งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๓๗ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
560408_ทวช. เรื่อง ตอบกันด้วยวิญญาณพุทธ ตอน ๒

ดิฉันชวนญาติเข้าวัดปฏิบัติธรรม ท่านว่ายังไม่แก่ ยังไม่เข้าวัด อายุ ๕๐ ปีแล้ว ทำยังไง จะให้ได้มาปฏิบัติธรรมบ้าง 

ตอบ  ประเด็นนี้จะกลางๆ ซึ่งได้บอกแล้วว่า ประเด็นที่จะตอบ ช่วงทำวัตรเช้า จะเป็นประเด็น จากหนังสือ ธรรมที่เป็นพุทธ ส่วนประเด็นอื่น จะเอาไปตอบ ในรายการ ตอบปัญหา ในภาคบ่าย

คนที่คิดเช่นนั้น จะประมาท เพราะไม่เข้าใจว่าชีวิตนี้ ควรเข้าวัดหรือไม่ และการเข้าวัด จะต้องเข้าตอนแก่ หรือแต่เด็ก หรือตอนหนุ่มสาว โดยสามัญก็คิดว่า แก่แล้วค่อยเข้าวัด เพราะหมดแรง ทำมาหากินมาเหนื่อยแล้ว ไม่กระตือรือล้น กับกิเลสมาก เพราะใช้กิเลส จนอ่อนแรงแล้ว อย่างนั้นหรือ มันไม่ใช่ ต้องตอนกิเลส เราเยอะๆนี่แหละ เราควรเข้าวัด เพราะวัดเป็นสถาน จัดการกิเลสให้ออกไป ไม่ใช่สถานที่ แก่แล้วค่อยมา ไม่ใช่แหล่ง ของคนแก่ เดี๋ยวนี้วัดวา เป็นสถานที่ๆ ผู้ชายแก่ ไปอาศัยวัดกิน จนตาย อย่างนี้มีกันจริง ซึ่งพ่อครูว่า เป็นความเสื่อมของศาสนาโดยแท้ เข้ามาทำลายศาสนา เป็นบาป ผู้ที่จะกราบเคารพ เป็นทักขิเนยบุคคล คือผู้ควรรับของทาน เป็นผู้ควรอัญชลี ต้องมีคุณธรรม ตัวคนที่มาปลอมให้เขากราบ ก็ได้บาป กราบทีก็ได้บาปที เพราะหลอกเขา ตัวเองไม่ได้มีคุณธรรม ให้เขากราบได้ มาบวชเล่น เคี่ยวเข็นให้ลูก มาบวช มาห่มเหลือง ผ่านการบวช ให้แม่พ่อบาป ลูกก็บาป แม่พ่อก็ส่งเสริมบาป เป็นความเสื่อมของศาสนา ผู้มาบวช ต้องมาฝึกฝนอบรม อยู่ในศีลในธรรม จนบวชได้ ถ้าไม่เหมาะสม พระที่อยู่ในหมู่ ก็ต้องท้วง บอกว่าไม่เหมาะ พระอันดับ คือผู้ร่วม พิจารณา ซักซ้อมซักถามกัน เหมือนสอบสัมภาษณ์ ถ้าไม่ควร ก็ต้องแย้งก็ขึ้นมา เป็นภิกษุไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้ทำ อย่างนั้นแล้ว เอาแต่สวด ไปตามภาษา นัตถิ ๕ อามะ ๘ แต่ที่ตอบไป ก็โกหก มันวิบัติ ไม่เป็นองค์พระแล้ว ขออภัยที่ต้องกล่าวสัจธรรม ก็แก้ยาก แต่ก็ให้ได้ความรู้ไป ให้ปรับปรุงกัน ถ้าผู้ใดจะปรับปรุงก็ดี ส่วนดีอยู่แล้ว ก็ให้ดียิ่งขึ้น ทำศาสนา ให้มีประโยชน์ ต่อสังคมได้จริง ไม่ใช่เละเทะ ผิดพลาด เสื่อมลง ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ พ่อครูอยู่ในสายเข้มแรง ก็บอกกันสื่อสารกัน ให้รู้สาระสัจจะ เขาไม่เอา ก็แล้วไป

อาการของจิตที่มันตื้อๆตันๆ เหมือนหมดภูมิเก่าที่ทำมา มันไม่มีสภาวะ ที่จะรับธรรมะ ปรุงตามไม่ขึ้น พอมาฟังธรรมะลึกๆ ก็เลยมึนตึ๊บ จะทำอย่างไร หมดวิบากกรรม เมื่อก่อน แม้ไม่มีสภาวะ ก็เข้าใจภาษาพูด ปรุงตามธรรมะได้  

ตอบ โดยจริง ฟังไปทำไป ก็ต้องยิ่งรู้ ยิ่งฟังเข้าใจ แต่กลับฟังไม่รู้เรื่อง ไม่น่าจะเป็น อย่างนั้นนะ ควรจะต้อง ยิ่งเฉลียวฉลาด ฟังได้ดีขึ้น แม้จะไม่เข้าใจ แต่ว่ามันผ่านหู ก็จะจดจำเข้าใจได้ คำในภาษาพระหลายคำ เราฟังก็พอเข้าใจ แต่จำไม่ได้ เพราะไม่ใช่ ภาษาไทย ที่ต้องใช้ในชีวิตด้วย อย่างพ่อครู ต้องจำเพราะต้องใช้ ในการบรรยาย ก็จำได้ แต่บางอย่าง ก็ไม่ได้ใช้ ก็ไม่จำ ทิ้งไปเลย ไม่สัญญาเลย แต่ที่จะสัญญา คือการกำหนด หมายนั้น ก็จำได้ เป็นหน้าที่ของสัญญา กำหนดหมาย กำหนดรู้ ให้ชัดเจน ถ้าละหน่าย คลายกิเลสก็ยิ่งดี แต่ว่าถ้าหน่ายฟังธรรม อย่างนี้ไม่ดี ต้องสังวรใหม่แล้ว มันมีเหตุอะไร เป็นสิ่งจูง มันมีสองอย่างคือ มีข้างนอกดูด กับ ข้างในดัน มันมีอะไรข้างนอกดูดเราไป ก็ต้องตรวจสอบตัวเอง แล้วก็แก้ไข เรามาอยู่กับมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีสัปปายะ ๔ (เสนาสนะ - บุคคล - อาหาร - ธรรมะ) เราเป็นครอบครัวใหญ่ ที่มีวิถีชีวิต มีจรณะ ซึ่งพ่อครู พามาสร้างสังคม สร้างบ้านใหญ่ ที่เป็นบ้านที่ดี เป็นครอบครัวใหญ่ มีชีวิตเกิดจนตายได้ ก็ภาคภูมิใจที่เป็นได้ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้า ให้พวกเราศึกษา ปฏิบัติตาม ก็เกิดผล เกิดสังคมพุทธ แผ่นดินพุทธ หมู่บ้านพุทธแท้ๆ เป็นอยู่อย่าง สาธารณโภคี มีสาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗ ให้พวกเราได้ตรวจสอบ ว่าตรงตาม อนุสาสนีย์ ของพระพุทธเจ้าไหม อย่างอวิวาทะ ก็เป็นสุขใช่ไหม อยู่อย่างมี ระบบระเบียบ มีเครื่องชี้วัดว่าถูกต้อง ตรงธรรม พระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ง่าย ที่จะมีเมตตา กายกรรม -วจีกรรม -มโนกรรม อย่างนี้ มีลูกก็ช่วยกันเลี้ยง มีญาติธรรมกัน อยู่กันอย่าง ครอบครัวใหญ่ และตัวสาธาณโภค ีนี่คือ ตัววัดความสำเร็จ ซึ่งในบ้านๆหนึ่งของทางโลก เขาจะมีสมาชิกครอบครัว กี่คนก็ตาม อยู่บ้านเดียวกัน แต่เขาไม่มีสาธารณโภคี มีเงินคนละกระเป๋า มีส่วนตัวของฉัน ของข้าในบ้านเดียวกัน  ยิ่งบ้านเดียวกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ว่าจะเป็นสาธารณโภคีได้ แต่หมู่บ้านของเราเป็นได้ ก็เชิญมาดูเอา พิสูจเอา

พ่อท่านบอกว่า ยึดธรรมะที่เป็นพุทธ เป็นหลัก และพาชาวอโศก ปฏิบัติตาม แต่มีบางกลุ่ม ไม่เห็นด้วย เขาก็ว่า ของเขาถูก สัจจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำไมต้องเห็นต่างกันด้วย

