใหลมากลง มันจะได้เบาบางลงมั่ง ถ้าสมมุติว่า ของขึ้นราคา ก็แสดงว่า เราต้องงานเพิ่มขึ้นละ ก็เท่านั้นเอง ไม่ทุกข์ ส่วนตัวเองนั้น สบายๆ มันเป็นสภาพที่ ถ้าผู้ใดได้ ผู้ใดเห็นแจ้งแล้ว อาจหาญ แกล้วกล้า สบาย เป็นความสุขชนิดที่ ขอยืมภาษาโลกมาเรียก สุขคำนี้ ที่จริงคนนี่หมายว่าสุข ถ้าเรียกว่าสุขแล้ว มันไปสมอยาก อยากได้ไอ้นี่ เมื่อได้กินไอ้นี่ อู๊ย! สุข อยากได้เงิน ได้เงินมาสุข อยากได้ยศ ได้ยศมาสุข อยากได้กินอร่อย ได้กินอร่อยสมใจ สุข ไอ้นั่นเป็นโลกียรส

แต่ส่วนรสทางธรรมนี่ มันเป็นเรื่องเฉยๆ เป็นวิมุติรส เป็นวูปสโมสุโข เป็น สุขแบบสงบรำงับ หยุด ว่าง เบา บาง ไม่ปรุง ไม่จี๋จ๋า ไม่เดือด ไม่ร้อน อย่างนี้เรียกว่า เป็นสุขอย่างธรรม ถ้าผู้ใดพบพระอย่างนี้ ก็เป็นที่พึ่งได้ แล้วเราไปเรียน เรียนอะไรล่ะ เวลาหมดลงพอดี อาตมาเลยพาอนุสสติ ไปถึงศีลไม่ได้ เรียนศีล พระนี่มีศีลสิกขา

เรียนศีลแล้วเอาไปทำอะไร เรียนศีลแล้ว ให้ศีลไปขัดเกลาจิต ขัดเกลากิเลส ออกจากจิต ศีลที่ขัดเกลากิเลส ออกจากจิตได้ จิตที่ถูกศีลขัดเกลากิเลสออกนั้นแหละ เรียกว่า จิตสมาธิ เรียกว่า อธิจิต ฟังดีๆนะ ไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตาปี๋ๆเอา เรียกว่าสมาธิ ไม่ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าไปเรียนกับ อาฬารดาบส ไปเรียนกับ อุทกดาบสมาแล้ว ไม่ใช่ ของพระพุทธเจ้านั่น ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีลย่อมขัดเกลาจิตเป็นสมาธิ เมื่อเป็นสมาธิ ย่อมรู้ด้วยปัญญา ปัญญาย่อมส่งเสริมเป็นศีล เป็นอธิศีล เมื่ออธิศีลเกิด ก็ส่งเสริมให้ขัดเกลาจิต เป็นอธิจิต สูงเป็น สมาธิยิ่งขึ้น เมื่อสมาธิยิ่งขึ้น เราก็ยิ่งจะรู้ ในวิมุติยิ่งขึ้น เป็นอธิปัญญายิ่งขึ้น อธิปัญญาก็เสริม ไปก่ออธิศีล ศีลสูงขึ้นอีก ศีลก็ไปเสริมให้เกิดอธิจิต อธิจิตก็ไปก่อให้เราเกิด อธิปัญญา ซับซ้อนแล้วเล่าแล้วเล่า ยิ่งลึกยิ่งซึ้ง ยิ่งสูงยิ่งส่งขึ้น ทุกวาระ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงทำงาน เพื่อกันและกันอย่างนี้ สมาธิต้องเกิดศีล เมื่อกี้ก็ท่องไปอยู่หยกๆ สีเลน สุคติง ยันติ สีเลน โภคสัมปทา สีเลน นิพพุติง ยันติ เมื่อกี้ก็ท่องไปหยกๆ ศีลนี่แหละ จะพาให้สูง ให้เจริญ ศีลนี่แหละ จะพาให้ก้าวหน้า ศีลนี่แหละ จะพาให้ถึงนิพพาน อย่าไปหลงเข้าใจผิด ลัทธินั่งหลับตา มีมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิด อาตมาไม่ได้มาล้มล้าง ลัทธิหลับตา การหลับตานั้นก็หลับได้ หลับได้ แต่ต้องรู้เป็นสัมมาทิฐิ ถ้าไม่รู้สัมมาทิฐิดีแล้วว่า หลับตาอย่างไร ถึงจะเกิดอานิสงส์ อย่าไปหลับ หลับแล้วเลอะ และพากันเลอะ จนกระทั่ง เป็นบ้าก็เยอะ ออกนอกลู่นอกทาง จนกระทั่งกลายเป็น พวกไสยศาสตร์ นั่งหลับตา ปลุกเสกโน่นนี่ ทำไอ้โน่นไอ้นี่ เล่นเดรัจฉานวิชา เยอะเยอะจริงๆ เยอะจริงๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้เคยส่งเสริม ให้สอนให้ทำอย่างนั้น พระยสนั่งฟังธรรมพระพุทธเจ้า ก็บรรลุอยู่ ที่นี่แหละ เทศน์ ๒ กัณฑ์ บรรลุเลย พระพาหิยทารุจริยะ ฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ๔ ประโยค บรรลุเลย แม้แต่เพื่อนพระยส อีกตั้ง ๕๐ ฟังธรรมะพระพุทธเจ้า แม้แต่ใครๆอีกเยอะแยะ ฟังธรรมะของ พระพุทธเจ้า บรรลุธรรม อย่าไปเอาแต่นั่ง แต่การนั่งมันจะมี จะต้องฟังธรรมให้เข้าใจ แล้วเวลาจะไปนั่ง พิจารณาธรรมเนี่ย จะใช้เตวิชโชอย่างไร ต้องเรียนอีก มันมีกรรมฐานอีกเยอะ มันมีความรู้ อีกเยอะ ที่จะต้องกระทำ ถ้าเราไปทำส่งๆ ไม่รู้ ไม่เกิดผล ทำตายเปล่า ก็ไม่เกิดผล มีรายละเอียด อีกมากนะ

วันนี้ก็แสดงธรรมถึงเวลาตั้งชั่วโมง เพราะฉะนั้น ศีลก็ดี อาตมาไม่ได้พาระลึกต่อ จาคะก็ไม่ได้พา ระลึกต่อนะ และก็เทวตาก็ดี หรือแม้แต่สติ ๓ ก็ไม่ได้ระลึกต่อละนะ เราก็ต้องเอาธรรมตามเวลา โอกาสข้างหน้า ยังมีอีก อาตมาก็คง จะไม่ตายไวนักหรอก ก็คงจะได้มา เทศน์กันต่ออีกนะ หรือจะไปฟัง จากที่อื่นก็ได้ อาตมาทำงานนี้ ตลอดตายนั่นแหละ เรื่องนี้ไม่ต้องกลัวนะ

สำหรับวันนี้ เวลาจะสรุปก็ไม่มีแล้ว ๓ โมงถ้วนนะ เพราะฉะนั้น อาตมาก็จะไม่ขอสรุป อะไรมาก ก็คิดว่า ทุกคนก็คงเข้าใจพุทธ ซึ่งเป็นแก่นดีพอ ก็คิดว่าคงจะเข้าใจธรรมะ ซึ่งเป็นส่วน อีกส่วนหนึ่ง โดยอธิบาย แต่โดยแกนโดยแก่นแล้ว เป็นเอโกธัมโม เป็นอันเดียวกันกับพุทธ แม้กระทั่ง คำว่าสงฆ์ โดยอธิบาย ก็เป็นเพียงคำอธิบาย เป็นส่วนขยาย แต่โดยแกนโดยแก่นแล้ว ย่นย่อเข้า ก็เป็นพุทธ สงฆ์ก็เป็นหนึ่งเดียวกับพุทธ เป็น เอโกธัมโมเหมือนกัน และแม้แต่ จะมีหลักเกณฑ์อื่นใด ประกอบขึ้นมาเป็นศีล เป็นจาคะ เป็นเทวตา หรือจะเป็นให้รู้ถึง ชีวะของมรณัส ชีวะของกายคตา ของอานาปาณะ จนสุดท้ายถึง อุปสมะก็ตาม ก็เป็นเรื่องของ เอโกธัมโม ทั้งสิ้น

สำหรับวันนี้ สรุปได้อย่างนี้ จะขยายความต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ผู้ใดเข้าใจแค่ใด ขอให้เอาไปลงมือปฏิบัติ อย่าช้า เดี๋ยวนี้โลกแล้งธรรม ขอให้เร่งมือปฏิบัติ ตัวผู้ปฏิบัติได้เอง นั่นแหละสุข นั่นแหละประเสริฐ ไม่ใช่ใคร ใครทำได้ คนนั้นทำเอา แล้วจะได้เป็นประโยชน์ ส่วนโลกต่อไป เป็นประโยชน์ท่านต่อไป สำหรับเทศนาวันนี้ ก็ขอเอวังลง ด้วยประการฉะนี้

 

อ่านต่อ อนุสสติ ๑๐ ตอน ๒
ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

 


 

ถอดโดย พรทิพย์ วิไลลักษณ์ สสจ.นครปฐม ๙ มี.ค. ๒๕๓๐
ตรวจทาน ๑ โดย สิกขมาต ปราณี ๓ เม.ย ๒๕๓๑
พิมพ์ และตรวจทาน ๒ โดย นางวนิดา วงศ์พิวัฒน์ ๒๙ พ.ย. ๒๕๓๒