560625_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู
เรื่อง นามและกาย อธิบายอย่างช้าๆ


                ต้องขอบคุณ 8705 ที่ติดตามและส่งข้อความมา แม้จะข่มจะว่า ก็ไม่เป็นไร ก็ฟังได้ พ่อครูไม่ใช่เป็นคนมาซูคิส ก็เข้าใจต้องรับฟัง

               พระพุทธเจ้าตรัส ในพรหมชาลสูตรว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่น จะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่เขา กล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลาย ควรแก้ให้เห็น โดยความไม่เป็นจริงว่า นั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มี ในเราทั้งหลาย และคำนั้น จะหาไม่ได้ ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่น จะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลาย ไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจ ในคำชมนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่น จะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลาย จักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจ ในคำชมนั้น อันตราย จะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่น จะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลาย ควรปฏิญาณให้เห็น โดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้น ก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้น จะหาได้ ในเราทั้งหลาย.

            เมื่อวานมีคน sms มาว่า

0824039xxx ถ่ายปฐมอโศกทีไร จอวูบทู๊กที ได้ชมมิวสิค ฟังเพลงอโศกฟรี ขอบคุณ fmtv บ่ทำให้แฟนธรรมะหน้าจอ รอดูเก้อ
            0888705xxx พธร.อธิบายนามรูปเหมือน รมต.กับณัฐวุฒิ ที่ตอบปัญหาจำนำข้าว แบบไม่เคลียร์!
            ขอบอกว่า ก็ยังไม่เก่ง แต่เมื่อวานแสดงแบบ ๔๐๐ เฟรมต่อวินาทีแล้ว แต่ก็ยัง เข้าใจ ไม่ได้ ก็เป็นไปได้ พ่อครูก็จะพยายามต่อไป แต่พ่อครู ไม่เหมือนณัฐวุฒิ เพราะไม่ได้ หมกเม็ด แต่ว่ายังอธิบายไม่เก่ง จนทำให้คนทุกคน แม้ภูมิแค่ไหน ก็เข้าใจได้ ก็พยายามให้คุณ 8705 รู้ได้ แม้จะรู้ว่า เขาเข้าใจยากอยู่

            0807022xxx คุณกฤษฎา มาร่วมจัดรายการกับพ่อครู มีประโยชน์มาก ขอบคุณครับ คนพัทลุง

0888705xxx คนเป็นสิ่งมีชีวิต ต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิต ถ้าสมองบ้องตื้นแบบพธร. ก็จะสรุปว่า ถ้างั้น..คนก็คือต้นไม้! เหตุผลเพราะ เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน! ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ และนาม (เจตสิก5) ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ ฉะนั้น สมองที่แสนจะบ้องตื้น ของพธร. จึงสรุปว่า ถ้างั้น..นาม(เจตสิก5) ก็คือรูป! เหตุผลเพราะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เหมือนกัน! เป็นไง? คุณพิธีกร ลองเอาไปคิดดู.. อย่าเป็นเหมือนควายแดง ที่ให้แม้ว จูงจมูกได้!

                ก็ขออธิบายตามภูมิ ว่าคนก็เป็นสิ่งมีชีวิต ต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิต ยกวิชาการของ ศาสนาพุทธว่า คนเป็นอุปาทินกสังขาร แต่ต้นไม้เป็น อนุปาทินกสังขาร ต้นไม้เป็น พีชนิยาม ไม่มีวิญญาณครอง และไม่เคยพูด อย่างที่คุณว่า แต่ไม่เคลียร์เอง มีกะละมัง รับได้แค่นั้น หรือกะละมังรั่ว ก็รับไม่ครบ
                คำความพยัญชนะ ที่พ่อครูพูด ก็ว่ารูปจะกลายเป็นนามนั้น ก็พูดหวัดๆได้ แต่ที่จริง มันเป็นสิ่งที่เนื่องกันอยู่ ซึ่งกายนี้ ไม่ใช่แค่เรื่อง วัตถุรูปเท่านั้น การกระทบ ข้างนอก จะเรียกว่า กายข้างนอกคือ มหาภูตรูปก็ได้ คือมีสัมผัสนอก ต่อเนื่องมาสู่ภายใน นามนี่อยู่ในร่างกาย ทำหน้าที่ สัมผัสแตะต้อง แล้วก็รู้ต่อเนื่อง ตามเข้ามาภายใน แล้วก็มาเป็น กายในกาย แล้วมีการปรุงขึ้นมา ด้วยสังขารเป็นอารมณ์ ถ้าชอบใจ ก็อิฏฐารมณ์ ก็เรียกโดยพยัญชนะ ว่ากายในกาย ก็คือเนื่องกันเข้ามา เมื่อปรุงแต่ง เป็นสุขทุกข์ ก็คืออารมณ์ เวทนาคือนาม ก็คือที่เป็นตัวรู้จาก มหาภูตรูป
                นามคือธาตุรู้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งไม่ใช่แค่รูป ที่เห็นด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่มีทั้ง สิ่งที่เป็น นามที่ถูกรู้ด้วย

                0888705xxx โง่อวดฉลาด ขลาดอวดกล้า คนบ้าอวดดี เดียรถีอวดรู้ แต่แจกรูป 28 ไม่ได้เลย!

                ที่เขียนมานี้ คงจะคิดว่า เมื่อไหร่พ่อครู จะโกรธให้ดู ดีเหมือนกัน พ่อครูก็จะได้ ทำโจทย์ จะสอบได้หรือสอบตก ก็ได้ดูตัวเอง เช็คผลว่า มีการกระเพื่อม อาเนญชาไหม เป็นนิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปังไหม
                พ่อครูเปิดตำรามาแล้ว รูป 28 แต่ให้ผลัดไว้ก่อน ให้เอาฉลากยา แปะพยัญชนะก่อน พ่อครูมีแต่เนื้อ  แต่ไม่เก่ง เรื่องพยัญชนะ แล้วจะมาแจกให้ฟัง เมื่อพร้อม พ่อครูก็ไม่ประมาท ต้องเตรียมตัว ไม่ใช่คนเก่ง ถ้าอยากฟัง ก็ต้องใจเย็นๆ อยากกินอาหารอร่อย ก็ต้องใจเย็นๆ

                0888705xxx แสงสีเป็นรูป เสียงเป็นรูป กลิ่นเป็นรูปฯ แต่พธร บอกเสียงเป็น อรูป บ้าเป่า?

                พ่อครูว่า ในความหมายของอรูป ที่ขยายจากอรูปรูปัง นั้นต่างจาก อรูปจิต อย่างเสียง เรามองไม่เห็นรูปร่าง แต่เราได้ยิน แม้เสียงบางอย่าง เราก็ไม่ได้ยิน แต่สัตว์ได้ยิน แต่นี่คือรูปกาย คือองค์ประชุม เมื่อมันกระทบด้วยหู ก็เกิดการกระทบ ด้วยหูกับเสียง มันกระทบกับเรา ก็คือรูปกาย แล้วเราก็รู้ ด้วยนามธรรมของเรา ถ้าเรารับรู้ รูปนี้ได้ มันก็ถูกรู้ ก็คือ รูปรูป ส่วนรูปกาย คือองค์รวมของอายตนะ 12 ทั้งในและนอก และต้องมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะ ไม่มีฐานะรู้ได้

                อรูปที่ว่าอันนั้น มันคล้ายๆกับอากาศ กระทบแล้ว ไม่เห็นได้ด้วยตา อย่างเสียง เป็นอรูป ก็คือเสียงเห็นด้วยตาไม่ได้ แต่ได้ยินด้วยหู นี่คือ ความหมายของอรูป ที่เป็นรูป ที่ละเอียดขั้นอรูป คือมองไม่เห็นน่ะเอง

                0816624xxx ตัฌหาไม่ใช่กายรูปรสกลิ่นเสียง ดัณหาเป์นนามเกิดในใจ คืออาการความรู้สึก

                พ่อครูว่า... กายที่เขาว่านี้ คือข้างนอก ถ้าจะเรียกว่า กายวิญญาณ ก็เรียกได้ แต่ตัณหาก็คือ เจตสิก ไม่ใช่ข้างนอก ก็อยู่ในใจถูกแล้ว ซึ่งเวทนา ไม่ใช่ตัณหา ความรู้สึก หรือเวทนานั้น เนื่องมาจากตัณหา เมื่อถูกรู้ขึ้นมา นามรูป ก็คือนามกาย เป็นสภาพที่ถูกรู้ แต่ถ้าตัณหา แล้วมันอยู่ข้างใน เป็นนามธรรม ตัณหาเอง เมื่อมันทำงาน ก็ร่วมกันกับ องค์ประชุม เกิดเวทนาได้ มันก็ต้องมาทำการปรุงร่วม การปรุงร่วมคือ องค์ประชุม
                คนไทยเอาคำว่ากาย มาเรียกว่า ร่างกาย ซึ่งร่างกาย เลยไม่ใช่หมายถึง นามธรรม แต่ที่จริง กายนี่เป็นคำที่สื่อถึง นามธรรมมากกว่ารูป หรือสรีระ ข้างนอก ซึ่งกายนี้ หมายถึง เวทนา สัญญา สังขาร รวมกันด้วยซ้ำ ซึ่งร่างข้างนอก ภาษาบาลีคือ “สรีระ” หรือ Body ไม่ใช่ mental , mind ,spiritual  กายไม่ได้หมายถึง สรีระแน่

                0824027xxx วันนี้พ่อครูเปิดของที่คว่ำให้หงายออก ทำให้หายโง่ โง่มาดักดานแล้ว กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูง

            0888705xx พธร.อ่านพตปฎ. แต่ไม่รู้ของจริง! แปลพยัญชนะ ผิดหมด เพื่อให้เข้ากับ ลัทธิตน!

            พ่อครูขอยอมรับว่า พยายามอธิบาย ให้เข้าลัทธิตน เพราะคิดว่าลัทธินี้ คือลัทธิ ที่ตรงกับ ของพระพุทธเจ้า และอย่างที่คุณเข้าใจนั้นมิจฉา คุณจะเอาของคุณ มาใส่เราก็ยาก มันเป็น นานาสังวาส

                0888705xxx เขาให้คว่ำหม้อ เพื่อกันไม่ให้ยุงวางไข่ แต่พธร. ดันเทศน์ หงายหม้อที่คว่ำ!
                พ่อครูว่า เขาไปได้เรื่อยๆ น้ำขี้โคลนก็ดำไปเรื่อยๆ พ่อครูว่า เป็นนักปรัชญา ก็ให้คะแนน 0 เพราะพูดไม่เข้าประเด็น เพราะเขาพูดธรรมาธิษฐาน แต่ดันเอารูปธรรม มาเทียบ ก็เป็นคำตู่กันแค่นั้น พ่อครูไม่ได้ตู่เขา ตู่คือชี้ผิดๆ ไม่ค่อยตรงนั่นเอง

                0888705xxx เดียถีย่อมเข้าใจเดียถี ว่าเดียถีชอบหลอกตัวเอง ว่าเป็นโลกุตระ อยู่เหนือโลก

            เดียรถีย์หมายถึง ผู้ที่เข้าใจศาสนา หรือพุทธธรรม ต่างไปจากความเห็น ของพระพุทธเจ้า ก็อยู่ที่คนๆนั้น จะหลอกหรือจริง ผู้ที่มีดวงตา มีปัญญาแท้จริง จะดูออก โลกุตระคือ มีจิตอยู่เหนือโลกโลกีย์ ก็เห็นว่าพวกเราเป็น กลุ่มหมู่สาธารณโภคี ทำมาหากิน สร้างสรร ไม่เอาเงินเดือน เขาก็ทำได้ ใจเขาก็สบายดี ไม่ได้โลภอยากได้ เป็นเรา เป็นของเรา ก็เป็นสุขดี ตายไปแล้วก็มี ตายไปก็ยิ้มก็มี อย่างโยมบางคน ก็ตายยิ้ม ไม่ทุกข์อะไร ไม่ฝืนแกล้งเสแสร้งกดข่ม เอาหลักตัดสิน ธรรมวินัย ๘ เอาพุทธพจน์ ๗ มีสาราณียธรรม ๖ เอาวรรณะ ๙ มาเทียบ ก็เป็นจริง เห็นอยู่ว่ามีจริง เป็นลักษณะโลกุตระ ไม่ได้ตาบอด หูหนวก หรือตาหนวกหูบอด ก็เป็นจริงได้

                0888705xxx อรหันต์ย่อมหมดโทษภัยแล้ว แต่ทำไม อรหันต์ C7 พธร จึงไปติดคุก เสียได้! อาเมน

                พ่อครูว่า ก็ไม่ได้ติดคุก มีคำพิพากษาให้ผิด ติดคุก แต่ก็รอลงอาญา ๒ ปี ก็มีกฏเกณฑ์ ผ่านไปแล้วก็จบ พ่อครูว่า อรหันต์ระดับ โมคคัลลานะ ไม่แค่ติดคุก แต่ถูกฆ่าตายเลย แม้แต่อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังโดนเทวทัต กลิ้งหิน ทับพระบาทเลย นี่คือโทษภัย อย่างที่คุณหมายหรือไม่ พ่อครูก็ถูกศาลตัดสิน ก็เป็นวิบาก ไม่มีปัญหา แต่คุณเข้าใจผิด ว่าอรหันต์ย่อมหมดโทษภัย ไม่รับวิบากนั้น ต้องทำความเห็นใหม่ ให้ถูก พระโมคคัลลานะ ถูกศัตรูทางศาสนาทำร้าย ฆ่าหลายเที่ยว จนยอมตายเลย
           

    ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • วิญญาณ เวทนา สังขาร หมายถึงสภาวะเดียวกัน หากอวิชชาใช่หรือไม่

ตอบ.. ถ้าคุณเข้าใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือ รูปกับนาม ใช่ ก็เวทนา สังขาร ก็เป็นองค์ประชุมของ แต่ละขณะ แต่เป็นสภาวะ นามธรรม อย่างเดียวกัน แต่คนที่อวิชชา จะเข้าใจว่า อย่างเดียวกัน คือมันปนเปกันไป เป็นอันเดียวกันหมด แต่คนมีวิชชา จะแยกได้ นี่ เวทนา นี่ สัญญา นี่สังขาร วิญญาณคือธาตุรู้ รวมๆ เป็นความหมายใหญ่ แล้วมาแจกวิญญาณเป็น เวทนา สัญญา สังขาร
                เวทนาแจกได้ ๑๐๘ แจกไปได้มาก ขนาดนี้เลย มีมโนปวิจาร ๑๘ เป็นเคหสิตะ และเนกขัมมะ อย่างละ ๑๘ รวมสองอย่าง ก็เป็นเวทนา ๓๖ ก็ให้ไปเรียนรู้ ส่วนอดีต ปัจจุบัน อนาคตอีก อย่างละ ๓๖ รวมเป็น ๑๐๘ อยู่ในพรหมชาลสูตร มีทิฏฐิ ๖๒ ซึ่งมีส่วนอดีต ๑๘ แล้วก็อนาคตมีอีก ๔๔ ปัจจุบันมี ๕ ซึ่งทิฏฐิต่างๆของคนก็มีทิฏฐิ ๖๒ รวมทิฏฐิมนุษย์ ไว้หมดแล้ว ถ้าไปยึดใน ๖๒ นี้ก็คือการยึด ก็เป็นอัตตา พระพุทธเจ้า ไม่สอน อัตตาตัวเดียว เพราะทุกอย่างที่ยึด ก็คืออัตตา แต่อย่าปฏิเสธอัตตาก่อน จะไม่ได้เรียนรู้อัตตา ตั้งแต่สักกายะ ไล่เรียงไปถึงอาสวะ ตั้งแต่
                ให้มีอัตตสัมปทา คือเป็นแสงอรุณ ให้เข้าถึง บรรลุความเป็นอัตตาก่อน อัตตาตัวแรกคือ สักกายะ ที่ผู้ที่รู้ความจริง จะรู้สิ่งนี้ 
                มันน่าฉงนนะ ว่าทิฏฐิ ทำไม ส่วนอดีต ๑๘ แล้วก็อนาคตมีอีก ๔๔ ปัจจุบันมี ๕ เพราะอดีต เป็นตัวที่เป็นจริงแล้ว ส่วนอนาคต ไม่มีจริง เป็นสิ่งคาดเดา จึงมีน้อย ส่วนปัจจุบัน จริงสุด ก็เลยมีมาก

  • หากว่าเราไม่มีมรรคผล แสดงว่าเรา “นัตถิ” เท่ากับเราไม่มีสิ่งที่ คนควรมี คือ “นโหติ” แสดงว่า เรายังคงมีทุกข์ และเป็นภัยต่อตน และผู้อื่น แต่หากเรา มีผลธรรม “อัตถิ” เราก็จะมีสิ่งที่ คนควรมี “โหติ” คือมีความ “ไม่มีทุกข์” ถูกหรือผิดอย่างไร

ตอบ...ถูกต้อง คำว่า นัตถิหรืออัตถิ คือผลการเรียนรู้ ของพระพุทธเจ้า ผู้ใดปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้า เช่นทำทาน ถ้าไม่ได้ผลก็คือ นัตถิ ทินนัง เพราะมิจฉาทิฏฐิ พ่อครูก็นำมา ขยายให้ฟัง ว่าเขาทำทาน ทุกวันนี้ ไม่มีผลไปหานิพพาน พาสู่การลดละ หน่ายคลาย แต่ทำทาน กลับพอกเพิ่มกิเลส ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ข้อต้นเลย ในทิฏฐิ ๑๐ ส่วนข้อที่ ๒ ของทิฏฐิ ๑๐ ก็คือ ยิฏฐัง หรือ พิธีกรรมที่ไม่มีผล ส่วนข้อที่ ๓ คือหุตัง คือการเสวยผล ในการปฏิบัติ ว่าทำแล้วปฏิบัติทาน หรือยิฏฐัง แล้วจิตมีผลอย่างไร ถ้าไม่รู้ ก็ไม่รู้ว่าเราได้ หรือไม่ได้ นี่คือทิฏฐิ ๑๐ ที่ต้องรู้อย่างสัมมาก่อน ถ้าไม่รู้ก็ปฏิบัติ อย่างสุญโญ ไม่ได้ผลหรอก ยิ่งอ่านปรมัตถธรรม ตนเองไม่ออก ไม่บรรลุธรรมหรอก

  • มีเด็กมาถามหลวงพ่อรูปหนึ่งว่า ตลอดชีวิตสัตว์เดรัจฉาน มันจะคิดมาก หรือปวดหัวหรือไม่ ถ้ามันทำผิด หลวงพ่อตอบไม่ได้ ก็โยนมาให้พ่อครูตอบ ..หลวงพ่อบอกว่า ผมไม่ได้ตอบ แล้วมาคิดตามเด็ก แล้วสงสัยว่า มันจะปวดหัว หรือไม่ แล้วคิดต่อว่า คนที่ทำผิดต่อแผ่นดิน จะปวดหัวหรือไม่ เช่น เดรัจฉาน มันก็เสพกาม กับพี่น้องมันได้ เวลามันหิว ก็ฆ่าได้หมด

ตอบ.... เดรัจฉานคืออเวไนยสัตว์ จะไม่เข้าใจเรื่องเจตสิก เหมือนคน คนเราจะเข้าใจ ถูกผิด ดีงาม ตามสมมุติสัจจะของโลก ผู้ที่เข้าใจปรมัตถ์ จะเข้าใจสมมุติ ในระดับต่างๆ ผู้มีปัญญาจะเข้าใจ และช่วยพัฒนาคนอื่นตามลำดับ สัตว์เดรัจฉาน ก็สอนได้ ในบางอย่าง แต่ให้มันรู้จักคุณธรรม ก็ได้บ้าง นิดๆหน่อยๆ บางทีทำได้ดีกว่าคน คนนี่ สอนแล้ว สอนอีก สู้หมาไม่ได้ ระวังจะไปชิงหมา และมันไม่คิดมากหรอก ไม่ปวดหัว

  • อริยบุคคลระดับไหน จะหยุดนินทา

ตอบ.. จะหยุดก็เป็นอนาคามี แต่สกิทาฯก็มีอยู่ อย่างโสดาฯ ก็เป็นปากหอก มุขสตีเลย แต่ไม่หยาบ อย่างปุถุชน ไม่มีอะไรรุนแรง

  • เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงตั้งต้น ให้ศึกษาอารมณ์ทุกข์ ทำไมไม่ศึกษาพร้อมกัน ทั้งสุขและทุกข์

ตอบ.. ที่ท่านเน้นศึกษาทุกข์ เพราะสุขทุกข์เป็นของคู่กัน แต่สุขสงบ มีอย่างเดียว และที่ท่านหมาย หาความสงบ ไม่ใช่หาที่เงียบ หรือไม่ใช่สงบกาย คือกาย ไม่กระดุกกระดิก แต่สงบคือ จิตไม่สุขไม่ทุกข์ ไปกับโลกีย์ อย่างหมาขี้เรื้อน ก็ไปหาที่อยู่ไปเรื่อย แต่ก็ไม่หายคัน เพราะไม่ดับเชื้อเหตุ คือเราต้องดับ โลภโกรธหลง ทำงาน อย่างมากอย่างไร ก็สงบ ที่ให้เรียนรู้ทุกข์ก่อน เพราะทุกข์เป็นเหตุแห่งสุข ที่เราทุกข์ เพราะอยากบำบัดใจ ด้วยกิเลสโลภโกรธหลง ก็อยากบำบัด ก็เลยทุกข์ อ่านทุกข์ให้ออก คนเราทุกข์อยู่ ตลอดเวลา แต่อ่านไม่ออก เราควรกำหนดรู้ (ปริญเญยยะ) อ่านทุกข์ให้ออก ให้พยายามอ่านจิต ตัวทุกข์ให้ออก แล้วเอาสัญญา ไปกำหนดรู้ ส่วนทุกข์คือ ควรกำหนดรู้ แล้วกำจัดมัน เวลากำจัด ก็ให้สัญญากำจัด เป็นต้นทางของปริญญา หรือปัญญา จะเกิดผล ดับสุขทุกข์ของโลกีย์ คนหลงสุข ก็เลยต้องให้ มาพ้นทุกข์ จะพ้นสุขด้วย พระอรหันต์ไม่สุขไม่ทุกข์ มีแต่ปรมัง

  • การปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธ ต้องอาศัยผัสสะ หยาบ กลาง ละเอียด แต่ทำไม อรูปอัตตา จึงไม่ต้องการ ปรุงแต่งภายนอก ใช่แต่ธรรมายตนะ และธรรมารมณ์

ตอบ ...กามเป็นโอฬาริกอัตตา พอเข้าไปข้างใน ก็เป็นรูปราคะ อรูปราคะ พอหมดข้างนอก โอฬาริกอัตตาแล้วจะเหลือ มโนมยอัตตา เป็นตัวในแล้ว พอไปถึงรูป หรืออรูป ก็ต้องอาศัยผัสสะทั้งนั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรฯล. ๙ พรหมชาลสูตร ว่าเว้นผัสสะแล้ว จะเข้าใจซาบซึ้งไม่ได้

[๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใด มีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติ อัตตาและโลก ว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ประการ เขาเหล่านั้น เว้นผัสสะแล้ว จะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะ ที่จะมีมิได้.

                อรูปอัตตา ไม่ต้องอาศัยทวาร ๕ เพราะนอนหลับ ก็ปรุงได้ ตายไปก็ปรุงได้ เป็นของแห้ง ไม่ใช่ของสด เป็นสัญญา ที่ควักมาปรุงไป ลมๆแล้งๆ ถ้าตายไปยิ่งหนัก ว่าไม่รู้ว่าตาย และก็ไม่มีทวาร ๕ ไปเสพแล้ว จะดิ้นรนมากแต่ไม่ได้ พระพุทธเจ้า ให้มาล้างแต่ตอนเป็น เมื่อหมดได้ตอนเป็น ตอนตายก็ไม่มี อนาคามีตายแล้ว ก็ไม่ดิ้นแล้ว แต่ถ้าไม่ล้าง ก็ดิ้นหนักกว่า คนเสี้ยนยาอีก เพราะไม่รู้ว่าตาย
                อรูปอัตตา แม้ลมๆแล้งๆ แต่คุณยึดอยู่ ถ้าไม่มีผัสสะ ก็ไม่ใช่ฐานะที่จะ บรรลุได้ คือต้องสัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ในปัจจุบันนี้ เป็นหลักฐานที่ชัด ในพระไตรฯ

  • อุปาทายรูป หมายถึง กายในกาย เช่น ๑.กายในกาย ที่สัมผัสกับ ดินน้ำไฟลม ภายนอก แล้วเข้ามา เป็นรูปร่าง ในตัวเรา

