560604_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู
เรื่อง ปัญหาเรื่องสัญญาต่างกัน กายจึงต่างกัน

               พ่อครูจัดรายการที่บ้านราชฯ วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖

วันนี้พ่อครูตั้งใจจะเอา sms ของคุณ 8705 มาใช้ประโยชน์ เป็นประเด็น ในการอธิบาย ไม่ได้เป็นการเถียงหรือแย้ง แต่เป็นความเห็น ที่ต่างกัน พ่อครูจะนำเสนอ ความเห็นต่าง จากคุณ 8705 ว่าเป็นนานาสังวาสกัน
              พ่อครูได้ประโยชน์จาก 8705 ที่ได้ค้นคว้า ในสิ่งที่ท่านแย้งมา ก็ทำให้เกิด ความเจริญ เป็นประโยชน์ แต่สำนวนเขา ก็เป็นอย่างนั้นของตนเอง ก็มาอ่าน ของคนอื่นบ้าง

0814410xxx วาจาหยาบคายของคุณ8705 บ่งบอกถึง การปฏิบัติ ไม่ถูกทาง เพราะยังโทสะกำเริบ ?
      พ่อครูว่า การหยาบคายของวาจา ก็อาจเป็นวาสนาของเขา เหมือนอรหันต์ ในสมัยพุทธกาล ก็มีคำพูดที่ติดว่า ไอ้ถ่อย เป็นต้น

0824039xxx เห็นด้วยกับคุณตี๋ นว คุณฉช. วันไหน พญาแร้งกระพือปีก พาลูกๆออกมา เราก็จะออกมา! สกก เราออกมา ไม่เพียงแต่จะปกป้อง ช.ศ.กษ. เท่านั้น แต่เราจะปกป้อง พญาแร้ง และดูแลลูกๆท่านด้วย สกก
              พ่อครูก็ไม่ต่อเรื่องนี้ขอผ่าน

0818887xxx แต่ก่อนฟังธรรมะทั่วไปลดกิเลสไม่ได้ ฟังธรรมะพ่อครู 3 ปี ปฏิบัติตาม คำสอน ผมเลิกกินเนื้อสัตว์ ไม่ยึดติดรสอาหาร ถีอศีล 5 กินข้าววันละ 1 มื้อ มาได้ 2 ปีแล้ว ตั้งตะบะไว้ จะทำต่อไปตลอดชีวิต / วิเชียร

0824027xxx วันนี้พ่อครูอธิบายขยายเนื้อความ ได้ชัดเจนมากๆ ทำให้รู้จัก รู้แจ้งรู้จริง ยิ่งขึ้น สาธุ!

0894979xxx คำอธิบายนี้ อยากได้ ติดต่อได้ที่ไหน ผมชอบมาก ละเอียดลุ่มลึก ไม่ค่อยมีใคร อธิบายแบบนี้มากนัก เห็นมีท่านครูนี่แหละ ขอกราบนมัสการครับ

           พ่อครูว่า หนังสือจะออกตอนเดือนตุลาคม แต่อาจไม่ใช่เล่มนี้

0805431xxx เมื่อเห็นต่าง ทำใม 8705 ไม่ไปตั้งสำนักของตน แล้วเผยแพร่แนวคิดของตน เแก่คนทั่วไป

0850556xxx พูดออกมาได้ว่ามังคุดไม่ทุกข์ แสดงว่าไม่รู้เรื่องทุกขอริยสัจ สักนิดเดียว
          พ่อครู ว่าคนนี้เล่นแต่ภาษามา ไม่ขอแย้ง

0888705xxx ฟายเอ้ย! ธรรมะเขาให้ตัวเอง ดูรูปก็ให้ดูรูปตัวเอง เดียถีกลับไปดูมังคุด!
              พ่อครูว่า พ่อครูดูมะระ แล้วก็ดูใจตนเอง จะเห็นว่า ความเห็นของเขา ไม่ดูรูปภายนอกเลย ให้ดูแต่รูปภายใน ซึ่งพ่อครูว่าดูได้ คือรูปกาย หรือรูปรูป ใช้คำว่า นามกาย ที่ต่อเนื่องจากภายนอก ก็ตัดเฉพาะภายใน อันนี้แสดงให้เห็นชัดว่า มีกายต่างกัน การดูรูปภายนอก เป็นกายนอกกาย เข้าไปเป็นกายในกาย เขาก็ไปดูแต่รูปข้างในหมดเลย ตั้งแต่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฉะนั้น รูปที่เป็นมหาภูตรูป เขาก็ตัดทิ้ง การรู้รูป ก็ไม่เหมือนกัน เรียกว่า นานัตกาโย กำหนดสัญญา ก็ต่างกันชัดๆ เขากำหนดสัญญา เฉพาะข้างใน ไม่กำหนดข้างนอก ซึ่งเขาไม่ใช้สัญญาด้วย เขาว่าสติที่กำหนดรู้ ซึ่งก็ต่างกัน ทั้งกรรม ต่างทั้งอุเทศ (คำอธิบายต่างกัน)

0888705xxx สัญญาเวทยิตนิโรธ ของพธร. คือขุมนรกอเวจี ที่พธร. จองไว้แล้ว โดยยังไม่รู้ตัว
              พ่อครูว่า พ่อครูไม่ได้อกสั่นขวัญแขวน หรือตกใจเลย แต่ไม่ใช่ด้าน เพราะพ่อครู จริงเรื่องนรกสวรรค์ จริงเรื่องบาปบุญ แม้เขาจะว่า พ่อครูก็ไม่แปลก มั่นใจว่า ไม่พาผิด ส่วนผู้ที่เห็นต่าง ก็ต้องผิด (แต่ไม่ยึดภาษา)

0888705xxx พุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน ยังต้องเข้าฌาน1 ออกฌาน1เข้าฌาน2 ออกฌาน2 เข้าฌาน3 ออกฌาน3เข้าฌาน4 ออกฌาน4เข้าฌาน5, 6,7,8 ออกฌาน8 เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ! ออกนิโรธลงฌาน8 ออกฌาน8 ลงฌาน7,6,5,4,3,2,1 เสร็จแล้ว ขึ้นไปใหม่ คือเข้าฌาน2,3,4 จากนี้ดับหายไป (=ปรินิพพาน) ในระหว่าง รูปฌาน(ที่4 )กับอรูปฌาน (อากาสาฯ) ซึ่งอนุรุทธตามดู ทุกขณะจิตของพุทธเจ้า แต่เดียถีขี้โม้พธร. บอกตน อยู่ในนิโรธแล้ว โดยไม่ต้องเข้านิโรธอีก เก่งกว่าพุทธเจ้าซะอีก!

               พ่อครูว่า พ่อครูไม่เก่งกว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งที่เขียนมาก็รู้ว่า พ่อครูไม่เก่งกว่า พระพุทธเจ้า แต่เขาก็พูดแดกดัน พ่อครูมา เพราะใช้คำนี้ ทั้งที่รู้ทั้งรู้ ว่าไม่ใช่
              ซึ่งความรู้ของพ่อครู กับคุณ 8705 ต่างกันเรื่อง ฌาน

               ฌาน มีสองแบบ คือแบบทำเจโตสมถะ กับทำ แบบโลกุตระ
              บางคนก็ นั่งสมาธิแล้วก็ได้เจโตสมถะ เพราะนั่งเข้าภวังค์ตัดกาย คนนี้ไม่มี การสัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย เขาไม่ครบ ในวิโมกข์ข้อ ๑ เขาก็ไม่ครบ เขาไม่เห็น ทั้งรูปนอกและใน ที่จะกำหนดรู้ ในวิโมกข์ข้อที่ ๒ ต่อไป วิโมกข์ ๘ มี
๑. ผู้มีรูป(รูปฌาน) ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือ สิ่งที่ถูกรู้)
๒. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (๑๐/๖๖) ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย ในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) (พ่อครูแปลว่า มีสัญญาใส่ใจ ในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูป ก็ต้องใส่ใจกำหนด)
              ผู้ที่ทำฌานแบบฤาษี หลับตาทำสมาธิ ต้องมีการนั่ง เพื่อเข้าและออกนิโรธ คือแบบมิจฉาทิฏฐิ
        มียืนยันหลักฐาน ในบุคคล ๔ คือมี
๑. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ แต่ไม่ได้โลกุตระ
๒. บุคคลผู้ได้โลกุตระ แต่ไม่ได้เจโตสมถะ คือพวกปัญญาวิมุติ คือทำมาตั้งแต่ ธัมมานุสารี -ทิฏฐิปัตตะ -ปัญญาวิมุติ
๓. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ และได้ทั้งโลกุตระ คือพวก สัทธานุสารี –สัทธาวิมุติ -กายสักขี
๔. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ และไม่ได้ทั้งโลกุตระ พ่อครู ได้ทั้งสองอย่าง ทั้งเจโตสมถะ และโลกุตระ
              และ การนั่งหลับตา ทำเจโตสมถะ จะมีสิ่งที่จะได้ ๔ อย่าง คือ
              ๑.ได้พักเป็นสุขวิหารธรรม ๒.เป็นการศึกษา (จิตและเจตสิกของเรา) ๓.ทำเตวิชโช (ตรวจสอบปรมัตถธรรม มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ –จุตูปปาตญาณ -อาสวักขยญาณ) ๔.ทำฤทธิ์
              ในสามัญผล คือผลของบรรลุ ของผู้ที่เป็นสมณะ ๔ เหล่า
              ของคุณ 8705 ก็ได้เจโตสมถะ แต่ไม่ได้โลกุตระ ก็เลยเห็นค้านแย้ง กันตลอด เพราะกำหนด รูปหรือสัญญาวิปลาสไป พ่อครูถือว่า ท่านยังกำหนด รูป-นาม ไม่ชัด โดยเฉพาะเ ข้าใจคำว่า "กาย" ไม่ชัด จึงมีกายต่างกัน (นานัตกาโย)
              ผู้ที่ปฏิบัติอย่างถูกต้อง เอาคำว่า "ฌาน"
              พระอนุรุทธ ที่ติดตาม "ฌาน"ของพระพุทธเจ้า ก็เป็นฌานในภวังค์ ก็ยืนยันชัดเจนว่า ถ้านิโรธ อยู่ที่ ฌานข้อที่ ๙ คือ สัญญาเวทยิตนิโรธ แต่ทำไม พระพุทธเจ้า จึงปรินิพพานที่ ฌาน ๔
              พระพุทธเจ้า จะไม่ปรินิพพานกับนิโรธ ท่านดับที่ รูปฌานที่ ๔ พ่อครูไม่ได้งง ไม่ได้สงสัยเลย
              ในฌานของจิต ที่อยู่ในภวังค์ เขาตอบพ่อครูไม่ได้หรอกว่า ทำไมพระพุทธเจ้า ต้องปรินิพพานที่ ฌาน ๔
              พ่อครูว่า ฌาน ๔ เป็นฐานนิพพาน คนปฏิบัติ ก็ต้องสั่งสมฌาน ๔ ไปให้อเนญชา แต่พระพุทธเจ้า ไม่ต้องสะสมแล้ว ท่านมีนิโรธสมบูรณ์ ในเรื่องการตรวจสอบ ท่านก็สมบูรณ์
              พระอรหันต์ทุกองค์ ตายที่ฌาน ๔ ถ้าพระอรหันต์ที่ตาย โดยไม่ตั้งจิตต่อ เป็นอัปปณิหิตะ ท่านก็ปรินิพพานไปเลย ท่านก็นิโรธโดย สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน สามอย่างนี้ มีได้แม้ตอนเป็นๆ

              มีสัญญาเวทยิตนิโรธ ที่ภิกษุณีธรรมทินนา อธิบายให้ วิสาขอุบาสกฟัง ซึ่งเขาถามภิกษุณีว่า ผัสสะเท่าไหร่ ทำหรับผู้ที่ได้ สัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว ท่านก็อธิบายว่า มีผัสสะ ๓ คือ สุญญตผัสโส –อนิมิตตผัสโส -อัปปณิหิตผัสโส
              วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้าก็ผัสสะเท่าไรย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจาก สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ?
              ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ผัสสะ ๓ ประการ คือ ผัสสะชื่อ สุญญตะ (รู้สึกว่าว่าง)
ผัสสะชื่อ อนิมิตตะ (รู้สึกว่าไม่มีนิมิต) และผัสสะชื่อ อัปปณิหิตะ (รู้สึกว่าไม่มีที่ตั้ง) ย่อมถูกต้อง ภิกษุผู้ออกแล้วจาก สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.
        วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ภิกษุผู้ออกแล้วจาก สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ. มีจิตน้อมไป ในธรรมอะไร โอนไปในธรรมอะไร เอนไปในธรรมอะไร?
        ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกแล้วจาก สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มีจิตน้อมไป ในวิเวก โอนไปในวิเวก เอนไปในวิเวก.

           ซึ่งวิสาขอุบาสก ก็ไปถามพระพุทธเจ้าต่อ พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบ เช่นเดียวกับ ธรรมทินนาภิกษุณี ทุกอย่าง
              สรุปแล้วในเรื่องฌานและนิโรธ ยังเห็นต่างกัน พ่อครูก็ต้องยืนยันว่า ที่ท่านทำกัน ยังเป็นเจโตสมถะ เท่านั้น ไม่ใช่โลกุตระ

0888705xxx กิเลสหนาอย่างพธร. ยิ่งเรียนพตปฎ.มาก.. กิเลสก็ยิ่งหนา! เพราะแปลตามใจชอบ!
        พ่อครูว่าต้องแปลให้ชัด ไม่ให้ผิด เพราะต้องรับผิดชอบ ธรรมพระพุทธเจ้า

0888705xxx แม้วจะยังไงก็มีลิ่วล้อคอยหนุน พธร.เป็นมารร้ายศาสนา ก็มีลิ่วล้อ คอยหนุน!
0888705xxx วันนี้เห็นชัดแล้วว่า พธร.กับแม้วมีสัญญาระดับเดียวกัน.. คือ Let It Be!
0888705xxx สารีบุตร=ของจริง เพราะไม่กลัวกระบองยักษ์ แต่พธร.ขี้โม้ กลับกลัวไม้หน้า 3!

        พ่อครูว่า สองคนนั้น ไม่ได้เอากระบอง มาตีกระบาล พระสารีบุตรหรอก ในพระไตรฯ ก็บอกว่า เขาแค่คิด ก็ตกนรกแล้ว ที่เขาว่าเป็นตัวตนจริง ว่าสองยักษ์ มีตัวตนและตี แต่ไม่ใช่ พ่อครูว่า เป็นคนนี่แหละ แต่จิตใจเป็นยักษ์ ทั้งสองคน ยักษ์คนที่จะตี ก็เร่าร้อนเอง

        0888705xxx บ่องตงๆ.. ธรรมะของเดียถี มีแต่เดียถีด้วยกันเท่านั้น.. ถึงจะฟังรู้เรื่อง!
              พ่อครูว่า.. เดียรถีย์คือผู้ที่มีความเห็น เพี้ยนจากพระพุทธเจ้า หรือผู้มีความเห็น ต่างไป (ติตถิยะ)

0847714xxx ฟังจดจ่อ3วัน+รีรัน เข้าใจนิโรธแบบพุทธ90% up / กำลังล้าง ฤาษีตัวเอง /คนอกวัด
0894979xxx รู้แต่ยังไม่ได้ละ ยังไงมันก็ยังต้องรู้ แต่ถ้าไม่ต้องรู้ มันก็ไม่ต้องละ เพราะไม่มีอะไรให้รู้ มันจึงไม่มีอะไรที่จะต้องไปละ คิดเช่นนี้ ถูกต้องไหมครับพ่อครู กราบนมัสการ
0857308xxx  สัมผัสแล้วรู้แต่ช้า ไม่ทันการ เพียรอยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่ค่อยทันค่ะ
0857308xxx แสดงว่า ถ้ายังไม่นิโรธอริยสัจ ก็ยังสัญญาวิปลาสอยู่ ใช่ไหมคะ

      พ่อครูว่า ใช่แล้ว ถ้ายังไม่อรหันต์ ก็ยังวิปลาส

0888705xxx พธร.เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่ าเทวดาจะมีรูปกายอยู่จริง (เหมือนดังเราว่า)รึเป่า? จึงบอกว่า ถ้าตนผิด..ก็ผิดทั้งยวง! อ๋อ..พึ่งรู้รึว่าตัวเอง ผิดทั้งยวง เราจะอธิบายให้ฟังว่า มนุษย์มีทั้ง รูปกายและนามกาย เทวดาก็มีทั้งรูปกาย และนามกาย ยกเว้น อสัญญีสัตว์ มีแต่รูปกาย ส่วนอรูปพรหม มีแต่นามกาย แต่ไม่ว่าจะเป็น รูปกายหรือนามกาย.. ก็ล้วนแต่ต้องดับ หรือคือรูป เป็นของไม่เที่ยง ทั้งนามก็เป็นของไม่เที่ยง นั่นเอง ฉะนั้น จึงพูดว่า รูปเป็นตัวตน (หรืออัตตา) หาได้ไม่! ทั้งนามก็เช่นกัน จะพูดว่า นามเป็นตัวตน (=อัตตา) ก็หาได้ไม่เช่นกัน! เพราะหากว่า ถ้ารูปและนาม ต่างเป็นอัตตา แล้วละก็.. ทั้งรูปและนามนั้น ก็ต้องเป็นของเที่ยงซิ! ฉะนั้น เมื่อรูปกายและนามกาย ของทั้งมนุษย์ และของเทวดา ต่างก็เป็นของไม่เที่ยง เพราะต้องดับสลายแล้ว.. ทั้งมนุษย์และเทวดานั้น จึงต้องเป็นอนัตตา!
              ฉะนั้นขณะใด ที่ผู้ใดเข้าถึงวิมุตอยู่ (เพราะปราศจากอุปาทาน).. ขณะนั้นผู้นั้น ย่อมจะเห็นมนุษย์ว่า (อัตตา) หรือคือได้ละ สัญญาวิปลาศ ทั้งนิจจัง สุขัง และที่สำคัญ ได้ละวิปลาศ คืออัตตวิปลาศ ว่าเป็นตัวตนแล้วนั่นเอง! ซึ่งถ้าผู้ใดไม่รู้จริง อย่างพธร. จึงเข้าใจผิดว่า มนุษย์มีรูปกายจริงเท่านั้น แต่เทวดาไม่มีรูปกายอยู่จริง! จึงสรุปว่า แม้ความรู้ขั้นต้น ของวิปัสนา คืออนัตตา.. พธร. ก็ยังเข้าใจไม่ได้ หรือคือเข้าใจผิด ตั้งแต่แรกแล้ว! ฉะนั้น เมื่อสัญญาวิปลาศ เป็นอัตตาแล้ว.. พธร.จึงผิดทั้งยวง! เหมือนเป็น ยวงมะเร็งเนื้อร้าย นั่นเอง!
              มิใช่เป็นอัตตาหรือมิใช่เห็นว่า เป็นมนุษย์อีกแล้วนั่นเอง! ทั้งนี้ก็เพราะ ย่อมเห็น เป็นแต่เพียง รูปและนาม ที่กำลังเกิด-ดับ สืบต่อเป็นทุกข์ เพราะเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา เท่านั้นเอง! และเช่นเดียวกัน ผู้ที่กำลังวิมุตอยู่นั้น.. ก็ย่อมมิได้เห็นเทวดา เป็นเทวดาอีกแล้ว เช่นกัน! แต่หากจะเห็น เป็นแต่เพียง รูป-นาม ที่กำลังเกิด-ดับ สืบต่อเป็นทุกข์ เพราะเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา! ทั้งนี้เพราะอะไร? ก็เพราะว่า ได้ละอุปาทาน ว่าเป็นตัวตน

          พ่อครูว่า 8705 ยังไม่พ้นความเป็นอัตตาเลย ตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา ยังไม่เรียนรู้เลย ก็ไปทำขั้นปลายเลย จะไปหวังว่า จะรู้กายละเอียด คือ มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ก็ผิดแน่นอน

               การรู้ รูปกาย นั้นจะมีนามกายตลอด เป็นองค์ประชุม ของนามธรรม อยู่ตลอด แต่ถ้าเอาแต่ นามกาย พุทธก็รู้ได้ แต่ตอนปฏิบัติ ต้องลืมตาสัมผัส ให้รู้กายในกาย
               เมื่อตาสัมผัสรูป ก็รู้อุปาทายรูป ที่ต่อเนื่องเข้าไปภายใน ผู้ที่ตัดกายภายนอก ก็จะไม่ได้เรียนรู้ อัตตา ตั้งแต่หยาบไปเบื้องต้น จึงไม่รู้กายที่เป็น มโนมยอัตตา
               มโนมยอัตตา เป็นตัวกลาง ที่จะทำให้มิจฉาหรือสัมมา เป็นตัวที่จะทำให้รู้ จิต หรือมโนครบ ซึ่งมันจะสำเร็จด้วย มิจฉาทิฏฐิก็คือ เห็นเป็นตัวตน เป็นสรีระ มีรูปร่าง ก็เข้าใจคำว่า วิญญาณัง อนิทัสสนัง ไม่ได้
               การจะเห็นนามธรรมที่ อสรีรัง ต้องรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ
               ลิงค คือ ความต่าง ของอาการ ว่าอย่างนี้โลภ อย่างนี้โกรธ และต้องทำ เครื่องหมายเอง คือ นิมิตเอง
               เมื่อสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว จะมี อนิมิตผัสโส คือจิตมันไม่มีนิมิต หรือเครื่องหมาย ของเศษเหลือเลย เพราะผ่านอรูปฌานแล้ว ก็เป็นความสะอาดหมดแล้ว ไม่มีนิมิต ของสิ่งที่จะไม่ว่าง แต่มันว่างจาก สิ่งที่จะไม่ให้มีแล้ว แม้นิดแม้น้อย ก็ไม่มี จะเป็น สุญญตผัสโส คือว่าง
               แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่รู้เรื่องอะไร ในโลกเลย ก็ไม่ใช่ ต้องมีผัสสะอยู่ แต่ไม่มี โลกสมุทัยแล้ว มีแต่โลกนิโรธแล้ว ถ้าได้นิโรธแล้ว ก็ไม่ต้องตั้ง ความปราถนา คือ อัปณิหิตตะ คือมันเท่ากับ สูญหมดเลย ว่างหมด
               แม้ว่างหมด ทั้งสามสภาวะ แต่ก็ต้องมอง ในมุมต่างๆ เหมือนกับ อรูปฌาน ๔ คือแม้ว่างแล้ว ก็ต้องมองในมุมต่างๆอีก ตรวจสอบให้แน่ชัดอีก จึงจะเรียกว่า ผู้จบ หมดอวิชชาสวะ สิ้นอาสวะสังโยชน์
       มนุษย์เทวดา มารพรหม ถ้าจะมีรูป ก็คือสิ่งที่ถูกรู้ ในพรหม รูปพรหม ก็มีรูป ที่สะอาดแล้ว
               รูปฌาน ก็เป็นพรหม แต่ก็ยังมีวิตกวิจารอยู่ มีปีติสุขอยู่ แต่ถ้าเข้าอุเบกขา เอกัคคตา ก็เป็นฐานนิพพาน แล้วก็ต้องเก็บละเอียดใน อรูปฌานอีก
               ต้องทำความสูญ สั่งสมไปเป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่เที่ยงแท้ ไม่แปรเปลี่ยน ไม่กลับกำเริบ
               พระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน ก็ไปฌานต่างๆ ก็ตรวจสอบไป แต่ขั้นตอนของ ฐานธรรมะ ท่านก็ตรวจสอบฐาน แล้วก็ย้อนกลับมา รูปฌานที่ ๔
               ผู้ที่รู้ความเป็นกายถูกต้อง ก็เรียกว่า รู้วิญญาณฐีติ ๗ คือวิญญาณตั้งอยู่ ส่วนอรูปฌาน คือ อากิญจัญญายตนฌาน และ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน นั้น ไม่อยู่ในฐานะ ที่วิญญาณ จะตั้งอยู่
               ในข้อที่ ๑ ของวิญญาณฐีติ และสัตตาวาส ๙ ก็เหมือนกัน คือเข้าใจกาย กำหนดกายผิด ถ้าพ่อครูผิดเขาก็ถูก ถ้าเขาถูกพ่อครูก็ผิด ใครจะศึกษาอย่างใด ก็เอาสิ ไม่ได้แย่งชิง ถกเถียงเอาชนะคะคาน
           สรุปว่า รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ เช่นที่ ตากระทบรูปภายนอก ก็จะมีรูปภายในต่อ ต้องมีญาณ เห็นรูปภายใน ที่เนื่องจากภายนอก ซึ่งรูปที่ถูกรู้นี้ ไม่มีสีสัน ตัวตนรูปร่าง ซึ่งความเข้าใจนี้ ต่างจากทั่วไป ที่เขาเข้าใจว่า เป็นตัวตนแท่งก้อน มีสีสันรูปร่าง ซึ่งไม่เหมือนกับ ที่พระพุทธเจ้าว่า สภาพจิตวิญญาณนั้น อนิทัสสนัง อนันตัง สัพพโต ปภัง , ทูรังคมัง เอกจรัง อสรีสัง คุหาสยัง
               พ่อครูไม่แปลกใจ ที่เขาเห็นวิญญาณ เป็นตัวตน รูปร่างสีสัน พ่อครูก็เห็น แต่ว่าอัตตา ที่เป็นอุปาทาน คุณยังไม่ได้ล้างเลย คุณแค่เข้าใจว่า ทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ก็บรรลุ อย่างนี้คุณยังไม่ได้ละล้าง มาตั้งแต่เบื้องต้นเลย ไม่มีลำดับลาดลุ่ม เหมือนฝั่งทะเลเลย
               รูปคือสิ่งที่ถูกรู้นั้น ไปทำความเข้าใจให้ดี มันไม่มีรูปร่างสีสัน มันอสรีรัง อย่างที่เขาทำ สัญญลักษณ์ ว่านักการเมือง ที่มีหัวเป็นรูปสัตว์นั้น ไม่ใช่ว่า เขามีหัว เป็นสัตว์ อย่างนั้นจริงๆ แต่ที่แท้คือ จิตวิญญาณของเป็นสัตว์ ในร่างคนต่างหาก เป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ซึ่งหมายถึง นามธรรม ในร่างคนนั้นๆ
               เมื่อไม่เข้าใจสัตตาวาส ๙ ก็ไม่มีการสัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย จึงไม่บรรลุธรรมได้

               ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • ๑.ในสังกัปปะ ๗ การเริ่มตักกะ มักจะมาจากกาม หรือปฏิฆะสัญญา ใช่หรือไม่ จะจัดการอย่างไร

ตอบ คนที่มีกามและพยาบาท เมื่อผัสสะ กิเลสก็ทำงาน อย่างอัตโนมัต เพราะกิเลส มันยึดครอง พื้นที่จิตใจ จิตที่เริ่มดำริ ก็คือตักกะ (ตริ) ส่วนวิตักกะ คือการตรอง คือพิจารณาเพิ่ม พอผัสสะ มันเริ่มดำริ ก็พิจารณาเห็น ทำการตีรณปริญญา หรือ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ ว่ามีกามหรือพยาบาท อยู่หรือไม่
            เมื่อจับได้ ก็ทำการกำจัด กามหรือพยาบาทเสีย เมื่อกำจัดได้ สังกัปปะที่ออกมา ก็ไม่มีกิเลส ต้องทำอย่างมีผัสสะ ตอนนั้นเลย คือทำฌาน อย่างมี มุทุภูเต กัมมนิเย ฐิเต อาเนญชัปปัตเต
          สรุปคือ เราต้องกำหนดรู้ กามสัญญา ปฏิฆะสัญญา เมื่อกำจัดได้ ก็เป็นวิสังขาร วจีสังขาร ก็ไม่มีตัวเหตุ ซึ่งสภาวะ สังกัปปะ ๗ นี้คือ วิธีการทำฌาน ทำสมาธิเลย นี่คือ การทำใจในใจ ให้แยบคายถ่องแท้ ถูกต้อง (โยนิโสมนสิการ) ต้องทำ แล้วสั่งสมเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา

  • ๒. คนที่จะเห็นทุกข์ เปรียบจักเส้นผม ๗ แฉก เพราะคนเรา หลงติดสุข สนองกิเลสตัณหา

ตอบ ก็เป็นเช่นนั้น ถ้าเราไปบำเรอให้สุข กิเลสก็อ้วน ไม่ได้กิเลสก็อ้วน เป็นพยาบาท

  • โครงสร้างของตัณหา หากไม่รู้จัก จะกำจัดกิเลสได้อย่างไร อย่างตัณหา ถ้าเราไม่ส้องเสพ ถอยอย่างเดียว สะกดไว้อย่างเดียว มันจะกลับมาอีก ใช่ไหม

ตอบ ใช่ ถ้าไม่ได้พิจารณาให้แจ้งจริง ในไตรลักษณ์ ว่ามันไม่เที่ยง การได้สมใจมัน มันก็กลายเป็นเทวดา มันก็ไม่ทุกข์แล้ว การไม่ให้แล้วมันดิ้น นี่คือเราเห็น สัตว์นรกแท้ๆ แต่ที่เขาเห็น เป็นตัวตนรูปร่าง ก็เป็นมโนมยอัตตา ซึ่งเราต้องเห็น มันไม่เที่ยง มันไม่ตั้งอยู่ ในสภาพเก่า(ทุกข์) ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้นี่คือ ความหมายของทุกข์ ในปัจจุบัน ที่มีผัสสะ ถ้าเรามีฌาน เผากิเลสได้อย่างมีปัญญา จะเข้าใจในพลังปัญญา มีแรงเป็นอุณหธาตุ ที่สูงกว่ากิเลส จะเกิดญาณปัญญารู้ มีวิปัสสนาญาณ ๙ หรือเป็น ญาณ ๑๖ ผู้ที่รู้ด้วยญาณ ดับด้วยญาณ นี่คือ ทำอย่างวิปัสสนา
          เช่นรู้ว่าไฟร้อน จะไปจับมันทำไม ขี้มันเหม็น จะไปจับทำไม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันยิ่งกว่าไฟ ยิ่งกว่าขี้อีก พระพุทธเจ้า ท่านเปรียบไว้มากมาย มันจะมีปัญญารู้ และ จะไม่เอาเลย อยู่ด้วยกันจะรู้ว่า คนไหนถึงศีล ๑๐ แล้ว ไม่ใช้เงินทองแล้ว อย่างมีปัญญา เห็นๆเลย เราไม่ไปหอบหวง รักษามันหรอก แต่เราก็จะรู้จักใช้มัน จะทำอย่าง ไม่หลอกตัวเอง จะเห็นว่า ปัญญาญาณนี่แหละ จะล้างกิเลสออกจริง ให้จิตถึงอุเบกขา ถึงมัชฌิมา ไม่มีกามหรืออัตตา

  • ๔.บททดสอบที่มีมา จะตายตัวหรือไม่

ตอบ ไม่ตายตัว เราก็จะต้องประมาณ ว่าเราทำได้ขนาดไหน จะเอาแค่ไหน เราทำเบื้องต้นได้ ก็มีตัวอย่าง ทำในขั้นต่อไป

  • พ่อท่านใช้หลักข้อใด ในการจัดงานไม่ให้มีอุบัติเหตุ

ตอบ ก็ต้องไม่ประมาท เราทำอย่างไม่รุนแรง จัดจ้าน ก็ลดความเสี่ยง เราก็ระมัดระวัง มีผู้เอาใจใส่ ก็ยิ่งดีอีก เราจึงปลอดภัย

  • หลวงปู่จะมีอายุ ๑๕๑ ปี ที่บอกไว้เป็นเพราะ เจริญสัมโพชฌงค์ และอิทธิบาท ๔ ใช่ไหม แล้วถ้าผมสวด จะอายุยืนได้หรือไม่ครับ

ตอบ เขาเชื่อกันว่า ถ้าใครท่องโพชฌงค์ ๗ ก็จะอายุยืน แม้แต่คนป่วย ถ้าท่องให้ฟัง ก็จะหายป่วย เป็นต้น ความจริงแล้ว สัมโพชฌงค์ เป็นหลักธรรม ที่สุดยอด มีตัวปฏิบัติ คือ สติ-ธัมวิจัย -วิริยะสัมโพชฌงค์ พระพุทธเจ้า มีความรู้ตัว ในการสัมผัส ทางทวาร ๖ ก็มีสติหลายระดับ สติ-สัมปชัญญะ-สัมปชาน.....

  • ถ้าเราเห็นกล้วยที่อยู่หน้าพ่อครู แล้วเกิดชอบอยากกิน เป็นกามหรือราคะ

ตอบ คำว่ากามหรือราคะ คือใคร่อยาก เป็นคำกลางๆ ราคะหรือกาม คือใคร่อยากได้ มาเสพรส แต่คำว่าโลภะ คือใคร่อยากได้ มาเป็นของเรา อยากได้สมบัติ มาเป็นของเรา เป็นโลภะ อยากได้แฟน มาเป็นของเรา เป็นโลภะ และได้มาเพื่อ อยากเสพสัมผัส ก็เป็นราคะ ต้องเรียนรู้ ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ ในธรรมเท่านั้น จึงจะละล้างได้ ทำตามลำดับไป เป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เราจะมีตัวช่วยรองรับ ให้ก้าวไป ได้เร็ว แต่ถ้าทำแบบโต่ง จะช้า

  • ขอฝากถึง 8705 ว่าได้ศึกษาศีลได้ละเอียด เข้าถึงจิตหรือยัง จึงได้มาต่อต้าน พ่อท่าน

ตอบ เขาว่าปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาแยกกัน แต่ว่าพ่อครูว่า ศีลที่เป็นกุศล จะขัดเกลา ไปให้ถึง อรหันต์ ไปตามลำดับ ในกิมัตถิยสูตร คนที่สอนแยกส่วน ปฏิบัติแยก ไม่ถูกต้อง ที่จริงต้อง สมังคีธรรม ปฏิบัติร่วมกัน ศีลทำให้เกิดสมาธิ เกิดปัญญา ไปตามลำดับ ด้วยกัน

  • ฝากประชาสัมพันธ์ว่าบ้านราชฯ เรามีที่ท่องเที่ยวมุมใหม่ คือแดนหิ่งห้อย ยิ่งฝน ตกมา ก็ยิ่งมีมาก ตรงลานเบิ่งฟ้า

ตอบ พ่อครูว่า ไม่ได้ส่งเสริมให้บ้านราชฯ เป็นที่ท่องเที่ยว พวกที่เที่ยวอยู่นี้ ยังรักเที่ยวอยู่ ก็ยังไม่เป็นอาริยะเท่าไหร่ คนที่เที่ยวนี้ ยังแสวงหากาม แสวงหากิเลสอยู่ อย่างโสดาบัน ก็เลิกเที่ยวอบายมุข สกิทาคามี ก็ลดกาม ถ้าอนาคามี ก็ไม่เที่ยวแล้ว ถ้าคุณจะไปอินเดีย คุณไปศึกษา แต่ถ้าถือโอกาสไปเที่ยวไปกินเสพ โดยอาศัยว่า ไปสังเวชนียสถาน ก็ไม่ใช่หรอก เป็นการแฝง ต้องอ่านใจเรา ว่าไปเที่ยวหรือไปศึกษา หรือไปเที่ยวเสพรส ผู้ที่ศึกษาดีแล้ว ก็ไม่มีกิเลสเที่ยว แต่ที่นี่บ้านราชฯ เรามีคำอธิบายให้หมด ว่ามาศึกษาเรา ได้หลายมุม สิ่งที่มีประเล้าประโลมบ้าง สำหรับปุถุชน หรือโสดาบัน หรือสกิทาคามี ก็ยังไม่หมด ก็เป็นองค์ประกอบ ให้ศึกษา แต่ไม่ใช่ว่า ให้มาเที่ยว แต่คนจะมาดูมาชม ก็ให้เข้าใจว่า ให้มาศึกษา มากกว่าที่จะเข้ามาเสพรส สิ่งเหล่านี้ เป็นกระสัย ดึงมาบ้าง แต่ก็ต้องเข้าใจเนื้อหา ว่าต้องมาศึกษาเป็นแกน อย่างไป สังเวชนียสถาน เป็นต้น

  • เวลาเขารวมตัวสัมมาสิกขาเข้าค่าย ได้ยินเพลงที่เปิด ก็เป็นเพลงโลกๆ ที่ไร้สาระ

ตอบ.. แต่ดูเหมือนจะมีคำดีๆอยู่นะ แต่ไม่ใช่ของพวกเราแต่ง แต่ถ้ามีแต่ประโลมโลก ก็ต้องดูแลกัน ต้องรู้จักอนุโลม ปฏิโลมกันให้ดี อย่าให้แข็งขืน เกินการณ์

  • บรรลุธรรมคืออ่านจิตรู้จิต เท่านั้นหรือครับ แล้วที่บรรลุปิ๊งๆ ในสมัยพุทธกาล เขาไม่ได้อ่าน อย่างนี้หรือ

ตอบ ผู้ที่มีลักษณะปิ๊งเลย อย่างพระพาหิยทารุจริยะ ฟังธรรมแล้วก็ บรรลุเลย เพราะท่าน มีทุกอย่าง พร้อมที่จะเป็น อรหันต์แล้ว เหมือนน้ำเกือบเต็มขันแล้ว พอหยดไปอีกนิด ก็บรรลุ เพราะท่านมีบารมี เป็นอุคติตัญญู เป็นบัวพ้นน้ำแล้ว แต่พวกเรา อย่าหลง อย่างนั้น เราเป็นบัวใต้น้ำกันมาก อย่างพ่อครู ไม่ได้ศึกษาของคนอื่น ค้นเอง แต่ก็ไปที่อื่น กับเขาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นศิษย์ สำนักไหนเลย ไปดูก็ไม่จริงจัง ไม่มีครูบาอาจารย์ ในชาตินี้เลย

  • พ่อท่านสอนจากไม่รู้ ไปสู่ความรู้คือวิชชา สุดท้ายก็ไม่รู้อีกเลย ใช่ไหมครับ

ตอบ เมื่อเหตุปัจจัยครบพร้อม อย่างพระพุทธเจ้า มีพุทธการกธรรม ท่านไม่ได้ปฏิบัติ ธรรมเลย สมัยเป็นฆราวาส แม้มาบวช ก็ปฏิบัติผิดไป ๖ ปี ไม่พาบรรลุ แล้วท่านก็ เตวิชโช ว่าท่านบรรลุแล้ว ก็บรรลุเลย แล้วก็ประกาศศาสนา

  • คนที่ฟังธรรม นั่งหลับเป็นงู คนที่คุยระหว่างฟังธรรม เป็นอะไร คนที่หยอกล้อ ระหว่างฟังธรรม เป็นอะไร คนที่กลั่นแกล้ง ระหว่างฟังธรรม เป็นอะไร

ตอบ หยอกล้อกันเป็นลิง แกล้งกันใจอำมหิต คุยกันระหว่างฟังธรรม จะปากเหม็น (พูดไปงั้นแหละ พ่อครูไม่เก่ง เรื่องวิบากกรรม) ที่จริงมันมีจริง อย่างพระพุทธเจ้า ตรัสไว้มีจริง พ่อครูว่า พอเข้าใจ พอรู้ว่า จะมีวิบากอย่างไร แต่ไม่เก่ง จึงไม่พยากรณ์ ซึ่งมันมีเหตุปัจจัย ให้แปรเปลี่ยนได้มาก เช่นคนฆ่าควาย อาจเกิดเป็นควาย ให้เขาฆ่า แต่ไม่ตายตัว มีเหตุปัจจัยมากมาย ซึ่งพระพุทธเจ้า อธิบาย ในชาดก เรามาเข้าใจ เรื่องบาปบุญ หรืออกุศล-กุศลให้ชัด แล้วปฏิบัติให้จบเถอะ .....

จบ

รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู สมณะโพธิรักษ์               

 
๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานราชธานีอโศก