560423_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู
เรื่อง เที่ยวบำเรอใจไม่เสร็จ อเนจชาติ อนาถชน

พ่อครูออกรายการที่ห้องกันเกรา สันติอโศก

รายการนี้จะมี สงคราม -สังคม -ธรรมะ -การเมือง ผสมผสานกันไป สองอย่างบ้าง สามอย่างบ้าง ได้เป็นร้อยอย่าง พันอย่าง วันนี้เราจะว่ากัน ด้วยเรื่องของสังคม มากหน่อย เพราะเราหนักมาทางธรรมะ มามากแล้ว

ถ้าพูดเรื่องสังคม ก็ละเว้นไม่ได้ที่ต้อง ติติงสังคม ใครจะว่ามองแง่ร้าย ก็ไม่เป็นไร แต่พ่อครู จะมองในแง่ มีเจตนาดี แต่พูดในสิ่งเสียหายร้ายแรง เพื่อเตือนสติ บอกแจ้ง ย้ำสถานะความจริง ที่เกิด ณ บัดนี้ ปัจจุบันธรรม

เขาอยู่อย่างปักมั่น แข็งแรงด้วย หากไม่สำนึกรู้ มาช่วยกันแก้ไข เป็นต้นว่า สังคมไทยเรา ที่มีผู้บริหาร น่าสงสารประเทศชาติ พ่อครูเป็นคนมองโลก อย่างแง่ดี แต่ที่ดีนั้น หาไม่ค่อยเจอ และที่จะพูดต่อไปก็อนาจใจตนเอง พอจะพูดเรื่องดี ก็เราก็ดี พอพูดดี ก็เหมือนยกตัวเอง พอพูดไม่ดี ก็เหมือนกระแทกคนอื่น ก็จำนน เลี่ยงไม่ออก จะให้พูดตลบแตลง พูดดีว่าไม่ดี มันก็พูดไม่ได้ อะไรที่เรารู้สึกจริง เราก็พูดจริง เราไม่เลียบเคียง โค้งงอเราก็พูดไม่ออก พอพูดไปก็เลยว่า พูดตรงตามที่เราจริงใจ ก็ไม่ได้มีกิเลสว่า อยากยกตัว อวดอ้าง ก็ไม่มี

แต่ที่ต้องยกอ้าง (ไม่ใช่อวดอ้าง) เพราะมีคนมากมายคิดว่า ยุคนี้ยุคเสื่อม คนดีไม่ได้ โดยเฉพาะดีอย่างโลกุตรธรรม ดีอย่างอาริยะจริง ตามนิยามพระพุทธเจ้าด้วย

ตั้งใจใช้ศัพท์ว่า "อาริยะ" เพราะว่า คำว่า "อารยะ" เขาเอาไปใช้ ในความหมาย ที่เข้าใจทั่วว่า เจริญแบบโลกีย์ หรือทุนนิยมหรูหรา ฟู่ฟ่า ใหญ่โต มโหฬารพันลึก ในเรื่องโลกธรรม ก็ไปแย่งสิ่งเหล่านั้นกัน แย่งชิงกัน เขาถือว่านั่นคือ สังคมอารยะ ส่วน "อาริยะ" นั้นกลับกัน ไม่เอาเลย เข้าป่าเขาถ้ำมืด ทิ้งไปอย่างขาดลอย โต่งไปอีกข้าง ทั้ง อารยะ และอริยะ ก็โต่งไปสองข้าง

เราจึงใช้คำว่า อาริยะ ที่เป็นความหมายว่า เจริญ ในภาษาเดิมคือ เจริญคืออาริยะ เจริญจากพวกมิลักขะ พ่อครูจะอ่านบทกวีบทหนึ่งให้ฟัง
                เอนจชาติ อนาถชน
           อเนจนั้นไม่เที่ยงแท้              แม้ชาติ
ผันเปลี่ยนเจียนถึงฆาต                   สุดแล้ว
ไม่มีที่พึ่งขาด                                  อนาถหนัก
ไทยมิอาจคลาดแคล้ว                      วิกฤตินี้ฤาไฉน
           ทำไมไทยจักต้อง                 จำนน
ขว้างค่าความเป็นคน                     สลัดทิ้ง
สำนึกร่อยหรอจน                          เกินกล่าว แล้วนา
เคยซื่อกลับกลอกกลิ้ง                     ขบถซ้ำทำลาย
           มันสายจนจักแก้                 ไม่ไหว แล้วเวย
คนชั่วหยาบเกินใด                         เปรียบได้
เล่ห็เหลี่ยมกว่าเหลี่ยมไฉน             บ่รู้สึก กันฤา
ต่างนิ่งบอดบื้อใบ้ ห                       ลับแล้วฤาตาย
           ชาติวอดวายบ่รู้                   จริงเรอะ
ชนชั่วสกปรกเยอะ                         ขนาดนี้
ใส่ความปดเลอะเทอะ                    นอกประเทศ
เลวหลากล้วนบ่งชี้                         เซ่อได้ไงกัน
           นับวันยิ่งชัดแจ้ง                ความจริง
ต้องแม่นนิติธรรมอิง                     สัตย์แท้
สังคมหากพึ่งพิง                           ตุลภาค
ไทยจักไม่พ่ายแพ้                          แก่ผู้จมอธรรม
           จำไว้เถิดเกิดแล้ว                 เป็นคน
ทั้งชาติชั่วชีพชนม์                         สิ่งได้
ใช่ลาภยศเป็นผล                            ของท่าน
กรรมบาปบุญนั้นไซร้                    ทรัพย์แท้จริงจริง
           แย่งชิงยิ่งบาปซ้ำ                เป็นผล
อเนจชาติอนาถชน                        ชั่วช้า
อวิชชาฆ่าทุกคน                            มาตลอด
ทุกกัปป์ทุกกัลป์ถ้า                          ไม่แจ้งอาริยธรรม
                                              "สไมย์ จำปาแพง" ๗ เม.ย. ๒๕๕๖

ชาติคือการเกิด แต่ว่าชาติที่หมายถึง ประเทศชาติด้วย เป็นหมู่ชน รวมทั้ง สถานที่อยู่ มีวิถีดำเนินชีวิต จริงอยู่ชาติไม่เที่ยง แต่ชาติก็ประกอบด้วยคน เป็นหลัก ส่วนอื่น ก็เป็นองค์ประกอบ ที่ไม่ซับซ้อน แต่คนนี่แหละ ที่มีจิตวิญญาณ ที่ทำเสียหาย ได้มาก เป็นเหตุหลัก ทั้งสังคมโลกและประเทศชาติ

ความตกต่ำของประเทศก็คือ อยู่ที่คนเป็นหลัก เป็นตัวการใหญ่ ที่ทำให้ทุกอย่าง เสื่อม ไม่เป็นสุข หรือเดือดร้อน วิกฤติเลวร้าย ปัญหาที่เกิดในสังคมนั้น ไม่โทษอากาศ หรือสิ่งแวดล้อม แต่แท้แล้วคือ คนเป็นตัวเหตุ

การแก้ปัญหา ถ้าไปโทษนอกความเป็นคน ไปโทษสิ่งแวดล้อม หรือไปโทษ กฎหมาย แล้วก็จะเอากฎหมายมาเป็นตัวหลักใหญ่ ยิ่งกว่าคนที่มีสำนึกปัญญา แทนที่จะมา เห็นสำคัญ ที่จิตวิญญาณ เป็นตัวตั้ง

พระพุทธเจ้าว่า มโนปุพพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา คนอยู่ที่ไหน ก็มีสิ่งแวดล้อมที่ดี หรือไม่ก็มีตัวการคือคน และที่ลึกในคนก็คือ "จิตวิญญาณ" คนในยุคนี้ มีการศึกษา น่าจะเข้าใจเหตุ หรือตัวการหลัก คือจิตวิญญาณ

การจะแก้ไขจิตวิญญาณ ต้องใช้ศาสนา ทุกศาสนา พยายามแก้ไข จิตวิญญาณ ซึ่งมีวิธีการต่างกันไป แต่เราจะพูดถึงพุทธ เพราะไทยเรา มีคนถือพุทธ ๙๕ % มีศาสนาอื่นบ้าง แต่เสร็จแล้ว ไม่ได้ประโยชน์ต่อศาสนา

คำว่าไม่ได้ประโยชน์ต่อศาสนา ไปโทษสมาชิกของพุทธทั่วไปไม่ได้ ต้องโทษ ผู้นำศาสนา ผู้เอาภาระศาสนา คือใคร? พอพูดมา ก็หาว่าไปว่าพระเขา แต่พ่อครูพูดนี้ ไม่ได้ไปด่าใคร แต่เป็นการวิเคราะห์ แจกแจงความจริง

ธรรมะของศาสนาพุทธ เป็นอาริยธรรม ไม่ได้โต่งไปทางวัตถุ หรือจิตใจ ไม่เตลิด ไปทางใด แต่เป็นศาสนา ที่เรียนรู้ ทั้งสองอย่าง แล้วอาศัย แต่จิตเป็นประธาน จิตมาก่อน เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้า

ถ้าเข้าใจเนื้อแท้พุทธ ศึกษาจริง ให้รู้คำว่า "อาริยะ" หรือท่านเรียกอีกอย่างว่า "โลกุตระ" คือไม่อย่างสามัญทั่วไป เป็นเรื่องข้ามพ้นโลกโลกีย์ คือโลกที่แย่งโลกธรรม เสพสุขโลกีย์ ทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งสุขนั้นคู่กับทุกข์

แม้ไม่ได้อยากทันที แต่จิตที่มีอุปาทานฝังอยู่ว่า ได้อย่างนี้เป็นสุข พอได้สัมผัส เหตุปัจจัย อุปาทานก็ทำงานเป็นตัณหา น่าได้น่ามีน่าเป็น ถ้าได้มาก็สมใจ เกิดสุข พอไม่ได้มา ก็พยาบาทมาดร้ายกันไป เป็นทุกข์ ข้าไม่ได้ เอ็งก็อย่าหวังว่าจะได้ เป็นต้น เป็นที่รู้ดีกัน ในสังคมด้วย คนที่พูดอย่างนี้ เคยเป็นผู้ใหญ่ในสังคม

ถ้าเราไม่เอาใจใส่พากเพียร ช่วยกันคนละไม้ละมือ อย่างน้อย ก็เอาตัวเอง มาก่อน มาศึกษาสัจธรรม ไทยเรามีพุทธ เป็นรากฐานของประเทศ แต่ว่าปัจจุบัน เพี้ยนไปแล้ว ที่พูดนี้ว่ามิจฉาธรรม ไม่ได้ว่าใครว่าเขา ไม่ได้ว่าคนนั้นคนนี้ พ่อครูเป็นคน ไม่ค่อยรู้จัก คนในสังคม แม้เคยออกโทรทัศน์มาก่อน แต่ส่วนใหญ่ เขารู้จักพ่อครู พ่อครูไม่ค่อย รู้จักใคร พ่อครูไม่ใช่คนกว้างขวาง

ประเด็นที่กำลังกล่าว ศาสนาพุทธปัจจุบัน ไม่ได้มีประโยชน์ต่อ ศาสนิกชน นอกจาก ไม่เป็นประโยชน์แล้วกลับเป็นโทษอีก น่าเวทนาน่าสงสาร

อย่างบทกวีที่อ่านให้ฟัง ว่า ทุกวันนี้ชาติมันแปรผัน จากเดิมเคยสงบ ในสมัยพ่อขุนรามฯ อยู่กันอย่าง พ่อกับลูก อยู่อย่างสังคมญาติ เกื้อกูล ช่วยเหลือกัน

         ผันเปลี่ยนเจียนถึงฆาต       สุดแล้ว
ไม่มีที่พึ่งขาด                               อนาถหนัก
ไทยมิอาจคลาดแคล้ว                   วิกฤตินี้ฤาไฉน
        ทำไมไทยจักต้อง                 จำนน
ขว้างค่าความเป็นคน                   สลัดทิ้ง

คนเราไปศึกษาแล้วยิ่งไม่ดี ที่พูดไปนี้ ก็ไม่ได้เป็นคน ได้รับการศึกษา อย่างมีเครื่อง อลังการ การศึกษา เดี๋ยวเขาจะหาว่า พ่อครูเป็นพวก หมาเห็นองุ่นเปรี้ยว แต่ไม่ใช่ พ่อครู พูดตามสัจธรรม ซึ่งการศึกษาทุกวันนี้ ไม่ใช่แต่เมืองไทย เป็นกันทั่วโลก เป็นการศึกษา ที่ติดอาวุธให้คน รู้มาก การศึกษาสูง แต่ไม่ได้ให้ความรู้ ทางจิตวิญญาณ ไม่ได้สอน ให้ลดโลภ-โกรธ-หลง ไปเน้นแต่ความสามารถ ให้มีมากมาย

เป็นการศึกษาชนิดที่เรียกว่า "วัวลืมตีน" ไปไหนไม่ได้ เป็นศาสนาวัวลืมตีน การศึกษา วัวลืมตีน ยิ่งศึกษาสูง ยิ่งลืมตีน ไปไหนไม่ออก เป็นภาระแก่แผ่นดิน

เขาได้ความรู้ความสามารถเพิ่มจริง ในการรู้รอบ ผลิต เฉลียวฉลาด แต่กิเลสไม่ได้ลด ซึ่งกิเลสเป็นตัวบงการให้เกิดอกุศลในใจ กิเลสไม่ลด มันก็ถือว่ามีเปรียบ สามารถ เอาความรู้ ความเก่ง ไปแย่งชิงได้มากๆ จึงมีการเอาเปรียบ ที่เกิดจากการศึกษา หนักหน้าขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน ยิ่งการศึกษาสูง ยิ่งเอาเปรียบซับซ้อน

แม้จะฉลาดรู้ว่าเอาเปรียบเขานี่ไม่ดี รู้ จึงอำพราง กลบเกลื่อน แฝง หลอกให้เขาเข้าใจว่า เราไม่ได้ เอาเปรียบนะ ฉันเป็นคนให้เธอนะ แต่แท้จริง ให้ก็ให้แบบ เอากุ้งฝอย ไปตกปลากระพง นี่เกิดจากการศึกษา วัวลืมตีน

ขอยืนยันว่าไม่ได้พูดผิด นี่คือความผิดพลาดทั้งโลก ไม่ใช่เขาจะไม่เน้น เรื่องจริยธรรม คุณธรรม แต่เขาก็มีเล็กน้อย แต่เรื่องกิเลส ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พ่อครูจึงเห็นว่า เป็นเรื่อง ต้องช่วยสังคม มีรร.ประถมศึกษามัธยมศึกษา ก็จะพยายาม มีอุดมศึกษาต่อ มาเน้นเรื่อง ศีลธรรม จริยธรรม

ก็ไล่ไม่ทันโลกเขาหรอก เขาหลงมาหลายร้อยปีแล้ว พูดอย่างไร เขาก็เชื่อยาก แต่ถ้า ผู้มีปัญญา มีปฏิภาณ ใครเห็น เข้าใจด้วยก็มาทำ ใครไม่เห็นด้วย ก็ไม่แย้งหรอก พูดด้วยความปรารถนาดี เราต้องการคน มาช่วยแก้มากเลย เพราะโลกตกต่ำมากแล้ว

โลกถูกบริหารปกครองด้วย ผู้ที่ได้เปรียบ และมีกฎเกณฑ์แห่งการได้เปรียบ ปกครอง อยู่ทั่วโลก แต่เขาจะพูดว่า "เรามารับใช้สังคม" นี่คือ คำโกหกกันทั้งโลก (รับใช้ขี้หมาอะไร?)

