580224_ธรรมาธิปไตยกับกระบวนการปฏิรูปการเมืองไทย
(วิจัยป.เอก ม.รามฯ
)

วันที่ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ คุณภิญญาพัชญ์ น.ศ.ปริญญาเอก ม.รามคำแหง มาสัมภาษณ์พ่อครู ที่ห้องกันเกรา ตึกสถาบันบุญนิยม สันติอโศก ๑๕.๒๐ น.

คุณภิญญาพัชญ์ว่า... ต้องกราบขอบพระคุณพ่อครู ที่ให้เวลา ดิฉัน (น.ส.ภิญญาพัชญ์ รัตน์พริษฐ์) เป็นนักศึกษา ปรัชญาดุษฏีบัณฑิต (สาขาวิชาการเมือง) ที่ ม.รามคำแหง ทำวิจัยเรื่อง ธรรมาธิปไตย กับกระบวนการ ปฏิรูปการเมืองไทย

ธรรมาธิปไตย เป็นหลักทางพุทธศาสนา ที่มีมาแต่โบราณแล้ว ยึดเอาความจริง ความถูกต้อง เอาผลประโยชน์ ส่วนใหญ่เป็นหลัก ในการตัดสินใจ เราจะต้องไม่อิง ผลประโยชน์ส่วนตน ถ้าเราเอา ธรรมาธิปไตย มาใช้กับ ประชาธิปไตยได้ ก็จะเกิดประโยชน์อย่างมาก

คุณภิญญาพัชญ์ถามว่า... ธรรมาธิปไตย หรือธรรมะ ที่นักการเมืองควรมี  ควรจะประกอบด้วยอะไร?

พ่อครูว่า.. อาตมาก็ตอบ ตามความรู้ ทางพุทธศาสนา เต็มที่เลย ก็ตั้งใจให้ดีเถอะ ธรรมะที่ชื่อว่า ธรรมาธิปไตย นี่มีสองคำ คือ ธรรมะกับอธิปไตย คำว่าอธิปไตย คือพลังอำนาจ ยิ่งกว่าพลัง ทางฟิสิกส์ พลังงาน ทางจิตวิญญาณ แล้วศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ใช้พลังงานทางจิต ได้สมบูรณ์แบบ

คำว่าธรรมะแปลว่า ความดีงาม คุณค่าประเสริฐ ศาสนาไหนๆ ก็ต้องการ ความดีงาม เท่าที่เขา สามารถทำได้ ส่วนของธรรมะ พระพุทธเจ้า มีเงื่อนไขว่า เป็นธรรมะ ขั้นโลกุตรธรรม

โลกุตรธรรม หมายความว่าอย่างไร? ถามว่าธรรมะ ควรมีลักษณะอย่างไร ก็ต้องบอกว่า ต้องมีโลกุตรธรรม ที่สัมมาทิฏฐิจริงๆ แล้วเราจะได้อธิปไตย ที่เป็นโลกุตระ

คุณภิญญาพัชญ์ว่า... พ่อครูกรุณายกตัวอย่าง นักการเมืองที่มีธรรมาธิปไตย อันมีลักษณะเด่นๆ

พ่อครูว่า... ก็ดูตามอาการ ที่นักการเมืองแสดงออก มีหลักฐานปรากฏ ก็พอดูได้ แต่ว่าจะวัดว่า มีโลกุตระ ก็ไม่ง่ายทีเดียว แต่ถ้าความหมายของโลก ที่รู้กันทั่วไป คือผู้เป็นนักการเมือง คือคนสุจริตซื่อสัตย์ ไม่ลำเอียง เป็นผู้มักน้อยสันโดษ มีธรรมะ คือความไม่มีกิเลส ธรรมะแท้ๆ คือความทรงไว้ ซึ่งความไม่มีกิเลส มีกิเลสนิดนึง ก็ไม่ทรงธรรมนิดหนึ่ง ตามนั้น อาตมาเป็นพุทธ ก็เชื่อว่า พุทธทำได้จริงตามนั้น แต่ศาสนาอื่น ไม่ขอพูดถึง อาตมาเป็นพุทธแท้ ก็พากเพียรศึกษามา มั่นใจว่า มีโลกุตรธรรม ถ้าจะถามตัวบุคคล เราจะดูแค่ อาการข้างนอก ก็ไม่ได้บ่งบอก โลกุตรธรรมแท้ แต่เขาทำออกมา ภายนอกเป็นผู้ที่มี ความเสียสละ ก็เห็นมาตลอด เห็นได้ชัด ถ้าคนไม่มีความโลภ มักน้อยสันโดษ ไม่สะสม มีแค่หมุนเวียนไป มีหน้าที่รับใช้ ประชาชน ประชาชนจะเลี้ยงดูไว้ ผู้ประพฤติดี ไม่จำเป็นต้องเก็บงำ สมบัติเลย แต่คนอื่น จะดูแล อุดหนุนเอง

แล้วถามว่า ใคร อาตมาก็ไม่ได้มีนะ ไม่มีใครเข้าตา สักคนเลย ผ่านตามา นักการเมือง ก็ไม่เห็นมีใคร รักษาสภาพนั้น แต่ก็เห็นได้ว่า พอเป็นไป แต่ไม่เข้าข่าย ที่อาตมาว่า เป็นโลกุตระ แต่ถ้ายกตัวอย่าง ประเทศอื่น ก็เช่น คานธี นี่ชัดเจน เขาประพฤติ ได้ชัดเจน อย่างคนไทยเรา ก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ถึง เป็นคนมักน้อย สันโดษ นอกนั้น ก็ยังเสพสุข สนุก บำเรออารมณ์โลกีย์อยู่

คนมีศีล ๕ ก็ถือว่าเป็นโลกุตระ ชั้นที่ ๑ และถ้าศีล ๘ ก็เป็นโลกุตระ ชั้นที่ ๒ ก็จะลด กามคุณลง จนถึง อนาคามี ก็จะไม่มีโลกธรรม โลกกามแล้ว คำว่าโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ไม่ได้หมายถึง ในร่าง นักบวชนะ แต่นักการเมือง นี่แหละ ควรมีคุณธรรม โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ไปหมดแล้ว เพี้ยนไปมากแล้ว ศีล ๕ ถือว่าซื่อสัตย์ แต่ก็ยังบันเทิง ในโลกีย์อยู่ แต่บางที เขาก็ได้แค่ ข้างนอก ข้างในกดข่มอยู่ แต่โสดาบันแท้ จะทำที่จิตได้ ถ้าศีลสูงขึ้น ก็จะมีคุณธรรม เพิ่มอีก

ถ้าจะให้อาตมาเห็น นักการเมืองไทย ที่จะนับเข้ามา โลกุตระบ้าง ก็เช่น ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ หรือนายกฯ เปรมก็ได้ ก็เป็นบุคคล ที่จะเข้าข่าย อาริยบุคคล แต่ก็ไม่ชัด เพราะต้องเอาที่ใจ มีเจโตและปัญญาพร้อม แต่อาตมา ดูข้างนอก ก็ตามไปดูข้างในไม่ชัด

คุณภิญญาพัชญ์ว่า... ประเทศไทยเรามีวัฒนธรรม มีมานาน เป็นเชิงความสัมพันธ์ มีเข้าขุนมูลนาย แม้จะเลิกชนชั้น แต่ว่าการกระจายอำนาจ ก็ยังไม่ทั่วถึง คอรัปชั่น ก็มากมาย ทำให้การเมืองไทย ไม่โปร่งใส พ่อครูคิดว่า ในธรรมาธิปไตยนั้น วัฒนธรรมใด ที่จะนำมาใช้ ให้ได้ผลดีกับ สังคมไทย

พ่อครูว่า... อธิปไตยของพระพุทธเจ้า มีโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย

ผู้สามารถมีอธิปไตย คือมีอำนาจ คือรู้จักโลก เรียนรู้อัตตา ตั้งแต่เบื้องต้น แล้วเรียนรู้จิตตน ที่ตกเป็นทาสโลก และอัตตา แล้วล้างกิเลสตน ที่ตกในอำนาจ โลกและอัตตาได้จริงๆ อัตตาคือ ตัวยึดของจิต ส่วนโลกก็ยึด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นกามภพ อบายภพจริง ถ้าฆ่ากิเลสได้ ลดได้ตามลำดับ ก็เข้าโลกุตระ เป็นอาริยธรรม ที่แท้จริง

ผู้ลดกาม ลดอัตตาได้จริง จะมี อธิปไตย คือมีพลังอำนาจ แต่จะอยู่กับโลก ได้อย่างเดิม แต่ว่าประสิทธิภาพ ทำงานให้แก่คนอื่น ดีขึ้นๆ เพราะเอาพลังงานทาง ทุนรอน แรงงาน เวลา มาใช้ประโยชน์ได้ เพราะลด ความเห็นแก่ตัว ได้พลังอำนาจอธิปไตย ที่เป็นโลกุตรธรรม

คุณภิญญาพัชญ์ว่า... เราจะเสริมสร้างธรรมาธิปไตย ให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน ได้อย่างไร? นักการเมือง ที่มีธรรมาธิปไตย ควรมีลักษณะอย่างไร

พ่อครูตอบ... คำว่าโลกคือ โลกกาม โลกธรรม และโลกอัตตา ไทยเราเป็นพุทธ มาแต่ไหนแต่ไร แต่เพี้ยนมา จนสองพันกว่าปี ก็สูญเล้ว เหลือน้อยมาก แต่เพราะไม่รู้ ก็เลยทำไม่ได้ ทุกวันนี้ คนสอนธรรมะ ก็ไม่มี โลกุตรธรรมแล้ว จะทำอย่างไร จะให้เกิดธรรมาธิปไตย ? ก็ต้องให้ผู้สอนนี่ ปฏิบัติโลกุตรธรรมให้ได้ จากสัตบุรุษ แล้วเอาคำสอน ไปปฏิบัติ ให้เกิดผล แล้วก็นำไปเผยแพร่ต่อ จนคนรับได้ ว่าเป็นคุณธรรม ที่ลดความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่น รับใช้ประชาชน

จะเกิดได้ ต้องมีการศึกษา เรียนรู้จากสัตบุรุษ เป็นหัวเชื้อ ในการกระจาย ความรู้นี้ไป แล้วเอาไปปฏิบัติให้ได้ แล้วจึงเผยแพร่ต่อ

ธรรมะโลกุตระ ของพระพุทธเจ้า เป็นนักการเมือง ที่สวยงามที่สุด พระพุทธเจ้า ปลดแอดทาสได้ โดยตั้ง รัฐอิสระ มี ศีลธรรมนูญ ของท่านเลย ปลดแอกคน จากพระเจ้าแผ่นดิน ได้ทุกแคว้น ที่ท่านไปเผยแพร่ได้ ยอมให้ท่านหมด

คุณภิญญาพัชญ์ว่า... พ่อครูมีข้อเสนอแนะ หลักธรรมอะไร ให้นำไปปฏิบัติได้ ในอนาคต

อาตมาทำมา ๔๐ กว่าปี ก็ทำความหลัก พระพุทธเจ้าทั้งนั้น แต่เขาเข้าใจ เพี้ยนไปหมดแล้ว อย่างเช่น มหาจัตตารีสกสูตร คือปฏิบัติให้ถึง อาริโยสัมมาสมาธิ เลย ลดโลภ โกรธ หลง ได้จริง

โลกาธิปไตย นั้น ยกตัวอย่าง โลกทั้งโลก เป็นนักโลกาธิปไตย ทั้งนั้น ใช้จิตวิทยา หลอกคนว่า เขาเป็นคนดี ทั้งที่ใจเขา ไม่ได้ล้างกิเลส แต่อย่างใด เขาก็รู้ว่า ถ้าทำไม่ดี คนก็จะว่า เขาก็เลย ทำเหมือน เป็นคนดี แต่ข้างใน หลอกคน ซับซ้อนมากก็มี

อีกพวกหนึ่งคือ พวกเอาแต่จิต ละทิ้งโลกวิสัย เป็นพวกเห็นแก่ตัว อัตตาเต็มบ้อง บางลัทธิ เช่น ลัทธิเชน มักน้อยมาก ไม่นุ่งผ้าด้วย ออกมาเดินโทงๆ ว่าข้าแน่นะ เป็นอัตตาเต็มที่ เสพอัตตาเต็มที่ ไม่ได้มีประโยชน์ ต่อโลกเลย ได้แต่ดับจิต ไม่ให้จิตรับรู้โลก มีชีวิต รอวันตายเท่านั้น นี่คือ อัตตาธิปไตย ที่สุดโต่ง เต็มที่

อีกพวกหนึ่ง ผนวกทางจิต ผสมกับทางโลก อย่างมหาริชชี นี่ก็ไปหลอก คนอเมริกา มีทรัพย์สมบัติ มากมายได้ สุดท้าย อเมริกาก็ไล่ ออกจากประเทศไป เพราะเอาฤทธิ์เดช เหนือสามัญ มาหลอกคน เขาฝึก ก็ทำได้ แต่ว่ามันไม่เที่ยง ทำได้คนก็นิยม แต่ไม่มีประโยชน์อะไร เหาะสู้เครื่องบินไม่ได้ ใช้โทรจิต ก็สู้โทรศัพท์ไม่ได้ ไม่ถาวร คนทำก็ทำได้ยากมาก ไม่เหมือนวัตถุ เทคโนโลยี ที่ทำได้หมดแล้ว ไม่ต้องอาศัยคนเลย นั้นคือ ความเจริญทางโลก ที่เอาไปใช้แทน คุณสมบัติของจิต ทางจิต เขาก็ฝึกกันได้ แต่ก็ซ้ำซ้อนกับ โลกียะทางฟิสิกส์ จึงไม่ได้วิเศษ อะไรมากมาย พระพุทธเจ้า จึงไม่เอาฤทธิ์แบบนี้ แต่คนที่อาศัย เขาก็จะเอามา ผนวกกัน มาใช้ทั้งสองทาง คนชอบทั้งสองอย่าง ก็เลยได้คนมาเพิ่ม ลัทธินี้ มหาริชชี ก็ใช้ แต่ในไทย คนที่ใช้ก็คือ ธัมมชโย ที่พูดนี่ เป็นวิชาการนะ เป็นความซับซ้อน ทักษิณก็ใช้ แต่ว่าไม่เก่งเท่า ธัมมชโย ไปสะกดจิต คนอื่นได้เก่ง เป็น Hypnotize ก็ขอบคุณธัมมชโย ที่เอามาใช้ เป็นตัวอย่าง ไร ศาสนาพุทธ รู้คุณรู้โทษสิ่งเหล่านี้ แล้วอยู่เหนือ สิ่งเหล่านี้ได้ เอาโลกมาใช้ได้ ตนเอง กินน้อยใช้น้อย อาศัยอย่างพอดี พอเพียง สันตุฏฐีธรรม หรือสันโดษ จิตก็เข้าใจสิ่งเหล่านี้ หลุดพ้น อยู่เหนือโลกได้ อยู่เหนืออัตตา

พุทธให้เรียนรู้โลก เรียนรู้จิต (อัตตา) อย่างต้น ก็ละจาก ที่เสื่อมสุดคือ อบายภูมิ โอฬาริกอัตตา การเรียนรู้ ต้องรู้สติปัฏฐาน ๔ มีโพธิปักขิยธรรม ๓๗ หรือโลกุตระ ๓๗ ปฏิบัติได้ จะเป็นโลกุตระ ๙ รวมเป็นโลกุตระ ๔๖ ผู้เรียนรู้รูปนาม ลดกิเลสได้จริง จึงอยู่เหนือโลก เหนืออัตตาได้ สิ่งที่ได้คือธรรมะ ที่เหนือโลก เหนืออัตตา เป็นโลกุตรธรรม ศาสนาพุทธ อยู่เหนือโลก ไม่หนีโลกนะ แม้จะมีอัตตา มีโลกธรรม มาท่านก็อยู่ได้ ช่วยได้ ท่านก็ช่วยได้ ช่วยไม่ได้ ท่านก็ปล่อย อรหันต์บางรูป ท่านไม่เก่ง ก็ช่วยไม่ได้ หรือ แล้วแต่โอกาส ที่จะช่วยได้ อย่างมี สัปปุริสธรรม ๗ มหาปเทส ๔

ผู้มีธรรมาธิปไตย เรียนรู้อธิปไตย ๓ นี้ได้ ก็จะเป็น นักการเมือง ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าการศึกษานี่ ทำอย่างไร จะเรียนได้ ทำให้เกิด การเรียนได้โลกุตรธรรมนี้ได้ ในการศึกษา ให้เป็นอย่างคานธี ได้เลย เป็นนักการเมือง อย่างนี้แหละ แต่ถ้าจะพูด อีกคนหนึ่ง แต่คนเขาจะไม่ค่อย ยอมรับนับถือ ก็คือ คุณจำลอง ศรีเมือง นี่แหละคือ นักการเมือง ที่มีคุณธรรม อย่างแท้จริง มักน้อยสันโดษได้จริง แต่ไม่เหมือนอย่างกับคานธี อย่างคานธีนี่ อาตมาพยากรณ์ ว่าเป็นโพธิสัตว์ แต่คุณจำลองนี่ อาตมาไม่พยากรณ์ ไม่จำเป็นที่ อาตมาต้องไปยก แต่ต่อไป เขาจะรับรองเอง ตอนนี้คุณจำลอง ก็อายุย่าง ๘๐ ปีแล้ว ก็ได้แต่พูด เป็นวิชาการไป ต้องมีตัวอย่าง ให้เห็นจริง เป็นรูปธรรม

ถ้าทำการศึกษา ที่เป็นแบบไทย มีวิถีพุทธ ส่วนความรู้สากล เราไม่ปฏิเสธ เป็นเทคนิค ก็ใช้ได้ แต่ไม่ต้อง ไปเด่นอย่างเขา เพราะในหลวง ก็ตรัสว่า เราไม่ต้องไปก้าวหน้า อย่างเขาหรอก ก้าวหน้าอย่างนั้น เป็นการถอยหลัง อย่างน่ากลัว