580106_เทศน์กฉ.บุญฉลองข้าว ครั้งที่ ๑๖ หินผาฯ
ตายกับดี ดีกับตาย

วันนี้ควรเป็นวันที่ ฤกษ์งามยามดีมาก สำหรับ หินผาฟ้าน้ำ ซึ่งแต่เดิม ก็ทำมาได้ดีนะ แต่มาขาเป๋ กลางทาง ผิดพลาด ระส่ำระสาย กันพอสมควร อาตมาก็มาดูแล้วว่า ทั้งสถานที่ ทั้งทางการ ทางรัฐด้วย ทั้งที่จะเป็นชีวิต พืชพันธุ์ ธัญญาหาร รวมทั้งบุคคล ก็มีอยู่ ที่ตั้งใจจริง ที่ไม่อยาก ให้สลาย ให้หมดไป ก็มีพอควร ศิษย์เก่าก็มี คนเก่าที่ถอย ไปหน่อยบ้างก็มี ที่รู้สึกตัว จะเข้ามาก็มี นี่คือองค์ประกอบ ที่อาตมา ประเมินค่า ของหินผาฟ้าน้ำแล้ว

ดูแล้ว อาตมาก็ว่า สิ่งที่ผ่านมาแล้ว เป็นบทเรียน เป็นสิงที่เกิด ไปตาม เหตุปัจจัย เราก็ยอมรับว่า อะไรบกพร่อง อะไรเสียหาย ก็แก้กลับ พระพุทธเจ้า ส่งเสริมการแก้กลับ สิ่งที่สุดวิสัยเกินแก้ ก็ยุติไป แต่ขณะนี้ หินผาฟ้าน้ำ ยังไม่อยู่ในฐานะ ที่ไม่ถึงกับ ต้องยุติ องค์รวม ยังพอไปได้ ก็มาตั้งตัวใหม่ อะไรที่ควรสร้างควรฟื้น ก็มาร่วมกัน ผู้ใดเห็นควร จะเข้ามา ก็มา หรือผู้มาใหม ่อยากมาช่วยก็มา สมณะที่ยังจะช่วยดูแล ท่านก็ยังเอาอยู่ ตอนนี้มาลงมือ ปลูกถั่ว ดาวอินคากัน ก็ปีนี้ จะถวายข้าวอีก ๕ ตัน ก็มีอะไร ต่ออะไรอยู่ ยังได้อยู่ สิ่งใดผิดไปแล้วก็หยุด อย่าให้มีใหม่ ตั้งใจทำดีใหม่ กอบกู้ใหม่ สิ่งแล้วๆก็จบไป อย่าให้มีอะไร เป็นเชื้อ ที่ไม่เข้าท่า มันไม่ใช่ของหาง่าย โดยเฉพาะทางการ เขาสนับสนุน พร้อมให้เราทำ อย่างราชธานีอโศก ยังจะไม่ค่อยมี ตัวช่วยเลย ยังล้อมรอบไปด้วย สิ่งที่จะทำลาย

พระพุทธเจ้า ตรัสชัดเจนว่า ต้องเอาชนะ ความไม่ดี ด้วยความดี ถ้าไปเอาสิ่งไม่ดี ไปล้างไม่ดี ก็บรรลัยจักร ถ้าเขายิ่งไม่ดี เราก็ยิ่ง ต้องดีให้มาก จะไม่ดีแรงขนาดไหน เราก็ยิ่งต้องดี อย่าเอาความไม่ดี ไปใส่อีก ถ้าเรายังทำแล้วไม่ดี ก็เพราะว่า ยังทำดีไม่มากพอ ให้ทำข้ามชาติเลย ตายไปกับดี ไม่มีเสีย ข้ามชาติไปไหนๆ หากไม่สิ้น วัฏฏะสงสาร จะเป็นเชื้อต่อ อย่างอาตมา เป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ปรินิพพาน แม้อาตมา จะไม่ทำดีต่อ ก็มีบุญเก่ากิน แต่อาตมา เข้าใจสัจจะว่า องค์ประกอบ มีให้เราทำดีต่อ เราก็ทำ ต้องสร้างพลังงาน ที่จะหยุดความไม่ดี ได้เด็ดขาด พระอรหันต์ จะรู้มีพลังงาน ให้ความไม่ดีในตนหมด แล้วจะรู้ว่า อะไรที่จะเป็น สิ่งไม่ดี มากเกิน ท่านก็จะหลบ เพราะถ้าเกินตัวไป เราก็เสีย คนอื่นก็เสีย พระอรหันต์ ไม่มีหน้ามีตา รู้อะไรควรไม่ควร เราทำสิ่งที่ควร เท่านั้น ท่านไม่มีตัวตน อยู่ท ี่มหาปเทส อะไรไม่ควร ก็หยุด ท่านไม่มีตัวตน คนที่มีตัวตน เท่านั้น ทีบ้าดีเดือด ทำสิ่งไม่ควร ถ้าผู้ทำอยู่ ก็มีตัวตน

ถ้าท่านเอง ไม่ปรินิพพาน ท่านก็ทำ สิ่งที่มี ต้องทำให้ดี สิ่งที่จะให้จบ ก็จบด้วยดี ถ้าเรามีความรู้ สามารถว่า สิ่งไหนมี ก็ทำให้ดี สิ่งไหนไม่ดี ก็ไม่ทำ สิ่งที่ตัดสินว่า เป็นอรหันต์ ท่านไม่ทำสิ่งไม่ดีเด็ดขาด ใครจะหาว่า หน้าตัวเมีย ขี้กลัว ประชด ท่านก็ไม่ทำ คนที่รู้แล้วว่า ไม่ดีก็ไม่ทำ จะเป็นคนเลวตรงไหน

ที่นี่ยังควรบูรณะต่อ ผู้ที่ยังอยู่ที่นี่ ยังมากกว่า ทะเลธรรมอีก ที่ทะเลธรรม เขาก็ยังไม่เห็นเซเลย แต่ที่นั้น เขาไม่มีโรงเรียน ก็ยังองค์ประกอบ ไม่ครบที่จะทำ แต่เขายังแข็งแรง แต่ที่นี่มีอะไร มากกว่าทางโน้น อย่าให้เสียของ ผู้ที่เป็นหลักอยู่ ใครคิดว่า เราจะมารวมมือ บูรณะต่อ มีกี่คน ก็พอมีอยู่นะ ศิษย์เก่าก็เห็นว่า น่าจะมากัน เราต้องรู้จัก สิ่งที่มีคุณค่า ที่น่าทำ

อาตมาเป็นคนอุบลฯ สุดท้าย อาตมาก็ต้อง มาบูรณะที่อุบลฯ ปักหลัก ลงแหล่ง เพื่อสร้างมนุษยชาติ สังคมวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ให้สมบูรณ์ ไว้ในโลก อะไรที่เหมาะควร ก็แบ่งกันไป ไม่ใช่ไปรุมกันที่เดียว ตรงไหน เป็นหลักก็ทำ อะไรควรแบ่งกัน ก็ทำไป อาตมาก็พยายาม เดินสายไป ไม่อ่อนข้อให้นะ สุดท้าย เราจะตาย เราก็ต้องตาย ก็มอบมรดก วัฒนธรรม สมรรถนะ ความรู้ ความจริง เพื่อสืบสาน ความเป็นมนุษยชาติต่อไป ตายแล้ว ก็เกิดมาอีก

เราอาศัยในสังคม อำเภอ จังหวัด ประเทศ ทั่วโลก ทุกวันนี้โลก globalization เอเชียก็พยายาม ผนึกรวมตัวกัน เพื่อให้เป็น เอกีภาวะ ขัดแย้งน้อยลง จนเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้ได้ ที่ไหนก็แล้วแต่ ไม่มีหรอก ที่จะไม่มีขัดแข้งเลย สามัคคี คือความขัดแย้ง อันพอเหมาะ ที่จะรู้ยาก คือความเหมาะ ระหว่าง บวกกับลบ ที่จะเหมาะสม กับองค์รวม ของตนเอง ถ้าสงบมาก สิ่งที่จะเป็นลบ ก็ไม่ต้องมาก พลังงานความร้อน นี่ลดลงให้มาก ถ้าสมดุลดี ถ้าไม่สมดุลดี ความร้อนจะมาก จะลำบาก เราถึงต้อง ให้ความร้อน ให้น้อยลงๆ แต่ถ้าน้อยมาก ก็เย็นเกิน หนาว จับตัวแข็ง ก็ไม่ดี

สรุปแล้ว ที่นี่อาตมาเห็นว่า ยังน่าบูรณะ พีชะ ผลไม้ ยังอุดมสมบูรณ์ ข้าวก็ให้อาตมาถึง ๕ ตัน ปฐมอโศกได้ ๗ ตัน ที่ให้อาตมามา สิ่งเหล่านี้ เป็นเครื่องยืนยัน ว่าแต่ละชุมชน เป็นอย่างไร ข้าวคืออาหาร เป็นหนึ่งในโลก จะเป็นตัวชี้วัด ถึงชีวะที่แข็งแรง ชี้บ่งรากเหง้าเลย แล้วเราก็แบ่งปัน กันกินไป อาตมากำลังตั้งหลัก ทำโครงการ ข้าวแสนตัน เพื่อใช้ลักษณะ การสร้างข้าว ให้พัฒนาคุณภาพ ปริมาณ ให้ถูกตรง เราได้ประมาณแสนตัน เราก็เกื้อกูลได้ ระดับหนึ่ง ถ้าเห็นว่าดี เราก็จะเพิ่ม เป็นสิบแสนตัน เป็นล้านตัน ต่อไป  ข้าวนี่เป็นหลักใหญ่ กลางหนึ่ง ส่วนอื่น ก็รองลงไป ในข้าวนี่ มีธาตุอาหาร ครบมากที่สุด เท่าที่มี มนุษย์ เป็นสัตว์กินดิน ไม่ใช่สัตว์กินพืช เมื่อมีมากพอ เราจะเผื่อแผ่ไปทั่วโลก ในที่ที่ปลูกข้าวไม่ได้ ยกตัวอย่าง เอสกิโม เป็นต้น

เราจะบูรณะ ทั้งด้าน การศึกษา การเมือง เรื่องสังคมมนุษยชาติ มีทั้งตัวตั้ง ที่เป็นหลัก และตัวตั้งใจ ที่จะมา หรือพวกที่จะร่วมมือ ก็ให้พยายามกันดู ตอนนี้อาตมา ทำงานกว้างมากขึ้น เชื่อมโยงไป ในประเทศมากขึ้น ก็อาศัยพวกเรา เป็นกำลัง บูรณะกอบก่อกัน รุ่นต่อไป รุ่นหนุ่มสาว ก็ต้องรู้ว่า เราจะไปช่วยบูรณะ ที่ไหนดี โลกียะ เป็นความเลวร้าย แย่งชิงมาก ไปหารวยมาก แต่โลกุตระนี้ เป็นสิ่งน้อย แต่เป็นสิ่งดี เราควรไปเสริม กองที่ดีหรือไม่ดีนะ ก็ควรเสริมสิ่งดีสิ แม้เราจะดี แต่ว่าสิ่งอื่นไม่ดี แล้วเสียหายหมด เราจะอยู่โดดเดี่ยว ได้อย่างไร

เราทำดีไว้ ไม่มีเสีย เอาอย่างน ี้ชาตินี้เรามีดีเท่านี้ ทำดีเท่านี้ ชาติหน้า หากเราตายลง เราจะไปเกิดชาติหน้า ถ้าชาติหน้า เราไม่ทำดีต่อ ก็ไม่มีดีที่จะดึงขึ้น แต่เลวที่มีอยู่ มันดึงเราลงแน่ เหมือนหมาล่าเนื้อ มันไม่หยุด แต่ดีมีน้อย เราก็ทรุดลงสิ แต่ถ้าเราทำดี แม้น้อย เราก็ต้องทำ ต้องก้าวหน้าขึ้น จำเป็นที่ต้องทำ หากไม่มีดีไว้ดึง ก็จะถูกไม่ดีดึงลง มันก็ไม่มีทางไหนแล้ว ก็ต้องทำดี นอกจากจะตาย คุณตายกับดี ก็ได้เท่านั้น ไม่มีทางเลือก ตายกับดี ดีกับตาย ก็เท่านี้แหละ เป็นสิ่งสูงสุด ที่ทำได้แล้ว ถ้าตายกับดี ดีกับตาย ก็ยังมีตัวช่วย แต่ถ้าไม่ทำดี ก็รอวิบากเท่านั้น อาตมาไม่มีภาษา จะพูดให้อีกแล้ว

สิ่งมีน้อยที่ดี เราก็ควรส่งเสริม โลกุตระมีน้อย แต่เป็นสิ่งด ีเป็นสัจจะ เราก็ควรส่งเสริม คนไม่รู้ ก็ไปช่วยโลกียะ ซึ่งมีปริมาณคนชั่ว มากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรารู้แล้ว ว่ามันเดือดร้อน เพราะชั่ว ชั่วมีกำลังมาก เราควรไปช่วย โถมกำลัง ให้ฝ่ายไหน ก็ฝ่ายดี ดีต้องมาช่วยดี ให้มาก จนกว่า ความเดือดร้อน จะสงบ จะห้ามไม่ให้มีดี หรือชั่วเลย ไม่ได้ มันต้องมีทั้งคู่ โลกต้องมี ทศนิยม ไปตลอด เอกภพต้องหมุนวน อยู่ตลอดเวลา

อาตมารู้จัก มหาจักรวาลนี้ เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ เมื่อมีลักษณะ เกิดกับดับ ตลอด จะขนาดเล็กลงมา ก็มีจนกว่าจะเล็กที่สุด ก็โตใหม่ แล้วก็โตจะขีดสุด แล้วก็หยุด ตลอดนาน นับกัปกาล ในนั้นจะม ีอุตุ พีชะ จิต แล้วมนุษย ์ที่จะมีจิตมาทรงไว้ ซึ่งธรรมะไป มันก็มีพลังงานศักย์ potential กับพลังงานจลน์ kinetic  แต่ในพลังงานศักย ์หรือ static หรือ potential energy คนที่ไม่มีปัญญารู้ พลังงานข้างล่าง มาใช้ ก็ใช้แต่ พลังงานข้างบน แต่อาตมา รู้พลังงานภายใต้ ก็เลยเอามาใช้ได้ เพราะมันไม่พอ ผู้หยั่งถึง อนุสัยได้ ถึงเอามา ชำระล้าง ให้เป็นประโยชน์ นี่เป็นภาษา ที่พูดสู่ฟังได้

อาตมาก็มาทำงาน ช่วยโลก ช่วยมนุษยชาติ ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ งผู้ใดเห็นดี ก็อย่าช้า รีบมา อาตมาแต่งเพลง สมรรถภาพ ...มาเถอะมาอย่าช้า อยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้า และจอบเสียม ไม่อย่างนั้นจะช้า เหมือนที่หินผานี่ ...คุณรู้ความหมาย ของคำว่า เสียดายไหม?.... คนที่รู้จัก หินผาฟ้าน้ำ ใครเสียดาย หินผาฟ้าน้ำไหม?

เมื่อรู้ว่าดี ใครจะปล่อย ให้ตายไปก็เชิญ อาตมาบอกให้ร ู้ด้วยปัญญา ให้เข้าใจ เมื่อคุณเสียดาย ก็ให้รู้ว่า ทำไมต้องเป็นเรา แม้ที่คนไม่รู้เรื่อง เขาก็ไม่มา หรือรู้แต่ไม่เสียดาย ก็ไม่มาแน่ ถ้าไม่มาช่วยก็สูญ หากช่วยกัน ก็น่าจะได้ ทำให้เจริญขึ้นได้แม้จะช้า ก็อย่าให้เน่า อย่าให้ตาย ถ้าไม่เน่า ทำให้ไปได้ คำว่าเน่า คือพลังงานความสด พลังงานที่จะพัฒนา ก้าวหน้า ท่านเรียกว่า protoplasm เป็นพลังงานสด พลังงานอยู่ในน้ำ แล้วจะทำให้ตัวพืช พัฒนา กับเม็ดเลือดขาว อยู่ในน้ำเหลืองก็มี อยู่ในสัตว์ หรืออยู่ในพืชก็มี ที่สดและคาว มีออกซิเจน เป็นตัวหลัก สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวชี้บ่ง ถึงความสด ของชีวะ หากหมดความสด ก็เน่า

อาตมาเห็นความสด ที่นี่ยังมีมาก ที่ต้องบูรณะขึ้น แม้ทะเลธรรม เล็กกว่านี้ พลเมือง ก็น้อยกว่านี้ ก็ยังรักษาไว้ได้ แม้สังฆสถาน ก็มีความแข็งแรง กว่าที่นี่ แต่ที่นี่ก็ยังมี ท่านดินทอง ท่านดินดี ก็ไปๆมาๆ ตอนนี้มี ท่านชุบดิน ก็มาลงถั่ว ดาวอินคา แล้วต้องมา รักษาต่อนะ ท่านดินดี ก็เห็นว่า ลงอินทผาลัมไว้ ก็มาดูแล

โลกียะกับโลกุตระ อาศัยกันไป ตลอดกาล เราอย่าไปทำร้ายโลกียะ เราก็ช่วยโลกียะ ไปตลอด เราต้องชนะความร้ายด้วยความดี ถ้าเราตายก่อน ก็แล้วไป ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ ก็มีแต่ทำดีกับทำดี สุดท้าย มีแต่ตายกับดี ดีกับตาย ก็สุดท้ายแล้ว กัดแข่วยุ้มก้นใส่ ก็ที่สุดแล้วนะ  ใครจะชั่วนิดนึง ดีมากหน่อย ก็ไม่เอา อาตมาไม่ทำชั่ว แม้น้อย ให้ตายกับดีดีกับตายเลย ให้มันตายไปเลยกับดี ไม่เอาชั่วนิดชั่วหน่อย ตายแล้วตายกับดี นี่แหละ

ทางการก็ยังช่วยเหลือเรา ก็อยู่ที่เรา เพราะเราก็เท่านี้ หนึ่งในชัยภูมิ คำว่าชัยภูมินี่ แปลว่าชนะทำไมทำหน้าแพ้ๆ อยู่ในภูมิชนะ ไม่ใช่ภูมิแพ้ ถ้าใครภูมิแพ้ ก็หนีไปเสีย ต้องเอาให้ชนะ ที่นี่ ต.นาหนองทุ่ม

สรุปแล้ว เรามีชีวิต มีหน้าที่ทำสิ่งดี ทำลายสิ่งไม่ดี เราก็ตายกับดี ให้มันดี ไปกับตาย ดีไปกับตาย แล้วไม่มีวันตกต่ำ ชาติหน้า ชาติไหน ศาสนาอิสลามว่า ถ้าใครทำดี ก็ได้ช่วยพระเจ้า ก็จะได้ไปอยู่กับพระเจ้า มันก็มีนัยเดียวกัน แต่เขาสอน ให้ตายเพื่อ ศาสนาเลย แล้วศาสนาพุทธ ควรตาย เพื่อศาสนาไหม แล้วที่นี่เป็น แหล่งศาสนา หรือไม่ก็ใช่ แล้วควรตาย กับที่นี่ไหม.... แล้วไปไหนกันหมด

ผู้เห็นว่าควรทำ ก็น่ามาอยู่ทำ อย่าเอาแค่พูดเอาแต่คิด พระพุทธเจ้าว่า มีสัปปายะ ๔
๑.เสนาสนสัปปายะ  ๒.อาหารสัปปายะ  ๓.บุคคลสัปปายะ  ๔.ธรรมสัปปายะ

ธรรมสัปปายะ คือคำสอนเนื้อแท้ คือโลกุตรธรรม อาตมารับรองว่า ที่นี่มี เป็นธรรมะ ที่เหนือลาภยศ สรรเสริญสุข อาศัยโลกธรรมได้ แต่ไม่ติด

อาหารสัปปายะ คือสิ่งอาศัย อาหารสิ่งอาศัย มีตั้งแต่ของกิน ท่านขยายความไว้ มีสี่อย่าง สิ่งที่จะเอามา กินใช้ที่นี่ ก็พอกิน เหลือให้อาตมาด้วย ข้าวนี่ พืชพันธุ์ ธัญญาหาร  ที่นี่เก็บกินไม่หมด แล้วเก็บไม่ทัน มันงอกใหม่เร็วกว่า มันเหลือทัน เรามาช่วย ก็อาจไม่ได้ สมใจเรา ก็อดทนหน่อย ใครพอมาทนได้ ปักหลักได้ ก็มา ใครมาได้ แต่ไม่ปักหลักก็มา หรือใครมาอยู่ได้น้อยกว่าไปก็เอา ไปๆมาๆ ก็ดี ดีกว่าไปหมด ไม่มา ไปอยู่กับผีหมด มาอยู่กับ พระบ้างก็ดี

มีอาหารอาศัย ก็มีบุคคล มีบุคคล ก็มีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะ ก็ไม่มีความรู้สึก รู้สึกชอบ รู้สึกไม่ชอบ สิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็ต้องอยู่เหนือให้ได้ ให้จิตไม่มีไม่ชอบ ทุกวันนี้ สิ่งไม่น่าชอบ มีเยอะกว่า สิ่งที่น่าชอบ เลวร้าย มีเยอะกว่า เราก็ต้อง วางใจให้ได้ สร้างภูมิคุ้มกันให้อยู่ได้ ให้เป็นก้อนน้ำแข็ง ท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก คนเรา ถ้ามีแต่เอาเปรียบ ทำแต่ร้ายๆ สุดท้ายมันต้องแพ้คนที่ให้เขา ทำให้ได้เถอะ

ตอนนี้เราอยู่ใน ประเทศไทย เป็นเสนาสน อันใหญ่ มีวัฒนธรรม มีคนเลว คนดี ตอนนี้ คนดีกำลัง ลืมตาอ้าปาก คนเลว กำลังเพลี่ยงพล้ำ คนดีกำลังปราบ คนเลวได้ ตอนนี้ตัวร้าย ตายไปมากแล้ว เหลือแต่ตัวร้าย ที่มีปัญญา รู้สึกตัว สำนึกได้มาเยอะแล้ว เหลือที่พวก ตามืดบอด อีกมาก ธรรมะนั้น เป็นไปได้แล้ว สำเร็จแล้ว ควรระดม เนื้อหา ธรรมะให้มาก ส่วนด้านโลกีย์นั้น พูดในกรอบ ประเทศไทยนะ ที่มีการบริหาร สร้าง รธน.กันนะ แต่ละคน ก็พยายามช่วยกัน พยายามดึง เสริมกันมา ตัวเสริมก็ดี ตัวร้ายเขาก็ทำเต็มที่ เช่นขณะนี้ เขามีทั้งเนื้อใน และนอก ในมันก็เป็น ตัวพลังงาน จุดชนวน กองข่าว เขาก็รู้ กำลังจัดการ อาตมาว่า เชื้อนี้ไม่น่า จะต่อได้ ส่วนไฟนอก เขาก็พยายามตี แต่ประเทศต่างๆ รับรู้เข้าใจแล้ว ที่ตัวดิ้น จะสร้างเสรีไทยนั้น มันไม่มีอะไรดีหรอก ชาวโลกเขารู้ว่า เป็นตัวไม่ดี แม้เขาจะพยายาม ทำป่าล้อมเมือง แต่เขาเพลี่ยงพล้ำ เขามีแรงอยู่ ทั้งนอกและใน เขาทำดีแต่ได้เบา ต้องรีบเผด็จศึก ทั้งในและนอก ถ้าทำได้ทุกอย่าง ฉลุย ผู้ทำได้ จะเป็นรัฐบุรุษ ในโลกเลย ถ้าลงอาญาสิทธิ์ ที่ทำได้ด้วย ตัดแรงนอกและใน จบทุกอย่าง ไปรอด อาตมามีหน้าที่ สื่อสารบุญนิยม ก็แนะเชิงบุญ ว่าบุญคือ การชำระ การกำจัดสิ่งไม่ดี ให้หมด ให้จบ

เมืองไทยจะเป็น ชมพูทวีป จะมีองค์ประกอบมากขึ้น ในวัฏฏสงสารต่อไป ประเทศไทยจะเป็นจุดเชื้อ อาตมากล้าพูดว่า DNA พุทธ มีโอฆทา (หยั่งสู่นาม) และ โอกกันติ (หยั่งสู่รูป) จะมีนิพพัตติ อภินิพพัตติ ต่อไป อาตมาเข้าใจ การเกิด ๕

ชาติคือการเกิดตัวตั้งต้น แต่สัญชาติคือ การกำหนดน้ำหนัก รูปร่างลักษณะ แล้วเกิดเป็น โอกกกันติ คือหยั่งลง แล้วเกิดเป็น สิ่งรุ่งเรืองดีงาม เป็นนิพพัตติ สู่อภินิพพัตติ แต่ถ้าโอกกันติ ไม่เกิดโลกุตระ ก็วนกลับ เป็นโลกียะ กลับเป็นสัญชาติ ชาติต่อไปอีก

พระพุทธเจ้าตรัส ในพระไตรฯล.๑๖ ว่า ชาติเป็นไฉน?
[๗] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด (สัญชาติ)  ความหยั่งลง (โอกกันติ)   เกิด (นิพพัตติ)  เกิดจำเพาะ(อภินิพพัตติ)  ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

[๘] ก็ภพเป็นไฉน ภพ ๓ เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ    นี้เรียกว่าภพ ฯ

[๙] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน ๔ เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน   สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ

วิญญาณกับสังขารนี่แหละ ที่เราต้องเรียนรู้ ตั้งแต่ต้น สังขารก็มี กายสังขาร ก็ต้องรู้กาย แล้วมีจิตสังขาร วจีสังขาร ทำให้เกิด ปุญญาภิสังขาร ให้เป็น อปุญญาภิสงขาร อเนญชาภิสังขาร

ต่ำในตัวต้น คืออบาย ก็ดับตัวต้นนี้ก่อน จนอบายนี้ ของกามภพจบ หมดเชื้อกุศล ของกามภพ สิ้นแล้ว การสิ้นแล้วก็จบในกามภพ แต่ในอนาคามี เหลือรูปภพ อรูปภพอยู่ ก็เป็นอนาคามี จะรู้สภาพของ ขันธ์ ๕ จัดการกับนาม ก็เหลือรูป อนาคามี จะเรียนรู้รูป ที่เหลือตัวหยาบ ตัวละเอียด ตลอดเวลา จะรู้รูปรูป รูปนาม รูปกาย นามกาย

รูปรูปก็อยู่ของมัน หรือรูปนาม ก็ยังไม่สังขารกัน ถ้าธรรมายตนะ กับ มนายตนะ ก็อยู่รวมกันเฉยๆ ไม่มีการสังเคราะห์สังขารกัน โดยมนะ นี่เป็นนาม เป็นอิตถีภาวะ เป็นตัวดิ้น ธรรมะเป็นตัวรูป เป็นปุริสภาวะ เป็นแก่น แต่ต่างคน ต่างอยู่รวมกัน เป็นองค์รวมของจิต ท่านไม่เรียกว่า กายจิต มีแต่ มโนวิญญาณ กับ กายวิญญาณ ในมโนวิญญาณ ก็มีธาตุรู้ ทำกับธาตุรู้ เรียกว่า นามกาย สุดท้าย ตัวปลายสุด เนวสัญญาฯกับนิโรธ นี่เป็นอายตนะ ๒ สุดท้ายแล้ว ผู้เข้าใจ จะจัดการได้สมบูรณ์ สุดท้าย เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ ที่สัญญาทำงาน กำหนดรู้หมด อะไรไม่รู้ไม่มี เนวสัญญา นาสัญญายตนะ ก็ต้องทำ ให้รู้จนได้ เมื่อรู้ได้สุด จึงสิ้นอาสวะ ดับอวิชชาสวะ หมดเลย ตัวปลายสุดท้าย อาสวะของ ตัวอวิชชา แล้วดับหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ เมื่อดับอวิชชาสวะ ก็นิโรธ เรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ เวทนาท่านถึง แตกถึง ๑๐๘ สุดท้าย เข้าใจแยก มโนปวิจาร ๑๘ ดับเคหสิตเวทนา ให้หมดเป็น เนกขัมมสิตเวทนา อาศัยจิตเบิกบาน ร่าเริง อภิปโมทยัง ก็สักแต่ว่าอาศัย เบิกบานร่าเริง กับพวกคุณ อาตมาก็ไม่หลงติดด้วย

ในอนาคามี ก็ดับกามภพได้ ท่านเหลือแต ่ความลำบาก เป็นอัตกิลมถะ ในสังโยชน์เบื้องสูง พระอนาคาฯ ที่ดับรูปราคะ ก็เหลือแต่ นามธรรมล้วน คือ อรูปราคะ หากคุณดับ ก็ไม่มีรสราคะ เป็นอนาคามี ขั้นสูง เป็นสสังขาริกัง อสังขาริกัง อกนิฏฐาฯ ก็เหลือ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานะนี่ ยึดดีถือดี มานะเป็นตัวกลาง ของอรหันต์ ท่านก็ใช้ทำงาน ไม่ติดมานะ ท่านจะเรียนรู้ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ เป็นอุปกิเลส ปลายสุด ดับอติมานะได้ ก็เหลือ มทะ กับปมาทะ พระพุทธเจ้า สรุปลง รวมที่ ประมาท หรือไม่ประมาท ใครไม่ประมาท ก็ไม่เหลือเชื้อ ผู้ไม่เมา ไม่เหลือเชื้อโลกียะ ก็จบได้แล้ว จะเอาหรือไม่เอา จะเอาตัวตนมาใส่ อาสยะ หรือไม่ก็ได้ ถ้าจะเอามาใส่ ก็เป็นอาสยะ ไม่อาลยะ หรืออาลัย ไม่ติดไม่ยึด สุดท้าย พระอรหันต์ อยู่กับสองอย่าง คือความมี กับความไม่มี (โหติ กับ นโหติ)