เราตั้งโรงเรียนมัธยมมา ๒๐ กว่าปีแล้ว มีคนจบม. ๖ มา ๑๓-๑๔ รุ่นแล้ว จบออกไป เป็นจำนวนน้อย ไม่มีน้ำหนักอะไร ถูกสนามแม่เหล็กโลก ดึงออกไปเยอะ แต่ก็ได้บ้าง แต่ในสังคมอโศก พ่อครูต้องเข้ม ต้องหนัก เหมือนสุดโต่งมากเลย ซึ่งมันต้องมีตัวกัน เพราะโลกมันหัวทิ่ม ขนาดหนักแล้ว เราต้องมีน้ำหนัก ให้สูงมากๆมาถ่วงไว้ จึงจะถ่วงได้

ใครว่าอโศกไปไม่รอดหรอก คำนี้ ท้าทาย ซึ่งศาสนาพุทธ ถ้าปฏิบัติได้คุณธรรมแล้ว หยั่งลง เป็นโอฆทาแล้ว จะมี
๑. นิจจัง (นิพพานเที่ยงแท้แล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง) .
๒. ธุวัง (ถาวร, คงที่ ไม่มีเสื่อมอีก) .
๓. สัสสตัง (ยั่งยืนตลอดกาล ไม่กลับกลอก)
๔. อวิปริณามธัมมันติ (ไม่แปรปรวนเป็นอื่นอีก)
๕. อสังหิรัง (ไม่มีอะไรๆ จะมาเอากลับคืนไปได้)
๖.  อสังกุปปัง (ไม่กลับฟื้นกำเริบอีก)
๗. นัตถิ อุปมา กวจิ (ไม่มีอุปมาในที่ไหนๆ)

ซึ่งโลกโลกุตระนั้น ไม่สามารถมีโลกียะใด มาเปรียบเทียบได้ จึงเรียกอีกภาษาว่า หลุดพ้น จากความวนเวียน อย่างสุข-ทุกข์ แต่เราหลุดเราทิ้งได้ เมื่อได้แล้ว จึงเป็น นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง และเป็น นัตถิอุปมา

พอเราพูดถึงโลกุตระ แต่เขายังไม่มีสภาวะ ถึงเขาก็เข้าใจไม่ได้ โลกุตระนั้น แม้ว่าจะเอา ภาษาของโลกมาใช้ แต่จะมีความซับซ้อน เหนือกว่าอีกหลายชั้น

เช่นคำว่า บาป หรือบุญ เป็นคำโลกุตระ อย่างคำว่ากุศล อกุศลเป็นศัพท์ โลกียะ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่รู้สึกแล้วว่า บาปหรือบุญ เป็นคำพิเศษ

บาป คือกิเลส คนที่สร้างกิเลสใส่ตนนั้น ได้บาป คำว่า ทวีขึ้นเรื่อยๆ ภาษาบาลีเรียก "ปุถุ" ทีนี้ ถ้าสิ่งที่ดีงาม เป็นกุศลเจริญ มันก็ดี แต่กิเลสงอก กิเลสงาม กิเลสโตใหญ่ ก็คือ "ปุถุชน" คือชนที่กิเลส หนาใหญ่ พองมากขึ้นเรื่อย ไม่เที่ยง โดยสัจจะ กิเลสได้รับสุข กิเลสก็อ้วน กิเลสได้รับทุกข์ กิเลสก็อ้วน

ทุกข์คือสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น แรงขึ้นก็คือ เอาให้ได้ แย่งให้ได้ ฆ่าผัวมันเสีย เอาเมียมันมา เหมือนคน จะฆ่าประเทศไทย เพื่อเอาสมบัติของ ประเทศไทยไป

คนไม่หยุดเอามาเป็นของตัวของตนไม่หยุดหรอก โดยไม่รู้ว่า อวิชชา เขาไม่รู้ว่า ชีวิตคนเกิดมา ได้รูปขันธ์ ดินน้ำไฟลม ประกอบ และมีวิญญาณ  ในคูหาสยัง ตั้งแต่ปฏิสนธิ จนมรณะ เลิกวางกันไประหว่างกายกับจิต แยกกันไป

ชีวิตที่ได้รูปขันธ์ ก็เป็นของเป็นอุปกรณ์อาศัยใช้สอย แต่ตัวสำคัญคือ นามขันธ์ ๔ และ การยึด ในนามขันธ์ ๔ นี่แหละ เป็นเรื่องใหญ่ อุปทานขันธ์ ๔ คือยึดใน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ถ้าไม่ล้างอุปาทาน ก็จะมีความอยาก ความยึดในขันธ์ คนตายจะไม่นึกว่า ตนมีรูปขันธ์ แต่ที่จริง มันไม่มีแล้ว มันก็จะดิ้น จะให้ได้ อย่างที่ตนมี แต่ในนามธรรมนั้น มันจะงง สงสัย ซึ่งตอนมีรูปนั้น ก็สามารถตื่นมาเสพได้ แต่ว่าตอนไม่มีรูปขันธ์ ก็จะมี มโนมยอัตตา ปรุงแต่งกันไปใหญ่เลย ซึ่งนรกสวรรค์ ที่เป็นรูปนั้น ไม่มีจริง

