580226_ พุทธต่างจากศาสนาอื่นตรงไหนในเรื่องรัก

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดี ที่ ๒๖ ก.พ. ๒๕๕๘ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย ปีนี้เป็นปี มีเดือน ๘ สองหน ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ จึงเป็นวันมาฆบูชา ตรงกับวันพุธที่ ๔ มี.ค. จึงเป็นมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญ ของชาวพุทธแท้ๆ ยิ่งมาในเมืองไทย มีวันวิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา (เดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ) มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครบ พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ ปัญจวัคคีย์ฟัง เป็นธรรมะบทแรก โกณทัญญะ ก็บรรลุพระโสดาบัน แล้วขอบวชเลย พระพุทธเจ้า ก็เลยบวชให้ทันที เป็นเอหิภิกขุ ก็เลยกลายเป็นพระรัตนตรัยครบ อาสาฬหะ แปลว่าเพ็ญเดือน ๘ ส่วนวันวิสาขบูชา ก็คงรู้กันนะ ว่าเป็นวันอะไร? เป็นวันที่สำคัญ มีพระมหาบุรุษ ระดับ จอมพระบรมมหาศาสดา เป็นวันยิ่งใหญ่กว่า วันวาเลนไทน์ ก็ไม่ทราบรายละเอียด ของนักบุญวาเลนไทน์นะ เป็นวันประหาร นักบุญวาเลนไทน์ ก็ถือเป็นวันยิ่งใหญ่ ของชาวคริสต์

วันนี้จะพูดถึงความรักบ้าง ปีนี้ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ จะเป็นมาฆบูชา (อธิกมาศ) ทุกปีจะเดือน ๓ จะเป็นมาฆบูชา ในงานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ ซึ่งพุทธนั้น สอนความรักอันยิ่งใหญ่คือ คนที่มีความรัก แบบไม่เห็นแก่ตัว (อัตตา)  รักแบบไม่เห็นแก่ของๆตัว (อัตนียา) แต่คนเราไม่ได้ศึกษา อ่านอาการจิตที่เป็นอัตตา อัตตนียา ก็จะอ่านไม่ออก

อาการมันเคลื่อนไหว ที่เป็นสภาวะ ไหวให้รู้ อ่านอาการให้เห็น (อาการ เป็นภาษาบาลีและไทยด้วย) อาการเป็นนามธรรม รู้ได้ด้วยญาณปัญญา อยู่ที่จิตเรา ถ้าอาการทางกาย วาจา ก็เห็นรูปร่าง ก็รู้ไม่ยาก ท่านเรียกว่า วิญญัติ(กระดุกกระดิก เคลื่อนไหว ทางกายกับวาจา) ส่วนทางมโน ท่านเรียกว่าอาการ ไม่เรียกวิญญัติ เราต้องอ่าน อาการที่เรียกว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาเรียกว่าอาการ ต้องรู้ลักษณะ เราจะต้องอ่านให้ออก ไม่ใช่เดา อาการอย่างนี้คือเวทนา อาการอย่างนี้ คือสัญญา คือสังขาร คือวิญญาณ จะต่างกัน ท่านเรียกว่า ลิงค หรือเพศ คือความต่างกัน อย่างเพศหญิงและชาย มีเครื่องหมายต่างกัน เรียกว่านิมิต มีความต่างกัน เช่น ขาว กับ ดำ , แรงกับ เบา ก็มีอาการลักษณะต่างกัน แม้แต่แรงมาก กับแรงลดลงมา ไม่มากเท่า ก็มีช่วงต่างกัน เราก็รู้อาการที่มาก กับไม่มากเท่า ช่วงที่ต่างกัน เรียกว่า เพศหรือลิงคะ คือความแตกต่าง ศาสนาพุทธ ต้องอ่านอาการเหล่านี้ ให้ออก

เราจึงจะอ่าน กิเลส กับ จิต ออกจากกันได้ อกุศลจิต เราก็จับได้ จิตตัวปัญญา จะเข้าไปรู้อกุศลจิต ตัวปัญญาคือกุศล ส่วนกิเลส คืออกุศลจิต ถ้าเรารู้ความต่างของกุศล อกุศลนี้ไม่ได้ เราก็แยกจิตกิเลสอกุศล กับจิตสะอาดไม่ใช่อกุศล ไม่ออก แยกไม่ได้ เราจะไปกำหนดว่า อันนี้คือปัญญา อันนี้คือกุศล อันนี้คือจิตสะอาด อันนี้ จิตไม่สะอาดไม่ดี เป็นอกุศลโดยเฉพาะคือกิเลส ต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออก ปฏิบัติธรรมไม่ได้

ศาสนาที่มิจฉาทิฏฐิ ไปเรียนนั่งหลับตา ดับสะกดจิต จะแยกไม่ออก จะไม่รู้จัก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แม้แต่คำอธิบาย ก็จะไม่มีใครอธิบายให้ฟัง อาจารย์ ก็อธิบายไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้า ท่านอธิบายแยกแยะ ไว้ละเอียดมาก แยกรูป แยกนาม อย่างชัดเจนมาก อาตมาจะเอาจาก มหานิทานสูตร มาอธิบายในงานนี้ พระพุทธเจ้าแยกไว้ ชัดมากคมมาก

ความรัก เป็นอาการจิต ที่เราแสดงออกมา เราจะนิยาม กำหนดความหมาย ของความรักว่าอะไร? ความรัก คือการเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ แล้วดูดดึงเอามาเป็นเรา เป็นของเรา นี่คือความรักของคนอวิชชา คนทั่วไป ถ้ารักอะไร แล้วก็อยากได้ มาเป็นเรา เป็นของเรา

เมื่อเราสัมพันธ์กับอะไร เช่น กับก้อนดินก้อนหิน สัมผัสแล้วก็อยากได้ มาเป็นเราเป็นของเรา คือความรักของคนอวิชชาหรือคนโง่ มันเป็นความเห็นแก่ตัว เป็นความรักที่เลว ยิ่งแคบที่สุดเลย รักแบบ ของเราใครอย่าแตะ เราจะต้องสงวน เป็นของเราคนเดียว และไม่รักคนอื่นแล้ว นอกจากยึดเป็นเรา เป็นของเรา และก็ยังหวงแหน ไม่ให้คนอื่นมาแตะต้องเลย แม้จะเป็นประโยชน์กับใคร ก็ไม่ให้ นี่คือ ความเห็นแก่ตัว อย่างจัดจ้านมาก

ความรักมิติที่ ๑ เป็นเมถุน คือเห็นแก่คน คนเดียวที่เรารัก จะช่วยเหลือเกื้อกูล ก็เห็นแก่คนเดียว จนเกือบจะไม่เห็นแก่คนอื่นเลย เป็นความรัก ที่เลวที่สุด แคบที่สุด ศาสนาไหน ก็ตรงกัน ถ้าเผื่อแผ่เกื้อกว้าง ออกไปได้อีก
ความรักมิติที่ ๒ เห็นแก่ลูก ก็ยังไม่กว้างนัก
มิติที่ ๓ ไปสู่ปู่ย่าตายาย ญาติกัน ก็ยังกว้าง ดีขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังแคบ
มิติที่ ๔ ไปถึงมิตรสหายคนอื่น ที่ไม่ใช่ญาติ เป็นสังคมนิยม ก็ดีขึ้นอีก จากมิตรสหายถึงสังคม ชุมชน ก็ดีขึ้นอีก
มิติที่ ๕  เป็นชาตินิยม รัฐนิยม
มิติที่ ๖ สากลนิยม (จักรวาลนิยม) ก็รักเผื่อแผ่กว้างไปทั่วโลก
มิติที่ ๗ เทวนิยม (ปรมาตมันนิยม) รักทั่วจักรวาลเลย เป็นความรักของพระเจ้า

ศาสนาพุทธรู้จักจิต รู้จักอัตตาความเห็นแก่ตัว ตั้งแต่แคบๆ อาการจิตที่หวงแหน อยู่แคบๆ ศาสนาพุทธ อ่านอาการเหล่านี้ในใจออก ศาสนาพุทธ แตกต่างจาก ศาสนาอื่นตรงนี้ ตรงที่อ่าน จิต เจตสิก แล้วขยายเป็น รูป-นิพพาน เป็นพยัญชนะ บ่งบอกอาการ ผู้ที่มีสัญญากำหนดรู้ รู้จิต รู้เจตสิกต่างๆ เจตสิก ๕๒ แบบ จิต ๘๙ แบบ ศาสนาพุทธ อ่านอาการเหล่านี้ออก มีญาณอ่านรู้อาการจิต ที่เป็นนามธรรม มีสัญญากำหนด แตะกระทบ แล้วอ่านอาการรู้ ไม่ใช่เดาเอา ไม่ใช่ตรรกะ แต่อ่านอาการของจริงออกเลย นี่คือปรมัตถสัจจะ ปรมัตถธรรม เป็นสภาวะ ของศาสนาพุทธ แล้วมีทฤษฎี สอนให้รู้ด้วย วิจัยเหตุที่เป็น ตัวการกิเลส เลือกเฟ้น แยกอกุศลได้ แล้วกำจัดตรงนี้ ไม่ใช่ดับจิต ไปหมดเลยมั่วๆปนเป ดับไปทั้งอันเลย ไม่ใช่ นี่เป็นนัยสำคัญ เป็นประเด็นหลัก ของศาสนาพุทธ มีวิธีปฏิบัติ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายเลย มีวิธีศึกษาของเขต ว่าไปสัมผัสทางทวาร ๕ กับอะไร แล้วเกิดอาการ

กระทบสัมผัสแล้วเรามีสัตว์ เราจะไปฆ่าเขา ทำลายเขา แต่เรามีศีลนะ เราจะทำไม่ได้ เราก็กำจัดอาการ จิตอกุศลเรา โทสะของเรา เรากระทบสิ่งของคนอื่น แล้วเราอยากได้ เราก็ต้องกำจัด กิเลสตรงนี้ เรื่องคู่ครอง หญิงชาย พระพุทธเจ้า ก็อนุโลม ให้มีคู่เดียว แต่ไม่ใช่ว่า เห็นแก่คู่ตนอย่างเดียว ต้องเผื่อแผ่คนอื่นด้วย เรื่องเพศ เรื่องคู่ก็ตามท่านบอกว่า คนเดียวก็พอแล้ว ก็เฉลี่ยคนอื่นบ้าง อย่าไปรักแบบ ไม่ให้เผื่อแผ่ใครเลย เบื้องต้นท่านให้คู่เดียว แต่กระทบคนอื่น แล้วเรามี อาการจิต ที่รักแบบกาม ไม่ใช่ความรัก แบบเผื่อแผ่ แต่เป็นความรักราคะ ที่อยากได้มาเป็นคู่เสพสุข เราต้องอ่านออก แล้วเราก็ต้องฆ่า กิเลสตัวนี้ หรือข้อ ๔ เราจะพูดออกไปนี่ โกหกนะ เราต้องอ่านอาการจิต ที่มันปรุง เป็นวจีสังขารในจิต เรารู้เลยว่า จิตเราจะโกหก เราต้องกำจัดจิตตัวนี้ ข้อ ๕ เราไปติดอบายมุขอะไร อยู่ในโทรศัพท์ ในคอมพิวเตอร์ เป็นอบายมุขมากมาย เราต้องรู้ว่า เป็นเรื่องเหลวไหลเลวร้าย แม้แต่ศีล ๕ เราตัดกิเลสได้รับรอง สังคมไหนก็เจริญ เป็นสุข ถ้ายิ่งสูงขึ้น เป็นสกิทาฯ อนาคาฯ ก็ยิ่งเจริญมากอีก

ความรักมิติที่ ๑ – ๗ นี่ พุทธรู้และละมาได้ จะมีความรัก ที่เผื่อแผ่กว้างขึ้น แต่ศาสนาเทวนิยม เขาก็พยายามเผื่อแผ่ แต่เขาไม่เรียนรู้ ความเห็นแก่ตัว อาการจิตเห็นแก่ตัว selfishness แต่ของพุทธให้ปฏิบัติ จนเกิดญาณปัญญา อ่านอาการ เห็นแก่ตัวออก เห็นว่าอาการลดลง ศาสนาพุทธรู้จัก รู้แจ้งรู้จริง อาการกิเลสนี้ นี่คือ ความแตกต่างของพุทธ ที่รู้ปรมัตถสัจจะ มีทฤษฎี โพธิปักขิยธรรม ๓๗ แยกแยะกายในกาย ในสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นโลกุตรธรรม ๔ อย่างแรกเลย

ขันธ์ ๕ ท่านเรียกว่า องค์ประชุม แต่ธาตุนี่เป็นตัวเอง ธาตุดินก็เป็นดินของมันเอง ธาตุเวทนา ก็เป็นเวทนาเอง ไม่ประชุมกับใคร แม้แต่รู้ใน จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตตัวไหนถูกรู้ จิตตัวนั้นเป็นรูป ตัวที่ไปรู้นี่คือนาม ชัดเจนหมด มีในศาสนาพุทธ ศาสนาอื่น ไม่มีรายละเอียด ศาสนาพุทธมีครบ จนฆ่ากิเลสได้หมด เป็นอรหันต์ หมดเห็นแก่ตัว กิเลสตายสนิท ตายสูญ เที่ยงแท้ถาวร ตายแล้วตายเลย ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลง ความตายนี้ได้ ตายไม่กลับฟื้นเลย

การสร้างความรักมิติที่ ๘ ก็เรียนรู้ปฏิบัติมา ตั้งแต่มิติที่ ๑ – ๗ มาถึงมิติที่ ๘ ก็ปฏิบัติ ให้ถึงนิพพาน เป็นมิติที่ ๙ เป็นอรหันตนิยม ส่วนมิติที่ ๑๐ เป็นโพธิสัตวภูมิ ของพระพุทธเจ้า

หลวงปู่ให้พวกเรา เรียนความรัก ๑๐ มิติ
ม.๑ เรียนมิติที่ ๑ และ ๒
ม.๒ เรียนมิติที่ ๓ และ ๔
ม.๓ เรียนมิติที่ ๕ และ ๖
ม.๔ เรียนมิติที่ ๗ และ ๘
ม.๕ เรียนมิติที่ ๙ และ ๑๐
ม.๖ เรียนรวบทุกมิติ

ครูที่สอนความรัก ๑๐ มิตินี้ ก็คงจะยาก หลวงปู่ก็เลยมาสอนเอง ถ้าเรียนรู้ความรัก ๑๐มิตินี้ได้ ถ้าเข้าใจ ทำได้จริงชัดๆ รับรองปฏิบัติได้ปร๋อเลย เพราะเกี่ยวกับ ความรักที่วิเศษ ความรักมิติที่ต่ำๆ ก็แคบ เห็นแก่ตัวจัดเลย ท่านเลยบอกว่า ความรักแบบนี้เป็นทุกข์ แต่ไปถูกหลอกว่าเป็นสุข  เด็กๆนี่ไปมีแฟน บอกว่ามีความสุข มันไม่ง่าย ที่จะเห็นทุกข์ เพราะมันมีสัญชาติญาณ ที่จะสืบต่อเผ่าพันธ์กัน แต่ศาสนาพุทธ เรียนรู้ที่จะลด อาการเหล่านี้ จะไม่ต้องสืบพันธ์ คนเลยหาว่า หลวงปู่มาสอน ไม่ให้มีคู่ ไม่ให้แต่งงาน สืบพันธ์นี่ แล้วจะเป็นประโยชน์แก่โลก จะสบาย แต่คนไม่เชื่อง่ายๆ แต่จริงที่สุด สบายที่สุด เป็นประโยชน์ต่อโลกด้วย ไม่ต้องเสียเวลา ไปเทียวไล้เทียวขื่อ เสียเวลา แรงงานทุนรอน เมื่อไม่ทำ เราก็ได้สิ่งเหล่านี้กลับมา ขนาดเมืองจีน คุมกำเนิด ให้มีลูกได้คนเดียวนะ ทั่วโลก มีประชากรกว่า เจ็ดพันล้าน คนแล้ว คนที่มาว่าอาตมา ว่าสอนแบบนี้ คนก็สูญพันธ์หมดสิ อาตมาก็เลยตอบว่า คุณอย่าไปห่วงเลย เพราะไม่ง่าย คนจะมาหยุดเรื่องนี้ หยุดความสืบพันธ์ได้นี่ มันเป็น สิ่งเหนือสามัญ กว่าสัตว์ทั้งหลาย มันไม่ง่าย ก็ลองเอาคุณนี่แหละ มาปฏิบัติให้ได้ก่อนเลย เพราะมันเป็นสิ่งเหนือสามัญ พาพ้นทุกข์ได้จริง

ศาสนาอื่นก็พอรู้ อย่างศาสนาเชน ก็รู้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ดี ก็หนีสิ่งเหล่านี้ กดข่มลืมทิ้ง เขาก็ทำได้ ไม่สืบพันธ์ได้ เขาก็ถือว่า เขาเป็นคนวิเศษ นับถือกันว่ามีคุณวิเศษ เป็นอุตริมนุสธรรม แต่ของพุทธ ทำได้ยิ่งกว่า คือรู้จักเหตุ กิเลส ทำให้จางคลายได้ ดับได้ไม่ถาวรก็รู้ จนมันดับไม่เหลือ ไม่เกิดเลย และศาสนาฤาษี ที่เขาเลิกกาม คือวิธีหนีโลก เขาได้นะเขาไม่สืบพันธ์ ก็ไม่มีภาระ ไม่ทุกข์ เบาง่าย แต่ไม่มีประโยชน์ต่อโลก เขาทนต่อเหตุปัจจัย ที่มากระทบไม่ได้ ไม่มี นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) อรหันต์ได้คุณวิเศษนี้ ทุกองค์ และฤาษี ก็กดข่มได้ จนชั่วชีวิตเลย แต่ไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริงเหมือนของพุทธ

ทำไมหลวงปู่ยืนยัน ก็เพราะหลวงปู่ มีสิ่งเหล่านี้  ประชากร โลกตอนนี้มี ๗๒๐๐ ล้านคน และคาดว่า ปีคศ.๒๐๕๐ จะเพิ่มอีก ๒๐๐๐ ล้านคน  ชาวพุทธนั้น เป็นพวกที่ หมอดูดูไม่แม่น เพราะเป็นผู้ที่ เปลี่ยนแปลงได้ แต่พระพุทธเจ้านี่ทายแม่นกว่า เพราะศาสนาพุทธ มีสถิติที่รู้ถึงเหตุ คือตัวจิต จึงคำนวณได้แม่นกว่า และทำให้ สถิติหมอดู เพี้ยนไปได้เลย

ถ้าเข้าใจความรักแบบพุทธ จะเป็นความรักเกื้อกว้าง รักสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ไฟ ลม จะรู้ความพอดี ที่จะอยู่ได้ แล้วจะช่วยได้ รู้ว่าอะไรสำคัญ เป็นต้นว่า คน กับช้าง เราจะช่วยคนก่อน คนกับช้าง กำลังต่อสู้กัน ถ้าให้ดี เราจะช่วยทั้งสองอย่าง เราจะช่วยคนกับช้าง ไม่ให้ฆ่ากัน แต่ถ้าจำเป็น เราก็เข้าใจว่า คนสำคัญกว่า ยิ่งคน มีประโยชน์ต่อโลกด้วย ก็ยิ่งต้องช่วยคน จะมีสัปปุริสธรรม ๗ รู้หมู่กลุ่ม แม้ระดับประเทศ ระดับโลก จะรู้ว่า จะช่วยได้พอเหมาะอย่างไร อะไรสำคัญ ควรปฏิวัติ ปฏิรูป ก่อน พุทธรู้ดี และรู้ว่า อะไรสำคัญหลัก หรือรอง เพราะศาสนาพุทธ รู้จักโลก มีโลกวิทู รู้จริงๆ และมีโลกุตรจิต รู้องค์ประกอบ ใช้โลกธรรม เป็นอุปกรณ์ การทำงานได้ แต่ศาสนาพุทธ ไม่ต้องใช้ โลกธรรม หรือกาม อัตตา โดยตนเองจะต้องเอาไปใช้เอง แต่จะจัดสรรให้สังคม ได้ใช้อย่างทั่วถึง ตนเอง จะไม่ต้อง ไปรับมาเลย ไม่แย่งกับโลกเลย เอามาเสพ เอามาบำเรออัตตา ก็ไม่เอา ทำฟรี ช่วยโลก โดยไม่ต้องไปเอา โลกธรรม กาม อัตตา เลย นี่คือ อาริยบุคคล ของพุทธ เรียกว่ามี  โลกุตระ (เหนือโลก) โลกวิทู (รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ (เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) เป็นคุณสมบัติแท้ๆ จิตถึงอรหันต์แล้ว เป็นเช่นนี้ ทุกองค์ แต่จะมีความสามารถ ช่วยได้ต่างกันไป แต่เหนือโลก ได้ทุกคน มีโลกุตรจิต เหนือโลกธรรม กาม อัตตา ได้เหมือนกันทุกองค์ และหน่วย โลกุตระจิต ก็มีสองอย่าง คือ เจโตกับปัญญา ท่านก็มีเหมือนกันหมดเลย ในเจโต เช่น พระพุทธเจ้าท่านว่า พระมหากัสสะกับเรา ก็เหมือนกันเลย เท่าเทียมกับเรา คือจิตเจโต หมดกิเลสเหมือนกัน แต่ท่านโลกวิทู ไม่เท่า โลกานุกัมปา ก็ได้น้อยกว่าพระพุทธเจ้า

คนมีอาริยธรรม ไปตามลำดับ ถ้ามีจริง จะมีประโยชน์ต่อโลก ตนเองก็ทุกข์น้อย ภาระน้อย นี่คือการสร้างคน ให้ชาติให้โลก ทีนี้ก็ขอพูดอธิบายว่า ศาสนาสอน ให้เป็นคุณค่าเช่นนี้ ทุกศาสนา แต่ไม่เหมือนกันที่ บางศาสนา สอนให้สุดโต่ง เข้าป่าเข้าถ้ำ แบบนี้เห็นแก่ตัว ไม่มีคุณค่าต่อโลก คนส่วนใหญ่ก็ไม่เอา แต่ว่า ก็มีคนเห็นว่า เป็นคุณวิเศษ เหนือคนอื่น ก็ไปนับถือกัน ซึ่งศาสนาแบบนี้ ไม่ใช่พุทธ เพราะพุทธต้องเป็น พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของ หมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

ความรู้ของคนทั่วไปทางโลก อย่างฤาษีนี่เขาก็ว่า ไม่เกิดประโยชน์คุณค่า และไม่สมบูรณ์ด้วย จึงเอามาสอดคล้องกับทางโลก ว่าไม่เห็นแก่ตัว ศาสนาใหญ่ๆ เขาก็พยายามทำนะ แต่พุทธนี่ยากเพราะ
๑.         คัมภีรา (ลึกซึ้ง)
๒.        ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)
๓.        ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)
๔.        สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .
๕.        ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)
๖.         อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)
๗.        นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)
๘.        ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๔)

จิตที่บรรลุธรรม จะมีคุณสมบัติ แววไว มีประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม แบบสอดคล้องกับความเห็น ความต้องการของโลกด้วย เพราะคนก็ต้องการ คนไม่เห็นแก่ตัว แต่ว่ามันยากนะ ถ้าไม่มีการสืบต่อ มาจากสัตบุรุษ ศาสนาพุทธรู้เองไม่ได้ ต้องรับมาจาก พระพุทธเจ้า องค์ก่อนๆมา แล้วท่านก็ถ่ายทอดสู่คนอื่น จะมารู้เอง โดยไม่ได้เรียน จากพระพุทธเจ้า ไม่ได้เลย ศาสนาพุทธ รู้เองไม่ได้ หลวงปู่มาฟื้นฟู ศาสนาพุทธ เพราะมันเสื่อมไปมาก อัตราก้าวหน้าของมิจฉาทิฏฐินี้ สูงระดับ ยกกำลัง แต่อัตราก้าวหน้าโลกุตระ เป็นระดับ บวก

ต่อไปเป็นการตอบคำถาม?

_เมื่อคืนลมแรงมาก ผมนอน แล้วก็มุ้งเปิด ยุงก็กัด ผีก็กลัว แล้วศาลีฯนี่ ก็เป็นป่าช้ามาก่อน ผัสสะเต็มเลย ก็เลยถามว่า ทำอย่างไร จึงจะสู้กับผัสสะได้

ตอบ...เพราะผู้ที่มีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วเรียนรู้เหตุ ที่เกิดความกลัว ความรัก ความโกรธ ความเห็นแก่ตัว นี่แหละ พระพุทธเจ้า ให้เรียนรู้ ที่เราเกิดอาการ เพราะไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่สัมมาปฏิบัติ แล้วถ้าทำได้ จะเห็นความจริง จะตามเห็น ความไม่เที่ยงของกิเลส มันไม่คงที่หรอก เห็นความไม่เที่ยง เป็นอนิจจานุปัสสะ มันมีอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ตามเห็น แล้วจะเห็น ความจางคลายของกิเลส เป็นวิราคานุปัสสะ อย่างเปิดทวารทั้ง ๖ ไม่ใช่ไม่รู้หรือดับ แต่พุทธทำอย่าง มีแสงสว่าง แจ้ง อาโลกา รู้ว่าจิตสว่างมีปัญญา เห็นชัดแจ้ง มี จักขุ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ศาสนาพุทธรู้จริงแล้วทำทวน จนมันเที่ยงแท้ สมบูรณ์ถาวร จะเริ่มตรงไหน ก็เริ่มตรงศีล ข้อไหนที่เราทำ แล้วเห็นกิเลส ลดกิเลส จนดับกิเลสได้ เราจะหายกลัว หายรัก หายโกรธได้จริง

_ทำไมคนเราถึงต้องมีกิเลสด้วย แล้วกิเลสราคะ หมดได้เมื่อไหร่ แล้วกี่ชาติจะหมด
ตอบ...ทำอย่างไรก็ตอบไปแล้ว ทำไมคนเรามีกิเลส เพราะอวิชชา โง่ ไม่รู้วิชชาของ พระพุทธเจ้า คนเราเกิดมา มีกิเลส ติดมาทั้งนั้น มาจากสัตว์เซลล์เดียว ก็มีอวิชชา มาเรื่อยๆ จนมาพบศาสนาพุทธ จึงล้างอวิชชาได้ ต้องพัฒนาตนจนเป็นเวไนยสัตว์ แล้วทำโพธิปักขิยธรรม ๓๗ จึงหลุดพ้นได้ จะกี่ชาติ จะกิเลสหมด ก็แล้วแต่ ภูมิปัญญา ความหมั่นเพียร

_ถ้าเราไม่มีความรักมิติที่ ๑ แล้วจะมีความรักมิติอื่นไหม
ตอบ...ไม่มีเพราะความรักมิติที่ ๑ นั้นแคบ ต้องทำการสลายความแคบ จึงมีความรักที่สูงขึ้น ความรักคนคู่นั้น มันลึก แต่จริงๆแล้ว คนเราก็ไม่ใช่ว่า เห็นแก่คู่ตน อย่างเดียว ก็จะเห็นแก่คนอื่นด้วย ก็ต้องประมาณเอง เราจะเห็นแก่รักคู่ตนและเห็นแก่ส่วนรวม ก็ประมาณเอา แต่ถ้าเห็นแก่คู่ตน อย่างเดียว จนไม่ช่วย ส่วนรวม นี่ก็แคบมาก เป็นรักมิติ ๑ แน่ ต้องทำให้ได้ก่อน

_ทำไมคนเราต้องมีความรัก แล้วรักเพื่ออะไร
ตอบ...ก็เพื่อเห็นแก่ตัว ทำไมต้องมี ก็เพราะโง่ อวิชชา

 _ผมอยากรู้ว่า การส่งกระแสจิตข้ามประเทศ แบบรู้เรื่องกันเลยได้ไหม?
ตอบ...ไม่ได้หรอก ถ้าได้ คอมพิวเตอร์ขายไม่ออก และมันยากมาก อย่าไปทำเลย ไม่ต้องไปสนใจ เพราะถึงเก่งส่งได้ มันก็ไม่ได้อะไรมาก มันยาก และไม่เที่ยงด้วย ไม่มีหลักคำนวณ กำกับเลย ไม่เหมือนวัตถุ ที่มีตัวควบคุมนะ เปลี่ยนยาก แต่จิตนี่ เปลี่ยนแปลงง่ายกว่ามาก ถ้าอยากจะได้ ความสามารถแบบนี้ ก็ให้ล้างกิเลส หมดก่อน แล้วทำฤทธิ์แบบนั้น จะได้นาน

_ธงสีน้ำตาลแล้วมีวงกลมตรงกลาง หมายถึงอะไร
ตอบ..สีน้ำตาล หมายถึงแผ่นดิน เป็นสีย้อมน้ำฝาด สีกรัก วงกลม หมายถึงสุญญตา

_ทำไมคนเราต้องมีทุกข์ ทำอย่างไรหมดทุกข์ได้
ตอบ..เพราะไม่เรียนรู้ทุกข์ อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วล้างเหตุแห่งทุกข์

_ทำไมเพื่อนหนูไม่ยอมฟังเหตุผลของหนูเลย หนูอยากแสดงความคิดเห็น ของหนูบ้าง
ตอบ...ก็ต้องปฏิบัติตน ให้น่าเชื่อถือ ก็อย่าไปอยากได้เลยว่า คนจะมาเชื่อถือเรา เราก็พัฒนาตนเอง ไปจนดี คนก็จะเชื่อเอง หลวงปู่นี่ ไม่ได้อยากได้ ให้เขาฟังเรานะ แต่ว่าได้ก็ดี เราไม่ต้องอยากให้ใคร มาฟังเหตุผลเรา เราทำของเราให้ดี จนเขายอมรับนับถือ จะมาฟังเอง ถ้าได้อย่างนี้ เป็นของจริง

_ผีคือ จิตวิญญาณในตน ไม่มีที่ออกมาเพ่นพ่าน หลอกคน จิตคนตายไป ก็ไปรับวิบากในนรก ผีต้องตกนรก เหมือนติดคุก ออกมาไม่ได้ คนติดคุก ความผิดเบาๆ ยังออกมา ไม่ได้เลย แล้วผีที่ตกนรก ใครจะให้ออกมา เทวดาก็ออกมาไม่ได้ เพราะเสพสุขเป็นภพในตน คนที่เห็นผีนอกตัวได้นี่ โง่จัด อัตตาจัด หลงจัดเลย

_อธิศีลคืออะไร?
ตอบ...ผู้ที่ตั้งศีลไว้แล้วทำได้ เช่นศีลข้อ ๑ เราทำได้ แล้วมีจิตเมตตา ก็เลื่อนสูงขึ้นเป็น ไม่กินเนื้อสัตว์ หรือศีล ๕ เรื่องเพศ เราก็ทำได้คู่เดียว แล้วก็เพิ่มอธิศีล เป็นศีล ๘

_ถ้าผมจะทำอะไรลงไปแล้วไม่คิด จะผิดหัวข้อธรรมใด
ตอบ...หัวข้อประมาท ทำไปโดยไม่ระมัดระวัง กาย วาจา ใจ ก็อยู่ในข้อประมาท ต้องฝึกตน กายกรรม วจีกรรม แม้แต่คิด ก็รู้ก่อน รู้วจีสังขาร

_อัตตาแปลว่า กิเลสตนเห็นแก่ตัว ปฏิบัติลดอัตตา ต้องเริ่มที่ปฏิบัติศีล แล้วลดกิเลส ไปตามลำดับ

_ทำอย่างไรถึงให้ความรักเที่ยงแท้ยาวนาน
ตอบ...มีแต่จะล้างออก หลวงปู่สอนโลกุตระ ไม่ได้อย่างทางโลกโลกีย์

_เครื่องชี้วัดความก้าวหน้า ของโลกุตระ คือ ชาวพุทธปฏิบัติแล้ว บรรลุมรรคผล นี่คือความก้าวหน้า

_คนไม่รู้ว่า ทำไมต้องทำดี นี้โง่มากๆ เพราะคนเรา หากไม่ทำดี ก็ต้องไปทำชั่วใช่ไหม? คนเราก็ต้อง ทำดีสิ

_หนูอยากทำดี แต่บางเรื่อง หนูทำผิดพลาดใหญ่ แต่ว่าสมณะก็ไปบอกคนอื่น ทำให้หนูไม่อยากทำดี แล้วอยากออกไป ทำดีข้างนอกแล้ว คิดถูกไหม
ตอบ..การที่เราทำผิด แล้วคนอื่นบอกแทน นี่ก็ดีแล้ว เราไม่ต้องบอกเอง แต่ถ้าแน่จริง ต้องตนบอกเอง เพราะคนที่บอกความไม่ดีเรา โดยอยากให้เรา ปรับปรุง คือ ผู้หวังดีต่อเรา อยู่ในวงการนี้ ชาวอโศกจะไม่มีความคิดชั่ว ที่จะไปบอกความผิด เพื่อให้ถล่มทลายกัน ใครทำคนนั้นชั่ว ในหมู่ของชาวอโศก คือสังคมมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี

_หลวงปู่เล่นกับเพศเดียวกัน แล้วรู้สึกหวั่นไหวไหมคะ (เคยไหมคะ) เพราะที่นี่เป็นที่ๆเด็กๆ มากินมานอน ร่วมกัน ถ้ามีอย่างนั้น คนๆนั้น จะต้องดูตัวเองอย่างไร?
ตอบ...เล่นกับเพศเดียวกัน เล่นๆหัวๆ ก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไร แต่ไม่คิดไปเล่นในแง่ไม่ดี ไม่เคยทำ เพราะเป็นสิ่งที่ชั่ว ถ้ามีอาการ ต้องบอกคนอื่นให้รู้ ถ้าเป็นมาก ต้องให้รพ.รักษา ถ้าเป็นแท้เลย เพศกระเทย จิตวิตถารนี่ ที่นี่ไม่อบรมนะ เพราะจะทำให้มารวนกัน เนื่องจากที่นี่ เป็นที่คนมากิน มานอนร่วมกันอยู่

_ถ้าเกิดเหตุการณ์ รัฐบาลทุจริตคอรัปชั่น อย่างรัฐบาลที่แล้ว จะไปชุมนุมอีกไหม?
ตอบ...ถ้าเหมาะสมก็ไป ไม่เหมาะสมก็ไม่ไป ตอบตายตัวไม่ได้

/ ธรรมาธรรมะสงคราม ที่ศาลีอโศก