[๔๓] พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง คือ ความมี  ๑ ความไม่มี  ๑ ก็เมื่อบุคคล เห็นความเกิดแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มีมื่อบุคคลเห็น ความดับแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมาก ยังพัวพันด้วยอุบาย อุปาทาน และอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบาย และ อุปาทานนั้น อันเป็น อภินิเวส และ อนุสัย  อันเป็น ที่ตั้งมั่น แห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัย ว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้น มีญาณหยั่งรู้ ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อ ผู้อื่นเลย ด้วยเหตุ เพียงเท่านี้แล กัจจานะ จึงชื่อว่า สัมมาทิฐิ ฯ

ในปฏิจจสุปบาท ข้อนี้คือ สิ่งอาศัย ของอรหันต์ ท่านจะมี หรือไม่มีก็ได้ ในความเป็น สภาวธรรม ในโลกก็คือ ความทรงอยู่ ถ้าทรงอยู่ อย่างมีชีวะ ก็มีธรรมะ หากเป็นธาตุ ก็เป็นสิ่งนิ่ง เป็นแกน เป็นอุตุ เป็นพลังงานชีวะ ผู้รู้จะใช้อุปาธิ ที่ยึดไว้ทำงาน อรหันต์ จะมีสิ่งยืมใช้คือ ชีรานุปาทิ และ ชีวานุปาทาน  เมื่อท่านไม่ใช้ ก็จะเสื่อมไป

ทุกวันนี้เนื้อธรรมะ คือตัวบุคคล ในยุคนี้เรามีในหลวง เป็นโพธิสัตว์ มาบำเพ็ญปาง มหาชนกกับเตมีย์ใบ้ ท่านตรัสอะไร ราคาแพงมาก พิกุลร่วงลงมา ราคาแพงมาก รองลงมาก็เป็น พิกุลจาก พล.อ.เปรม ที่ผ่านมา วันปีใหม่ พิกุลพล.อ.เปรม ก็ร่วงลงมา พล.อ.ประยุทธ์ นี่แปลว่า การประหาร การฟันนะ มีหน้าที่เป็นทหาร หากไม่ทำหน้าที่ ก็กบฏ ต่อในหลวง ต่อชาติ ต่อประชาชน มันถึงที่ถึงจุดแล้ว ถ้าประยุทธ์ ทำงานก็จบ ทำหน้าที่ของ ผู้ประยุทธ์ ผู้ประหาร ลงมือ จะจบ นี่เป็นสิ่งที่ อาตมาพูด ด้วยจริงใจ ปรารถนาดี ทุกประการ เทศน์กัณฑ์นี้ ที่หินผาฟ้าน้ำ เป็นกัณฑ์ใหญ่ ใครเข้าใจได้ ยิ่งกุศลมาก ใครไม่ปฏิบัติ ก็ช่างเศียรใคร ช่างเศียรมัน Let's it be ช่างหัวมัน สุดท้ายแล้ว ก็ต้องปล่อย ในหลวงก็ใช้ ท่านใช้โครงการ ชั่งหัวมัน สุดท้าย อาตมาก็ต้องใช้ ใครไม่ทำก็ Let's it be อาตมาใช้ได้ เพราะรอดตัวแล้ว หากใครไม่รอดตัว ก็ไม่พ้นน้ำ จม แต่อาตมา พ้นน้ำแล้ว คุณล่ะ พ้นหรือยัง ต้องแน่ใจว่าพ้นไหม เช่น พ้นอนาคามีไหม คือเราอยู่กับโลกเขา สบายแล้ว ไม่ทำให้เราทุกข์ร้อนได้เลย คุณอยู่ได้ก็คือ เหนือมันแล้ว หากอยู่ไม่ได้ก็ไม่เหนือมัน

หรือคุณเป็นสกิทาฯ คืออนุโลมไปกับโลก ลาภก็ประมาณนี้ ยศก็ประมาณนี้ ใครจะด่าว่าเรายังรับอยู่ ก็ต้องปล่อย ส่วนชั่วหยาบกว่านี้ เราไม่เอาแล้ว เด็ดขาด นี่คือ สกิทาคามี จะเป็นโลกธรรม ขนาดไหน ก็จิตกำหนดหมาย อย่างไร

ยิ่งโสดาบัน ต้องกำหนดรู้สิ่งชั่ว อบาย ยกตัวอย่าง โกงแสนล้านนี่ ชั่วไม่ทำ ไม่ร่วมมือทำ พ้นนิปเปสิกตา ไม่รวมมือ กับคนผิด ก็หลุดตัวออกมา หากอยู่ในกระแส ก็ยังต้องมีผิด ทางมอมเมาโลกีย์ ถ้าหลุดออกมา ก็พ้นได้ จะไปร่วมกับพวก ทำเครื่องมอมเมาทำไม เช่น คุณเจริญ ทำของมอมเมา จะไปร่วมทำไม แม้มากหรือน้อย ก็จะไปร่วมทำไม หากช่วยคนผิด ก็ไม่บริสุทธิ์ ขอขอบคุณ คุณเจริญ ที่ให้เอาชื่อ มายกตัวอย่าง ไม่ว่าคุณเจริญ หรือคุณเฉลียว ที่เอาชื่อ สัตว์เดรัจฉาน มาตั้งชื่อน้ำเมา ทั้งช้าง ม้า อีกหน่อย ก็เอาเหี้ย มาเป็นยี่ห้อสิ เบียร์เหี้ย หรือไดโนเสาร์ หรือว่าปลาวาฬ จะไปส่งเสริม สิ่งมอมเมา กันทำไม แล้วมานั่ง นับศพกัน จะอนุญาต ให้ขายทำไม แม้อิสลาม ไม่อนุญาต เขาก็ลักลอบ ก็ปราบกันไปสิ พูดยาก ดีไม่ดี ก็สร้างศัตรู ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ไม่มีเจ๊งอยู่แล้ว มีแต่ตาย อย่างตนเอง ไม่กินน้ำเมา รู้ว่าไม่ดี แต่ไปมอมเมาคนอื่น อำมหิตเลือดเย็น ขนาดหนัก

ฉันเดียวกับคนที่แฝง ไปสร้างอาหาร ที่คนต้องกิน แล้วซ้อนสารเคมีให้อีก ธรรมชาติไก่ มันก็มีธรรมชาติ แต่ไปสร้าง ใส่สารเคมี ให้มันอายุสั้น แล้วก็มี ให้มันไข่ๆๆๆ พอมันไม่ไข่ แล้วก็เอาเนื้อไปขายอีก แพร่สารเคมี ที่ตนเอง ใส่เข้าไปเอาไข่ ให้คนกิน แล้วเกิดโทษภัยอีก  บาปซ้ำซ้อน เอาทุกเศษ ไปหาเงินมา เพื่อยิ่งใหญ่ ในประเทศ นี่คือ ความอำมหิต เขาไม่รู้ตัวเขา ถ้าไม่หยุด ก็บาป เขาไม่รู้ตัว อวิชชา หากเขาไม่เลิกก็บาป เขามีบาปมาก ก็ไปนรก แน่นอน เป็นสัจจะ

ขณะนี้เขาก็พยายาม แนะสังคม เขาไม่หยุดหรอก เขาจะต้องหาวิธี แพร่ไปอีก เขาเลี้ยงทั้งไก่ กุ้ง ปลา หมู และอีกหลายอย่าง เขาจะเอาหมด เอาสารเคมี ใส่เข้าไปอีก แล้วคนติดอยู่เท่าไหร ่เขาก็เอาเท่านั้น ให้สีให้รส ให้กลิ่น ตามคนติด ปรุงให้คนติด เป็นพิษมากขึ้น เพราะคนติดจัด มากขึ้น ก็เสริมเคมี เข้าไปอีก ถ้ากินเนื้อสัตว์อีก ไม่นาน พวกนี้กินไม่กี่วัน ก็เป็นมะเร็ง แต่ก่อนนี้ คนเป็นมะเร็ง ก็ต้องอายุ ๔๐ ปีขึ้นไป แต่ตอนนี้อายุ ๒๐ ก็เริ่มเป็นแล้ว นี่คือ พิษเคมี ที่เขาแพร่ในอาหาร เรามากินอย่าง หินผาฟ้าน้ำ นี่ปลอดภัย ไม่ได้เกลียดนะ สงสารด้วย  เขามอมเมา แม้แต่ลูกเขาเอง ให้ความเฟ้อบำเรอ อย่างสุรุ่ยสุร่าย ของเขามีแต่บำเรอ อารมณ์ตนเอง ไม่สมใจ ก็รื้อทิ้ง ไปเอาใหม่อีก ไปเรื่อยๆ

ทุกวันนี้อาตมา ตายวันตายพรุ่ง ก็ได้แล้ว โลกุตระ ได้หยั่งลงแล้ว มีคนสานต่อแน่ ที่อาตมาต้อง กระเสือกกระสนอยู่ต่อ เพื่อจะสืบสาน พวกเราก็อาศัย ร่มโพธิ์ร่มไทรนี้ต่อ เพื่อสืบสานศาสนา .. มาเถอะมารีบมา อยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้า และจอบเสียม เพลงนี้มีคนเอาไปใช้ต่อ ไม่มากนักเลย

เมืองไทยนี้จะเป็นชมพูทวีป หากมาช่วยกัน มันก็เร็ว ทรมานน้อย แต่ถ้าไม่มาช่วยกัน มันก็จะช้านาน ทรมานนาน นามธรรมเมืองไทย มีโลกุตระ มีอเทวนิยม แต่อเทวนิยม ไม่ใช่ไม่รู้จัก ไม่มีพระเจ้า แต่ว่าทำตน ให้มีวิญญาณ พระเจ้าได้ อรหันต์นี่ เป็นหนึ่งเดียว กับพระเจ้า แล้วเป็น โพธิสัตว์ ตามลำดับ ที่สุดเป็น พระพุทธเจ้า สูงสุดเป็นพระเจ้า ที่สุดยอดที่สุด มีทั้งรูปและนาม หากมีแต่นาม ก็เป็นเทวนิยม แต่นี่มีโพธิสัตว์ ไปตามลำดับๆ มีถึงเป็น พระพุทธเจ้า หรือ ปัจเจกพระพุทธเจ้า คือ ไม่มาประกาศศาสนา แต่รีไทร์ตนเองไป มีสองอย่าง คือมีวิบากกรรม อย่างพระเทวฑัต ได้อย่างเก่งก็แค่ ปัจเจกพระพุทธเจ้า ไม่มีสิทธิ์ ประกาศศาสนา หรือว่าท่านมีสิทธิ์ ประกาศได้ แต่ท่านไม่ประกาศศาสนา แต่ท่านมี สัมมาสัมโพธิญาณ เท่ากับ พระพุทธเจ้าเลย

ชมพูทวีปยุคใหม่ จะเป็นการเริ่มต้น ศรีอาริยเมตตรัย แต่อย่าหลงตัว หลงตน หรือหลงว่า มีตัวตน บุคคลเราเขา ผู้อาริยะที่รู้จริง จะไม่พูดว่า ใครเป็น ศรีอาริยเมตตรัย แท้จริง เพราะอธิบายยาก เหมือนเอาน้ำ รดหัวตอ พูดให้คน อวิชชาฟังนี่ ยิ่งกว่าน้ำรดหัวตอ พูดเข้าแต่หู ไม่เข้าใจ บางทีหูไม่รับ หรือ รับนิดเดียว ก็เขี่ยทิ้ง ในคนอวิชชา มันก็เป็นลำดับ ของความจริง อาตมา ก็ให้สัญญาณ ว่าไทยมีสมบัติวิเศษ หยั่งลงแล้ว ต่อไปจะเป็น ชมพูทวีป ส่วนตะวันตกนั้น ถึงจุดเสื่อมแล้ว จิตวิญญาณ คนทั่วโลก รู้แล้วว่า ประหารกัน ด้วยอาวุธนั้นเลย อาวุธจะยิ่ง ขายได้ยาก เขาจะหยุด ด้านเสื่อม ร้ายแรง จะเพลาแล้ว การทำอาวุธขายจะไม่ได้แล้ว เขาจะเอา ความเมตตา เอื้อเฟื้อกัน ด้วยจิต ผู้เก่งอาวุธ จึงหมดสิทธิ์ มีอำนาจต่อไป วิญญาณมนุษย์ หยุดแล้ว บังคับเขาไม่ได้ คนจิตวิญญาณดี มีมากพอแล้ว เช่นฝ่ายแดง จะตั้งเสรีไทย หรือ มีไฟสุมขอน ในไทย ก็สู้ขี้เถ้าได้หรอก อีกหน่อย ก็ไฟมอด ข้างนอก ก็ไม่ยอมรับ สังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไปเดินสาย ก็ได้คะแนน ที่เหลือ ที่เขาดิ้นอยู่ ก็คือลมหายใจ เฮือกสุดท้าย กำลังจะขาด ให้มาร่วมมือ เสริมกำลังกัน เราไม่ไป ลงมือหรอก แต่ตัดท่อน้ำเลี้ยง ตัดมือไม้บ้าง ให้เขาตายเอง ด้วยโรค อะไรที่พอทำได้ ทำไป หลายๆอย่าง เท่านี้ อาตมาว่า ก็จะเข้าใจทำได้ ประเทศไทย ไปได้ฉลุย อย่าเงื้อง่า ราคาแพง จะกลายเป็น ราคาถูกไป หากเงื้อนานไปนะ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนปุพพัง คมาธัมมา จิตเป็นประธาน ของสิ่งทั้งปวง มนุษย์เลวร้ายสุดแล้ว อย่างไรคนจะรู้ตัว ก็จะมาเป็นมวล ทางนี้หมด ส่วนมวลคนเลว จะน้อยลง หากจะให้สุขสบายเร็ว ก็ต้องมาช่วยกัน ย่นย่อมาที่หินผาฯ หากคนตัดโลกีย์มา ก็จะสบายเร็ว มาตายกับดี ดีกับตาย มีแต่เจริญ แต่ถ้าอยู่กับชั่ว ก็มีวิบากดึงไป การตายแต่ละชาตินี่ เป็นเรื่องเล็ก แต่ อยู่กับดี ดีกับตายนี่ เรื่องใหญ่กว่า แล้วจิตวิญญาณ จะเป็น มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา สำเร็จด้วยใจ ...มาเถอะมา อย่าช้า... ช่วยจิตวิญญาณ มนุษย์ได้ ก็จะมาช่วยฟื้น ดินน้ำไฟลม พีชะ ของคนที่ไม่ดี ก็จะเจริญ ดินน้ำไฟลม จะสังเคราะห์ เพราะมีคนช่วย แต่ทุกวันนี้ ก็ทำลายกันไป มากเลย หลอกคนอื่น ให้กินของที่ตนโด๊ป สารเคมี เขาทำเขาบาป เราไม่ทำ ก็ไม่ต้องกังวล เราทำอย่างธรรมชาติ อาตมาบอกว่า สามอาชีพกู้ชาติ คนงง ว่าขยะวิทยา จะกู้ชาติได้อย่างไร อาตมาก็พยายาม พาทำกัน อาตมา ตั้งอุดมศึกษา จะตั้งคณะ ขยะวิทยา จะมีการเรียน ในคณะนี้ หลายวิชาเลย จะมาปรับ ทุกอย่าง ที่อะไรรวมมา เป็นขยะ แล้วเราเอามาปรับใช้ซ้ำ แก้ไขซ่อม หรือสังเคราะห์ใหม่ จนใช้ไม่ได้จริง ค่อยทิ้งไป ให้อาศัยทั้ง สัตว์พืช มนุษย์ ตัวมนุษย์นี่ร้ายหรือดี ได้มากที่สุด เรามาระงับ มนุษย์ที่ร้าย สร้างมนุษย์ที่ดี ไปช่วย สัตว์ พืช คน และทั้งโลกเลย …. ใครจะหมดเนื้อหมดตัว เข้ามาอโศกเลยก็ดี แต่ถ้าใคร จะมีเนื้อเหลืออยู่ ตามฐานะ ก็เข้ามา เราต้องการ พลพรรคเนื้อแท้ อาริยบุคคล เข้ามารวมตัวกัน อย่างหนุ่มสาว ก็อย่าไปสงสัย ว่ายังไม่เคยมี สิบล้าน ร้อยล้านเลย มันก็อย่างนั้นแหละ อย่างสมัย พระพุทธเจ้า ปู่ของวิสาขา ชื่อปุนนะ รวยขนาด ให้เงินวิสาขา ไปสร้างเมืองเลย รวยขนาดไหน? แต่ปุนนะ นี่เป็นเศรษฐี ลำดับ ๖ ของยุคนั้นนะ แล้วรวยกว่า บิลเกตสมัยนี้ ขนาดไหนล่ะ อย่างทักษิณนี่ อาตมาเคยมอบเรือ กับกลด ให้เขานะ รับกลด จากมืออาตมานะ แต่เขาไม่ใช้หรอก เขาใช้เงินกับ เครื่องบินเขาแหละ ก็ยังหวังว่า ก่อนเขาตาย จะได้สำนึก เพราะเขา ได้สร้างบาป มากเกินมากแล้ว ผู้สำนึก เป็นลิ่วล้อ ก็กลับตัว มาช่วย ประเทศชาติเสีย....