560825_รายการวิถีอาริยธรรมที่สวนลุมฯ โดยพ่อครูและ สมณะเพาะพุทธ
เรื่อง  Neo-Politics

        วันนี้มีการกางเต็นท์ใหญ่ เพิ่มเติมอีกหลัง ติดตั้งโดยเด็กตัวเล็กๆ

        ส.เพาะพุทธว่า วันนี้มีนร.อาชีวศึกษา มาจำนวนมาก มายกพวกมาไหว้กัน ไม่ใช่ว่า มายกพวกตีกัน เหมือนที่เคยได้ยินมา เปลี่ยนจากยกพวกตีกัน มาเป็นยกพวกดีกัน และดีกัน ขนาดไหน มายกมือไหว้อุเทนถวาย ต่อหน้าต่อตา ทำให้เห็นว่า ประเทศไทย ยังมีความหวัง เป็นความปรองดองที่แท้จริง และออกกