FMTV โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ
  560315_เทศนาวันรับกลดสัมมาสิกขา รุ่น "คืนชีวิตให้แม่มูน"  |
โดยพ่อครู
สมณะโพธิรักษ์ ที่บ้านราชฯ

คุณปะตรงเตือน พิธีกรรายการรับกลด ปีนี้ มีนร.จบการศึกษา ทั้งสิ้น ๓๔ คน จากทุกสัมมาสิกขา และอาชีวะศึกษา ของชาวอโศก

คนที่ยังไม่จบก็สู้นะ พี่ๆเขารอด จบมาปีนี้ ๓๔ คน ตอนเข้ามา บางโรงเรียนมี ๓๐ คน ๒๐ คน หรือ ๑๐ คนสุดท้าย ๙ โรงเรียน มาเข้าเส้นชัย ๓๔ คน เป็นเครื่องแสดงว่า มันไม่ง่าย ที่เข้ามาฝึกฝน ในหลักเกณฑ์ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา  เราเน้นเรื่องศีลธรรม ให้เป็นคนดี มีการขัดเกลากิเลส ความประพฤติ ที่เป็นเรื่องยากมาก และอย่างน้อย ต้องทำงานเป็น  ตลอด ๖ ปี ต้องพยายามฝึกฝนกันให้เป็น ควรต้องพึ่งตนเองได้ และเป็นที่พึ่ง ให้แก่น้องๆ ได้บ้างแล้ว แต่ทุกวันนี้ ศีลธรรมไม่เอา เอาแต่เล่นเฮฮา ถูกมอมเมาไปกับสังคมหมด

เยาวชนที่ถูกให้การศึกษาผิดทาง สังคมจึงเสื่อมโทรมไปหมด ตำหนิอย่างแรง เรื่องการศึกษาของประเทศ มาถึงวันนี้เสียหายหนัก จนได้คน ไปบริหารบ้านเมือง ก็เห็นได้เลยว่า หน้าด้านหน้าทน โกหกมดเท็จ ทำเสียหายมากมาย ความสามารถ ที่จะรู้ที่พึ่งอันเกษม รู้เศรษฐศาสตร์สังคม เขาไม่เป็นเลย ทำให้บ้านเมือง เสียหายวอดวาย ซึ่งมันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ในระดับประเทศ พ่อครูจึงเห็นว่า ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไข ก็ทำมา ๒๐ ปีแล้ว ก็ทำได้แค่นี้ ปีหนึ่งจบแค่นี้ ก็ไม่ได้ทำเพื่อค้าขาย หรือเอาประโยชน์อะไรส่วนตน แต่ก็ช่วยกันไป เลี้ยงดูกันไปเหมือนลูกหลาน มีเจตนาจริงใจช่วยกัน มาขัดเกลากัน อย่างไม่มีอะไรเคลือบแฝงเลย

ขนาดนั้นก็ยังสู้โลกเขาไม่ได้ เด็กเรามาเรียนฟรี เหมือนนักเรียนประจำ ไม่ต้องจ่ายอะไร ซักอย่าง เลี้ยงดูอย่างลูกหลาน หมายมุ่งให้พัฒนา เป็นคนดีเจริญให้ได้ แม้แต่ความรู้ วิชาการ เราก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขาเลย เราทำศีลธรรม ๔๐% เป็นงาน ๓๕% วิชาการ ๒๕% เขาเข้าใจว่า เราสอนวิชาการน้อย แต่ที่จริงเราสอน ๒๕% ของเราให้ เท่ากับเขานั้นแหละ ไม่น้อยเลย ดูได้จากเด็กเราที่จบออกไป ก็เรียนอุดมศึกษา ได้เกียรตินิยมด้วยซ้ำ มีหลักฐาน และก็ไม่ใช่ว่า นานๆได้ที ได้ประจำเลย ส่งไปแข่งก็ได้รางวัล ส่งไป ๒๕ คนได้รางวัลมา ๒๔คน เป็นต้น

การศึกษาเราครบสมบูรณ์ถ้วนรอบ ตั้งแต่ศีลธรรม ความอดทนก็ตาม เรื่องของวิชาการ เราก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขา เด็กเราแม้จะถูกให้ออกจากเรา ก็ยังสามารถ ไปเป็นหัวหน้า เป็นผู้นำของข้างนอกได้ เป็นเครื่องยืนยันว่า เราไม่ด้อยกว่าเขา แต่เด็กเรายังไม่เชื่อมั่นว่า การหล่อหลอมของเรา จะดีกว่าข้างนอก นี่ไม่ใช่เรื่องยกตัวยกตน ของเราเป็นการ ให้การศึกษา ที่สมบูรณ์ ให้เด็กเป็นคนมีคุณค่าต่อสังคม ประเทศชาติ อย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่า เราตั้งรร. เพื่อหากำไร หาผลประโยชน์ แม้เราจะมีอาชีวะศึกษา มีมหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้ทำ เพื่อหน้าเพื่อตา แต่เพื่อสร้างมนุษย์แก่ประเทศ อย่างแท้จริงเลย

เจตนาที่พูดจะชี้ความจริง ๒๐ ปีผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์ การตั้งสัมมาสิกขา ว่าเราให้การศึกษาไป เด็กเราที่ได้จบออกไป ถามเขาได้ว่า เขาได้อะไรเมื่อจบไปแล้ว เด็กหลายคน ที่ยังไม่จบ ออกกลางครัน เขาออกไปแล้ว ก็ได้สำนึกว่า เราควรอดทน อยู่ให้จบ เพื่อหล่อหลอมฝึกฝน จะได้เป็นคนดีมีคุณภาพเสียบ้าง ก็ไม่เห็นว่า ใครออกไปแล้ว กลับมาถล่ม ว่าหลุดออกไปแล้วเจริญงอกงาม ว่าจบออกไปก่อนแล้วดี ก็ไม่เห็นว่ามีใคร มีแต่บอกว่า เราบกพร่อง ผิดพลาดไปแล้ว น้องๆอย่าทำตาม เขาจะรู้สึกและเข้าใจเลย

ฝึกฝนเป็นโพธิสัตว์ ก็มองอย่างไม่มีอคติ ไม่ลำเอียง เกิดจากการฝึกฝน ธรรมะพระพุทธเจ้ามา ไม่รู้กี่ชาติ คนเราศึกษากันชาติต่อชาติ เมื่อยังไม่เป็นอรหันต์ แม้จบอรหันต์แล้ว ก็ยังต้องฝึกฝน เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าอีก การจบอรหันต์ เป็นหลักประกันว่า ตนไม่มีเสื่อมไม่มีเลว แต่ผิดได้ในเรื่องสมมุติสัจจะ เป็นการสมมุติกัน ตามกลุ่มตามหมู่ ไม่ใช่เรื่องถูกต้องแท้จริง ตามปรมัตถสัจจะ ในแต่ละประเทศ ก็สมมุติ ไม่ตรงกันทีเดียว ถือว่าการถูกไม่ตรงกัน แต่เรื่องของกิเลสที่เรียกว่า ปรมัตถสัจ จะตรงกันทุกชาติ ทุกภาษา ต้องเรียนรู้เป็นปัจจัตตัง ต้องรู้และจับกิเลส ฆ่ากิเลสด้วยตนเอง กิเลสหมดแล้ว เป็นพระอรหันต์เหมือนกันทุกคนได้ แต่ว่าจะผิดสมมุติได้ เพราะแต่ละคน เห็นต่างกัน จะเห็นถูกต้องต่างกัน ในแต่ละอรหันต์ เห็นแล้วก็ค้านแย้ง ต้านกันได้ด้วย แต่ทางโลกเขาว่าไม่ดีไม่ถูก อรหันต์เห็นแล้วสงสาร ก็อยากแก้กลับให้ สิ่งเหล่านี้ เขียนเป็นหลักสูตรไม่ได้ เพราะหลากหลายมาก

ความรู้ทางเทคนิค ความสามารถที่จะไปแย่งลาภยศสรรเสริญสุขนั้น เป็นความรู้ทางโลกีย์ เอาไปแย่งลาภยศ สรรเสริญสุข เอาไปเอาเปรียบเขาทุจริตได้ เพราะมันฉลาดกว่าเขา แต่มันมีกิเลส ความโลภ เห็นแก่ตัวมาก ยิ่งทำเลวร้ายได้มากๆ

ขอให้เป็นซื่อคนดีมีศีลธรรม ไม่ต้องเก่งก็ได้ จบจากสัมมาสิกขา ถ้าไม่เก๊เกินไป ก็พึ่งตนได้ทั้งนั้น แต่คนข้างนอก จบปริญญาเอก ยังแบมือขอเงินแม่เลย เด็กเราจบม.๖ พึ่งตนได้ส่วนใหญ่ มีข้อบกพร่องบ้าง แต่มวลเฉลี่ยแล้ว พึงตนได้ มีความรู้ความสามารถ มีศีลธรรม อยู่ในสังคม อย่างไม่ทำร้ายสังคม ช่วยสังคมได้

จบไปจากที่นี่ แม้จะไม่มาช่วยที่นี่ แต่ก็ไม่ไปทำร้ายสังคมได้ก็ดี แต่ใครจะเห็นดี มาช่วยที่นี่ หรือเห็นดีเลยว่า อยู่ที่นีดีจะอยู่เลย ก็ยิ่งดีเลย ใครออกไปแล้ว จะกลับมาก็ได้ มีคนที่มาอยู่ ทั้งคนที่จบการศึกษาที่นี่ และไม่จบที่นี่ก็มา ถ้าเห็นว่าดี

เกิดมาแต่ละชาติๆ คนเราก็หลงมุ่นอยู่กับการล่าโลกธรรม จนกว่า จะมีภูมิธรรม เห็นว่า มันเป็นสิ่งสูญเปล่า เป็นเวรภัยให้เราต้องไปใช้หนี้วิบาก ไม่รู้จบสิ้น จนมาชัดเจน จิตเข้ากระแส โสดาบัน แม้จะต้องไปข้างนอกอยู่บ้าง แต่รู้ชัดเจนว่า อยู่ในนี้เป็นเมืองเจริญ ศิวิไลซ์ ที่แท้จริง คือไม่ตกต่ำ โสดาบันคือผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เข้ากระแส มีจิตที่จะเดินทาง พัฒนาตน ไปสู่ที่สูงที่สุด คืออรหันต์ อย่างช้านานก็อีก ๗ สังโยชน์ที่เหลือ เรียกว่า ๗ ชาติ (๗ สังโยชน์คือ กามราคะ ปฏิคะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา) คือ สัตตักขัตตุปรมโสดา คือโสดาบันที่แย่ที่สุด ในโสดาบันทั้งหมด ถ้าโสดาบัน ในระดับต่อไปคือ โกลังโกลโสดาบัน อาจเกิดอีกไม่เกิน  ๗ ชาติ หรือชาติเดียว ก็เป็นอรหันต์

โสดาบันมี ๓ ระดับ
๑.เอกพีชี  เกิดอริยชาติอีกเพียงส่วนเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  (พระบาลี ไม่มีคำว่าชาติ หรือเป็นการเกิดแบบเป็นตัวๆ เลย)
๒.โกลังโกละ (เกิดในสุคติภพอีก ๒-๖ ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้)
๓.สัตตักขัตตุปรมะ (เวียนเกิดในสุคติภพ หรือ อริยชาติอีกเพียง ๗ ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุด แห่งทุกข์ได้)

พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่พิสูจน์มากว่า ๒๖๐๐ ปีแล้วก็พิสูจน์ได้ ใครอยาก เป็นคนเจริญ คนศิวิไลซ์ เป็นคนอาริยะ เป็นคนมีพลัง ๔ พ้นภัย ๕ มีสารณียธรรม เป็นคนไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่กุศล เพราะได้ชำระจิตให้ปราศจากกิเลส อย่างไม่กลับกลอก ไม่มีอะไรมาหักล้างนิพพานได้ ใครเป็นอรหันต์แล้ว ไม่มีกลับกำเริบ หรือ เวียนกลับ

เราจะเกิดมาเวียนวนอีกกี่ชาติๆก็ตาม เราก็จะต้องอยู่กับวิบาก ที่พาเราหลง ลาภยศ สรรเสริญ ถ้าไม่ศึกษาให้เป็นโสดาบัน เป็นอย่างต่ำ คือจิตเข้ากระแสแล้ว ไม่มีตกต่ำ เป็นธรรมดา ต้องเรียนรู้ว่า โสดาบันบางท่าน ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องสังโยชน์ ที่มันผูกเราไว้ ให้ล่าลาภยศ ก็ไม่ค่อยรู้ แต่โสดาบันบางคน ก็ละเอียดลึกซึ้ง ฝึกฝนไม่นาน ก็เป็นอรหันต์

ที่พูดไปเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจ พวกเราได้มาพบกัน รู้จักกัน ได้มาร่วมเผื่อแผ่ สิ่งดีต่อกันและกัน ตนเองลดละ ความเห็นแก่ตัว แล้วก็ช่วยผู้อื่นต่อไป ผู้ใดมาพบ มาเห็นแล้วก็คือ พวกเราที่มาพบสังคมอาริยะ  พวกที่มีโลกใหม่ ที่ไม่เหมือนที่เขาเป็นกัน ไม่ต้องแสวงหา แย่งชิงอย่างเขา แต่พวกเราไม่แสวงหาแล้ว และมาลดละพากเพียร แต่พระพุทธเจ้า ไม่ให้เราหยุดทำกุศล เราก็ทำงานที่ไม่มีโทษ (อนวัชชะ) ก็จะมาทำ ด้วยวิริยะ มีกำลังเท่าไหร่ก็มาทำ จะเห็นเลยว่า พวกเรามาทำงาน ไม่ได้ทำเพื่ออามิส แต่รู้ว่าเป็นงาน ที่มีคุณค่า มีประโยชน์ ไม่มีโทษ ก็ทุ่มเททำกันไป พอทำเสร็จแล้ว ก็เผื่อแผ่กัน เป็นสังฆหะ ซึ่งเป็นยอดแห่งเศรษฐศาสตร์ และเป็นยอดของ การทำงานการเมือง เป็นเรื่องสัจจะ

ก่อนออกไป ก็ให้ความรู้ความเข้าใจสำทับว่า ผ่านมา ๖ ปี ที่นี่ได้ให้อะไร แค่ไหน จะเรียนต่อหรือไม่ ก็ไม่บังคับ จะออกไปต่อข้างนอก ก็แล้วแต่ หรือจะเห็นดีว่า มาอยู่เรียนต่อ ก็ยิ่งดี ไม่ได้ถือว่าเป็นหนี้เป็นสินแต่อย่างใด แต่โดยสัจจะนั้น เป็นหนี้ (ไม่ได้พูด เพื่อให้มาใช้หนี้) แล้วแต่ใครจะกตัญญูกตเวที ไม่ได้พูดหว่านล้อม แต่พูดสัจจธรรมให้ฟัง

สังคมเราอโศกก็อยู่ได้เรื่อยๆ ได้คัดเลือกคนที่มีปัญญาอาริยะ มาอยู่ร่วมกันได้ คนที่มีปัญญา เห็นชัดเจนแล้ว ก็เอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ ไม่เอาลาภยศ สรรเสริญ เป็นตัวตั้ง เอาการขัดเกลากิเลส เป็นตัวตั้ง ก็ขัดเกลากันไป ซึ่งไม่ง่าย แต่ทำได้ จนเป็นหมู่กลุ่ม สาธารณโภคี แม้ใกล้กลียุค คนเลวร้ายก็ยังทำได้ ถ้าเลยกว่านี้ไป ยุคต่อไป สังคมจะเลวร้ายกว่านี้ มันจะแรงมาก จนคนที่เกิดมา ถูกแรงดึงดูดเหนี่ยวนำ ของสนามแม่เหล็ก มนุษย์เลวมนุษย์อบาย จนฝืนไม่ได้ แต่ยุคนี้ ก็ยังได้คนที่หลุดออก จากโลกีย์ได้บ้าง

หมู่เรามีน้อย ไม่ได้มากเลย เราอยากได้มากให้ตาย ก็บังคับไม่ได้ คนจะมา ก็สมัครใจ ของเขาเอง เราก็เร่งเครื่องของเรา ที่ต้องอธิบายชี้ผิด ยืนยันถูก ตามโลกุตรภูมิ และมีการอนุโลมได้ ในสิ่งที่จำนนจำยอม สิ่งที่พอจะขัดได้ฝืนได้ ก็อาริยะขัดขืน อยู่ตลอดเวลา ก็ได้ผลพอสมควร

การทำงานของชาวอโศก ตั้งแต่นำพามา เป็นการทำงานที่พัฒนาตน และสังคม อยู่ในหลักการของ การไปช่วยมนุษย์ เพื่อให้เราพึ่งตนรอด แล้วไปช่วยพัฒนามนุษย์

คนทางโลก เขาแย่งโลกธรรมกัน มีมากไหม?... นร.ตอบว่ามาก.... แล้วคนที่ไม่ไปแย่งเขา อย่างเข้าใจ แม้ว่าจะสามารถ ได้อย่างโลกเขาโดยสุจริต แต่ก็เลือกที่จะไม่เอา เป็นคนที่ ทวนกระแสโลก เขามีปัญญาของเขา ว่าเห็นชัดเจน ว่ามาเอาอย่างนี้ดีกว่า มั่นใจว่า ไม่ได้หลอก หรือประเล้าประโลมแต่อย่างใด พูดผ่าด้วย พูดชัดเจน ว่าต้องมาละลด โลกธรรม อย่างแท้จริง เขาก็มาอย่างเต็มใจ บางคนไม่เต็มใจก็มี พออยู่ไป ก็อยู่อย่างถาวร นิรันดรเลย เผาไปหลายคนเลย.... ถามว่า มีใครอยากให้ที่นี่เผาให้... เด็กไม่ค่อยยกมือ แต่ผู้ใหญ่ ยกมือกันเพียบ...... เด็กบางคนบอกว่า จะบริจาคร่างกาย ให้เป็นอาจารย์ใหญ่  ว่าจะมาตายที่นี่ก็ได้ แล้วค่อยให้เขาเอาศพไปรพ. ที่เราเผา เพราะจะได้หมดสิ้นไป เหลือแต่ตัวอย่าง ที่ดีและไม่ดี ให้เลือกเอาไปทำ

พ่อครูผ่านมาเป็นโพธิสัตว์ จึงนำเอาความจริง มาประกาศ พยายามไม่ประมาท ไม่ให้ผิดพลาด เพราะเป็นความเสื่อม ทำมา ๔๐ กว่าปี ก็ทำได้ผลมาเท่านี้

สนามแม่เหล็กโลกีย์นั้น สร้างทุกลมหายใจเข้าออก ตั้งแต่กายวาจาใจ อาชีพ สร้างโลกียะแก่โลก เต็มไปหมด พลเมืองโลกมี เจ็ดพันล้าน มาเป็นอาริยะเท่าไหร่ มาเป็นอโศกเท่าไหร่ รวมทุกกลุ่ม จะมีกี่หมื่นคน ว่าไม่ถึงแสนนะ ชาวอโศกทั่วประเทศ ที่มาร่วมเป็นหมู่กลุ่ม และที่เขาเข้าใจทำตาม มีปฏิกิริยาเป็นลูกโซ่ก็มาก บางคนแอบทำ ไม่กล้าเปิดเผย เพราะกระแสโลกเป็นอสุรกาย ไม่กล้าประกาศตัว ว่าเป็นอโศกเยอะ จึงได้คนมาทำงาน ในแวดวงสาธารณโภคี ไม่ถึงแสนคนหรอก ไม่มาก  แต่มันยังมีอัตรา การก้าวหน้า ต่อสู้กับสนามแม่เหล็กโลก เรายังพัฒนาได้ ไม่ถูกเขากลืน จนอโศกฝ่อไปลดลง ก็ยังไม่เห็นอัตราเสื่อม ยังเห็นอัตราก้าวหน้า เพิ่มได้อีก

ยิ่งมีสื่อสารกระจายให้คนรับรู้ ต่างชาติก็เห็นภาพ พฤติกรรม เขาพอดูออก เหมือนดูหนังใบ้ ยิ่งคนรู้ภาษา จะยิ่งเข้าใจ เขาก็ซับซาบเอง ในอนาคต ต่างประเทศ จะมาดูงานสังคมอโศก มันน่ามาดู ว่าคนอย่างนี้ เป็นได้ อยู่ได้อย่างไร สังคมแสวงหาอยู่ คนที่มีคุณสมบัติ เป็นอาริยบุคคล มีพฤติกรรม รวมถึงสาธารณโภคี ที่ตรงข้ามทุนนิยม มีด้วยหรือ มันทวนกระแสกัน แต่เราอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง แย่งชิงกัน เรามีสื่อสารออกไป เมืองนอก เขาจะตื่นอโศก ได้เร็วกว่าเมืองไทยหรือเปล่า? ตื่นรู้ว่ามนุษย์ศิวิไลซ์ เป็นอย่างนี้ ที่เขาว่าศิวิไลซ์นั้น คือแย่งโลกธรรมนั้นไม่ใช่ ซึ่งปัญญารู้ จะครอบงำกันไม่ได้ ที่ครอบงำกันนั้น ไม่ใช่ของจริง

คนเขาหลงทำร้ายสังคมอยู่ เราก็ต้องช่วยเขาเหมือนกัน ถ้าปล่อยเขาทำร้ายสังคม เขาก็เป็นบาป คนชั่วเราต้องช่วยเขาให้มาก และแย่ที่เขา ไม่ยอมให้เราช่วยอีก จะปราบปรามเราอีก เราก็ต้องยืนยัน ว่าเราจะช่วยนะ  ไม่ได้ทำร้ายสังคม ก็พออยู่ได้ เพราะคนไม่ไร้ปัญญาซะทีเดียว ยังไม่มืดบอดหมด ยังพอรู้ดีชั่ว รู้ว่าอะไรคือ อาริยะแท้ ถ้าโลกเสื่อมสุด ภูมิปัญญามืดบอด ทำไม่ได้หรอก โพธิสัตว์ก็ฟื้นสังคมไม่ขึ้น ในยุคนั้น

ใครที่ตื่น รู้ว่านี่คือสังคมที่ดีจริง ก็รีบมา มาทำสมรรถนะ...  มาเถอะมาอย่าช้า อยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้า และจอบเสียม ..... ตามเพลงสมรรถนะ เป็นเพลงล่าสุดที่แต่ง

ถ้าอยู่เมืองนอก ก็ต้องส่งเสริมอุตสาหกรรม เพราะภูมิประเทศเป็นอย่างนั้น แต่ประเทศนี้ ต้องใช้กสิกรรม  ซึ่งสร้างแล้วเลี้ยงตนรอด ไม่เหมือนอุตสาหกรรม ที่ต้องไปแลกเปลี่ยน จึงจะเอามากินได้ แต่ของเราปลูกแล้วก็กินได้เลย อาหารเป็นปัจจัยสี่ ที่สำคัญ นร.เราอยู่กทม. ก็ต้องทำนาเป็น ทำไร่ทำสวนเป็น ทุกๆสัมมาสิกขา ข้าวคำหนึ่ง เคยนับไหม ว่ามีกี่เม็ด ข้าวอิ่มหนึ่งกินกี่เม็ด กว่าจะทำข้าวได้มาแต่ละเม็ด ยากเย็น เราต้องเข้าใจเห็นใจ คนที่ทำนา ของเราภูมิประเทศเอื้อ มันก็ยังไม่ง่าย .... ต่อไปเป็นการรับกลด...

นร.มอบสาระนิพนธ์ให้พ่อครู จากนั้นจึงรับกลดจากพ่อครู เสร็จการรับกลดแล้ว นร.ทั้งหมดก็ได้ร่วมกันร้องเพลงพญาแร้ง มอบให้หลวงปู่ สมณะโพธิรักษ์....

เหน็บหนาวจวนเจียนหมดแรงโบยบิน ฝ่าฟ้าทะเลคลื่นลมเมฆหมอก กางปีกน้อยๆบินตามพ่อไป....... พ่อสอนให้แกร่งกล้าทวนกระแส อย่าเผลอไปหลงติดความสบาย ....... ลูกแร้งจะบินตามฝัน โบยบินตามฝูงให้ทัน... จะยากเพียงใดฝ่าฟัน เผชิญกับปัญหา บินต่อไปให้สุดใจ บินต่อไป..... ให้สุดใจ...