560730_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู
เรื่อง แจ้งชัดหลุมดำต้องเปิดตาทำวิปัสสนาญาณ ตอน ๓


      พ่อครูดำเนินรายการที่บ้านราชฯ

พ่อครูก็ได้รับ sms จากคุณ ๘๗๐๕ ก็จะอ่านให้ฟังโดยไม่แทรก เพราะขยันส่งมาก็สงสาร

       0888705xxx สมัยที่เรายังเป็นปุถุชนอยู่.. ครั้งหนึ่งทุกขเวทนาอันแรงกล้า ได้เกิดขึ้น แล้วกับเรา และเรานั้นรู้สึกกระหายน้ำ เป็นอันมาก.. แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอ ที่จะลุกขึ้น ไปหาน้ำมาดื่มเองได้ เราจึงได้ตั้งสติ เพ่งไปที่ทุกขเวทนาอันนั้น โดยเพ่งมอง เวทนานั้น อย่างตรงๆ.. แบบไม่ลดละ หรือยักย้ายสติไปที่อื่นเลย ฉับพลัน.. ปัญญาก็ได้ เกิดขึ้นแก่เรา ทำให้เห็นได้ว่า ทุกขเวทนาอันนั้น ก็ไม่ใช่ของเรา! และเมื่อรู้ ดังนี้แล้ว.. เราจึงรู้สึกโล่งอก
       เพราะเหมือนว่า ได้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว จึงไม่เป็นทุกข์ กับเวทนานั้นอีกต่อไป! แล้วความคิดทั้งหลาย ก็หยุดลงทันที.. พร้อมกับมีญาณ บอกให้รู้ก่อนว่า ทุกข์จะดับ แล้วนะ! และฉับพลันนั้นเอง.. ความรู้สึกทั้งหลาย ก็ดับวูบลงทันที! แต่จะดับไป นานสักเท่าไร ก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่า พอเริ่มมีความคิดเกิดขึ้นว่า จะปรากฏดีไหมหนอ? เท่านั้นเองแหละ.. ความรู้สึกทั้งหมด ก็กลับมาทันที!
       จากนั้น, จึงได้ทบทวนดู กับปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นกับเรา จึงเริ่มเข้าใจแล้วว่า ความรู้สึก ทั้งหลาย ที่ดับลงก็คือ วิญญาณทั้ง6 ดับหมดนั่นเอง! ซึ่งจะแตกต่างไปจาก การนอนหลับ เพราะในระหว่างที่หลับนั้น มโนวิญญาณ ย่อมยังจะไม่ดับ! และเราก็รู้อีกว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิด ความรู้สึกทั้งหลาย หรือเกิดเจ้าวิญญาณ ทั้ง6นี้ขึ้นมาได้ ก็คือเจ้าตัว สังขาร หรือตัวความคิดนี่เอง! เพราะเพียงแค่ความคิดที่ว่า จะปรากฏ ดีไหมหนอ? ซึ่งยังไม่ทันที่ จะตัดสินใจด้วยซ้ำ ว่าจะปรากฏดี หรือไม่ปรากฏดี ความรู้สึกทั้งหมด ก็กลับมาทันที.. หรือคือเจ้าวิญญาณทั้ง6 ก็ปรากฏขึ้นใหม่ ทันที นั่นเอง!
       ซึ่งที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง.. ก็เพื่อที่จะอธิบายคำว่า วิญญาณให้ชัดๆ.. เพราะเป็นคำที่ คนทั่วไป เข้าใจได้ยากนั่นเอง! จึงต้องขออุปมาว่า สมมุตว่า ที่บ้านหลังหนึ่ง มีดวงไฟอยู่6ดวง คือตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ ซึ่งเมื่อดวงไฟ ทั้ง6ดวงสว่างอยู่.. ก็เปรียบเหมือนเกิด จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ,,,, มโนวิญญาณ แต่พอยกคัตเอ้าท์ลง ดวงไฟทั้ง6ดวง ก็ดับพรึบลง พร้อมกันทันที! เพราะคัตเอ้าท์ ก็เปรียบเหมือน เจ้าตัวความคิด คือจิตสังขาร (อันเป็นประธาน ของกายสังขาร และวจีสังขาร) ซึ่งเมื่อหยุดคิดแล้ว.. ก็=ว่า ยกคัตเอ้าท์ลง.. อันเป็นปัจจัย ให้ความรู้แจ้งทางตา, ความรู้แจ้งทางหู, ความรู้แจ้งทางจมูก, ความรู้แจ้ง ทางลิ้น, ความรู้แจ้งทางกาย, และความรู้แจ้งทางใจ คือวิญญาณทั้ง6นี้ ย่อมดับวูบลง! จึงเรียกเป็นภาษา แบบง่ายๆว่า.. ความรู้สึกทั้งหลาย ดับวูบลง นั่นเอง!
       ทั้งนี้เพราะ เมื่อวิญญาณทั้ง6 ดับลงแล้ว.. จึงไม่เป็นปัจจัยให้เวทนา คือความรู้สึก ทั้งหลายใดๆ จะเกิดขึ้นมาได้! ฉะนั้น จึงได้พูดไปว่า ความรู้สึกทั้งหมด ดับวูบลง.. ซึ่งภาษาธรรมะ จะเรียกสภาวะนี้ว่า วิกขัมภนวิมุตนั่นเอง! ถึงตอนนี้.. จะขอถามพธร.ว่า กระแสไฟ ที่วิ่งอยู่ในสายไฟ กับความสว่างของดวงไฟ.. คือสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่? ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมไม่ใช่สิ่งเดียวกัน!
       ฉันใดก็ฉันนั้น..วิญญาณก็เปรียบเหมือน กระแสไฟ ที่วิ่งอยู่ในสายไฟ.. ซึ่งเป็นอสรีรัง ที่ไม่อาจจะมีใคร ไปมองเห็นกระแสไฟได้! ส่วนผลของกระแสไฟ ที่ทำให้ดวงไฟ สว่างได้นั้น.. ก็เปรียบเหมือนกับ ผลของวิญญาณ(6) ที่ทำให้เกิดการรู้แจ้ง (=ปัสสติ) ธรรมารมณ์ ทั้งหลาย ที่เป็นนาม-เป็นรูปได้ นั่นเอง! ซึ่งรูปก็คือรูป28 ส่วนนามก็คือเวทนา, สัญญา, เจตนา, ผัสสะ, มนสิการ ซึ่งพธร.ก็ควรจะหัดสังเกตุ เอาไว้บ้างว่า.. นามทั้ง5 ที่ถูกรู้แจ้ง (=ปัสสติ)ได้นี้ ไม่มีตัวไหนเลย.. ที่ชื่อว่าวิญญาณ!
       แต่ถึงอย่างไร.. แม้ว่าวิญญาณจะไม่สามารถ ถูกรู้แจ้งด้วยวิญญาน พวกเดียวกัน, ก็ตาม.. แต่ถ้าหากผู้ใด เคยมีประสบการ วิกขัมภนวิมุต(อย่างที่ได้เล่าไว้แต่ตอนต้น) มาแล้ว.. ผู้นั้นก็จักรู้ด้วยปัญญาเองว่า วิญญาณนั้น ย่อมคือเช่นไรกันแน่! (ซึ่งที่รู้ได้ ก็เพราะเหตุที่ วิญญาณทั้ง6 เคยดับ มาก่อนแล้ว นั่นเอง)
       ซึ่งการที่รู้จักวิญญาณได้นี้.. เป็นการรู้ด้วยญาณทัสนะ คือต้องรู้ด้วยปัญญา อย่างเดียวเท่านั้น! และหากเป็นผู้ที่ รู้จักวิญญาณจริงแล้ว..ย่อมจะไม่ซี๊ซั๊ว พูดเลยว่า สามารถเห็น หรือปัสสติวิญญาณได้! เหมือนกับพธร. ที่ไม่รู้ทั้งทฤษฎี และปฏิบัต.. แต่ชอบแสดงตนเป็นผู้รู้!
       ก่อนเคยบอกว่า วิญญาณเป็นอสรีรัง ที่เห็นไม่ได้! แต่พอได้ยินเราพูดถึง สัมผัสที่6 เข้าหน่อย.. ตอนนี้ก็เลยจะเก่งมั่ง! กลับตาลปัทมาบอกว่า ตนเองก็สามารถ เห็นวิญญาณได้! สรุปว่า ชัวร์หรือมั่วนิ่มกันแน่! พวกเสื้อแดง หลับหูตา บูชาทักษิณ อย่างไร.. สมณอโศก ก็หลับหูหลับตา เชื่อเสด็จปู่ ไปเสียทุกอย่าง เหมือนกัน ไม่เคยคิด ที่จะใช้สมอง ของตัวเอง บ้างหรือไร!
       เช่นอย่างที่เราบอกว่า วิญญาณทั้ง5 (โดยไม่นับมโนวิญญาณ หรือ สัมผัสที่6) ย่อมรู้แจ้งรูปได้ แต่อย่างเดียวเท่านั้น! สมณะฟ้าไทย ก็ยังไม่มีปัญญาพอ ที่จะฟังรู้เรื่องได้! จึงสมมุตว่า ถ้าเอาขี้ให้เด็กทารก อายุ6เดือนกิน.. ถามหน่อยว่าเด็กมันจะโอดครวญ บ่นว่าเหม็นไหม? แต่ถ้าให้สมณะฟ้าไทย ฉันขี้ละก็.. แน่นอนว่า จะต้องร้องจ๊าก! เพราะอันนี้ นับเป็นมโนวิญญาณแล้ว! ที่รังเกียจว่าเหม็น นั่นก็เพราะ.. กามุปปาทาน ของผู้ใหญ่ มิได้ฝังที่ลิ้น หากแต่มันย่อมฝังอยู่ที่ใจ! ส่วนทารก ยังไม่มี กามุปปาทาน ฝังที่ใจ จึงลิ้มรสขี้ได้ สบายมาก
       หรืออีกต.ย.หนึ่ง เช่นที่เคยเล่าไปครั้งก่อนแล้วว่า เห็นนาม-รูปหนึ่ง กำลังคิดว่า ชั้นนี่สวยไม๊? จะมีใครมองชั้นบ้าง หรือเปล่าเนี่ย! อันนี้ก็รู้ด้วย มโนวิญญาณ โดยอาศัย แค่ผ่าน จักขุวิญญาณ เท่านั้นเอง! ซึ่งก็ยังมีต.ย. ที่ไม่ต้องอาศัยผ่าน จักขุวิญญาณ เลยก็มี! เช่น ที่พระสารีบุตร ไปบิณฑบาตด้วย สูญญตวิหารธรรม ส่วนโมคคัลลาน์ อยู่บนดอย ภูเขาอีกลูกหนึ่ง ที่ห่างกันไกลมาก หลายสิบโยชน์ แต่เพราะเข้าสมาธิ หลับตาปี๋อยู่.. พระโมคคัลลาน์ จึงสามารถแลเห็น ด้วยมโนวิญญาณได้ว่า นั่น.. พระสารีบุตร กำลังถูกยักษ์ เอากระบองทุบที่ศรีษะ!
       หรือเราเอง สมัยยังเป็นเด็กอายุ2-3ขวบ ได้ตกน้ำ แต่ว่าจิตวิญญาณของเรา กลับอยู่ บนบ้าน โดยที่ไม่รูปกาย คือไม่มีทั้งตา, ไม่มีทั้งหู แต่เราก็มองเห็นได้ และทั้งได้ยินเสียง ก็ได้! หรือ สมัยที่เราเริ่ม แผ่เมตตาครั้งแรก เราก็ได้ยินเสียงของเทวดา แต่ละชั้น.. แผ่เมตตา ตามเราไป ทีละชั้นๆ จนเสียงทิพย์ ที่เราได้ยินนั้น ค่อยๆเบาลงไปเอง.. คงมา จากสวรรค์ ชั้นที่ไกลลิบ นั่นเอง! และก็ยังมีเรื่องราว ปาฏิหารย์อีกมากมาย.. ที่บางทีเราเอง ก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกันว่า มันเป็นไปได้ยังไง! แต่ย่อมมาสรุปลง ที่คำสอนของพุทธเจ้า ที่สอนกับ พาหิยะว่า เมื่อเห็น ก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักแต่ว่า รู้แจ้งธรรมารมณ์ หรือก็คือ.. เห็นหนอ, ได้ยินหนอ, ได้กลิ่นหนอ, รู้รสหนอ, สัมผัสหนอ, รู้แจ้งธรรมารมณ์หนอ!
       ซึ่งนี่แหละคือ หลักปฏิบัตวิปัสนา หรือทางสายเดียว ที่จะให้ถึง พระนิพพานได้! แต่พระนิพพาน จะคือเช่นไรนั้น! แม้พุทธเจ้าเอง ก็ยังไม่สามารถ จะอธิบายลักษณะ ของพระนิพพาน ตรงๆได้! ทรงบอกได้แต่วิธีปฏิบัต หรือบอกทางเดินให้ได้ เท่านั้น! ซึ่งเมื่อใด ที่ผู้ปฏิบัตเดินตาม จนถึงที่หมายแล้ว.. ก็ย่อมจะประจักษ์ชัดพระนิพพาน นั้นได้ด้วยปัญญา ของตนเองเมื่อนั้น!
       ฉะนั้น, จึงควรอย่างยิ่ง ที่จะเน้นสอนวิธีปฏิบัต ให้ตรงตามที่พุทธเจ้า ได้สอน เอาไว้เท่านั้น.. แต่พธร. กลับชอบโอ่อวด คือพยายามที่จะเน้น อธิบายลักษณะของ พระนิพพานให้ได้! ที่แม้พุทธเจ้าเอง ก็ยังอธิบายพระนิพพาน ได้แค่โดยอ้อมเท่านั้น! และพธร. ยังชอบอธิบาย เรื่องผีวิญญาณอีก! ว่าโอปะปาติกะผีเปรต, เทวดานั้น.. ว่าเป็นที่นาม คือจิตวิญญาณเท่านั้น! เพราะแท้จริงแล้ว, หาได้มีรูปกายจริงๆ อะไรเลยไม่!
       จึงขอให้สุภาษิตว่า บ่เห็นโลงศพ,บ่หลั่งน้ำตา, บ่เห็นป๋องแก๊ส.. บ่เห็นกระทะ ทองแดง, บ่เห็นนรก! ท้ายนี้ ต้องขออภัยด้วย ที่คำพูดของเรา รุนแรงไปมาก! แต่เป็นเพราะด้วย เจตนาดีของเรา ไม่อยากเห็นพธร. ที่มุ่งมาปฏิบัตธรรม เพื่อความพ้นทุกข์ แต่กลับต้อง ไปตกนรก เพราะเหตุที่แปลบาลี ธรรมะผิดเองแท้ๆ! จึงให้น่าสงสารยิ่งนัก! ส่วนสำหรับ พวกนักการเมือง โดยเฉพาะคุณแม้ว ที่เลวสุดขั้ว.. เราไม่สนใจเลย! เพราะนรก รอคุณแม้วอยู่.. แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว! ซึ่งเรานั้น รู้ธรรมะจริงๆ แต่การที่จะอธิบาย ธรรมะ ให้พธร. ได้เข้าใจนั้น.. ย่อมรับว่า ยากเย็น แสนเข็ญ! ทั้งนี้ก็เพราะ ธรรมะเป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติฯ นั่นเอง! เจริญธรรม สำนึกดี อนุโมทามิฯ

       พ่อครูว่า...สรุปความแล้ว นี่คือความเห็นของคุณ ๘๗๐๕ ก็น่าจะเป็นอันสุดท้าย ที่จะอ่านให้ถึงคุณ ๘๗๐๕
       การที่จะรู้รูปรู้นาม ได้นั้นจะต้องมี

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • ไม่อยากให้พ่อครูเสียเวลากันคุณ ๘๗๐๕ ค่ะ?

ตอบ.. พ่อครูว่าไม่ได้เสียเวลา แต่ได้เวลาจากเขา ที่เอาประเด็นเขามาอธิบาย ก็เป็นการตีงู ให้กากิน

  • คนแก่ข้างบ้านปากจัดน่าดู ทำให้ผมคิดถึงเพลงที่เคยได้ยินว่า ยายจันทร์ข้างวัด ปากแกจัดเหมือนกรรไกร เช้าเย็นไม่ทันเห็นหน้า ด่าเป็นฟืนเป็นไฟ คนแก่ หากไม่ลดกิเลส ก็ไม่น่าดู ผมกลัวตัวเองจะเป็นอย่างนั้นบ้าง จะทำอย่างไร

ตอบ.. .ตั้งใจศึกษาธรรมะ ไม่มีทางใดเลย

  • ทำไมคนจึงกลัวผีนอกตัว ไม่กลัวผีในตัว

ตอบ...โง่ อวิชชา ซึ่งไม่มีผีนอกตัวหรอก เราไปงานผีตายโหง ในกรณีซึนามิ ก็ไม่เห็นมีผี ออกมาเลย อย่างคนตายนี่ ถ้าแค้นใคร ก็มาบีบคอตายหมด ตำรวจไทย จับผีไม่ได้หรอก หรือคนรักกัน ก็ต้องมาหากันสิ แต่ว่าที่มีคนรู้สึกบ้าง ก็เป็นอุปาทาน ในบางคน ถ้ากลัวมาก ก็ใช้คาถาว่า “แค่ตายๆๆ” แล้วเดินเข้าไปดูเลยว่า ผีมีหรือไม่? ก็จะพบว่า ที่จริงไม่มีหรอก บางทีก็เห็นหนูบ้าง อะไรบ้าง กระดุกกระดิก จริงๆแล้วผีคือ อาการ ลิงค นิมิต อาการนี้คือผี อาการนี้คือเทวดาเก๊ มาเรียนอย่างพระพุทธเจ้าสิ

  • ผมบวชตอนแรก ก็คิดว่าบวชไม่สึก แต่ต่อมา ก็สึกออกมาแต่งงานมีเมีย และมีลูก ต่อมามีหนุ่มๆ มาชอบลูกผม ผมไม่ชอบใจ ที่ผู้ชายมาชอบลูกๆ เหมือนผมตอนหนุ่ม ผมกลัวเขาจะชิงสุก ก่อนห่าม รู้ว่าอะไรจะเกิด แต่ปลงวางไม่ได้

ตอบ... ก็เห็นใจ ทำไงได้ โลกมันพาเป็น พระพุทธเจ้าสอน ให้ตั้งตนเป็นคนโสด เขาเรียกว่าบัณฑิต ส่วนคนโง่ ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง ซึ่งก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องมาล้างกิเลสให้ได้ ผู้ใดไม่มี ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวลดกิเลสได้ ก็ว่างเบาภาระ ก็ตั้งใจพากเพียร ให้เขาปฏิบัติธรรม สำหรับลูก แม้แต่ ผู้ชายที่มา ก็บอกเขา ให้ตั้งใจ ลดกิเลส ถ้าสุดวิสัย ก็แล้วไป ถือศีล ๕

  • พรรษานี้ ตั้งตบะข้อเดียวคือ รู้ดีเท่าไหร่ ก็ทำดีให้หมด เอาเท่าที่รู้ก็พอ ตอนนี้ปฏิบัติมา ๓๐ ปี ก็ยังไม่หมด

ตอบ... ที่รู้มันเยอะนะ แบ่งทำบ้าง มันจะไม่ไหวนะ

  • โลกันต์นรกเป็นลักษณะอย่างไร

ตอบ... โลก + อันตะ คือโต่งไปยาวไปสุดโลกเลย และโลกก็คือโลกีย์ เป็นมหานรก เป็นลักษณะ มหานรก ต้องกำหนด ทำตามลำดับขั้นตอน ไล่ไปจากหยาบ ไปหาละเอียด

  • อาจารย์สองคน โดนฟ้าผ่าตาย เขาทำวิบากกรรมอะไรไว้

ตอบ... พ่อครูว่า ไม่เก่งเรื่องอจินไตย เรื่องวิบากกรรมเป็นอจินไตย พระพุทธเจ้า ไม่สอนให้พูด ให้ทำอย่างนั้น ในการทำนายวิบาก พ่อครูไม่กลัวใคร แต่กลัวคนเก่งกว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้น

  • บันไดทางขึ้นเขาพระวิหารพันปี ทำไมไม่ทำราวบันไดทางเดิน กลัวตก?

ตอบ... คุณหมายถึง พระวิหารพันปี ที่สันติฯไหมนะ? แต่ที่นั่น อย่าว่าแต่ราวบันไดเลย อย่างอื่น ก็ยังไม่เสร็จ ก็รอผู้ที่จะทำอยู่ เมื่อไหร่ไม่รู้

  • ดิฉันเป็นคนยึดดี ถือสา - อัตตาจัด ถือสาได้ถือสาดี แทบได้ว่า ตั้งแต่ไม้จิ้มฟัน ยันเรือรบ ข้าวของจนถึงคนใกล้ตัว สุดจะฝืนยืนไม่ไหว ล้มป่วยด้วยโรคอินเทรนด์ ตอนนี้ รักษาด้วย การใช้คีโม รักษาครบโดสแล้ว แต่เป็นปัญหาที่  มะเร็งทางอารมณ์ ยังไม่ได้รักษา เยียวยา แต่อย่างใด แถมมีทีท่า จะลุกลามไปเรื่อยๆ ทบทวนแล้วก็คือ ดิฉันรู้จักอนิจจังแต่ปาก ส่วนใจ ทำไม่ได้เลย แถมปฏิเสธอีก

ตอบ... ที่คุณบอกมา คุณไปยึดอะไร.. มะเร็งในอารมณ์ คือยึดดี ถือสา อัตตาจัด  ก็สมแล้ว ที่คุณจะเป็นมะเร็ง ไปถือสาอะไรนักหนาเล่า ก็พิจารณาว่า ทุกอย่างต้องพรากจากกัน ในอภิณหปัจจเวกขณ์ จะไปยึดไว้ทำไม ถือสาและถือดี อีกต่างหาก คุณก็ต้องเปลี่ยน ไม่ต้องถือ, ดีไม่ดี เราจะตายวัน ตายพรุ่ง เป็นมะเร็ง ให้คีโมแล้ว เป็นมะเร็งร่างกายแล้ว จะไปเอามะเร็ง ในอารมณ์อีก ทบทวนให้ดีว่า อาการยึดเป็นอย่างไร คุณไปเป็น เจ้าใหญ่นายโต ไปยึดอะไร คนเราก็ทำดีไป ไม่บงการ เขาถึงยอมรับ ถ้าไปใช้อำนาจ บาทใหญ่ ไปบงการ คนจะไม่ยอมรับ

  • ดิฉันมีประโยค ที่อยากให้พ่อครูชี้แนะ ให้สติคนที่คิดเช่นนี้ว่า... “คบคนพาล ถ้าจริงใจก็ไม่ผิด คบบัณฑิต ไม่จริงใจก็ไร้ผล”

ตอบ... อย่างนี้ตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า เขาไปเน้นที่จริงใจ แต่พระพุทธเจ้า ไม่ได้เน้น ที่จริงใจ แต่ว่าให้เน้นที่คนดี บัณฑิต ยิ่งถ้าพาลแล้วจริงใจ ยิ่งแย่เลย ยิ่งซวยเลย เพราะพาล จะพาไปหาผิด เช่นเขาว่า คบฉันเป็นเพื่อนจริงใจ ก็ต้องไปกับฉันสิ อย่างคนหนึ่งดูดยา อีกคนไม่ดูดยา คนที่ดูดยา บอกว่า เอ็งเป็นเพื่อนข้าหรือไม่ ถ้าเป็นเอ็งก็มาดูดยา กับข้าสิ ซึ่งคนนี้ ก็ต้องจริงใจ ไปดูดยาถ้าโง่ แต่ว่าถ้าฉลาด ก็จะว่า เอ็งเป็นเพื่อนข้า ต้องไม่ดูดยา กับข้าสิ ดังนั้น อย่าไปคบคนพาล แม้จริงใจ คนจะคบคนพาลได้ ต้องแข็งแรง ไม่ถูกดึงดูด ไปในทางผิด คุณต้องมีจิต ที่บรรลุธรรม เหนือเขาได้ แล้วก็ไปคบกับเขาได้ มีภูมิคุ้มกัน แต่ถ้าไม่ถึงขั้นนั้น ก็อย่าเลย เอาประเด็นที่ว่า คุณมีพลังพอหรือไม่ ยกตัวอย่างพ่อครู ที่ว่าโปรดคุณ ๘๗๐๕ พ่อครูจะโปรด ถ้าภูมิคุ้มกันไม่พอ ถูกดึงไปแล้ว ถ้าไม่ใช่พ่อครู เถียงไม่ออกนะ เขามามากสารพัด ยกแม่น้ำทั้ง ๘ มา ถ้าไม่แข็งพอ ก็ปิ๋วแล้ว ไปกับเขาแล้ว

  • ทุกข์อาริยสัจคือ

ตอบ... คือทุกข์ที่ผู้ประเสริฐเท่านั้น ที่รู้ได้ อยู่ที่จิตเรา ต้องอ่านเวทนาในเวทนาเป็น แล้วพระพุทธเจ้า สอนให้กำจัด เหตุแห่งทุกข์ ไม่ต้องดับที่ตัวทุกข์ แต่ดับเหตุได้ ทุกข์ก็ดับ...

จบ

 

 
อังคาร ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ราชธานีอโศก