ตอบ.. ถ้าเป็นรูปร่าง ก็เป็นนิมิต แต่ต้องเข้าใจว่า  ไม่เป็นรูปร่าง อย่างภายนอกทีเดียว อาจไม่ตรงกับ รูปนอกหรอก เพราะกำหนด ไม่ครบหรอก ทั้งสีสัน รูปร่าง ต้องเข้าใจว่า คือนิมิต ที่ใช้แทนนะ ถ้าเอาแต่รูป แสงมากระทบเรติน่า แต่คุณไม่ได้กำหนดหมาย เพราะคุณ ไม่ได้หลับตา มันต้องมีภาพบนจอตา หรือเรติน่า แต่คุณไม่กำหนดหมาย ก็ไม่รู้ ว่ามันคืออะไร อย่างคนตาเหม่อลอย ก็ไม่รู้ว่า มองอะไร ไม่ได้เอาจิต ไปกำหนดหมายมัน คุณก็ไม่เห็น กายในกายอันนั้น ดั้งนั้น กายในกาย ก็เกิดจาก ภายนอกได้ แต่ไม่ใช่ของจริง แต่ถ้ามาเป็น กายในกาย จะเป็นภาพ หรือรูปในก็ตาม อย่างลูกเงาะ ถ้าเห็นแล้ว เป็นรูปข้างใน ก็เป็นรูปที่ถูกรู้ แต่คุณมีนามธรรม คือกาม ไปปรุงร่วมด้วยหรือไม่ ทั้งปรุงแต่ง ในรูปรสกลิ่น ความปรุงแต่งนี่คือ สังขาร และสังขารที่ปรุงแต่ง ก็มีความรู้สึก ถ้าตรงสเปค ตรงอุปาทาน ก็สมใจชอบใจ ก็รีบปอกรีบกลืน ก็สำลักเลย ก็รีบไป แต่คุณก็ชอบใจ เกิดรสเป็นชอบใจ กายในกาย เป็นสังขาร เป็นเวทนา มันมาจาก เหตุอะไร จากตัณหา อุปาทานคือเหตุ ต้องค้นให้ได้ แต่ถ้าค้นไม่ได้ ติดมันก็เลิกมัน ติดเงาะมา ก็ไปกินอย่างอื่นแทนได้ เอาธาตุอาหารอื่น มาแทนเงาะได้ เราไม่ต้องเป็นทาส รสนั้นหรอก ถ้าเราเสพ ก็ได้สุขปลอมๆ ถ้าเราเลิกติด กินไปก็เป็นรสชาติ ตามที่มันเป็น ไม่ต้องสุขทุกข์กับมัน ทำได้แต่เป็นๆเลย ทำได้โสดาฯ ตายไปก็เป็นโสดาฯ แต่ถ้าไม่ล้าง ตายไปก็เป็น ต้องมีของแห้ง ไม่เหมือนของสด คือตอนเป็น คุณก็ยังทำ คุณไม่ได้เสพสด ก็ปั้นฝันฟุ้งเอาได้ คุณต้องล้างได้ ด้วยปัญญา หมดกิเลสจริง หมดได้ก็จบ แบบไม่ฟื้น ยั่งยืน ของจริงต้องลืมตาปฏิบัติ คนที่แย้งก็ดี จะได้หาหลักฐาน มาชี้แจง

  • ความเชื่อมโยง ระหว่างมโนมยอัตตา กับอรูปอัตตา

ตอบ... มโนมยอัตตา คือสำเร็จด้วยจิต ไม่ต้องสัมผัสนอก ก็ไปมีจิตที่ สำเร็จได้ด้วยสัญญา แม้ไม่มี ก็สร้างเองได้ ส่วนอรูปคือ สภาพที่ไม่เป็นรูปร่าง หรือเรื่องละเอียด ขั้นปลาย

  • คำว่า จิต เจตสิกรูป นิพพานนั้น เวลาปฏิบัติอ่านจิต จับเจตสิกที่ประชุม รูปนี่คือ มาตั้งแต่ กระทบนอก จนเข้าไปใน มีสัญญา กำหนดรู้ปหาน จนหมดอุปาทาน เกิดนิโรธ บทบาททั้งหมด คือรูปใช่ไหม แล้วนิพพานเป็นนาม ใช่ไหม

ตอบ ..ใช่ แต่นิพพาน ไม่ใช่ทั้งรูปและนาม มันว่าง เปรียบเทียบได้ยาก

  • การพิจาณาธรรม พระพุทธเจ้า จะได้ฌานที่ ๔ และได้ยินว่า ต้องไปที่ อัปปนาสมาธิ ได้ยินจาก หลวงตาบัว ท่านว่าเวลาปฏิบัติ ต้องถอยมาที่ อัปปนาสมาธิ นี่ผิดจาก พระพุทธเจ้าตรัส เหมือนกับท่านพุทธทาส บอกว่า มันแน่นไปที่ฌาน ๔ ต้องถอยมาที่ อัปปนาสมาธิ

 

ตอบ..ขอเอาไว้ตอบทีหลัง เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ของพระพุทธเจ้า ไม่มีการถอยหรอก

  • สุข ของ วิญญาณมาจากไหน

ตอบ ..จากสมมุติคือรู้ร่วมกัน ปุถุชนก็คิดอย่างเดียวกัน แต่ของพระพุทธเจ้า ว่ามีสุข ที่ดีกว่านั้นอีก เป็นวูปสโมสุข

  • งานภราดรภาพ จัดเพื่อประชุมพรรค หรือเป็นงานประจำปีชาวอโศก ที่คนไปร่วมได้

ตอบ... ก็เป็นงานประจำปีชาวอโศก พวกเราจะไปร่วมกันมาก แล้วเราก็เลย ประชุมพรรคด้วย

  • นักบวชต้องรักษาศีล จึงไม่สามารถฟังเพลง เพื่อผ่อนคลาย ใช่หรือไม่

ตอบ ..นักบวชคือผู้มาลดละกิเลส แต่ว่าคุณติดมาก ก็ต้องพรากไม้ ที่ชุ่มด้วยยางจากน้ำ คุณต้องเลิกก่อนไม่ฟัง แต่ถ้าจิตคุณ มีกำลังพอ ก็ฟังเป็นผัสสะ เพื่อพิจารณาลดละ ถ้าตั้งใจพิจารณา ว่ามันไม่เที่ยง วนเวียนสุขทุกข์ อยู่อย่างนี้ แต่ถ้าชนะมันแล้ว ก็สัมผัสแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ ฟังเพลงก็ไม่ทุกข์ไม่สุข ด้วยกับเขา

  • ผมรู้สึกเอ็นดูคุณ 8705 ฝากความว่า อย่างเขาถ้าป่วยเจ็บ ก็ต้องทุกข์มากเลย เพราะทำนายจาก พฤติกรรมปัจจุบัน
  • ชาวอโศกมีวิธีกำจัดปลวกอย่างไร

ตอบ. .บอกไม่ได้ ไม่มีสิทธิบอก เป็นสมณะบอกได้แต่ว่า ให้วิ่งหนี

  • สัจจะ ความจริง ความเชื่อ ความเฟ้อ ต่างกันอย่างไร ..
  • ในอดีตทำไม่ดีเยอะ กรรมก็สนองเป็นระยะ และขึ้นมาในความคิด ทำให้ไม่มีสมาธิ มันจะหายไปได้หรือไม่

ตอบ ...หายได้ ติดตามฟังให้ดี

  • มีคนบอกว่า นิพพานเป็นอัตตา เขายก อนัตลักขณสูตรมาว่า ?

ตอบ.. นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา

  • ผู้ปฏิบัติธรรมมิจฉาทิฏฐิ เป็นโมฆะบุรุษ ใช่หรือไม่

ตอบ ใช่

  • ไทยเรากำลังล่มจมใช่ไหม ทำอย่างไรดี

ตอบ.... ต้องทำหน้าที่ของพลเมืองดี ออกมาแสดงเสียง ประชาธิปไตย สดๆ ตอนนี้ มีเหตุการณ์ ให้คุณแสดงออก อย่างดีเลย ถ้ามาล้านคน พรึบสำเร็จแน่ 

  • เรามีเวลา ทุนรอนแรงงาน ทุนรอนคืออะไร

ตอบ... คำว่าแรงกาย แรงความคิด เราเอาออกมาใช้เต็มที่ แต่ทุนรอน เราก็ต้องใช้ แต่แรงงาน เวลาเราใช้เต็มที่ อย่าเสียอย่างไร้ประโยชน์ ทุนรอน ก็อย่างเอาไปใช้ สิ่งไร้ประโยชน์ เอาความสูญเสีย ของข้าคืนมา ทำประโยชน์ เป็นพหุชนะหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ...

              

 
๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถาน สันติอโศก