ตอบ  พ่อครูเขียนหนังสือเล่มนี้ ก็จับเอาสิ่งที่เป็นพุทธ มาสื่อด้วยวิธีการโวหาร เป็นเนื้อแท้ของพุทธ ก็ยึดเอาเนื้อหามาใช้ แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ว่าต่างกันบ้างไม่ได้ เราไม่ใช่ทื่อแข็งเซ่อ สรุปแล้ว เราก็เข้าใจองค์รวม concept เป็นการสรุปรวม หรือ ทิฏฐิทฤษฏี หลักการ องค์ประกอบ มีจุดหมายเนื้อแท้ คืออัตถะธรรมะ เราก็ยึดเป็นหลัก ชาวอโศก ก็มีทิฏฐิอย่างนี้ ของคนอื่น เขาก็เข้าใจอย่างเขา มันต่างกัน ก็ไม่แปลก จะถือหรือยึด เขาก็ยึดอย่างเขา เราก็ยึดอย่างเรา ไม่เห็นแปลก คุณเก่งอย่างไร จะให้มายึดอย่างเรา ไม่มีใครยอมหรอก ในทิฏฐิที่เขายึดถือ มันไปแย่งชิง ไม่ได้หรอก ใครเห็นดี ก็เอาตามที่เห็น สัจจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำไมต้องเห็นต่างกัน ก็นี่แหละ มันถึงเกิด สงครามสังคม แต่พ่อครูว่า พ่อครูไม่เห็นแปลกใจ ไม่มีสงคราม อย่างที่เขา sms มาตลอด ก็อ่านสู่กันฟังด

0888705xxx อรหันต์อื่น เขานิพพาน0กันหมด มีแต่อรหันบ้าพธร. ไม่ยอม0.. อ้างเป็นโพธิสัต!

เดาว่า เขาคิดว่า โพธิสัตว์คือ คิดแบบเถรวาท คือโพธิสัตว์ก็คือ คนธรรมดาสามัญ ไม่บรรลุธรรม แต่ผู้บรรลุธรรม คือพวกดับสูญหมด นี่คือมิจฉาทิฏฐิ คือเข้าใจผิด ทั้งอรหันต์ และโพธิสัตว์ ซึ่งสภาวะสุญญตา คือจิตเรากลางๆ ไม่ไปไม่มา ไม่เคลื่อนที่ เรียกว่าจบ เป็นสภาวธรรม ปรมัตถ์ลึกซึ้ง ผู้ที่ไม่มีสภาวะจริง ก็พูดไม่ถูกหรอก แต่พ่อครูว่า ๐ คือสุญญตวิหารธรรม แต่เราใช้ เมตตาวิหารธรรม ในการทำงาน จะเรียกว่า ๐ คือกลางๆ เฉยๆ ก็ได้ เอามาแจกภาษายาก จะเปรียบอย่างไร ก็ไม่ตรงทีเดียว นัตถิ อุปมา ซึ่งจิตใครที่หยุดได้ เลิกได้ อย่างผู้ชาย หยุดสูบยา เป็นอุเบกขา แข็งแรง เป็นสังขารุเปกขาญาณ เรายืนหยัดยืนยัน มีอุเบกขา เมื่อมีสิ่งภายนอกกระทบ และเราจะปรุงแต่ง จิตเราก็อุเบกขา ไม่หวั่นไหวไปกับโลกีย์ ไม่ว่าจะกามคุณ แต่เราก็ปรุงแต่งกับเขาได้ เป็นสภาวะองค์รวม แต่ก็สื่อได้ เท่าที่สื่อได้ เพราะเป็นเรื่อง นัตถิ อุปมา ไม่มีอะไรมาเปรียบได้ ผู้ที่มีสุญญตาได้อาศัย เป็นความแข็งแรง พระพุทธเจ้า ตรัสกับอานนท์ใน จูฬสุญญตสูตร สูตรว่าด้วยความว่างเปล่า
พระผู้มีพระภาค ประทับ ณ ปราสาท ของนางวิสาขา ในบุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี . ตรัสตอบคำถาม ของพระอานนท์ ถึงเรื่องที่ในสมัยก่อน และสมัยปัจจุบัน (ขณะนั้น ) ทรงอยู่โดยมาก ด้วยสุญญตวิหาร
( ธรรมะเป็นเครื่องอยู่ คือการทำในใจ ถึงความว่างเปล่า ) พร้อมทั้ง ทรงแสดง รายละเอียด ในทางปฏิบัติ โดยการไม่ใส่ใจถึงสัญญา ( ความกำหนดหมาย ) อย่างหนึ่ง แล้วใส่ใจความเป็นหนึ่ง โดยอาศัยสัญญา อีกอย่างหนึ่ง สูงขึ้นไปโดยลำดับ แล้วพิจารณาถึงสัญญา ที่ไม่ใส่ใจว่า แต่นึกว่าสัญญา ที่กำลังใส่ใจ ( อันมีอารมณ์สูงกว่า ) ว่าเป็นของไม่สูญ เริ่มต้นแต่ไม่ใส่ใจ มนุสสสัญญา ( ความกำหนดหมายในมนุษย์ ) แล้วใส่ใจใน อรัญญสัญญา ( ความกำหนดหมายในป่า ) เลื่อนลำดับ สูงขึ้นไป จนถึงทำอาสวะ ให้สิ้นได้เป็นที่สุด. แล้วตรัสว่า สมณะหรือพราหมณ์ ในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ที่เข้าสู่สุญญตา อันบริสุทธิ์ยอดเยี่ยม ก็จะเข้าสู่สุญญตา ( ตามที่ทรงแสดงมาแล้ว ) นี้อยู่.

ว่างคือ ว่างจากสุขจากทุกข์ จากกิเลส จากอาสวะ จากอคติ ๔ ว่างจากอกุศล เวลาเราทำงาน ก็มีจิตกุศลทำงาน ไม่ใช่พาซื่อ สูญ คือดับหมด ทั้งเวทนาและสัญญา นั่นมิจฉาทิฏฐิ เพี้ยนจาก อาริยธรรมพระพุทธเจ้า ซึ่งนิโรธพระพุทธเจ้านั้น นัตถิ อุปมา แต่ก็พออธิบายได้ อย่างพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน จูฬสุญญตสูตร ผู้มีวิมุติแล้ว จะเป็นอมตะบุคคล จะตายก็ได้ ไม่ตายก็ได้ ถ้าไม่ต่อภพภูมิ คือปรินิพาน เป็นปริโยสานแล้ว ก็ดับสูญหมดได้ ถ้าท่านจะต่อก็ทำได้ อย่างคุณ 8705 มาพูดเรื่อง สูญ ก็บังอาจมาก ถ้าไม่มีแล้วพูด แต่ที่พ่อครูพูดนี้ พ่อครูมีสภาวะ พ่อครูพูดนี้ อธิบายตามสัจธรรม พูดอย่างไม่ได้เคร่งเครียด พูดเป็นสำนวนว่า ตีงูให้กากิน ต้องขอบคุณ 8705 เขา คนที่ไม่มีสุญญตาธรรม แล้วมาอวด ก็เป็นการอวด อุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีในตน แต่พ่อครูมั่นใจว่า มีในตน ก็พูดได้

แล้วคุณ 8705 เขาว่ามาอีกว่า 0888705xxx พระแท้ๆ เขาไม่คุยโม้หรอก มีแต่เดียถีเท่านั้น ที่ชอบอ้างตน ว่าเป็นพระแท้ๆ! 

พ่อครูว่า เขารู้ไม่ได้ เขาจึงหาว่า พ่อครูอวดอ้าง เพราะคุณไม่เชื่อว่า ที่พ่อครูพูดจริง ไม่ว่าเขาโง่หรอก แต่ว่าคุณไม่ฉลาดพอ จะเข้าใจได้หรอก  พ่อครูมีแต่พูดความจริง แต่คุณเข้าใจไม่ได้ คุณไม่ฉลาดพอ ไม่มีปัญญาพอจะรู้ต่างหาก พ่อครูคุยความจริง คนที่ต่างลัทธิ เขาเรียกว่า เดียรถี

ต่อมา ว่ามาอีกว่า 0888705xxx พธร ขี่หลังเสืออยู่ ถึงอยากลงก็ลงไม่ได้! เพราะคุยโม้ หลอกลูกศิษย์ไว้มาก  

พ่อครูว่า เป็นเจตนาใส่ใคร้ ปรุงแต่งให้หยาบ ให้เสียหาย เป็นอกุศลเจตนาให้ร้าย นี่คือเรียกว่า อุปวาโท คือหามุมเหลี่ยม มาใส่ร้าย เป็นมิจฉาวาจา เป็นภัยบาป ต่อคุณเอง ก็เตือนให้หยุด ไม่หยุดก็แล้วแต่ และมีอีกว่า 

0888705xxx สมณะแท้ๆ ย่อมไม่เป็นข้าศึก กับชาวโลก มีแต่เดียถีพธร. ชอบเทศน์โจมตี ชาวโลก!

พ่อครู แม้แต่คุณเอง พ่อครูก็ไม่เคยคิดโกรธเคือง ไม่ชอบใจคุณเลย ไม่ได้เป็นข้าศึก ไม่คิดทำร้ายคุณเลย แต่คุณจะคิดทำร้าย ก็แล้วแต่ พ่อครูห้ามไม่ได้หรอก ไปรู้ความคิดร้าย ของคุณ 8705 ไม่ได้หรอก แต่คุณคิดร้าย คุณก็มีบาปของคุณ แต่บอกเลยว่า พ่อครู ไม่มีความคิดร้าย ต่อคุณ 8705 เลย ถ้าขณะที่พูด หากพ่อครู มีจิตชั่วร้ายแม้น้อย ก็เป็นการโกหก เป็นการอวด อุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีในตน พ่อครูนั้น "นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ" พ่อครูตำหนิด้วย กุศลเจตนา ที่ว่านี้ เป็นการตู่ เพราะพ่อครู ไม่ได้เทศน์โจมตีชาวโลก แต่ตำหนิด้วยเมตตา  แล้วว่ามาอีก

0888705xxx พธรขี่หลังเสืออยู่ ถึงอยากลง ก็ลงไม่ได้! เพราะคุยโม้ หลอกลูกศิษย์ไว้มาก  

พ่อครูว่า นั้นเป็นการปรุงแต่งไปเอง ของคุณ 8705 พ่อครูว่า คุณสมมุติไปเอง พ่อครูไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย คุณยัดเยียดผิด

ต่อมาก็ว่ามาอีกว่า
0888705xxx หน้าตาพธร.เศร้าหมอง ไม่มีแววอรหันต์ ถึงเรียกยังไง บริวารก็ไม่อยากมาหรอก  

พ่อครูว่า คุณก็เข้าใจผิดอีก จิตของคนที่มีจิตวางเฉย แต่ที่พูดไปนั้น เป็นโวหาร เป็นการบอกกล่าว ให้สัญญาณกัน เพื่อให้เขา มีฉันทะมาเอง ด้วยปราถนาดี ต่อมาว่ามาอีกว่า

0888705xxx ตอนนี้บริวารบางคน รู้ทันแล้วว่า พธรเรียกมา หวังให้ชุมนุม การเมืองด้วยแง๋!

0888705xxx ปากบอกว่า จะเอาสูญญตา แต่พธร. ยังจะก่อภพก่อชาติ ก่อเวรกรรม ไปถึงไหนกันจ๊ะ!

พ่อครูว่า ที่ทำนั้น ทำอย่างเมตตา ไม่ได้ไปก่อเวรอะไร อย่างกรรมกิริยา พ่อครูตำหนิ เขาเลยว่า การตำหนิ เป็นการสร้างศัตรู แต่พระพุทธเจ้าว่า ให้ตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ ยกสิ่งที่ควรยก จะเห็นได้ว่า ให้ตำหนิก่อน ศาสนาพุทธ เป็นไปในการมอง เหตุสิ่งที่จะให้ เสียหายก่อน แล้วกำจัดเหตุ ที่จะให้เสียหายก่อน ซึ่งพ่อครูว่า ได้สุญญตาแล้ว พ่อครูเลี่ยงไม่ได้ ถ้ามีผู้จะก่อเวรกรรม แต่พ่อครูอภัยแล้ว พ่อครูไม่ได้มีจิต ไปก่อเวรภัย ไปแก้แค้นอะไร จิตพ่อครูวางเฉย และรับรู้ จำได้ เท่าที่จำได้ แต่ไม่ได้ฝังในอกุศล เป็นเชิงเคียดแค้น มีแต่เป็นกลาง จะถึงกับรัก ไม่โกรธเกลียดเลย มีความพอใจอยู่บ้าง อย่างน้อย ก็เป็นคนใส่ใจฟังธรรม แม้จะขัดใจก็ตาม และบอกมาอีกว่า 

0888705xxx ถึงชาวอโศก พวกท่านซื่อเกินไป จนรู้ไม่ทันเหลี่ยม ของสมณะจอมปลอม ศรีธนญชัย!

พ่อครูก็ขยายความให้รู้ ตามเจตนารมย์เขา ต่อมาบอกอีกว่า

0888705xxx ที่ครั้งนี้บางคนเขาไม่อยากมา เพราะเขาแก่แล้ว กลัวว่าจะถูกพา ไปชุมนุมอีก!

พ่อครูพูดความจริงว่า ก่อนปลุกเสกฯนี้ พ่อครูก็พาไปชุมนุม มาหลายครั้งแล้ว คุณก็เลยมองว่า งานนี้ก็เป็นการ เรียกคนมาชุมนุม  และก็จริง ที่มีคนมาขอร้อง ให้พ่อครู พาไปชุมนุมด้วย แต่ว่าพ่อครูไม่พาไป ซึ่งไม่จริง อย่างที่คุณพูดเลย ซึ่งเขามาขอร้อง ก่อนงานปลุกเสกฯ ว่าให้ไปชุมนุม แต่พ่อครูว่า เราติดงานนี้ เลยไปไม่ได้

แล้วเขาว่ามา สุดท้ายเลย
0888705xxx ถึงแม้อาหารจะสะอาด แต่ถ้าอยู่ในจานที่สกปรก.. ก็ย่อมสกปรกไปด้วย.. ฉันใด! ธรรมถึงจะบริสุทธ์ แต่เดียถีก็สามารถ แปลงให้เป็นมิจฉาทิฐิ ได้ฉันนั้น

พ่อครูว่า ทำไม่เป็นหรอก อย่างที่คุณว่ามา

การทำผิดเล็กน้อย จะเป็นบาปหรือไม่ การทำกรรมปัจจุบัน จะไปแก้วิบาก จากบาปเดิม เป็นวิบากบุญ ได้หรือไม่ 

ตอบ ศาสนาพุทธ บาปบุญลบล้างกันไม่ได้ ความจริงแล้ว บาปกับบุญ ไม่ลบล้างกัน แต่เวลาคุณทำบุญ บุญคือ การชำระกิเลส แต่บาปคือ ทำสิ่งไม่ดี แล้วฝังในจิต บาปนั้น ล้างไม่หมด แต่บุญคือชำระกิเลส เมื่อเราล้างกิเลส ก็คือการชำระบาป เมื่อหมดกิเลส ก็หยุดทำบาป และไม่ทำบุญแล้ว คือ อปุญญะ จะมีแต่ทำกุศล สิ่งรองรับชีวิต คือกุศลและอกุศล แต่สิ่งทำเราทุกข์ร้อน คือบาป เมื่อเราชำระเหตุ ที่ทำเราทุกข์ร้อนหมด แต่วิบากบาป ที่คุณทำมาก่อน ก็จะจางคลายไป ตามกาละเวลา แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ไม่หมดวิบาก แต่ว่าจะจางลงไป ตามกาละ เมื่อหยุดบาป คือกิเลสนั่นเอง อรหันต์นั้น บาปเก่าที่สะสมมา จางคลายได้เร็ว เพราะไม่เติม กิเลสใหม่แล้ว แต่ปุถุชน ก็มีกิเลส เพิ่มอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นโสดาบัน จึงรู้หลัก ในการไม่เติมกิเลสแล้ว ลดกิเลสจนเป็น สกิทาคามี ก็มีเครื่องมือหลักแล้ว ที่ทำมาในโสดาบัน มีอุปกรณ์ของโลกุตระแล้ว  ต้องเข้าใจว่า บุญ คือ "การชำระจิตสันดาน ให้หมดจด" ส่วน บาป คือสิ่งที่ได้ทำให้กิเลส ไปฝังในกรรมกิริยา ได้บำเรอกิเลส มีแล้วมีเลย แต่บาปก็เป็นสิ่งที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าไม่รู้ ก็เติมกิเลส อยู่ตลอดเวลา ต้องรู้ว่า ไม่เติมกิเลสเข้าไปอีก แล้วก็รู้วิธีชำระ ด้วยไฟฌาน พอมันขึ้นมา ก็เผามัน นั้นคือได้กำจัดกิเลส ตามวิธีพระพุทธเจ้า อย่างสดๆ ปัจจุบัน เป็นวิปัสสนา เป็นไฟพลังปัญญา ที่ไปเผาไฟ ราคะ-โทสะ-โมหะ แล้วก็เห็นเลยว่า กิเลสลด มีอนุปัสสี มีตาทิพย์ เห็นอยู่หลัดๆ พ่อครูถามว่า ใครเห็นอย่างนี้ได้บ้าง... มีคนยกมือเพียบ เป็นความสำเร็จ ของพ่อครู ที่สอนได้ผล ในปรมัตถธรรม เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เมื่อคุณผัสสะสดๆ ก็เห็นกิเลส แล้วสู้มัน อย่างเป็นปัจจุบันเลย

 ..จบ               

 

 
8 เมษายน 2556 ธรรมะรับอรุณ ที่ ราชธานีอโศก