สวรรค์นั้นเกิดจาก เหตุปัจจัยที่ผัสสะ เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง..... แต่ใจไม่มี กระทบนอก แต่ใจก็ปั้นปรุงไป แต่มันไม่ใช่มันจะงง ไม่เหมือนกับที่ กระทบสัมผัส จริงหรอก สิ่งที่จะกระทบสัมผัสก็ไม่ได้ สิ่งที่ปั้นมา ก็ไม่เหมือนอีก ในขณะที่ คุณมีร่างกาย คุณก็สามารถได้ตาม สเปค คือตามกำหนดหมาย ว่าต้องสุขอย่างนี้ เต็มที่เลย คือ ไคลแมกซ์ แต่ตอนตาย ไม่มีองค์ประกอบครบ ก็ไม่เหมือนจริง ซักอย่างเลย สิ่งที่เกิดจาก เหตุปัจจัยสัมผัส ไม่มีแล้ว มีแต่สัญญาเป็นความจำ ไม่ใช่ความจริงแล้ว ความจำ จะปรุงแต่งกันไป หรือมันจะปรุง ให้เป็นอย่างจริง มันก็ไม่จริงซักอย่าง จะเห็นได้ว่า ฝันนั้น จะเละเทะ ไปเรื่อยเลย

สิ่งที่เป็นอนุสัยอาสวะ ที่ยึดอยู่นั้นจริงกว่า (คือทุกข์) เรียกว่า ทุกขอริยสัจะ แต่สุขนั้น ไม่มีจริงหรอก จึงเรียกว่า สุขขัลลิกะ (สุขเท็จ) เมื่อมารู้สัจจะ จึงจะแก้ความเท็จได้

โลกียะมีสุขมีทุกข์ แต่ว่าโลกุตระนั้น หลุดพ้นจากสุขจากทุกข์ เมื่อสัมผัสแล้ว ไม่มีสุข หรือทุกข์ อยู่ในภพภูมิ ก็เอาความจำ หรือของแห้งไปศึกษา จึงไม่ใช่ของจริง ซักอย่าง ไม่มีทาง บรรลุธรรม พระพุทธเจ้าเลย สมาธิของพระพุทธเจ้า มีสมาธิในระดับ กามภูมิ - รูปภูมิ - อรูปภูมิ ก็มีการสัมผัส ทางภายนอกทั้งสิ้น

ในสังคม ถ้าไม่มีธรรมะ ก็หมดท่าเลย พ่อครูว่าจะพูดสังคมอย่างไร จะพูดอย่างไร ก็วนไปหา นิพพานอย่างยิ่ง อย่างชัดแท้ (นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา) คือผู้รู้จริง จะกล่าวอะไร ก็เป็นไปเพื่อ พระนิพพาน

ถ้าไม่ตั้งใจฟังดีๆ และก็แยกระหว่าง โลกียะกับโลกุตระ อย่างโลกุตระ ให้มาเรียนรู้ ในโลกที่ต่ำสุด คือ โลกอบาย (ที่จริงภพมี ๓ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ) ก็มาดูตัวเอง แล้วก็ตั้งใจ หยุดกิเลสนั้นได้ได้ คือตั้งศีล

      พระไตรปิฏก เล่ม ๑๗ ข้อ ๓๑๐ สีลสูตร
      ว่าด้วยธรรมที่ควรใส่ใจโดยแยบคาย
       [๓๑๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร และ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ อยู่ ป่าอิสิปตน
มฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ออกจาก ที่พักผ่อน ในเวลาเย็น เข้าไปหา พระสารีบุตรถึงที่อยู่ ฯลฯ ได้ถามว่า
       ดูกรท่านพระสารีบุตร ภิกษุผู้มีศีล ควรกระทำ ธรรมเหล่าไหน ไว้ในใจ โดยแยบคาย? ท่านพระสารีบุตร ตอบว่า ดูกรท่านโกฏฐิตะ ภิกษุ
       ผู้มีศีล ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็นดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นของแปรปรวน เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่ใช่ตัวตน.
        อุปาทานขันธ์ เป็นไฉน? คืออุปาทานขันธ์ คือรูป อุปาทานขันธ์ คือเวทนา อุปาทานขันธ์ คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ ๑.
        ดูกรท่านโกฏฐิตะ ภิกษุผู้มีศีล ควรกระทำ อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจ โดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังฝี เป็นดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นของแปรปรวน เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่ใช่ตัวตน.
         ดูกรท่านโกฏฐิตะ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุผู้มีศีล กระทำอุปาทานขันธ์ เหล่านี้ ไว้ในใจโดยแยบคาย ฯลฯ เป็นของไม่ใช่ตัวตน พึงทำให้แจ้ง ซึ่งโสดาปัตติผล.

มีหลักฐานยืนยันว่า ปริมาณของผู้บรรลุอรหันต์ ในสมัยพระพุทธเจ้า มีจำนวน มากกว่าภิกษุ

ยกตัวอย่าง ผู้หญิงต้องแต่งหน้าแต่งตา ถ้าไม่แต่งหน้า ออกไปจากบ้านไม่ได้ เป็นมหา อบายมุข ที่เป็นกันทั่วโลก แต่ว่าพอพวกเรา มาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า สามารถ ดึงพวกเรา ออกจากมหาอบายมุขได้ ไม่ต้องแต่งหน้าตา ใส่เสื้อผ้ามอซอได้ แต่ก่อน พ่อครูเป็นเด็ก เขาว่า ถ้าผู้หญิงทาปาก คือผู้หญิงหากิน แต่เดี๋ยวนี้ ใครไม่ทาปาก ถือว่าเป็นคนชั้นต่ำ เขาหลอกให้ต้องเขียนต้องเขี่ย พ่อครูเคยถูกแปะ ขนตาปลอม พ่อครู ลืมตาไม่ขึ้นเลย แต่เขาอยู่ได้อย่างไร เขาใส่จนเก่ง จนชินแม้หนัก

บางคนฝึกจนชิน ซดน้ำชาร้อนๆได้อย่างหน้าตาเฉย เหมือนคนใส่ส้นสูง ใส่ใหม่ๆ ก็ต้อง มานวดน่องกันทุกคน แต่พอใส่ไปก็ชิน สรีระก็เสีย ซึ่งสิกขมาตุก็จะรู้ดี รู้รายละเอียด ซะเยอะ วันก่อนสิกขมาตุ ว่าซะเยอะเลย มีsms ด่ามาเละเลย ไม่กล้าเอาออกอากาศ พ่อครูว่า 8705 เป็นผู้ชาย จะไปว่าผู้หญิงได้อย่างไร

       ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

0835482xxx "ทำไมฅนที่ได้" "เฃ็ม" "ในบ้านราช จึงเป็นคนที่ไม่ฟังคนอื่น และพอใจ ที่จะเอาแต่สอน อย่างเดียวคะ"

ตอบ ได้เข็มแล้วของขึ้น ก็ให้ตั้งใจใหม่ สอบได้ให้เรียนรู้สัจธรรม ไม่ใช่ว่า ไปมีมานะ อัตตา ว่าตนยอดแล้วเป็นธรรมกถึกแล้ว งานอื่นวาง ฉันได้เข็มแล้ว ได้เข็มแล้วต้อง มีของ (ของขึ้น)

0862516xxx เการัดที่พ่อโชว์ ปลูกที่เนินธรรมดา ฝากฟ้าหนึ่งฝั่ง (ฆราวาส) แม่เนียน

ตอบ ชาวปฐมอโศกไปซื้อที่นา แรงรักแรงฝัน แล้วก็ซื้อที่ต่อ เป็นเนินพอกิน มีท่านเสียงศีล เป็นหลัก ที่เนินพอกิน แต่ที่ทุ่งนาแรงรัก ก็เลยปลูกเกาลัด โยมเนียน เป็นคนปลูก หมอฟากฟ้าหนึ่งเคยพูดว่า ชาติหน้าขอเกิดมาเป็นชาวนา เสียชีวิตรถคว่ำ ในระหว่าง การไปมา ระหว่างนากับปฐมอโศก

คนที่ชอบเที่ยวเมืองนอก คือคนอย่างไร

ตอบ คือคนที่หัวสูง คือคนมีเงิน เมืองไทยยังเที่ยวไม่หมดเลย คนชอบเที่ยว คือกิเลส ทั้งสิ้น เที่ยวคือหาความสุข เพลิดเพลิน บำเรอกิเลส บำเรอใจตน ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แล้วไปเที่ยวป่า แล้วเอามาเล่ากัน มากมายนั้น ไปสัมผัสบำเรอ ทวาร ๕ โดยมีใจ เป็นตัวรับรู้ อย่างพระป่าพระธุดงค์ ไปเที่ยวป่านั้นถ้ำนี้ พ่อครูเรียก พระล่องไพร หลงเลอะ กับอวจรต่างๆ ไม่ได้เข้าใจว่า ชีวิตเกิดมา ไม่ต้องอาศัย ความหลงระเริง สนุกสนาน เคยหลงกันมาทั้งนั้น อย่าไปพูดถึงเมืองนอกเลย คนเมืองนอก ก็มาเที่ยว เมืองไทย สรุปคือ คนที่อนาคามีขึ้นไป ไม่เที่ยวแล้ว จบแล้ว ตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสอะไร ก็ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว จะมีแต่อวจรในจิต คือเที่ยวในจิต อย่างโสดาบัน ก็มีจิต อวจรกับโลก ที่เขามีอบาย แต่จิตท่าน ไม่ได้ปรุงแต่งไปกับเขา จิตไม่เสพสุขทุกข์ เพลิดเพลินกับเขา ในกามภพ พระอนาคามีก็อยู่กับเขา ท่านมีนิโรธแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ได้เสพแล้ว ซึ่งคำอธิบายจึงยาก ถ้าไม่มีสภาวะ ที่ตรงกับ คำสอนพระพุทธเจ้า ดังนั้น ผู้ที่หมดเที่ยว พอเป็นอนาคามีก็มีรูปาวจร ก็เสพอยู่บ้างในใจตน คนอื่นไม่รู้ด้วย แต่ไม่เสพ เป็นรสภายนอก เหลือเล็กๆน้อยๆ เป็นรูปราคะ อรูปราคะ จนหมด อรูปาวจร ก็เป็นอรหันต์ จบกิจ แต่จิตหรือว่าทวาร เปิดรับรู้อยู่ในโลก ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ แต่ท่านไม่มีจิตเที่ยว ไม่มีจิตเสพ

หากว่าจิตเราคิดไม่ดีแวบหนึ่ง กับพระหรือสมณะ เราควรขอปลงอาบัติ กับท่านเลย หรือไม่ ?

ตอบ ได้เลย พ่อครูว่าเคยผ่านสิ่งเหล่านี้ เคยคิดไม่ดี แต่ว่าเราควรมอง ในแง่ดีมาถัวกัน เรื่องดี ทำให้เราไม่ถือเรื่องราว ไม่เคร่งกับท่าน ท่านเป็นพระ เรายกไว้แล้ว ท่านคือ ผู้เรียนรู้ แต่ว่าไม่ใช่ ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ก็ควรมีศิลปะ ในการเตือน การบอกกัน ใครจะไม่ดี จริงๆไม่ใช่เรื่องที่เรา ต้องเพ่งโทส ไม่ชอบ แต่จิตต้องรู้ ความไม่ดีตามจริง แต่ต้องรู้ อาการจิตเรา ไม่ให้มีการเกลียดชัง ลบหลู่ ให้จิตเราหมอง เราไม่เป็นอย่างนั้น ก็แล้วไป ท่านเป็นก็คือ วิบากท่าน

ในเมื่อเราจำชาติก่อนไม่ได้ แล้วเราจะเข็ดหลาบ ได้อย่างไร

ตอบ จำชาติก่อนไม่ได้ก็ไม่เข็ดหลาบหรอก เอาชาตินี้แหละ ที่เทียวไล้เทียวขื่อ สุข-ทุกข์อยู่ ไม่เข็ด สุขนั้นเป็นของหลอก เป็นสุขเท็จ ต้องพิจารณว่า เป็นดั่งหัวฝี การอาพาธ มองอสุภะ แต่ไม่ได้พิจารณาจริง ว่าไม่ใช่เรื่องน่ามี น่าได้น่าเป็นเลย คุณจะจำชาติก่อน ไม่ได้ ไม่มีปัญหาเลย เอาปัจจุบัน เป็นตัวปฏิบัติจริง ที่เราต้องสุขทุกข์กับมัน พอได้แล้ว เอาปัจจุบัน ก็เหลือกิน เหลือพอ อดีตเราแก้ไม่ได้ แต่ทำปัจจุบันไป เจือจางได้

พระพุทธเจ้าตรัสถึง ขันธ์พระองค์ที่เสื่อม กงก็เก่า เกวียนก็เก่า สุดที่จะแก้ไขแล้ว เพราะร่างกาย ก็ไม่ไหวแล้ว ทำไมยังแสดงนิมิต ให้พระอานนท์หลายครั้ง แต่พระอานนท์ ก็ไม่รู้ และถ้าพระอานนท์รู้ พระพุทธเจ้าท่าน จะอยู่ไปต่ออย่างไร?

ตอบ เป็นวิสัยพระพุทธเจ้า อย่าคิดเทียบกับสามัญ พระพุทธเจ้า ท่านยังแข็งแรง ท่านว่า อายุปาเข้าไป ๘๐ แล้วก็มีเสื่อมไปมากจริง ถ้าจะทำอะไรอีก ท่านก็ต้อง เป็นตัวอย่าง ท่านก็ต้อง ทำงานหนัก ท่านบวชมา ๔๕ พรรษาทรงพระดำเนินตลอด ไม่มีรถขึ้น เป็นคนติดดิน อยู่ตลอด เรียกว่าไม่ได้ปักหลักเลย ไปทั่วทิศ สร้างศาสนา ร่างกายก็เสื่อม แต่ท่าน ก็มีบารมี ท่านก็แข็งแรงดี ถ้าจะไปต่อก็ได้ ท่านบอกว่า กงก็เก่ากำก็เก่า ในล้อเกวียน มีกำกับกง มันก็เก่าคร่ำคร่า เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าร่างกาย เก่าแก่เกิน น่าเกลียด ก็ไม่ดี ถ้าทำอะไรไม่เหมาะสม เสียภาพ เสียความศรัทธาเลื่อมใส ก็ไม่ดีเลย เมื่อถึงวาระ ท่านว่ามีมารมาดลใจ ให้พระอานนท์ไม่รู้ ทั้งที่ท่านแสดงนิมิต ๑๖ ครั้ง ที่จริงเป็นเรื่องที่ มันต้องเป็นเช่นนั้น อย่าไปคิด ในพุทธวิสัยเลย

เรียนถามถึงการดื่มน้ำปัสสาวะ ถ้าไม่กินมังฯทุกมื้อ ปัสสาวะจะมีพิษหรือไม่ จะดื่มปัสสาวะ ได้หรือไม่

ตอบ ได้ ถ้ากินพืชผักมีสารพิษ ก็มีพิษในปัสสาวะได้ ที่จริงปัสสาวะสะอาด เพราะกรองมาแล้ว

จะทำอย่างไร เมื่อเราเตือนให้คนในครอบครัว เลิกอบาย ก็ยังทำไม่ได้ เหมือนรัฐบาล กู้เงินมามาก ไม่ถูกต้องใช่ไหม? เป็นการเอาเงิน ในอนาคตมาใช้ ใช่ไหม

ตอบ เราทำตัวเราให้เป็นตัวอย่างที่ดี ถ้าจะเตือนได้ ก็ตามหน้าที่ เช่น เป็นลูก เป็นแม่ เป็นพ่อ เราก็ทำตามหน้าที่ มีศิลปะ อย่าจำจี้จ้ำไชมาก คนไม่มีบารมี ยิ่งพูดยิ่งแย่ ส่วนเรื่อง กู้หนี้ ๒.๒ ล้านล้าน มันแก่เกิน แข็งเกิน พูดไปก็ไม่มีผล ก็ปล่อยไป จนกลไกสังคม จะจัดการเขาไป หรือเป็นเวรภัย ทำไมดื้อด้าน ดึงดันขนาดนี้ มันสุดทาง จะว่าเขา ไม่รู้ดีชั่ว ก็ไม่ใช่ แต่เขามีธงของเขา

