560718_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู
เรื่อง รหัสยนัยแห่งพุทธหยุดความรุนแรง

            พ่อครูจัดรายการที่ห้องกันเกรา สันติฯ...

วันนี้มีผู้ตั้งประเด็นมาถาม เพื่อเอาไปใช้เป็นประโยชน์ ก็มีกำลังใจ ที่มีผู้ที่เห็นประโยชน์ เอาไปใช้

           พ่อครูว่า อายุย่าง ๘๐ ปี พอได้ฟังคำนั้นแล้ว อายุมันลดลงไปอีก พ่อครูไปตรวจ หัวใจมา เข้าเครื่องอย่างดีเลย เห็นหัวใจทำงานเลย เสร็จแล้วเขาก็บอกว่า หัวใจหลวงพ่อนี่ เท่ากันอายุ ๑๘ แต่พ่อครูอายุย่าง ๘๐ แล้วบอกอายุ ๑๘ ปี เครื่องมันยืนยัน เขาบอกว่า จริงๆครับ ก็ต้องเชื่อเขา ถึงแม้ว่าพ่อครู อายุปูนนี้แล้ว เรียกกว่าแก่นะ แต่ก็มีกระจิตกระใจ ทำงานเต็มที่ พ่อครูไปตรวจสมอง เขาว่าอายุ ๓๕ ปี ปอด ๓๕ ปี

           เมื่อสองวันก่อน คุณ ๘๗๐๕ ก็sms มาค้านแย้งหลังรายการว่า

0888705xxx กายของคน ประกอบไปด้วย2ส่วน คือ 1.รูปกาย (=รูป28) กับ 2.นามกาย คือใจ (=มโน) ที่ตั้งอยู่ที่หทัยรูป! ซึ่งใจนี้แหละ เป็นที่เกิดแห่ง จิตวิญญาณ พร้อมด้วย สัญญา, เวทนา, เจตนา, ผัสสะ, มนสิการ ซึ่งเจตสิกทั้ง5นี้ ย่อมเป็นนาม ที่มิใช่รูป! แต่พธร.ดันมั่ว ไปบอกว่า นามทั้ง5นี้ ถือว่าเป็นรูปด้วย ที่เรียกว่า นามรูปไง! แถมยังอ้างว่า ก็กายปัสสธิ เกิดจากเวทนาที่สงบไง! แต่หารู้ไม่ว่า กายปัสสธิในที่นี้ หมายถึง กายที่เป็นนามเท่านั้น มิใช่หมายถึง
0888705xxx กายที่เป็นรูป (28)เลย! แต่เป็นเพราะพธร. คงจะงงกับตัวเองว่า เมื่อเวทนา สงบแล้ว.. อันเป็นเหตุให้เกิด กายปัสสธิ ฉะนั้นพธร. จึงสรุปเลยว่า ก็นี่ไง.. เวทนา จึงเป็นรูปแล้ว เพราะหมายถึง กายปัสสธิไง! จึงเห็นชัดว่า พธร.ไปงงเองว่า กายคือรูป เท่านั้น!

               (อันนี้พ่อครูแย้งว่า กายที่พ่อครูหมายคือ ทั้งรูปและนาม และหมายนาม เป็นสำคัญด้วย)

               สรุปว่า แม้แต่คำบัญญัตต้นๆ.. พธร.ก็ยังงงเองเลย! เปรียบเหมือนขนช้าง.. ก็ยังไม่รู้จักเลย! แล้วพธร.จะไปเอาตัวช้าง ออกจากพวยกา ได้ยังไงกันจ๊ะ! เดี๋ยวถ้าว่างเมื่อไร.. จะร่ายยาวให้ฟัง!
0888705xxx เป็นเพราะพธร. ยึดมั่นฝังหัว อยู่กับโลกใบนี้เท่านั้น.. จึงไม่เชื่อว่า มิติอื่นๆ คือโลกสวรรค์ กับโลกนรก จะมีอยู่จริงๆ เหมือนเช่นกับ โลกมนุษย์นี้ได้! ต่อให้ไอสไตน์ คิดจนหัวผุ.. ก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่า มิติของโลกมนุษย์ พร้อมด้วยเอกภพนี้.. เกิดขึ้นมา ได้ยังไงกัน! แล้วฉไนเลย.. ดร.พธร. จะดันไปคิดออก หรือว่า มิติโลก นรก-สวรรค์.. จะเกิดขึ้นมา ได้ยังไงกันจ๊ะ! แล้วเมื่อคิดไม่ออก.. พธร.จึงไปสรุป เอาเองว่า ภพนรก-สวรรค์อย่างนั้น ไม่น่าจะมี
0888705xxx อยู่ได้จริงๆหรอก! ซึ่งเป็นความคิด อันเดียวกับ เหมาเจ๋อตุง อย่างไม่ผิดเพี้ยน! ทั้งนี้เพราะพธร. หารู้ไม่ว่า มิใช่มีแต่ภพ สวรรค์-นรก เท่านั้น ที่เป็นอจินไตย เพราะแม้แต่ การเกิดขึ้น ของโลกมนุษย์ใบนี้ พร้อมด้วยเอกภพ.. ก็เป็นอจินไตย เหมือนกัน! ที่ไม่ควรคิดควรนึก หาเหตุผล.. เพราะไม่เป็นไปเพื่อ ความดับทุกข์ได้! แต่ยืนยันว่า โลกมนุษย์มีอยู่จริงฉันใด.. โลกสวรรค์-นรก ก็มีอยู่จริงๆ ฉันนั้นเหมือนกัน! ถ้าไม่เชื่อ ก็ต้องรอครบ 151 ปี!

               พ่อครูรู้ว่าคุณ ๘๗๐๕ คิดเห็นเรื่องรูปนาม เป็นเช่นนี้มานานแล้ว พ่อครูเข้าใจ ชัดเจน มีคุณสู่แดนธรรมว่า เขาคงไม่สามารถ รู้รูปที่เป็นกายได้เลย ซึ่งกายนี้เป็น นามธรรม ที่ย่อมประกอบด้วย ขันธ์ ๓ เสมอ เช่น กายปัสสัทธิ ย่อมได้แก่ เวทนาสงบ สัญญาสงบ สังขารสงบ ดังหลักฐานใน พระไตรฯ ล. ๓๔ ข้อ๕๕ และข้อ ๒๓๙

        [๕๕] กายปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
    การสงบ การสงบระงับ กิริยาที่สงบระงับ ความสงบระงับ แห่งเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า กายปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น.
         [๕๖] จิตตปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
    การสงบ การสงบระงับ กิริยาที่สงบ กิริยาที่สงบระงับ ความสงบระงับ แห่งวิญญาณขันธ์ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า จิตตปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น.

           คุณ ๘๗๐๕ ยังเข้าใจคำว่า กาย ได้ยาก คำว่ากาย หมายความว่า คือองค์ประชุม ยกตัวอย่างมะเฟือง อันนี้เป็น พีชะนิยาม มีชีวะ แต่เป็นอนุปาทินกสังขาร สังขารที่ไม่มี วิญญาณครอง ไม่มีเวทนา ไม่มีธาตุรู้ และหลวงปู่วิชิตอวิชชา บนโต๊ะนี้ ก็เป็นโลหะ เป็นอุตุนิยาม ซึ่งไม่มีนาม ไม่มีตัวรู้ เมื่อใดไม่มีตัวรู้ ก็ผิดจากพุทธเลย คือถ้าเป็น อสัญญีสัตว์ ก็สุญโญเลย คือไม่ใช่พุทธเลย

           ในการที่จะรู้เริ่มต้น อริยสัจ ต้องรู้ทุกข์ คำว่าทุกข์นี้ เกิดที่มะเฟือง หรือที่สมเด็จปู่ วิชิตอวิชชา หรือไม่? เกิดไม่ได้ เกิดที่ผมขนเล็บฟันหนัง ก็ไม่ได้ เกิดที่ดินน้ำไฟลม ที่ตัวเรา ก็ไม่ได้ ทุกข์ต้องเกิดที่ นามธรรมเรา ได้อย่างเดียว ไปเกิดที่อื่นไม่ได้ ต้องเรียนที่ ส่วนตน เอโก ของตนเอง ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ คือเอกัคคตาของตน และเอกัคคตา ที่ว่านี้ คือนามธรรม ทุกข์เกิดเมื่อผัสสะ ไม่มีผัสสะก็เกิดได้ ที่สัญญา ตายไปก็มีนรกอยู่ เพราะมีอุปาทาน มีอนุสัยอยู่ มันเกิดจริงเป็นจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง แต่เป็นนามธรรม

           คนที่จะรู้ทุกข์ ต้องอ่านเวทนาในเวทนาเป็น ถ้าคุณจับจิตที่เป็น เจตสิกเวทนาเป็น และ เวทนาเจตสิกนี้ ก็แจกเป็น ๑๐๘ ผู้ที่อ่านเวทนา ๑๐๘ นี้ไม่เป็น ก็เป็นอรหันต์ไม่ได้ และผู้เป็นอรหันต์ ต้องหมดอวิชชา ข้อที่ ๘ คือมีความเที่ยงแท้ ในนิพพาน ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต คุณสมบัติของนิพพาน คือ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) ต้องแยกเนกขัมสิตะ และ เคหสิตเวทนาออก จึงจะปฏิบัติได้ผล

           คำว่ารูป ในปฏิจจสมุปปบาท พระไตรฯล.๑๖ ข.๑๔ มี
[๑๔] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป (อุปาทายรูป = รูปที่ถือเอา, ยึดเอามาด้วย คือเอาดินน้ำไฟลม มาด้วย) ๔ นี้เรียกว่ารูป นามและ รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า นามรูป ฯ
           [๑๕] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณ ฯ
           [๑๖] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร ๓ เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร ฯ

           เมื่อเราสัมผัสมะเฟือง มะเฟืองเห็นหรือตาเห็น ...ต้องมีตา จึงเห็นมะเฟือง , เสียงกระทบกับหู สิ่งที่ถูกรู้คือเสียง ก็เรียกว่า รูป มีจิตวิญญาณเป็นตัวรู้ เสียงกระทบหู จิตวิญญาณ ก็เป็นตัวรู้ …ซึ่งจิตวิญญาณ คือผีคือเทวดา..

               ผีหรือเทวดา ก็เกิดที่จิตวิญญาณ เทวดานอกจากจิตวิญญาณไม่มี เกิดไม่ได้ จิตวิญญาณ ก็อยู่ในร่างเรา เป็นผีหรือวิญญาณ ก็อยู่ในร่างเรา มีหทยรูป คือที่ตั้งของ จิตวิญญาณ (หทยรูป คือที่ตั้งแห่งรูป) แต่ไม่ได้หมายถึง Heart Anatomy แต่หมายถึง Spiritual คือจิตวิญญาณ ต้องกำหนดให้ถูกต้อง ให้สัมมาทิฏฐิ

               ทุกข์ สุข เกิดที่ไหน..... ตอบว่า...เกิดที่จิตใจ หรือจิตวิญญาณ ขณะนี้ ร่างกายเรา มีจิตวิญญาณ มันเกิดทุกข์เมื่อใด อ่านมันให้เจอ ทุกข์มันไม่มีหนวด ไม่มีผิวหนัง ไม่มีโครงร่าง ทุกข์นี่คือ ผีนรก ดิ้นเร่า เปรต คือดิ้นอยากๆ คนก็ไปเข้าใจว่า มันมีรูปร่าง เขาก็กำหนดอย่างนั้น แล้วเมื่อไหร่ จะเห็นของจริง ซึ่งปรมัตถ์นั้น ไม่มีรูปร่าง       

               รูป(อุปาทายรูป ๒๔) ตัวนี้คือรูปจิต อรูปจิต ไม่ใช่รูปขันธ์ ที่เป็นดินน้ำไฟลม แต่รูปตัวนี้ หมายถึงจิต แต่คำว่า ร่าง นี้ก็หมายถึงแต่ ดินน้ำไฟลม แต่คำว่า กาย นี้ต้องประกอบด้วย รูปและนาม อย่าไปเรียนรู้ทุกข์ จากของผู้อื่น เหมือนคุณ ๘๗๐๕ ว่าเห็นก้อนทุกข์ เดินมา ไปเที่ยวรู้ของเขา แต่ของตนเอง เห็นทุกข์ของตนหรือไม่ นี่คือ การมีตาทิพย์ อย่างวิทยาศาสตร์ เป็นของจริง เราต้องแม่นว่า เราศึกษาอะไร ตรงไหน ถ้าศึกษาไม่ลึก ไม่แน่น ก็พลาดแน่เลย มันลึกซึ้ง ละเอียดละออ

               สรุปว่า จะรู้ทุกข์ได้ ต้องอ่านเวทนาในเวทนาเป็น อย่างตาทิพย์นี้คือ นามธรรม สามารถอ่านเวทนา และในเวทนาเช่น เกิดสัมผัสก็ปรุงแต่ง เป็นสุขเลยทันที เพราะมีการสังขาร ทันที ด้วยอวิชชา เป็นกายสังขาร ถ้าคุณกำหนด แต่ว่ามะเฟือง ก็รู้แต่ว่า มะเฟืองสีสันอะไร รูปร่างอย่างไร แต่ถ้าอ่าน เข้าไปข้างใน ก็อ่านความรู้ มาเป็นความรู้สึก ก็เป็นกายนอก มาเป็นกายใน เรียกว่า "อุปาทายรูป" คือมันถือ อันนี้มาตาม ไม่ได้วางไว้นะ

               ถ้าคุณอ่านกายในกาย ซึ่งเนื่องมาเป็นอุปาทายรูป กายนี้คือ เวทนา สัญญา สังขาร เป็นองค์ประชุม ก็อ่านเวทนา ว่ามันสุขนะ มะเฟืองมีดิบ ก็น่าจะฝาด มะเฟืองสุข ก็น่าจะหวาน นี่คืออาการ ปรุงแต่งของจิต เป็นธรรมดา หรือบางคน ก็ชอบเปรี้ยว ก็ปรุงไปว่า น่าจะได้เกลือ มาจิ้มนิดจะดี แล้วพอได้สัมผัสลิ้นเลย ก็ตรงสเปคเลย คุณก็ขึ้น สวรรค์หอฮ่อเลย เป็นเทวดาสมมุติเลย ซึ่งเวทนานี้ เป็นนามธรรม แต่คุณอ่านรู้ได้ มีนามรูปปริเฉทญาณ ถ้าคุณเป็นอรหันต์ คุณก็ไม่มีสเปค ล้างอุปาทานแล้ว ตัณหาก็หมดด้วย เป็นเวทนาไม่สุขไม่ทุกข์ กลางๆ อุเบกขา รู้ว่าเปรี้ยวก็เปรี้ยว ขมก็ขม ไม่มีโลกียรส โลกียารมณ์ แต่ถ้าคุณยังมี โลกียะรส คุณชอบหรือชัง คุณก็มีกิเลส คุณต้องล้าง ต้องกำจัดกิเลส

               โดยเห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันหมดได้ หมดตัวตนความยึด เป็นอัสสาทะได้ ทำได้อย่างเที่ยงแท้ ถาวร ก็ทำอย่างอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง จนตัดสินได้ ทำทั้งปัญญาและเจโตได้หมด ไม่มีเศษที่ไม่วิมุติได้ ตามหลัก เจโตปริยญาณ ๑๖ เมื่อหมดแล้วก็วิมุติ ไม่มีส่วนที่ไม่มีวิมุติ ตรวจจนหมดด้วย อรูปฌาน ๔ จนเป็น สัญญาเวทยิตตัง นิโรธัง โหติ เกิดผลสมบูรณ์ นี่คือสิ่งที่ถูกรู้ เนกขัมสิตเวทนา เป็นอุเบกขา เป็นวิมุติ แม้มีทวาร รับผัสสะอยู่ จิตก็เหนือ ไม่หนี จิตอยู่ในกามาวจร แต่ อเหตุกะ เป็น อสังขาริกัง มีญาณสัมปยุติ คือมีปัญญารู้แจ้งหมด อสังขาริกัง คือไม่มีกิเลสชักนำ เป็นอกุศลเลย
               ในรูป ๒๘ นั้น มหาภูตรูป ๔ จัดไว้เป็น รูปรูปัง
               แต่อุปาทายรูปอีก ๒๔ นั้น เป็นอุปาทายรูป (คุณ ๘๗๐๕ ว่ารูปทั้ง ๒๘ ไม่ได้หมายถึง นามเลย)

               ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • ท่านห่วงความรุนแรง ที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง จากนี้ไปหรือไม่? เพราะประชาชน ทนไม่ไหว ออกมาชุมนุม ขับไล่รัฐบาลมากขึ้น (หน้ากากขาว) หลายคนห่วง จะนองเลือด ท่านเขียนบทกลอน ช่วงหลังนี้แรงขึ้น แสดงว่าบ้านเมือง วิกฤติสุดแล้ว หรือไม่ เช่น มีหมู่ฝูงที่ดี รีบพลีชีพลุย ที่บอกว่า ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว จะไม่โดน อย่างกรณี เสธอ้ายอีกหรือ

ตอบ... พ่อครูว่า พ่อครูสรรหาภาษาลีลา เป็นสุนทรีย์ ไม่แรงหรอก พ่อครูพูดโดยรวมว่า ห่วง พ่อครูทำงานเป็นโพธิสัตว์ ก็ต้องห่วงมนุษยชาติ แต่จิตไม่ได้ทุกข์ เพราะห่วงหรอก พ่อครูทำงานทุกวันนี้ ก็เพราะเมตตา ต่อประชาชน สงสาร ก็ห่วง ไม่อยากให้มนุษย์ เป็นทุกข์ เดือดร้อน จึงออกไปทำงาน และตั้งใจทำงาน อย่างมีอุดมคติจริงๆ ที่คุณบอกว่า กลัวเกิดการนองเลือด . ใช่ ในกรณีที่คุณถามว่า จะไม่เกิดกรณีอย่างเสธ. อ้ายหรือ ไม่อยากให้เกิดสิ แค่นั้นก็ไม่อยากให้เกิด อยากให้เบากว่านั้น แค่นั้นอาตมาก็พอแล้ว แรงไปแล้ว อาตมาถึง ชวนเสธ.อ้ายหยุดเถอะ จึงให้หยุด เพราะว่าอาตมา ไม่ต้องการ ให้เกิดอะไรขึ้นมา ที่อาตมาเห็นแล้ว ซึ่งอาตมาก็ว่า อาตมาพอมองออก ในเจตนารมณ์ หรือจิตมนุษย์ที่มี อะไรต่ออะไร พอสมควร อาตมาก็ว่า อาตมาก็พอเข้าใจ ประมาณไป ไม่ประมาท ประมาณโดยไม่ประมาท จึงไม่อยากให้เกิดสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ดูได้ดี พอสมควร เพราะอาตมาได้ทำมาแล้ว ผ่านมาแล้ว แม้ที่บอกว่า อาตมาได้พยายาม ไม่อยากให้เกิด การนองเลือด ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง เป็นความตั้งใจ ถ้าใครติดตาม ทบทวน อาตมาเขียนอะไรไป บอกไป พูดก็แล้ว ทำโบชัวร์ ทำหนังสือออกไป ก็แล้ว ก็นีโอโพรเทส ที่มีสงบ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ต่างๆ ก็พูดไป แล้วทำจริง แม้ที่สุด เขามาทำเรา เราก็ต้องให้เขาทำ พอเราไปชุมนุม ตำรวจมาตีเรา เราก็ถูกตีฟรี เราก็ไม่ได้ โต้ตอบเขา ไม่มีอาวุธ ไม่มีอะไร คนก็มา หาเรื่องเรา แต่ก็ว่าเราไม่ได้

             สุดท้าย แม้พาไปชุมนุม ข้างทำเนียบรัฐบาล อย่างผู้การแต้ม พาตำรวจออกมา เป็นทัพเลย พ่อครูมั่นใจว่า เขาจะเก็บเรา เรียบแน่เลย ที่ชมัยมรุเชฏ เอาเครื่องไม้ เครื่องมือมา จะรื้อเต็นท์เรา ทั้งเครน แบ็คโฮล แท่งคอนกรีต ตำรวจก็มา แน่นเลย มาแต่ตีสอง พวกเรารู้ข่าว ก็เอาความสงบ สยบความเคลื่อนไหว จึงลงนั่งสงบ ตั้งแต่ตีสอง ยัน หกโมงเช้า ผู้การแต้มก็ถอยทัพกลับไป สุดท้ายก็เสียแต้ม จนต้อง ลาออกไป เอาคนใหม่มาทำแทน นี่คือ วิญญาณตำรวจไทยที่ดี ยังมีอยู่ และก็พ่ายแพ้ ต่อสัจธรรม ชนะเพราะเขาไม่ปราบเรา เขาเลิกทำ สิ่งที่จะรุกรานเรา เขาก็ไม่ทำ นี่คือคุณงามความดี ของตำรวจที่แท้จริง

              แม้เราจะต้องทำ หน้ากากขาว พ่อครูว่า อย่าทำให้ทะเลาะกัน ออกมา ให้เต็มที่เลย ที่พ่อครูว่า มีหมู่ฝูงที่ดีในไทยเรา หน้ากากขาวก็ดี แต่คนไทยเรามีรากฐานว่า ถ้าเล่น กีฬาเดี่ยวก็ชนะ แต่ถ้าเล่นเป็นทีม ก็แพ้เลย ทำอย่างไร ให้เรารวมหมู่เป็นทีม ตอนนี้ ทุกคนมีเป้าตรงกันว่า จะชำระล้างอะไร ในประเทศ เอาเรื่องนี้ เป็นสำคัญ เรื่องอื่น ละไว้ก่อนได้ไหม เพื่อสร้างประชาธิปไตย คือออกมาให้มากที่สุด หนึ่งคนหนึ่งเสียง หมื่นคนหมื่นเสียง ล้านคนล้านเสียง สามสิบล้านคน ออกมาเลย ทั่วประเทศ รวมได้ ทุกจังหวัด ได้ ๓๐ ล้านคน แล้วเป้าหมายเดียวกัน เช่น ยกตัวอย่าง จะกู้เงิน ๒.๒ ล้านล้านนี่ ไม่เอานะ เชื่อไหมว่า ถ้าออกมา รัฐบาลต้องหยุด นี่คือประชาธิปไตย ชั้นที่หนึ่งเลย แต่ละคน ออกมาพรึ่บ แท้ๆสดๆ ปัจจุบันเลย แล้วลองดูสิว่า ไม่ได้วันนี้ วันเดียว ก็อยู่ไปอีก มั่นใจว่า คนไทยทำได้ แต่ข้อสำคัญ อย่าไปอยากใหญ่ อยากดัง อยากเป็น หัวหน้านี่ไม่เอา ให้หน้ากากขาว เป็นหัวหน้า (หน้ากากขาว คือนามธรรม) แล้วก็บอกไปว่า ต้องการให้รัฐบาล ไม่ทำอะไร แล้วมาอย่างสุภาพ เรียบร้อย อย่าหยาบ ไม่ต้องด่าทอ แต่พูดดังไม่ว่ากัน เมื่อมีหมู่ฝูงที่ดี รีบพลีชีพลุย ก็ออกมา

              นี่แหละคือ ความสงบ ประชาธิปไตยเนื้อแท้ ถ้าเป็นไปได้จริงๆ พ่อครูมั่นใจว่า ไม่ต้องออกมา ๓๐ ล้านคนหรอก ในกทม. มีคน ๑๐ ล้าน หรือตจว. ออกมาสมทบ รวมแล้ว สัก ๑ ล้านคน ออกมาในวันเวลาเดียวกัน แล้วขานตรงกัน ว่าคุณต้องเลิก อันนี้นะ ตรงกันเลย พ่อครูว่า ตรงกันหมดแหละ อาจมีหลายข้อ ก็ยื่นไป มีเท่าไหร่ก็ว่า วันเดียวไม่ได้ ก็มาอีก ไม่ถึง ๗ วันหรอก สงบ ถ้าออกมามาก ตำรวจก็ไม่กล้าปราบ มาน้อย เขาก็ปราบ ยกตัวอย่าง เสธ.อ้าย เขาก็ผิดกติกา แต่ต้นเลย เขาไม่อยู่ในกติกา ไม่มีนิติรัฐ นิติธรรมเลย เขาปราบอย่างเดียว อัณฑพาลอย่างนี้ เราขอแพ้ ไม่สู้หรอก เราก็ต้องทำอย่างดี อย่างนี้แหละ

              สังคมขณะนี้ ถึงเวลาที่ประชาชนต้องตื่น แล้วทำให้เป็นผู้ดี เป็นสิ่งประเสริฐ ตอนนี้ ไม่ว่าใครต่อใคร ก็พยายามรวมกัน แม้รวมไม่ได้ต่อเนื่อง ทั้งหมด แต่ก็อุดมการณ์ เป็นหนึ่งเดียว ไม่ต้องขัดแย้ง เรื่องเล็กน้อย ก็เอาไว้ก่อน เอาเป้าหลักๆไว้ก่อน ถ้าไม่ชัดเจน พ่อครูก็ว่า ไม่อยากพูดนำหน้าไป ว่าไม่ดี แต่ก็ว่าหวังไว้ว่า เมืองไทยเคยดี จนได้รับ การยอมรับหลายอย่าง เป็นประเทศที่มี ประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ ที่สุดยอดแล้ว เป็นประมุขแห่ง ประชาธิปไตย เป็น King of kings เราไม่ได้พูดเอาเอง ตปท.เขาให้นะ

  • ต่อไปเป็นคำถาม ที่เขาจะเอาไปใช้เป็นวิทยานิพนธ์ ในป.เอก คำว่า "รหัสยนัยแห่ง การแพทย์วิถีธรรม ของชุมชนไทย-ลาว" ที่จริงคำว่า ของชุมชนไทย-ลาวนี้ อาจารย์เติมให้ เพื่อให้เข้ากับอาเซี่ยน 

            ในวิชาการ เขาอธิบายคำว่า รหัสยนัย ว่าเป็นนัยที่ซ่อนเร้น คือผู้ที่เข้าถึง รหัสยนัย เขาโยงไปถึงประสพการณ์ ทางจิตวิญญาณ คือผู้รู้แจ้ง แล้วรหัสยนัย ทางพุทธ คืออะไร
              แล้วมันต้องปกปิดไหม? อย่างบางเผ่าต้องปกปิด เพราะถ้าคนอื่นรู้ ก็จะทำให้ เกิดอันตรายได้กับเผ่าตน

ตอบ... รหัส หรือรโห รหัง แปลว่า ที่ลับหรือลับๆ เป็นความลับ เร้นลับ ซึ่งคำว่าลับนี้ แบ่งเป็นสองนัย และนัยของพุทธ คือการเปิดเผยความลับ ส่วนอีกนัยคือ เขาต้อง ปกปิดไว้ สำหรับตนเอง ไม่ให้คนอื่นรู้ หรือเป็นเรื่องที่ ไม่ควรเปิดเผยต่อผู้อื่น เพราะเปิดแล้ว เสียผล ทำให้คนอื่นเกิดกิเลส เป็นความลับที่ไม่กล้าเปิด กลัวเสียผล ก็ถือเป็นความลับไว้

              ในนัยของพุทธ เรื่องเหล่านั้น เป็นเรื่องโลกีย์ พระพุทธเข้า ยิ่งไปที่จิตเป็นหลัก การที่กลัว คนอื่นรู้ คือตัวตนอัตตา มันกลัวไม่สมโลภ สมโกรธ ซึ่งในนัยของพุทธนั้น ต่างกันกับโลกีย์ โลกีย์ปิดปาก กลัวเสียประโยชน์ กลัวเป็นภัย ส่วนของพุทธนั้น ต้องการให้รู้ ต้องการให้รู้ความลับนี้ ให้กระจ่าง (คำว่าลับนี้ เป็นกลางๆ แต่คนมีกิเลส จะมีความลับมาก) คำว่ารหัสย ก็คือมีลับๆอยู่ (ภาษาอังกฤษว่าคือ Cypher) ของพุทธ จะทำให้ ความลับนี้เปลี่ยนไป หรือเข้าถึงความลับนี้ จะเอาเข้า หรือออกก็ได้ เป็น Cypher key ผู้สามารถทำ ให้ความลับนี้ หมดความลับ ต้องรู้ว่าตนมีโลภ มีโทสะเป็นตน คุณล้างเหตุได้ มีโลภโกรธหลงได้ หมดไม่เหลือ ไม่หลงเลย ก็คือหมดเกลี้ยง

              เมื่อสามารถทำให้ความลับ ที่เป็นโลภโกรธหลง ที่เป็นเหตุแห่งความลับนี้ ทำให้คนไม่กล้า เปิดความลับ จนหมดเลย จนไม่มีความลับเลย เรียกว่า อรโห หรือ อรหัง ผู้ใด ได้แล้วจบสุด เรียกอรหันต์ คือจบ ไม่มีความลับเลย ศาสนาพุทธ จึงหมดความลับ เป็นผู้ที่ เข้าไปอยู่ในความลับ หรือไม่มีความลับ เขาเรียกว่ รโหคตะ คือเข้าไปทำลาย เหตุของความลับ ทั้งกรรม ๓ ไม่มีความลับ จริงทั้งนอกและใน บริสุทธิ์สะอาด คนผู้นี้ จึงไม่เป็นภัยกับใคร ไม่เป็นความลับกับใคร แต่สิ่งลับนี้ มันรู้ยาก ผู้ใดทำให้ตนเอง หมดความลับได้ คืออรหัง สุดท้ายคืออรหันต์ เป็นคนที่ทำ ความลึกลับหมด ทะลุทะลวง หมดเลย เป็นสูญ คำว่า รหัส แปลว่า ศูนย์ด้วย Cypher แปลว่าศูนย์ด้วย อย่างเลขอารบิค มาจากศูนย์

              รหัสนัย คิอสิ่งซ่อนเร้น ผู้รู้รหัสนัย คือผู้รู้แจ้ง ในนัยของพุทธ คือผู้สลายเหตุ ปัจจัยไม่ดี ที่เป็นความลับ รู้ให้จริง สิ่งควรสลายก็สลาย สิ่งที่ควรสลายคือบาป ก็สลายไป บาปคือกิเลส บุญคือการชำระกิเลส เมื่อชำระกิเลสหมด ก็มีแต่กุศล พระพุทธเข้าว่า ผู้บริบูรณ์สุด ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว แม้บุญก็ไม่ทำ เพราะไม่ต้องชำระกิเลส มันหมดแล้ว ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มีแต่กุศลอย่างเดียว ส่วนอกุศลเกิดจากบาป ก็หมด มีแต่กุศล ถ่ายเดียว มี สัพพปาปัสส อกรณัง กุสลัสสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง แล้วนั่นเอง

              ในเผ่าอื่น เขาต้องปกปิด สำหรับแดนของเขา เพื่อเอาประโยชน์เข้าตน หรือป้องกันตน เขาก็ต้องทำ เพราะยังมีตัวตน แต่พุทธ หมดตัวหมดตน ก็ไม่ต้องปกปิด แต่ก็ไม่โป๊ จนน่ากลัว แต่ต้องมีสัปปุริสธรรม ในการเปิดเผย อย่างมีองค์ประกอบ ประมาณตนให้ดี อย่าเบ่งใหญ่หลงตัว ให้ชัดว่า เรามีทุนทางสังคม เท่าไหร่ เราจะทำ กับเขา ได้อย่างเหมาะสม เท่าไหร่ 

              ในโลกมีทั้งขัดแย้ง และเห็นด้วย เราต้องจัดให้อยู่กันได้ พอเหมาะ เรียกว่า สามัคคี (คือความขัดแย้ง ที่พอเหมาะ) เป็นไปได้ ไม่ใช่เหมือนกันหมดเลย ทำไม่ได้ ผู้ใดสามารถทำให้ ผู้ที่ตรงกันข้าม ร่วมมือกันได้ นี่คือผู้มีฝีมือ เช่น ถ้าเราสามารถ สร้างมวล ให้มีพลังสนามแม่เหล็ก ถ้ามวลน้อยกว่า มาอยู่ในนี้ กลุ่มนี้ก็มีพลัง ที่จะปรับ โดยสงบ ไม่ต้องรุนแรง ทั้งฟิสิกส์และนามธรรม ก็พิสูจน์ได้ และความซับซ้อนมี ถ้าทางโลก ก็ใช้จำนวน แต่ในธรรมะ ก็มีทั้งคุณภาพ และคุณธรรมด้วย แต่ต้องคุณธรรม เป็นหลัก มีความสามารถด้วย

              ถ้ามีมวลที่มีคุณภาพ คุณธรรมมากพอ แม้มีน้อย ก็ทำให้เขา ไม่กล้ากระทำ สิ่งไม่ดีได้ ยิ่งสังคมทุกวันนี้ เป็นยุค Globolization ทั่วโลกสื่อสารกันได้ไวเร็ว มีอิทธิพล ถ้าคุณทำดี แม้คนหมู่น้อย ถ้าคนในประเทศ รังแกหมู่น้อยที่ดี ต่างประเทศ เขาจะเข้าข้างใคร ก็เข้าข้างคนดี แม้จะมีการล็อบบี้ แต่ว่าแต่ละประเทศ เขาก็มีศักดิ์ศรี ทุกวันนี้ ประเทศไหน ก็ไม่ได้โดดเดี่ยว ยกตัวอย่างไทยเรา ถ้ามีประชาธิปไตยดี แต่มวลมาก ไม่มีประชาธิปไตย โหดร้าย ต่างประเทศ จะไม่ยอมรับหรอก

              เผ่าพุทธไม่ปิด เผ่าพุทธะนี้คือ นางแบบนู๊ด คือไม่ปกปิด เป็นคนที่เปิดเผย ไม่มีอะไรปิดบัง แม้แต่พูดอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ยถาการี ตถาวาที ยถาวาที ตถาการี) แต่ไม่เปิดในสิ่งที่ ไม่สมควรเปิด ใช้สัปปุริสธรรม มันมีผลเสีย ถ้าเปิดเผย คนเข้าใจไม่ได้ คนเข้าใจผิด ก็บรรลัยสิ

  • การที่เรามีนักการเมือง ที่แสวงหาเสพความสุข จากชาวบ้านที่จำนน กับเรามีนักต่อสู้ ที่หวังลมๆแล้งๆว่าจะมี.... ขอให้พ่อครูให้กำลังใจด้วย ทำไมจิตใจนักการเมือง จึงโหดนัก แล้วจะมีคนไหน ที่หวงจะมา เต็มใจเหนื่อย

ตอบ... พ่อครูก็ว่ามันจริง เพราะคนเหล่านั้น เห็นแก่ตัว และหลงสุขโลกีย์ คนมาปฏิบัต ธรรมพระพุทธเข้า ก็ลดความติด ในโลกียสุข รู้จริงว่า คือของหลอก ของเท็จ ไม่โมเม รู้แจ้งเห็นจริง มีญาณของพระพุทธเข้า เป็นชาวอริยกะแท้ เห็นความจริงว่า เราอย่าไป หลงเสพอารมณ์เหล่านี้ ไม่ไปเสียเวลา ทุนรอนแรงงานไป พ่อครูไม่มีเวลาไข มากนัก เราก็รู้ว่ายุคนี้ นักการเมือง กับนักธุรกิจ ที่เอาเปรียบ ใช้เล่ห์ทุนนิยม ระบบโลกีย์โหดร้าย ตั้งหลักเกณฑ์ เอาเปรียบ จนแม้แต่ว่า ตั้งราคาเงินเดือน ให้เงินเดือนสูงมากๆ กว่าคนที่ อาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นความหนักหนา สาหัสมากเลย เพราะความไม่มีภูมิธรรม ไม่รู้ว่า ที่เขาโกงนี้ มันบาป เขาไม่เชื่อว่า บาปมีจริง เขาไม่เอาสัจธรรม เหลือแต่คนที่จะเอา บรรยายให้ฟัง เปิดเผยอย่างนู๊ด พ่อครูนี้ นู๊ดอย่างตัวเอ้เลย แต่ก็มีศิลปะการเปิดเผย เมืองไทย เป็นเมืองพุทธ ของพระพุทธเข้านี้ สุดยอดเลย เสียดายที่มิจฉาทิฏฐิ การช่วย ประเทศชาติ จะเอาโลกีย์ไปล้างโลกีย์ ไม่ได้หรอก คนเขาแรง ก็ต้องแรงกว่า คนโกหก ต้องโกหกกว่า คนรวยก็ต้องรวยกว่า อย่างนี้ไม่ได้ มันต้องเอาโลกุตระไปล้าง มาตั้งใจจน มุ่งมาจน จนอีหลีอีหลอ

  • คำว่า ยามศึกเราพร้อมรบ ยามศึกสงบภายในซ้อมรบกัน ลูกพ่อท่าน มีบ่อยไหม

ตอบ... จริงนะเราก็ซ้อมรบกัน แต่ก็ซ้อมอย่างเรา มันเป็นธรรมชาติ พระพุทธเข้าตรัส แม้อาริยบุคคล ขั้นต้น เป็นโสดาบัน ก็มีหอกปาก (มุขสตี) ชาวอโศก ไม่มีลงไม้ลงมือ แต่เรื่อง หอกปากนี่มาก แต่ก็ไม่แรง แม้โสดาบันก็รู้ วีติกมกิเลสชัดแล้ว เหลือปริยุฏฐานกิเลส ก็ต้องมีปากหอกบ้าง เป็นธรรมชาติ ก็เพราะหมายใจให้ดี อย่างพ่อแม่ ด่าว่าลูก เพราะต้องการให้ดี แม้มีโกรธ เพราะเป็นปุถุชน แต่จิตลึกๆ ไม่ด่า เพื่อทำร้าย แต่ด่าเพื่อปรารถนาดี ให้รู้สึกตัว ก็ด่าไปตามโวหาร เราก็ต้องมาเรียนรู้ แล้วใช้

  • ฟังธรรมพ่อท่านมาหลายครั้ง ผมฝึกจิตมาตั้งแต่ปี ๒๘ เวลามีการกำหนดจิต ก็เห็นมีผู้รับ กับเจตสิกที่เกิดดับอยู่

ตอบ... พ่อครูว่า นี่คือการเดาเอาว่า จิตมันเกิดดับ มันดูยาก พระพุทธเข้าสอน ให้ตามดู เจตสิก ตัวที่คุณต้องการดู คือกำหนด สักกายะ คือตัวตนที่หยาบ ที่คุณรู้ได้ ในการกระทบ ทางทวาร ๖ อ่านตัวนี้ โดยตั้งเงื่อนไข คือ "ศีล" คุณเอาเรื่องนี้ก่อน ถ้าคุณรู้ไปหมด เลอะเทอะ จะยากไม่รู้จริง อ่านกิเลส ที่เรากำหนดรู้ก่อน อันอื่นช่างมัน แล้วจะเห็นกิเลส ที่เกิดจาก ผัสสะเป็นปัจจัย แล้วก็ปหานได้ จนคุณเห็น อนุปัสสี ๔ (อนิจจานุปัสสี – วิราคานุปัสสี – นิโรธานุปัสสี - ปฏินิสัคคานุปัสสี) เห็นความดับถาวร เห็นความเกิดไม่มี เป็นอภินิพพัตติ เป็นนิพพาน เป็นการเกิดของอรหันต์ ….

จบ

เรื่อง

 

 
พฤหัสบดี ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่สันติอโศก