FMTV
    | 560311_รายการขอบุญโฮม ที่ราชธานีอโศก โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

บ้านราชฯ จะเป็นราชธานีแห่งอุดมการณ์ คำว่าราชธานี ที่จริงเป็นเมืองที่ใหญ่ สมัยโบราณยิ่งใหญ่มาก แม้ปัจจุบัน คำว่าราช ก็ยิ่งใหญ่ แม้แต่ในแผ่นดิน ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ เขาก็ยอมรับเป็นสากล เราเอาคำว่าราช เอามาใช้ประกอบ ไม่ได้ตั้งเอง เอามาจาก จ.อุบลราชธานี ก็เอามาใช้ ตัดคำว่าอุบล

มาถึงวันนี้แล้วยิ่งเห็นชัดว่า จะเป็นราชธานี เป็นเมืองที่เจริญยิ่งใหญ่ ฟังแล้วอย่าเหลิง ฟังแล้วอย่าหลง ฟังแล้วให้พิจารณา แล้วปฏิบัติตามจริง ตามรู้จริงเห็นจริง ให้มันสมบูรณ์ งานเราก็มีเยอะ เพราะเราเป็นผู้บุกเบิก เป็น pioneer เป็นหัวเจาะ  ทุกวันนี้ก็เห็น ความเป็นไปได้มาพอสมควร ทั้งด้านการเศรษฐกิจ การศึกษา ด้านสังคม ด้านศีลธรรมนี่ยิ่งชัด แม้แต่ด้านอื่นใดก็ตาม จนกระทั่ง ถึงด้านการเมือง ก็ค่อยๆคืบหน้าไป

ตอนนี้เรามีงานเข้าเยอะ พ่อครูก็ตั้งเรื่องให้พวกเรา พวกเราก็เอาใจใส่ ขมีขมันพากเพียร ทำให้สำเร็จเข้าเป้า ช่วยกันคิด อย่าไปคิดเอาแต่ใจตัว เอาแต่ใจตัวนี่แหละ จะทำให้ช้า ให้ปรึกษาหารือกัน คนไหนที่เก่งที่ดี ให้ระวัง เป็นมานะอัตตา ถือดีถือตัวของตนเอง ระวังมันจะเป็น มันหลงว่าเราเก่ง แล้วก็ถือดีถือตัว ดี เก่ง ก็เอาสิ แต่อย่าหลงตัวเอง พยายามอย่าถือดี แล้วถ่อมตนไว้ เผื่อแผ่ความเก่ง ความดีแก่คนอื่น ช่วยบอกสอนคนอื่น แล้วก็จะได้เบาแรงเรา  เราไม่ได้ขึ้นกับ ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข หรืออามิสแล้ว เมื่อไม่ได้ทำเพื่ออามิส ก็ลดความเห็นแก่ได้ เพื่อตัวเองก็ตัดปัญาหาไป อำนาจการต่อรอง ก็ลดลง มันง่ายขึ้นเยอะ

มีรายงานเรื่องการศึกษาของทางราชการว่า จากการประชุม ระดมความคิด เรื่องกรอบแนวทาง การปฎิรูปหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ในวันนี้ (10 มี.ค.) ที่โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โดยมี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ในฐานะประธาน คณะกรรมการปฎิรูปหลักสูตร และตำราการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ผู้บริหารสำนักงาน คณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน พร้อมนักการศึกษา ร่วมประชุม ประมาณ 50 คน

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช กล่าวว่า คณะกรรมการปฎิรูปหลักสูตรฯ ตั้งเป้า 6 เดือนจากนี้ จะร่างกรอบ แนวทางการปฎิรูป หลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานให้เสร็จ แต่ยังไม่สามารถ ที่จะนำมาใช้ได้ทันที เพราะต้องดูในรายละเอียดต่างๆ อีกครั้ง ส่วนสาระสำคัญ ที่จะปรับแน่นอน เป็นเรื่องการลดชั่วโมงเรียน ในชั้นของนักเรียน แต่ระดับชั้นลง เนื่องจากพบว่า เวลาเรียนของเด็กไทย ในแต่ละช่วงชั้นต่อปี มากเกินไป เช่น ประถมศึกษา เรียนประมาณ 1,000 ชั่วโมง มัธยมศึกษา เรียนประมาณ 1,200 ชั่วโมง เป็นต้น

ศ.(พิเศษ)ภาวิช กล่าวต่อไปว่า เมื่อเปรียบเทียบชั่วโมงเรียน ของนักเรียนไทย กับประเทศอื่น พบว่า ประเทศไทย มีจำนวนชั่วโมงเรียนต่อปี สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศ ในแถบแอฟริกา ซึ่งเรียนประมาณ 1,400 ชั่วโมงต่อปี แต่ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของเด็ก กลับต่ำลงเรื่อย ๆ ขณะที่ประเทศที่มี ผลสัมฤทธิ์สูง อย่าง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มีชั่วโมงเรียน ต่ำกว่า 1,000 ชั่วโมงต่อปี โดยเฉพาะฮ่องกง ซึ่งประสบความสำเร็จ ในการพัฒนา การศึกษา อย่างมาก มีชั่วโมงเรียนต่อปี แค่ 790 ชั่วโมง ส่วนยูเนสโก กำหนดชั่วโมงเรียน ของนักเรียน ที่เหมาะสม 800 ชั่วโมงต่อป

(อันนี้อโศกเราทำนำมาแล้ว แต่เขายังไม่เห็น เรายังเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

"การลดชั่วโมงเรียนที่ว่านั้น ไม่ใช่จะทำให้เวลาเรียน ของเด็กลดลง แต่ลดการเรียน ในชั้นเรียนเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือ ให้เด็กได้เรียนรู้ นอกห้องเรียน อาทิ การให้นักเรียน ทำกิจกรรม หรือทำโครงงานต่างๆ ซึ่งครูจะต้อง ช่วยเสนอแนะด้วย ผมขอย้ำว่า การฎิรูปครั้งนี้ ไม่ใช่จะทำเฉพาะ การปฎิรูปหลักสูตร อย่างเดียว เพราะคงจะไม่สามารถ ทำให้แก้ไขปัญหา การศึกษาที่ป่วยหนักได้เลย แต่จะต้องปฎิรูป เรื่องอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย ทั้งการปฎิรูปครู เร่งสร้างความเข้มแข็ง ปฎิรูปไอซีที เพื่อการศึกษา และปฎิรูปโครงสร้าง" ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช กล่าว

ด้าน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะปรับลด ชั่วโมงเรียน ทุกช่วงชั้นแน่นอน เพราะนักเรียนประเทศอื่น ไม่ได้เรียนมาก อย่างนักเรียนไทย แต่กลับ มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ดีกว่า อีกทั้งต้องเปลี่ยนทัศนคติ ของสังคมไทย ที่คิดว่า เรียนมากจะรู้มาก ซึ่งไม่จริง แม้เด็กบางคน เรียนมาก แต่กลับคิด วิเคราะห์ไม่ได้ หรือไม่มีทักษะอื่นเลย ดังนั้น คงต้องมาทบทวน หาชั่วโมงที่เหมาะสม กับเด็กไทย ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่

ด้าน รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตนเห็นด้วยที่ ศธ. จะปรับลด ชั่วโมงเรียนลง เพราะทุกวันนี้ เด็กไทยเรียนมากเกินไป และเมื่อเด็กต้องเรียน ในชั้นเรียนมาก จึงไม่มีเวลาไปเรียนรู้ ทักษะอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ศธ.ต้องกล้ายกเลิกหลักสูตร ฉบับปัจจุบันเลย ยกร่างหลักสูตรใหม่ ขึ้นมาใช้แทน เพราะใช้มานาน มีจุดบกพร่อง และไม่ทันสมัยแล้ว..

พ่อครูตั้งข้อสังเกตว่า เด็กเราเรียนจบม.๖ แล้วไปเรียนต่อ ม.อุบลฯ ได้เกียรตินิยมกัน ตั้งข้อสังเกตให้ฟังนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นข้อชี้บ่ง เด็กเรา ๑๕ คน ได้เกียรตินิยมตั้ง ๔ คน  อีกรุ่น เด็กเรา ๗ คนได้เกียรตินิยมตั้ง ๓ คน ในปีที่สาม เรียน ๕ คน ได้เกียรตินิยมอีก ๒ คน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และเร็วๆนี้ นร.สส.ธ.ไปแข่งขันกับนักเรียน รร.เอกชน ทั่วภาคอีสาน เด็กนักเรียนเรา ได้เหรียญทอง ๑๗ เหรียญทอง, ๕ เหรียญเงิน, ๒ เหรียญทองแดง, รวม ๒๔ เหรียญ เราส่งทั้งหมด ๒๕ รายการ ได้เหรียญมา ๒๔ รายการ ที่ไม่ได้คือคณิตศาสตร์

ที่เราเป็นอยู่ขณะนี้ เรื่องการศึกษา เราปรับมาก่อนเขา นำหน้าเขา อย่างที่มีหลักฐานอ้างอิง เขายังงงๆ ยังเห่ออย่างเก่าอยู่ พ่อครูมาพานำ ให้เจริญ แต่เขาไม่เชื่อหรอก ตอนนี้เขาก็แค่ เอ๊ะๆๆๆๆ ว่ามันจะใช่หรือเปล่า  ยังไม่เชื่อ ก็ให้ดูไปเถอะ แล้วจะรู้ว่า... พูดไป เหมือนอวดตน ไปคุยโม้

แม้แต่ว่าประเด็นเถรวาท ในเมืองไทย ไม่รู้จักโพธิสัตว์ พ่อครูจึงต้องยืนยัน ประกาศ พิสูจน์ให้ดู ๔๐ ปีผ่านมา ยังไม่พอใจๆ ยังมีความโลภ ในสิ่งที่เจริญ ก็อยู่เพื่อสร้างพวกเรา ซึ่งมีนัยลึกซึ้ง ถ้าจะกล่าวว่า ยิ่งกว่าพ่อต่อแม่ ศาสนาดีต่อพวกเรา ที่มาเป็นลูกดียิ่งกว่าพ่อแม่ และพากเพียร เอาใจใส่ให้เจริญ คือไม่บำเรอ ไม่ปล่อยให้หลง อะไรที่พออนุโลม ก็ให้บ้าง แต่เคร่งครัดไว้ ตั้งตนบนความลำบาก ไม่เอา ยถาสุขัง ไม่ปล่อยให้ระเริงหลงสุข แต่ต้อง ทุกขาย อัตตานัง เราได้ดีมาทุกวันนี้ เพราะอันนี้

งานใดที่แนะนำ ก็ควรช่วยกัน แต่ไม่ใช่ว่ารีบร้อน ว่าเราฉลาด เรารีบรู้ได้ไว คว้าเลยเอาใหญ่ รู้ไวเสียด้วย ยังไม่ทันให้ต่อ ๑ต่อ ๒ ต่อ๓เลยก็พรวดไป ๕ คว้าไว้ไม่ทันเลย อันนี้ไม่ดี  ข้อสำคัญ ต้องประสานหมู่ บอกหมู่ อย่าไปโลดๆๆๆๆ เราทำงานในระบบหมู่นี่ ผิดก็ผิดด้วยกัน โทษกันไม่ได้ เพราะปรึกษาหารือ ตกลงกันแล้ว เราพยายามทำงาน ระบบหมู่ โลกทั้งโลก เขาก็ไม่เอาเผด็จการ เน้นมาหาหมู่ เน้นเผด็จการนั้น ตกยุคแล้ว อย่างทักษิณเน้น ซีอีโอ นั้นตกยุค ไม่ได้แล้ว พัง แล้วเขาก็ยังทำอยู่ ตัวเขาเองก็ชอบอย่างนั้น เอาเผด็จการ แล้วหลอกว่าเป็นประชาธิปไตย คนไม่รู้ ก็โง่ถูกหลอก แต่ยังดี ไทยเรายังมีคนฉลาดรู้ทัน ไม่เช่นนั้น ก็หลงลมเขาหมด แต่กระนั้น ขนาดนั้น ก็ยังมีคนร่วมกัน ยึดอำนาจได้ด้วย

ตอนนี้เรากำลังมีงาน ที่จะเชื่อมโยงเข้าสู่สังคม มันเป็นประโยชน์ ทั้งเราและเขา ไม่ใช่ว่าแต่เรา ที่ได้ประโยชน์ เราได้ทำงาน สร้างความชำนาญ ได้ฝึกฝนอดทน แม้แต่ได้ปฏิบัติธรรม ถ้าเข้าใจว่า ทำงานคือการปฏิบัติธรรม อย่างพวกเรา พ่อครูพาทำ ให้มีสัมมา สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ทั้งสี่กรรม อยู่ในภาคปฏิบัติทั้งสิ้น ให้รู้มิจฉา รู้สัมมา ถ้าเข้าใจสังกัปปะ ๗ แล้วปรับปรุงได้ จัดการได้ ให้เป็นสังขาร ที่พัฒนาเป็นวิชชา ไปควบคุมสังขาร ไม่ใช่อวิชชา ที่ไปควบคุมสังขาร มันจัดการถึงต้นตอ คือ วจีสังขาร ที่อยู่ในจิต ยังไม่ออกมาเป็น วาจากรรม จิตเป็นประธาน เป็นอำนาจเป็นพลัง

ตอนนี้พวกเรา ยังเข้าใจไม่ถ้วนทั่ว นอกจากไม่ถ้วนทั่วแล้ว แต่ละคน ก็มีของตน ศีรษะฯก็มี ปฐมฯก็มี ศาลีฯก็มี มีของตนๆ เพราะต่างคน ต่างมีหน้าที่รับผิดชอบ คนของเรา ก็หาคนที่มีคุณภาพ อย่างพวกเรา ก็ไม่ง่าย เราไม่สุกเอาเผากิน ไปเอาตัวปลอม มาย้อมแมวเป็นมันไม่ได้ มันต้องแมวตัวจริง ต้องเอาแมวที่จับหนูเป็น จะชาติไหน สีไหนก็ได้ ถ้าจับหนูยังไม่เป็น ยังไม่รู้ว่าตนเป็นแมวเลย เอาแต่เคล้าเคลีย ออดอ้อน หากินไม่เป็น ไม่เอา เราเอาแมวงาน เอาแมวที่จับหนูเป็น

ด้านการศึกษา เราพยายามให้ความเข้าใจ การศึกษา ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จะเข้าใจการศึกษา แต่ของเขา กว่าจะหันหัวเรือมา นี่ยังไม่ได้ หันหัวเรือมาเลย เตรียมจะหันหัวเรือนะ เขามีเอกสาร หลักฐานออกมา ก็คือแน่ใจว่า จะทำแล้วและยังไม่ได้ทำ แต่เราทำแล้ว เด็กๆ ฟังให้ดี ก็เห็นใจว่า มีสนามแม่เหล็กของสังคม มันแรง เราก็พยายามดึงมา อย่างเราก็ไม่ได้ดึง อย่างบังคับ ฉุดกระชากลากถู เราดึงด้วยให้เขาเห็นเอง ให้เขามีปัญญาเห็นเอง ดึงด้วยสัจธรรม ให้เขาสมัครใจ มีฉันทะเป็นมูล มีใจยินดี เป็นต้นเค้า ให้มีโยนิโสมนสิการ การทำสังกัปปะ ๗ เป็นต้น เขาก็จะมาอย่างเข้าใจ ซึ่งโยนิโสมนสิการ เป็นแสงอรุณ ข้อที่ ๗ ก่อนมีมรรค ๘ คนที่รู้ มนสิการเป็น ก็จะมา มามีปรโตโฆษะ จึงจะมีสัมมาทิฏฐิ  มาก็มาฝึก แล้วจึงทำการคิด พูด ทำให้สัมมาทิฏฐิ ให้ครบทุกกรรมกิริยา เป็นหลักสูตรพระพุทธเจ้า การศึกษา ที่ไม่มีใครมาสร้างได้ เป็นหลักสูตรการมีชีวิต ที่เยี่ยมยอด ในการศึกษาที่เรามี เป็นภาคปฏิบัติ เด็กเราก็เข้าใจว่าบูรณาการอย่างไร ซึ่งข้างนอก เขาก็เข้าใจว่า จะต้องมีครู ช่วยเสนอแนะด้วย ในการทำกิจกรรม ทำโครงงานต่างๆ

ตอนนี้งานหนักและใหญ่ ที่ยังทำอยู่คือ งานเรือ ...มีสมณะ และญาติธรรม ไม่กี่คน ช่วยกันอยู่ ฆราวาส มีเด็กชาย กระทกรก กับพ่อ ในเวลาสามวัน ลากได้แค่ ๑ ลำ (คุณจ่าหลักบุญว่า ขยับได้เท่าเดิม) พ่อครูว่าให้ซ่อม แบ็คโฮล ๘๐๐ มาช่วยย้ายเรือ จะได้เร็วขึ้น เรือเรา ไม่ใช่เรือกงเต็ก จะได้หยิบมาง่าย ถ้ามีเครื่องกลหนัก เช่นเครน ก็ยกหัวยกหางได้ แต่เครื่องมือเราก็เจ๊ง แม้แต่แม่แรงตัวโต ก็หนักมาก ต้องใช้หลายคน ช่วยกันยก ก็ยังไม่ค่อยไป ก็เห็นใจ เราจะเร่งทำเรือ ก็ตอกหมันไป  ๓ ลำก็เร่งกันอยู่ ใช้รถยก เราต้องรู้งาน รู้กาละ ขนาดวันนี้ ต้องงดลงปาติโมกข์กัน เพื่อทำงานให้ต่อเนื่องทีเดียว

อย่างพวกเรา ถ้าไปพูดกับสังคม แม้กับราชการก็เข้าใจ เขาก็รับได้ ถ้าสังคมไม่มี อคติต่อเรา เราไปอย่างไปให้ ไปทำประโยชน์ต่อเขาจริงๆ เราไปเสียสละ อย่างจริงใจ ไม่มีเลศเล่ห์ เขาก็ไม่รังเกียจหรอก ในโลก ทุกวันนี้ คนไม่เชื่อกันแล้วว่า มีคนบริสุทธิ์จริงใจ อย่างชาวอโศก เขาว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว เราก็ไปช่วยเขา เขาไม่เอาก็แล้วไป เขาไม่เอา เราก็ปล่อยวาง

อุปสรรคทางธรรมชาติ ในการทำตลาดน้ำก็มี ที่ท่าเรือหน้ากรมเจ้าท่า มีท่าน้ำ ที่ตื้นเขินมาก ก็ให้พวกเรา ไปเจรจา ให้กรมเจ้าท่า ติดต่อให้เรือดูดทราย ไปดูดทรายออก เพื่อให้เรือเรา ไปจอดได้ ในปลายเดือนนี้ เราจะลองลากเรือไปดู ต้องทำก่อนงาน ถ้าติดขัด จะได้แก้ไขก่อน

ทางกสิกรรม เราก็มีแรงงานมีฝีมือ ในการทำอยู่ ก็ขอบคุณพวกเรา ก็เห็นน้ำใจของเรา เห็นความร่วมมือ เราทำเต็มที่ แม้แดดร้อน บางคน สีผิวเปลี่ยน จากพอดูได้ เป็นแหล่ (สีคล้ำ) จากแหล่ก็เป็นยิ่งแหล่ ไม่ต้องไปห่วง มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ กังวลอะไร อย่างพวกแอฟริกา เขาก็แก้ไม่ได้ อย่างไมเคิล แจ็คสัน ก็ไปทำสีผิวขาว แล้วให้เมียคลอดลูก ให้ลูกเป็นคนขาว หลอกคนทั้งโลก

การพาณิชย์เรา วิธีการขายเราก็นำหน้า เราก็จะเชื่อมโยงกับสังคม เรานำหน้าสังคม คือ เราไม่มอมเมาสังคม เรามีพฤติกรรมการงาน แม้แต่ศิลปะ เราก็รู้ว่าลักษณะอย่างไร เป็นสุนทรียะ และเราไม่ทิ้งสาระ เราไม่เอาสุนทรียะ มากลบสาระ เป็นปหาสะ อย่างโลกเขา เราก็ดึงกลับคืนมา  ผู้มีปัญญาเห็นก็จะมา ผู้ไม่มีปัญญาเห็น ก็ต้องปล่อยไป

ยิ่งการเมืองเรา เรานำหน้าเขาไปหลายขุม เราประท้วงอย่างสงบ จริงใจในเรื่องสงบ แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีพวกเรา จิตใจไม่แข็งแรงพอ ต้องพกซ่อนอาวุธไป ก็ต้องบอกว่า ไม่ได้นะ ก็ดีขึ้น ทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่า มีการพกซ่อนอาวุธหรือเปล่า อย่างในชุมชนเรา อย่ามาซุกซ่อน ปืนเปิน ให้เอาออกไป ให้มันกล้าตายหน่อย ได้ข่าวว่า ทิดของอโศกบางคน ที่แต่งงานออกไป ก็ได้ข่าวว่าผอมมาก เพราะมีลูกไปสองคนแล้ว อยู่ดีไม่ว่าดี ก็มีคนเรียก ว่ามาเถอะ หอบลูกมาเถอะ มาอยู่กันที่นี่ ซึ่งชิบที่พ่อครูฝังไว้มีแล้ว แต่มันมีกิเลสอยู่ อย่างนี้แหละ คางคกเลือดหัวไม่ออก ไม่รู้สึก ก็ไม่รู้ว่าจะเข็ดไหม คือตัวใครก็ดูตัวเอง ของตัวเอง เป็นเอโก เราไม่บังคับ มันต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง จะเห็นจริงเอง ชัดเจนเอง เชื่อมันเอง เห็นจริงเห็นจังเอง พระพุทธเจ้าได้แค่ชี้ทาง นอกนั้นตัวใครตัวมัน กรรมเป็นของของตน คำว่าเอง ไม่ใช่เห็นแก่ตัว แต่ให้เราทำตัวเอง ให้เจริญ ยิ่งเราเจริญ ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

จบขอบุญโฮม

++
ต่อไปก็เป็นการเทศน์ต่อ เพราะมีค่าย นร.ม.๖

ทุกแขนง แม้แต่การสื่อสาร ก็ต้องมีการศึกษาก็จะเจริญ ลูกค้าเราจะมามาก เราก็เลือกเอาได้ อะไรสมควร เราต้องไม่ขี้เกียจ ต้องพากเพียร ไม่ใช่ทำเล่นๆนะ เอฟเอ็มทีวี แต่ก่อน เรามีเผยแพร่ ทางดาวเทียมดวงเดียว แต่ตอนนี้ เพิ่มดาวเทียม ออกอากาศอีกหนึ่งดวง ใช้เงินเพิ่มอีก ๗-๘ แสนบาท ก็มีผลทางสังคม สูงขึ้นแน่นอน ก็จะยิ่งมีคนนิยม คุณภาพดีขึ้น เราก็ต้องทำสาระ ที่เราเลือก คือสัมมาอาชีพทั้งนั้น กินความว่า งานเลี้ยงตน ซึ่งมีทั้งการเลี้ยงตน อย่างทุจริตอกุศล เขาก็ไม่เรียนรู้ แต่ของเราเรียนตลอด พ่อครูก็กำลังเจาะลึก ให้ปลีกเวลามาฟังบ้าง มีคนฟังแล้ว ว่าเราเพี้ยน ที่สอนอย่างนี้ เขาว่าเราสอน กลับหัวกลับหาง เหมือนกับ แม่ปูลูกปู

ชีวิตเราที่เป็นสังคมหมู่กลุ่ม มีธรรมะเป็นแกน ถ้าไม่มีธรรมะเป็นแกน ก็มาไม่ได้อย่างนี้ ถึงวันนี้ ต้องเห็นความสำคัญ ของธรรมะทุกคนเลย ทั้งเด็กผู้ใหญ่ ต้องพยายามให้มีธรรมะ เมื่อมีธรรมะเป็นแกน ของชีวิตแล้ว จะไม่ตกต่ำ โลกเขาจะหลงมอมเมา เลอะเทอะ มันก็พึ่งไม่ได้ ต้องพึ่งธรรมะ แน่นอน โลกเขาวิ่งหากลียุค จะฆ่ากันตาย จะบรรลัยจักร ธรรมชาติกระหน่ำซ้ำ คนที่เลวร้าย เพราะคนเป็นเหตุ ธรรมดาธรรมชาติ ก็ปรับตัวได้เอง น้ำก็สังเคราะห์กันได้ ให้ใสเอง แต่คนเรา ไปเติมอะไรเข้าไป จนน้ำปรับตัวไม่ได้ เน่าเสีย ธรรมชาติโลกนี้ ขยะจะน้อย ใบไม้ในป่าก็ไม่ใช่ขยะ แต่คือปุ๋ยซ้อน แต่คนเราเอามาแปรรูป เสียเละเทะเลย เป็นอาหารไม่ได้เลย และเป็นพิษ ทำลายธรรมชาติ คนทั้งนั้นที่ทำ อย่างนี้ไปไม่รอด ตายหยั่งเขียด ห้ามไม่ได้ด้วย ที่มันจะถึงยุคกาล พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ ที่เข้าใจยุคกาล

เคยมีมากี่กลียุคแล้ว ที่มีกลียุคล้างโลก มีรู้กี่รอบกลียุค แล้วมันก็จะถึง อีกรอบ ห้ามความจริงนี้ไม่ได้ แต่เราไม่จำนน ถึงกลียุคอย่างไร เราต้องเอาส่วนดีไว้ ได้เท่าไหร่ก็เอา เราต้องตะกละสิ่งดี เอาไว้ให้ได้ พอมันเกิดเวลาไฟไหม้โลก ก็ไหม้ไป เหลือแต่ส่วนดี ที่คงทน ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ สัจจัง เว อมตาวาจา (สุจริตไม่มีวันตาย) สิ่งจริงอันนี้ คือความรอดโดยสัจจะ ไม่ใช่ความรอดโดยโมเม ตรรกะปรัชญา

การเกิดการตาย คือการเวียนวนของชีวะ เช่นดินเป็นก้อน จนสลายเป็นผง เป็นอากาศ ก็หมุนเวียนกลับไปมา จนแปรมาเป็นธาตุ ชีวะก็เปลี่ยนแปลงไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จนกว่าจะเปลี่ยน จากนาม ไปหารูป อีกทีหนึ่ง คือนิพพาน คือให้ธาตุจิตของเรา ให้กลายเป็น ดินน้ำไฟลมได้ ไม่อย่างนั้น ต้องมีอุปาทาน ยึดติดจิต เป็นธาตุวิญญาณ เป็นจิตนิยามอยู่ แตกสลายไม่ได้  ซึ่งวิทยาศาสตร์ เขาสลายนิวเคลียสได้  อย่างไอสไตน์ สลายนิวเครียสได้ E = MC2 ธาตุเป็นสสารแตกได้ แยกธาตุเป็นนิวเคลียร์ได้ พลังงานมหาศาล ของเราก็เป็นธาตุ ทางจิตวิญญาณ เป็นวิญญาณธาตุ จิตธาตุ หรือ มโนธาตุก็เรียก  ผู้สามารถแตกแยก วิญญาณธาตุ ให้เล็กลงๆได้ ละเอียดได้เก่งเท่าไหร่ ก็ได้พลังงาน ที่เหมือนนิวเคลียร์ไง เป็นสัจจะ  ผู้ที่บรรลุธรรม จะแยกธาตุ ที่ทำให้เรา ขยันน้อยออก แล้วมันจะขยันมากเอง พอลดขี้เกียจได้ ก็จะขยันขึ้นเอง มันเป็นภาวะคู่ เป็นธรรมชาติของ ขยันกับขี้เกียจ จะรู้ว่าขยันนี่ มันก็เป็นสุขดี ขยันก็ไม่เห็นทุกข์เลย งานหนักก็รู้ว่างานหนัก ก็ทำไป จะทนเก่ง ทำเก่งขึ้นเรื่อยๆ ฝึกฝนไป คนไม่ฝึกก็ไม่ได้ ยิ่งในวัยที่ เป็นวัยเจริญพันธุ์ จะยิ่งสร้าง สภาวะเก่งเลย ถ้าเด็กคนไหนเอาถ่าน ในวัยเจริญพันธุ์ จะสร้างบาทฐาน ให้ตัวเองแข็งแรงได้ ทั้งรูปและนามเลย ก็ค่อยๆเป็นไป เด็กเราที่รู้ทางก็ทำ พ่อครูไม่บังคับ มีฉันทะเป็นมูล แล้วมามนสิการ มาทำใจในใจ เป็นหลัก

ธรรมะของพระพุทธเจ้า ต้องมนสิการเป็น ถ้ามนสิการไม่โยนิโส ไม่ถ่องแท้ ไม่ละเอียด แยบคายเพียงพอ จนกระทั่ง ถึงจุดสำคัญของมัน ได้อย่างถูกต้อง ก็ไปไม่ถูก ไปไม่รอด ถ้าทำใจเป็น ก็มีผัสสะเป็นปัจจัย ตามมูลสูตร เมื่อรู้ว่ามนสิการเป็นอย่างนี้ ได้ฟังจาก สัตบุรุษมาแล้ว ก็มีโยนิโส มนสิการบริบูรณ์ ก็ปฏิบัติเลย ก็สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ บริบูรณ์ มีกระทบสัมผัส มีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วก็รวมลงประชุม เป็นเวทนา เป็นนามกาย (เวทนา คือนามกาย หรือนามรูป) ตัวที่ประชุมลง เรียกนามรูป เรามีญาณหยั่งรู้ เรียกว่า นามรูป  สิ่งที่ถูกรู้ ก็เป็นรูป นามกายและนามรูป เป็นสิ่งที่ต่างกันนิดหนึ่ง นามกายถูกรู้ได้ นามรูปก็ถูกรู้ได้ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ ผู้ที่สามารถรู้ได้ขนาดนี้ แล้วเราก็แยกธาตุอย่างละเอียด ก็จะได้ ก็ได้พลังงานเสริมๆ  

พวกเราไม่รวยเพราะสะสมเงิน ทรัพย์สมบัติวัตถุ แต่เราจะรวยสมรรถนะ รวยนามธรรม แล้วก็มาบันดาล รูปธรรม และนามธรรมของใครนี่ ยิ่งใช้ยิ่งงอก ยิ่งใช้ยิ่งไม่หมด ยิ่งขยัน ยิ่งชำนาญ มีผลได้มากขั้นๆ นอกจาก จะทำมาก จนทำลายสุขภาพเกินไป อย่าให้โอเวอร์โหลดเกินไป

พวกเราในด้านการศึกษานี่ ถึงขั้นจะทำการวิจัยต่อจาก ไอสไตน์ คือ E = MC2 + A และ A คือที่พ่อครู ค้นพบ ต่อยอดของไอสไตน์ คือ Abstract หรือ Absolute หรือนามธรรม ถ้าเอานามธรรม มาสร้างพลังงาน ( E ) โดยรูปและนาม คือ M กับ C มันก็คูณ หรือยกกำลัง แล้วก็บวกลบกันไป ตามเหตุปัจจัย ก็ที่แต่ละคนมี จะได้พลังงานเพิ่มมา คือ A ตัว E ก็สูงขึ้น ไม่ใช่แค่ปากเปล่า เป็นสูตรที่แท้จริง แต่ต้องมีปัญญา รู้ถึงขั้นนาม ถ้าสามารถสังเคราะห์ รู้สังกัปปะ ๗  รู้มาตรวัด เช่น เจโตปริยญาณ ๑๖ แจกเป็น เวทนา ๑๐๘ เอามาปฏิบัติ มนสิการ เป็นสังกัปปะ ๗  คือกระบวน process ของการสังเคราะห์ ของจิตวิญญาณ ที่แท้จริง ต้องเรียนรู้ เป็นกระบวนทัศน์ก่อน เป็นมโนทัศน์ก่อน ต้องเข้าใจเป็น concept ก่อน แล้วมี process ทำให้เกิดมีพลังงาน ที่มีจิตวิญญาณเป็นประธาน

พลังงานที่มีจิตวิญญาณเป็นประธานจะมีลักษณะ
๑.ขยันไม่เกี่ยง 
๒ สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีมลพิษเจือปน
๓. เป็นพลังงานเสียสละ เป็นพลังงานที่เยี่ยมยอดที่สุด

ขยันไม่มีมลพิษ คือขยันแบบไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ขยันแล้วให้ ขยันแล้วไม่หวงนั้น ยอดไหม อยากเป็นคนอย่างนี้ไหม? เด็กๆอยากเป็นไหม? ..เราผ่านมาทุกวันนี้ พวกเรามี ธาตุจิตตัวนี้แล้ว คนข้างนอกเขาไม่เชื่อ แต่ของเรา มีตัวอย่างให้ดูด้วย ชี้ตัวเราได้ แม้จะมีนิด ก็ยังมี พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้น ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น (ยถาวาที ตถาการี ตถาการี ยถาวาที) อย่าให้พ่อครูต้อง กระเสือกกระสน ที่จะมีชีวิตยืนยาวเปล่า เหนื่อยไปอีกๆ แต่ไม่มีอะไรเกิด มันก็ไม่ดี ลงแรงเปล่า ก็น่าสงสารเนาะ

อะไรๆก็คลี่คลายไปอยู่ แม้จะยังมีตัวมาร มายึดครอง อย่างเอาจริงเอาจัง เป็นปฏิปักษ์ เราจะไปบันดาลอะไรไม่ได้ เราทำดีไม่ได้ดี เพราะทำดี ยังไม่มากพอ ทำใจสบายๆ ก็ทำดีอีกๆๆ ว่าไปเรื่อยๆ ตอนนี้งานเฉพาะหน้า ที่หนัก คืองานกสิกรรม กับงานเรือ นอกนั้น ก็เป็นงานประกอบ เราต้องรู้ งานใดสำคัญหลัก สำคัญรอง ต้องมีปัญญารู้ว่า จะทำอะไรก่อน มันก็จะได้สภาพลงตัว

ทางด้านการศึกษา ก็พยายามให้มีการต่อ เรื่องอุดมศึกษา ให้เป็นรูปร่าง แม้มัธยมก็ต้องปรับ เรียกว่า บูรณาการไปเรื่อยๆ ก็ค่อยๆพัฒนา ปรับปรุงกันไป มันยังไม่ดีที่สุด ยังดีกว่านี้ได้ ดีกว่านี้ ให้ชัดๆจริงๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การสาธารณสุข หรือสุขศึกษา ก็พยายามดูกัน เราก็มีไม่รู้กี่กลุ่ม แข่งดีให้มันถูกต้อง ให้มีใจกว้าง ไม่ต้องไปแย่งชิงกัน แล้วมันจะค่อยมีของจริงไป โดยเฉพาะสุขภาพนี่ ตื่นตัวกันทั่วโลก  เขารู้แล้วว่า คนมันเอาสารพิษ มาหลอกกันทั้งโลก มันปรุงแต่งสารพิษ มาใส่เรา ทุกประตูเลย น่าสงสาร ชีวิตมันจึงแย่ ถูกสารพิษรุมเร้า ทั้งห้าประตู ใส่ไปหาใจ ใจเป็นถังขยะ เอาสารพิษใส่มาทาง ตาหูจมูกลิ้นกาย ใส่ในถังขยะใจ กว่าเขาจะรู้ตัว ก็น่าสงสาร (พอดีมีคนมาดูงาน เข้ามาในศาลา)

ของเราก็จะได้มิตรดีสหายดี ไปเรื่อยๆ มิตรดีคือ ผู้พากันไปทำให้เกิด ศรัทธาสัมปทา  เกิดศีลสัมปา เกิดจาคะสัมปทา เกิดปัญญาสัมปทา  มันจะได้อย่างนั้นจริงๆ จะมีมิตรดี ที่ปราถนาดีต่อกัน และในแสงเงิน แสงทองทั้ง ๗ (มีมิตรดีสหายดี –ศีลสัมปทา –ฉันทะสัมปทา –อัตตะสัมปทา –ทิฏฐิสัมปทา –อปมาทสัมปทา -โยนิโสมนสิการ) ซึ่งเป็นสิ่งที่ จะมาก่อน มรรคองค์ ๘ ซึ่งมรรคองค์ ๘ คือ อริยสัจ ๔

มิตรดีจะต้องเป็นมิตรที่มีศรัทธา ทำให้เกิดความเชื่อ มีฉันทะในเรื่องนี้ แล้วจะมีศีล มีหลักไปปฏิบัติ ตามฐานะตามลำดับ (ศีลสัมปทา) แล้วก็มีฉันทะ (ฉันทะสัมปทา) มีฉันทะ แล้วก็จะมีวิริยะ จิตตะ วิมังสา ใจยินดีก็จะขยัน ถ้าใจไม่ยินดี ก็เข็นกันอืดเลย ถ้าใจยินดี ไม่ต้องเข็น มันวิ่งเองของมัน พอวิ่งเองแล้ว จะเอาจิตใจ ทุ่มโถมใส่ ไม่เหลาะเหละ ไม่เลี่ยงเลย ใจจะเต็ม วิมังสา เราก็จะได้เนื้อๆ ที่คัดเฟ้น ที่ไม่ดีเอาออก เราเอาอย่างวิเศษไว้ นี่คือวิมังสา (แปลตามอัตถะ) ต่อมาก็มี อัตถะสัมปทา ที่ต้องรู้อัตตาก่อน จึงทำให้หมดอัตตา ถึงอนัตตาได้ แล้วต้องมีความเห็น ที่ชัดเจน มีหลักที่สมบูรณ์ มีโครงสร้างเฉพาะตน ให้พอเหมาะได้ (ปโหติ) แล้วก็อย่าประมาท พอได้ดีแล้ว จะเผลอง่าย เพราะมันไม่เคยได้ของดีไง จะตีราคาค่าตัวเองผิด หลงตัวได้ง่าย จะเสีย ให้ระมัดระวัง มานะอัตตา เป็นการฆ่าตัวเอง เมื่อเราไม่ประมาท แล้วต้องทำใจในใจให้เป็น (โยนิโสมนสิการ) ต้องรู้ทางที่จะลดกิเลส ให้ถึงนิพพาน (อลมริยา) ทำอย่างมีปัญญา รู้ตัวทุกอย่าง

ตั้งใจรู้ แล้วเอาไปปฏิบัติ บอกตรงๆอยากได้อรหันต์ อย่างพวกเรา ไม่ใช่มีแต่โสดาบัน ให้ตรวจสอบตัวเอง อย่าไปหลงผิด ให้ตรวจให้ชัด อย่าไปตัดสินว่าตัวเองสูงง่าย ตรวจมานะให้ชัด ให้ตรวจมานะ ๙ มานะ ๑๒ คือประมาณสิ่งที่เรามีจริง ผิดพลาด ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิได้ เป็นต้น เราจะต้องพัฒนา ให้ไปถึงอรหันต์ ให้ได้จริง เข้าทศวรรษที่ ๔ แล้ว พ่อครู ถ้าอยู่ถึง ๑๕๑ ปี จะเข้าทศวรรษที่ ๗

สรุปแล้ว มีงานเฉพาะหน้า พวกเราก็ช่วยกันเอาภาระ ผาแหงน จะเป็นโมเดลของ วิหารหินเดียว (ตั้งชื่อว่า วิหารหินฟ้า) เป็นภาษาอังกฤษว่า โมโนลิท แซงจูรี่ สร้างให้สังคมดูว่า สังคมสาธารณโภคีเรา เป็นอย่างนี้ เป็นคอมเพล็กซ์ ที่มีสาระ รวมพล เสวนา มีหมดที่นี่ ในที่ประมาณ ๓ ไร่ก็เป็นไปได้ กำลังติดต่อดูที่กัน แล้วค่อยฝันต่อ ตอนนี้ จบความฝันก่อน

...เอวัง.....

 

  ชื่อหนังสือ