เคยฟังพระเทศน์ว่า คนรวย อย่าว่าเขาโกง แต่เขาทำงานมาดี

ตอบ เอาเปรียบก็โกงแล้ว ใช้เล่ห์ก็โกง ทุจริตกฎหมาย ก็เลวไปใหญ่ และหน้าด้าน หน้าทนอีก คนท้วงก็ยังทำต่อไปอีก เช่น ๒.๒ ล้านล้าน เป็นต้น ผู้ที่ว่า คนที่รวย โดยไม่โกง มีจริง มันซับซ้อน คนที่มีบารมี คือทำทาน มีใจเสียสละมาก่อน จิตเขา ทานมาแล้ว เขาก็จะทานต่อ คนที่รวยเพราะบารมี จะไม่โกงต่อ เขาจะทำทานต่อ ตามลำดับ เขาจะให้ผู้อื่น มากขึ้นด้วย แต่คนโกง ยิ่งเอาเปรียบ สะสมมาก ก็รวยสิ ดังนั้น คนรวย จึงต้องถูกว่า อย่างพ่อครู ไม่มีปัญหาถ้าจะรวย พ่อครูมีบารมี พอสมควร แม้ไม่เรียนจบสูง แต่ว่ามีรถติดแอร์ ใช้ก่อนเพื่อนที่จบ ดร.อีก

ขอให้พ่อครูอธิบาย สุญญตา

ตอบ เป็นเรื่องลึกซึ้ง ต้องติดตามดู ในจูฬสุญญตสูตร ในผู้ที่ดับกามภพแล้ว ก็จะมาดับ รูปภพ อรูปภพ แล้วตรวจสอบด้วย อรูปฌาน จนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ คือผู้ที่จิตว่าง แต่จะมี ความไม่ว่าง คือยังมี ความกระวนกระวายใจ คือ ทรถ (เป็นศัพท์ที่ ภาษาไทย อธิบายาก แม้แต่คำว่า กระวนกระวายใจ ก็ยังไม่ถูก) คือแม้หมดกิเลส ก็ยังมีกาย ยังมีอายตนะ ถ้าพระอรหันต์ ไม่สัมผัสอะไร ไม่ลืมตา อยู่แต่ภพในก็ไม่มี ทรถ  คือ พระอรหันต์ มีสุญญตาแล้ว แต่ว่าความว่างนี้ ยังมีสิ่งที่มีอยู่ คนที่จะกล่าวว่า ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้น ที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้น ที่ดับไป คือพระอรหันต์เท่านั้น แม้อรหันต์ก็มี ทรถ แบบท่าน

ตามฟังพ่อท่านเรื่อง ตายแล้วไม่รู้ตัว รู้สึกกลัว จะทำอย่างไร จึงรู้ตัวก่อนตาย

ตอบ คนที่รู้ตัวก่อนตาย ต้องรู้แม้แต่ว่า คุณหลับก็ต้องรู้ตัว ต้องเป็นพระอาริยะ ที่ไม่มีอะไร รบกวนคุณ ถ้าไม่ใช่ ก็ต้องมีอะไร รบกวนคุณอยู่ ต้องล้างไป เป็นลำดับ อย่างอนาคามี หลับไป ก็มีรูปภพ อรูปภพมากวน แต่ว่าอรหันต์ จะไม่มีอะไรมากวน แม้ตอนหลับ จะรู้ได้ ต้องดับอาสวะให้ได้ ถ้าไม่มีนิโรธจริง ก็รู้ไม่ได้ คนที่ปฏิบัติธรรม สัมมาทิฏฐิ จะรู้สิ่งปรุงแต่ง รู้ว่าจัดการสิ่งปรุงแต่ง ในตอนมีชีวิต ตอนตายก็จะทำได้

มีพธม.สนใจการเป็นอยู่ ในราชธานีอโศก มีเงื่อนไขอย่างไร ให้ไปทดลองอยู่ได้

ตอบ ของเรา ไม่ว่าชุมชนไหน ก็ยินดีต้อนรับทุกคน ที่คิดว่าจะเดินทางนี้ ทุกคนเข้ามา ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาว่า คนที่มา ไม่เอาจริง ๑.อินทรีย์พละไม่ถึง จะรู้ตัวว่า จะอยู่ได้ไหม เรามีกฎแค่ ๓ ข้อ คือถือศีล ๕ ละอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ อบายมุขข้อ ๖ คือขี้เกียจ อยู่กับพวกเราไม่ได้ ต้องมาขยัน ขันแข็งทำงาน แค่นี้ไม่ได้หนักหนา สาหัส มาลองดู อยู่ ๗ วัน ก็ต่อวีซ่า คือวิกัป แล้วท่านก็จะบอกว่า คุณกลับไปเถอะ ถ้าจะไม่ให้ต่อ อยู่ไปก็เสีย ทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าอยู่ได้ ก็ให้อยู่ต่อไป ผู้ที่สามารถอยู่ได้ คุณจะมีปัญญารู้เอง พวกเรายินดีต้อนรับ เราไม่รังเกียจ ไม่ใช่ว่า จะมีแต่พวกเรา พวกเรา จะมาจากไหน ก็มาจากพวกคุณ ข้างนอกนั่นแหละ เชิญ ใครจะมา มักน้อย สันโดษ อยู่อย่างอบอุ่น สาธารณโภคี มาแต่ตัวกับหัวใจ เลย....

จบ

 
๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานสันติอโศก