580108_เทศน์ก่อนฉัน สีมาอโศก  
เรื่อง ข้างนอกคือความจริง ข้างในคือความจำ

พ่อครูว่า... อาตมาก็สัญจร มาถึงสีมาอโศก ก็สัญจรมาที่ป่าติ้ว แล้วไปหินผาฯ แล้วไป วังน้ำเขียว แล้วค่อยมา สีมาอโศก แข่งกับหญิงลี เขายังสาวสด แต่อาตมาก็สดนะ อย่านึกว่าแห้ง อาตมาก็สดๆ ไม่ยอมแก่ วันนี้อายุ ๘๐ ปี ๗ เดือนกับ ๑ วัน ถ้านับวันที่ ๕ ก็ ๔ วัน ไปดูที่บ่อหิน เขาบอกว่า มีหินแกรนิตที่เขา น่าจะเอาไปทำพระพุทธรูป เราก็มีแบบ พระพุทธรูป ปางวิชิตอวิชชา ปางใหม่ อาตมาก็คิดเองว่า ยุคนี้ต้องใช้ปางนี้ ใครมองมาจากข้างล่าง จะเห็นหินแกรนิตดำ มีแสงแวววาม ตอนแรก เราบอกว่า จะสร้างหินทราย เราเคยสร้าง พระพุทธาภิธรรมนิมิต มาแล้ว เป็นหินทราย ทำมือเป็นรูป ที่ทางโลกเขาหมายถึง I love you.ภาษาจีนว่า ขันจอหว่อ หรือภาษาไทยว่า ฉันรักเธอ ยกมือมี ๓ นิ้ว เรียกว่า ตรีลักษณ์ ลักษณะ ๓ คือโลกุตระ (เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ (เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

พระพุทธรูป สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เคยเอาไปออกงาน ในการชุมนุมมาแล้ว เป็นแบบจำลอง แล้วเราจะสร้างองค์จริง ที่บ้านราชฯ แล้วคนเขา ก็บอกว่า มีบ่อหิน แกรนิตดำ ที่จะใช้สร้างได้ สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา นี่จะสร้างโดย ชาวอโศก ที่เป็นคนจน แล้วจะสร้าง วัตถุที่ใหญ่ แต่ทำโดยคนจน ชาวอโศก เป็นคนจน ใช้เลือดปูในการสร้าง แล้วเลือดปูนี่ มีน้อย เป็นเลือดพิเศษนะ อันนี้ก็จะสร้าง สมเด็จปู่ ราคาหลายพันล้านนะ เงินก้อนขนาดร้อยล้าน อาตมาก็ไม่เคยจับ อย่างเก่ง ก็สิบล้าน แตะปั๊บ หายปุ๊บ ไม่เคยอยู่กับอาตมา นานหรอก หมุนเวียนเลย ไม่เคยกัก สะพัดเร็ว เป็นนักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่ง แต่เราจะสร้างด้วยพลังจน

แล้วเรามีหลักปรัชญาชีวิตแท้เลยว่า ๑.ไม่เป็นหนี้ ๒.พึ่งตนรอด ๓.ทำเหลือกินเหลือใช้ ๔.มีมากเผื่อแผ่แจกจ่าย เราทำโดยเอาเลือดเนื้อตน ทำอย่างอุดมสมบูรณ์ เจริญงอกงาม มีมากก็แจกจ่าย จำหน่าย การจำหน่ายจ่ายแจก เราก็ไม่เอาของเรา ไปเอาเปรียบ เอากำไร ไม่ขูดรีดทุจริต ที่เรารังเกียจ ขายถูกเพื่อช่วยสังคม ขายอย่างขาดทุนด้วย แต่อยู่ได้ ขายต่ำกว่าทุน

ถ้าเรายังไม่สามารถ ขายขาดทุนได้ ก็จำเป็น ก็ขายต่ำกว่า ราคาตลาดให้ได้ ต่ำกว่าได้เท่าไหร่ ยิ่งเป็นบุญนิยม จนที่สุด ก็ขายเท่าทุน หรือขาดทุนได้เลย ถ้าขายสูงกว่าราคาตลาด หรือแม้เกินทุน ก็ยังบาปอยู่นั่นแหละ พวกทุนนิยม ที่ว่าให้ทำแบบ maximize profit นั่นมะเร็ง บวกเอดส์ กินหัวเลย

เราสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่เบียดเบียนใคร แล้วทำให้มาก เราก็เหลือ แล้วแจกจ่าย หรือขายราคาต่ำกว่าทุนได้ หรืออย่างน้อย ต่ำกว่าราคาตลาด ที่ถือว่ายังบาป จนที่สุด ขายเท่าทุน ก็คือเจ๊ากัน ไม่บาปไม่บุญ แต่ว่า ถ้าขายต่ำกว่าราคาตลาดได้ ก็คือเป็นบุญแล้ว ในหลวงว่า ให้ทำอย่าง ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา จนที่สุดแจกฟรีได้ จึงเป็นที่สุด ทำด้วย เมตตาเกื้อกูล ไร้เล่เหลี่ยม ทำด้วยใจเป็นสุข อย่างมีปัญญา นี่คือ ความเจริญประเสริฐ ของมนุษย์ อย่างแท้จริง

เราก็ทำสำเร็จด้วยสูตรทฤษฎีนี้ จึงเกิดมนุษย์แบบนี้ เป็นหมู่กลุ่ม ผู้ทำได้ก็มั่นคง ถาวรยั่งยืน เพราะว่า ลดกิเลสเห็นแก่ตัว หมดตัวหมดตนได้ เราก็เห็นแก่ผู้อื่นได้จริง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นได้แล้ว มีปัญญารู้ซ้อน เห็นจริงเลยว่าดีจริง ทั้งปัญญา และเจโต เป็นอย่างนี้ได้จริง ว่าประเสริฐดี สุขสงบ ไม่ก่อโทษภัย เป็นคุณถ่ายเดียว จึงแน่วแน่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ทำได้แล้ว เป็นสุขด้วย มีประโยชน์คุณค่า เรามีหมู่กลุ่มด้วย แม้ใครจะแก่ จะตาย ก็พึ่งพากันได้ คนก็มั่นใจว่า ขนาดคนสายเลือดเดียวกัน ก็ยังไม่ได้ ขนาดนี้เลย ขนาดนี้ มาจาก คนละเผ่าพันธุ์เลย ก็มาได้ ขอให้มีจิตใจ อันเดียวกัน ก็ช่วยกันได้ นี่คือหลักใหญ่ ของสังคม แล้วมีทฤษฎี วัฒนธรรมแบบนี้ มีระบบแบบแผน มีคนมีปัญญา ทั้งรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ยืนยันว่าทำได้ แม้โลกมีกิเลสหนา ไม่โกรธกิเลส เขาจะคิดร้ายเรา เราก็ไม่ทำร้ายตอบ เราสู้ด้วย สัจธรรมความดี ไม่เอาความร้ายไปสู้ ไม่เอาความคดโกงไปสู้ สู้ไม่ได้ก็ยอมแพ้ ทำดีที่สุด ถูกที่สุดแล้ว อาตมาเจอมาแล้ว อาตมาทำถูกต้อง ก็ยังถูกหาว่าผิด เราก็แพ้ ไม่เป็นไร แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง

เราก็ทำมา อย่างมีอัตรา ก้าวหน้าได้ คนมีปัญญาเข้าใจได้ ก็มาเอา จนกระทั่ง มายืนอยู่วินาทีนี้ อาตมาก็ทำต่อ ตั้งปณิธานว่า ยังไม่ยอมตาย

แกนหลักของศาสนาพุทธ อยู่ที่ รูป กับ นาม

รูปคือสิ่งที่เป็น อุตุนิยาม เป็น สสาร วัตถุพลังงาน ที่ยังไม่เกิดชีวะ สิ่งเหล่านี้ ไม่มีนามธรรมอยู่ จึงไม่รับรู้อะไรได้ มีดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ แล้วมีอีกธาตุ คือวิญญาณ ที่เป็น นามธรรม ถ้านามธรรมไปร่วมกับ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ รวมกับนามธรรม เป็น ๖ ธาตุ เรียกว่า กาย เรียกว่า กายวิญญาณ เมื่อทำงานกันเข้า จัดการกันเข้า ก็เรียกว่า สังขาร ประกอบการ ทำงาน จัดการ  ปรุงแต่งกัน ก็เรียกว่า กายสังขาร

คนอวิชชา จะไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้จักกาย แล้วก็ไปเรียนวิญญาณ อย่างเทวนิยม ว่าวิญญาณ ไม่มีใครรู้ได้ เป็นสิ่งต้องห้าม ถ้าจะติดต่อ กับวิญญาณ ก็มีแต่พระบุตร ที่จะติดต่อกับ วิญญาณได้ นอกจากพระบุตร ไม่มีใคร ติดต่อกับ พระเจ้าได้ คนอื่น จะทำอย่างใดไม่ได้ ต้องให้พระบุตร มาบอก โองการพระเจ้า แต่ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เช่นนี้ ความคิด แบบพระเจ้า มีจริง ในคนระดับหนึ่ง ที่จะศึกษา แล้วจะต้อง ทำตามพระเจ้า อย่างเข้มงวด ซื่อสัตย์ ได้ประโยชน์ อย่างสูงสุด ตามเทวนิยม แล้วจะอยู่ อย่างนั้น นิรันดร ลัทธิเช่นนี้ ก็มีอยู่ พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกอย่าง ส่วนศาสนาพุทธ รู้จักพระเจ้าดี ก็เอาอำนาจพระเจ้า มาทำเอง แล้วเรียนรู้ ตั้งแต่พระเจ้า องค์เล็กๆ เรียกว่า โสดาบัน พระเจ้าโตขึ้น ก็เรียกว่าสกิทาคามี เจริญเป็นคุณธรรม ของพระเจ้าจริงๆ เป็นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นความไม่เห็นแก่ตน เริ่มต้นเห็นแก่ส่วนรวม มากกว่า ส่วนตนขึ้นมา หนึ่งในสี่ ก็เป็นโสดาบัน พอเห็นแก่ตน สองในสี่ ก็เป็นสกิทาฯ พอเห็นแก่ตน เหลือหนึ่งในสี่ ก็เป็นอนาคามี พอไม่เห็นแก่ตนเลย ก็เป็นอรหันต์ คือพระเจ้ารอบที่ ๑ แล้วจะเป็นโพธิสัตว์ต่อไป เป็น อนุโพธิสัตว์ อนิยตนโพธิสัตว์ เป็นนิยตโพธิสัตว์ เป็นมหาโพธิสัตว์ต่อไป มีรูปนาม ครบถ้วน เป็นองค์ประชุมของกาย ของพรหม คือกายของพระเจ้า พรหมกาย หรือเรียกว่า ธรรมกาย คำว่า ธรรมกาย ตอนนี้ คนกำลังเอาคำว่า ธรรมกาย ไปหลอกชาวบ้าน ว่าตนคือพรหมกาย, ธรรมกายคือ กายของพระเจ้า นี่เป็นเท็จ อาตมาพิพากษาเลย พระพุทธเจ้าว่า ธรรมใด วินัยใด เป็นไปเพื่อความมักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต แม้ในหลวงเรา ก็ยืนยัน ให้มามักน้อย มาจน  อย่าหลงทาง ต้องชัดเจน ในวิถีพุทธ ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็น ทำลาย ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต่อไป แล้วจะใช้เป็น ลัทธิลวงโลก ต่อไปอีก

เมื่อผู้มีปัญญา รู้จักองค์ประชุม ทั้งวิญญาณ อากาศ ดิน น้ำ ไฟ ลม ครบ ๖ ธาตุ มีกายครบ ก็จะรู้จักสังขาร วิญญาณ ส่วนผู้มิจฉาทิฏฐิ มีอวิชชา จะไม่รู้จักสังขาร เพราะเป็น อันเดียวกันหมด อวิชชาก็คือสังขาร คือวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรา มรณะฯ ดับชาติได้ ก็หมดทุกข์ ชาติปิ ทุกขา รู้ชาติ ๕ ประการ คือชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

อากาศเป็นเครื่องเชื่อม ระหว่าง ดิน น้ำ ไฟ ลม กับวิญญาณ อากาศ เป็นฐานเชื่อมต่อ ซึ่งรูปรูป ก็คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ แต่ว่าแม้มีนามธรรม ไปแตะอยู่ แต่ยังไม่สังขาร ไม่คนไม่กวนกัน ก็เป็น รูปนาม พอเริ่มทำงาน ปรุงกันเข้าจะมีเรื่องราว เป็นเรื่องโลกแตกเลย จากมหาภูตรูป ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ส่วนคำว่า อากาศนั้น ตัดไว้ก่อน เอาไว้ในรอบ ที่ตัดรอบ ปริเฉทแล้ว จนทำปริเฉท ถึงรอบที่เป็น อากาสธาตุ แล้วรวมปริเฉท มาก็เป็นบริบท หลายบริบท ก็รวมเป็นเครือแห รวมสานต่อกันไป เต็มรูปเต็มกรอบ องค์รวม holistic แต่ละคนๆ ก็ของใครของมัน องค์รวมกาโย ของใคร ก็ของมัน หรือจะเรียกว่า แต่ละ concept ของแต่ละคนไป เป็นกาโย

สิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่ารูป ตั้งแต่วัตถุ ที่ไม่มีนามธรรม เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ไม่เคลื่อนที่ หรือเคลื่อนที่ ก็ตามจริง เราก็เรียนรู้ไป เป็นอุตุนิยาม จนมันเริ่มเข้ามาสัมพันธ์ เป็นรูปนาม ไม่ทำปฏิกิริยา สังเคราะห์สังขารกัน แต่พอเริ่มมีนามธรรม ที่มีเรื่องมาก ทั้งร้ายทั้งดีได้ ก็เกิดเป็นกาย กายจึงมี สภาวะของ จิต มโน วิญญาณ ทำงานแล้ว ไม่ใช่ว่า แปะกันเฉยๆ พอเริ่มทำงาน ก็เรียกว่า สังขาร มันแตะกันเฉยๆ ก็ไม่เรียกว่ากาย

ผู้ที่สามารถรู้จักสังขาร (สังขาร ๓)  กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร อันไหนทำได้ยากที่สุด ตอบ...วจีสังขาร รู้ได้ยากที่สุด จะรู้ต่อเมื่อ คุณทำนิโรธได้ จึงรู้จัก วจีสังขารจริง เพราะวจีกรรมนี้ เป็นสิ่งภายในจิต ไม่ใช่วจีกรรมภายนอก เป็นพฤตินามธรรมในจิต จิตสังขาร วจีสังขาร อยู่ในกายสังขาร ซึ่งจิตสังขารใหญ่ที่สุด ในเชิงนาม ส่วนกายสังขาร ใหญ่ที่สุด ในเชิงรูป แล้วเวลาเรียน จิตสังขาร ก็ละเอียดกว่า ส่วนกายสังขาร ก็หยาบกว่าใหญ่กว่า พระพุทธเจ้า สอนให้เราเรียน ตั้งแต่หยาบ เข้าหาละเอียด

ความจริงที่ พระพุทธเจ้าสอน ให้ทำหยาบ ไปหาละเอียด จะงามเหมือน ฝั่งทะเล ที่ลาดลุ่มไปเป็นลำดับ ใครไปเริ่มที่ ข้างในก่อน เอาละเอียดก่อน คือตีลังกาลึก สู่เหวหิน ตายเลย ไม่ได้หรอก ต้องเอาข้างนอก เข้าหาข้างใน ข้างนอกจึงชื่อว่า ความจริง ส่วนข้างใน คือความจำ  ใครเริ่มที่ความจำก่อน ก็ตายเปล่า ใครเริ่มที่กายก่อน ก็ถูก ต้องสัมพันธ์กับ มหาภูตรูป ๔ แล้วเรา ก็มีประสาท ทั้ง ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทุกส่วน เรียกว่ากาย สัมผัสก็เกิด ความรู้สึกรวม เรียกว่า โผฏฐัพพารมย์

เมื่อสัมผัสนอก มีนามธรรมรับรู้ มีวิญญาณ ก็เกิดกาย กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณ การปฏิบัติ ต้องมีทั้ง นอกและใน แล้วมีการโคจร คือรูปกับนาม เริ่มทำงาน ดินน้ำไฟลม กับวิญญาณธาตุทำงาน วิญญาณใช้ประสาท ในการรับรู้สึกทำงาน แต่ถ้าแตะกันเฉยๆ แต่ไม่รับรู้ ก็ไม่เกิดการทำงาน ไม่โคจร ไม่ดำเนินบทบาท ต้องมีปฏิกิริยา ดำเนินบทบาท จึงเป็นกาย เป็นวิญญาณ

พอปสาทรูป ทำงานกับโคจรรูป ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทำงานร่วมกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็เกิดวิญญาณ เรียกว่าสัมผัส หรือ ผัสสะ ๓ ครบ รูปนาม เป็นพลังงาน สามเส้า หมุนเป็นวนโลก เรียกว่าโลก หรือ cyclic order ทำงานแล้ว ระบบของมัน จะเป็นองศา ถ้าองศาต่ำ ก็จะเป็นวงรี วงเบี้ยว แต่ถ้าองศาใคร ได้ระดับมากขึ้น ก็จะเป็นวงกลมดี ไม่มีตัวต้านเลย หมุนวนอย่างราบรื่น

เมื่อเกิดสามเส้า ตากระทบรูป เกิดวิญญาณ เป็นหนึ่งวงจร ก็อยู่ในตน ไม่เกี่ยวกับใคร เป็นอารัพธาตุ อารัมภธาตุ นิกกัมธาตุ พอเริ่มมีจุดที่สี่ เป็น ปรักกัมธาตุ พอมีเพิ่มเป็นห้า เป็นหก ก็เป็นสามเส้า สองอัน แล้ว จนเป็น เส้าที่สาม ก็เป็น๙ แล้วเริ่ม ๐ ใหม่ เริ่มวงจรใหม่ ที่แตกไปจากเดิมอีก ถ้าจะจบเป็น ๐ ก็ได้จบ ไม่ต่ออีก ใครรู้ทิศทางไปหา ๐ ก็เป็นโลกุตระ แต่หากใครไม่เข้ากระแส ไม่รู้จักทิศทางไปหา ๐ ก็จะบานไป ไม่รู้จบ

ขีดที่คุณรู้กระแสทิศทาง เรียกว่า โสตาปันนะ เรียกว่า มีจิตที่ทำให้ เข้าสู่ทิศทาง โลกุตระแล้ว ทำได้เริ่มเป็น โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหัตตมรรค แล้วก็ไม่มีทุกข์แล้ว สบม. ทมด. ปกต. หห.จจ.

ผู้เข้าใจกระแสโลกุตะ ต้องมีความเข้าใจ โลกียธาตุ โลกุตรธาตุ แล้วธาตุ เหล่านี้ ไม่ใช่แค่ธาตุวัตถุ ธาตุวัตถุไม่พาไปโลกุตระ แต่ขาดไม่ได้ กายนี้ ไม่ได้แปลว่าร่าง แต่เป็นองค์ประชุมรูป นามที่ขาดร่างไม่ได้ แต่เน้นที่นาม

พวกนั่งหลับตาสมาธิ เขาก็ให้รู้จิตนะ รู้นิวรณ์ ๕ แต่ก็ได้แต่ความจำ นึกคิดได้ ไม่ใช่สัมผัสของจริง ไปหลงจินตนาการเยอะ ยิ่งไปยึดเอาแต่ สิ่งไม่จริง ไปยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งไม่จริง แม้สิ่งจริงพระพุทธเจ้า ก็ไม่ให้ยึดถือ แต่ให้อาศัยได้

กายสังขาร มีองค์ประกอบครบ ทั้งรูปและนาม นอกและใน มีรูป ๒๘ ครบ
โคจรรูป นั้น ตัว ค คือตัวเคลื่อนที่ เดินทาง ถ้าเดินทาง แล้วปักหลัก เรียกว่า คห แต่ถ้าเดินทาง แล้วไปรวนอยู่ ไม่นิ่งเป็นคณ หรือเรียกว่า คน

ผู้เริ่มมีวิชชา จะเข้าใจสังขาร แล้วสังขาร คืออะไร? คนที่เข้าใจสังขาร คนนั้นเริ่มมีวิชชา อ่านเริ่มแต่กายสังขาร มีโคจรรูป ปสาทรูป ทำงานร่วมกัน มีวิญญาณปรุงแต่ง เป็นสิ่งปรากฏ ให้เราสัมผัสรู้ได้  ปสาทรูป ทำงานร่วมกับ โคจรรูป เกิดปรากฏการณ์ภายนอก เรียกว่า phenomenal เราสัมผัสได้เป็นกาย เป็นองค์ประชุม ทั้งนอกและใน เกิดโอฬาริกอัตตา แล้วเราก็มาพิจารณาภายใน คือนามธรรม เน้นมาพิจารณาที่นาม ก็เรียกว่า กายในกาย ซึ่งมี เวทนาในเวทนา มีจิตในจิต มีธรรมในธรรม

กายในกาย ก็เลื่อนมาเป็นเวทนา ตัวเวทนาสำคัญคือ สุข ทุกข์ อุเบกขา ให้อ่านของตนให้ออก เป็นปัจจัตตัง เป็นเอโก ของตนเฉพาะตน ไม่ใช่ ไปแส่อ่านคนอื่น มีตาทิพย์รู้คนอื่น ทำนาของคนอื่น เราก็ไม่ได้ เราทำนาของตนสิจึงจะได้ของตน 

เวทนาก็คือกาย จิตก็คือกาย ธรรมะก็คือกาย อาตมาอธิบาย ธรรมะ หลากหลาย เป็นหนึ่งเดียว จากหนึ่งเดียว เป็นหลากหลายได้นะ เวทนา แยกเป็น ๓ แตก ๓ เป็นเวทนา ๕ คือความต่าง ระหว่าง มากหรือน้อย ดีกรี น้ำหนักของมัน เบาหรือแรง หนาหรือบาง คือความต่าง ในเนื้อตัว ของมันเอง

มาเป็นเวทนา ๖ เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เกิดสุข ทุกข์ เกิดที่ทวาร ๖  เรากำลัง จะดับทุกข์ ให้เกิดไม่สุขไม่ทุกข์ เราก็มาเรียนรู้ เหตุให้เกิดทุกข์ เรียกว่า อกุศลจิต ที่เป็นตระกูลใหญ่ คือ โลภ โกรธ หลง ตัวหลงนี่ เอาไว้ก่อน เอาโลภ กับหลงก่อน โลภะคือ เอามาเป็นของตน ส่วนราคะ เอามาเสพรสแก่ตน ในอนาคามี ไม่มีโลภ และราคะภายนอก เหลือแต่ราคะ ภายใน เป็นแค่รูปจิต ส่วนโลภะนั้น เอาแม้แต่รสด้วยนะ เป็นกายของผีใหญ่ ฆ่าผีนอกให้หมดโลภะ เหลือราคะให้ฆ่าต่อไปอีก

ก็อ่านวิญญาณผี สัตว์นรก เทวดา ถ้าเป็นทุกข์คือผี คือนรก ส่วนเทวดา ให้อารมณ์สุขก็ยังดี เป็นแบบโลกีย์ เป็นสมมุติเทพ เช่นได้เงินมากก็ดี ได้รูปสวยก็ดี กลิ่นหอมก็ดี กลิ่นขี้มันเหม็น ก็ไม่ดี ก็เป็นสมมุติสัจจะ รู้ร่วมกัน สุขโลกียะ คือสมมุติเทพ แต่สูงกว่า สมมุติเทพ คืออุบัติเทพ คือทำให้กิเลสลดได้

สุขเพราะลด รสโลกีย์ได้ หรือทุกข์เพราะลดโลกีย์ได้ ก็เรียกว่า เนกขัมมะ (ไม่ใช่แค่ออกบวช) เมื่อลดกิเลสได้ ก็เข้ากระแส กายของผีก็ตาย กายของเทวดาโลกีย์ ก็ลดลง ตายลง ผู้ใดมีตา รู้จักเวทนา ๑๘

เคหสิตเวทนา คือได้สมใจ หรือไม่ได้สมใจโลกียะ หรือเฉยๆ อย่างพักยก ไม่ได้เกิดจาก การลดกิเลส อุเบกขาโลกีย์ อย่ามาลวงเรา ต้องรู้ให้ทัน จับให้ได้ เมื่อทำเนกขัมมะได้ ทำให้เกิดจิตอุเบกขา ที่เป็นฐานมัชฌิมา เป็นกลาง จะรู้อนุโลมกับชั่วได้ ทำงานร่วมกับชั่ว ให้เขาไม่ทำชั่วต่อ หรือไม่ได้ ก็เลี่ยงเสีย ถ้าเขายินดีให้ยา ก็ให้ยา คนไหนให้ยาแรงได้ ก็ใช้ยาแรง คนไหนไม่ยอมให้ให้ยา ก็แทรกยาทิพย์ เข้าขุมขน อาตมาใช้นะ แต่ก็มีคนดื้อยาด้วย

เมื่อเวทนา ๑๘ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่มีทั้งสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็คือ ๑๘ เป็นมโนปวิจาร มีแบบเคหสิตะ คือแบบโลกๆ หรือแบบเนกขัมมะ คือแบบ โลกุตระ เราต้องตัดรอบ ทำทีละ ปริเฉท ทีละอย่าง ทีละรอบ ในศีล ๕ นี่เป็นกรอบแรกเลย ขั้นแรกเลย ทำให้ได้ เมื่อสามารถเข้าใจ มโนปวิจาร สองข้างนี้ ตั้งแต่ศีล ๕ ทำได้ก็สบายขึ้น เราไม่ฆ่าสัตว์ใดเลย ไม่กิน เนื้อสัตว์เลย เราก็ไม่ตาย สุขภาพดีด้วย ยุคนี้ปฏิบัติธรรม เข้าใจง่าย เวทนาในเวทนา ก็คือ แยกมโนปวิจาร ๑๘ สองข้างนี้ได้ เรามีกรอบศีล ๕ แล้วจับสักกายะ ให้ได้ว่าคือผี คือศัตรูตัวร้าย ที่ทำเราทุกข์ เราก็ทำตั้งแต่ ขี่คอมันเลย วิกขัมภนปหาน ก็กดข่ม แต่ไม่ถาวร เราต้องทำอย่างมีปัญญา ว่าเอ็งไม่ใช่ตัวข้านะ เอ็งมาหลอกข้า เอ็งเป็นแขกประจำ มานานแล้ว หลงเลยว่า แขกนี่คือตัวเรา เราต้องรู้ทัน แล้วจัดการ อย่างมีปัญญา มีไฟปัญญา คือไฟฌาน ไปสลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แม้มันจะร้อน ขนาดไหน แต่ไฟฌาน ไฟปัญญา ไปสลายไฟราคะโทสะ โมหะได้ มันละลายได้เลย

สลายด้วยปัญญา เป็นวิปัสสนาภูมิ จึงเหนือชั้นกว่าสมถะ การทำลืม กดข่ม ไปเฉยๆ ไม่ใช่วิปัสสนา ทำเป็นลืมโยนทิ้ง อย่าใส่ใจ พวกนี้มี สมถะลืมตา ก็ไม่ใช่วิปัสสนา หรือพวก หลับตาสมถะก็มี ทำลืม เอาแค่จิตว่าง หนักเข้า ดื่มเหล้าด้วยจิตว่าง โกงด้วยจิตว่าง หนักเข้า ฆ่าคนด้วยจิตว่าง อย่างใน กามนิต เขาก็ว่า ทุกอย่างมีแต่ความว่าง ดาบนี่ ฟันเข้าในกายคนนี่ ก็ฟันแต่ที่ว่าง นี่พวกเฉโก

ผู้ใดแยก เคหสิตะได้ ลดกิเลสได้ แน่ใจว่า นี่คือตัวจริง ไม่ใช่ผิดตัวนะ มีศีลพรต ก็ปฏิบัติ ยิตถังให้สัมมา พิจารณาว่า มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวเรา จริงๆ มันเป็นตัวปลอม มาหลอกเรา ว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น เราก็พิจารณา จนมันลดลงไม่น่ามีน่าได้น่าเป็น ก็ได้ ไม่ต้องมีมัน เอาอันอื่น อาศัยแทนก็ได้ แม้แรกๆ จะเป็นทุกข์ แบบเนกขัมสิตโทมนัส ต้องคุมเคร่ง เป็นวิตกวิจารอยู่ เหมือนหัดขี่จยย.แรกๆ แต่ไม่มีกิเลสเข้าแล้วนะ แต่ยากลำบากอยู่ แต่ทำได้ ก็ฝึกทำอีก ก็จะชำนาญ เป็นวสีมีพลังอำนาจ จนทำได้ โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก มันดีใจที่ทำได้ เป็นอุปกิเลสซ้อน เป็นปีติ ก็มีได้ แต่อย่าไปติดมาก ให้มันแรงมาก จะเป็นภัย ให้มันน้อยลง ตัดมันให้เร็ว ขุททกาปีติ ให้มันสั้นเข้า ให้มันเบาลง ลดปีติ อย่าให้ตกผลึก ยึดมั่นถือมั่น อย่างพวกดารา พวกนักร้อง หรือนักฟุตบอล ที่ดีใจจัดมากๆ ยึดมั่น จะเป็นภัยร้าย

เราเข้าใจเนกขัมมะ คือปุริสภาวะ ส่วนเคหสิตะ คืออิตถีภาวะ เราต้องทำ ให้เป็น ปุริสภาวะ ให้มากให้สูงสุด เป็นปุริสุตตมะ ในภาวรูป ก็ต้องรู้ สองอย่างนี้ มันเกิดเมื่อไหร่ ในเหตุใด ก็จับให้ทันให้ได้ ว่าเป็นแหล่ง ที่เกิดที่อยู่ มันไม่มีที่อยู่ เป็นดิน น้ำ ไฟ ลมหรอก ไม่อยู่ที่ใดๆ แต่อยู่ที่ใด ก็คือ จิตคุณ กำหนดรู้ได้ หทยรูป จึงไม่ได้อยู่ที่สะดือ หรือที่ห้องหัวใจ แต่มีอยู่ จับให้ได้ แล้วปฏิบัติ ให้กิเลสลดได้ ปีติก็ลด โทมนัสก็ลด จนทนได้ โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบาก ในฌานทั้ง ๔ (วิตกวิจาร ปีติ สุข อุเบกขา เอกัคคตา) พอสัมผัสปั๊บ ก็ฌาน ๔ ได้เลย เป็นนิสรณปหาน ถ้าทำได้ ก็ทำทวนเป็น ปฏิปัสสัทธิปหาน ก็เป็นวสี ชำนาญ แคล่วคล่อง ตั้งมั่น สั่งสมสมาธิ ตั้งมั่นแข็งแรง

ศาสนาพุทธ ทำทุกอิริยาบถ เป็นฌาน ทำให้จิตสั่งสม อุเบกขา แข็งแรง ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ส่วนฤาษีนั้น ทำสมาธิก่อน แล้วให้เกิดฌาน อันนี้กลับทางเลย

ทำเนกขัมมะ ได้อย่างไม่หนี เคหสิตะ ทำได้ครบ ทั้งทุกปัจจุบัน ๓๖ เวทนา ให้สั่งสมเป็นอดีต ตกผลึกตั้งมั่น จนไม่เปลี่ยนแปลง เป็น สูญๆๆๆ ตลอด นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) เป็นสัจญาณ เป็นกิจญาณ ทำเสร็จตัดสินได้แล้วว่า เป็นตถตา ไม่ต้องรู้ตัวก็ กิเลสสูญ  ตถตาสุดยอด สำหรับคนทั่วไป ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยกให้เป็น ตถาคตา เป็นความจริง สุดยอดแล้ว

จบโดยสรุปอีกว่า .. พวกเรามาแสดงตัว เป็นหลักฐาน ของอาริยชน คำว่า อาริยะ มาจากศรีอาริยเมตตรัย อาตมาไม่ได้คิดคำนี้ มาเองนะ เราก็จะทำ ให้เกิด เมืองศรีอาริย์นี้ จะเกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน โปรดติดตาม ฉบับหน้า...เอวัง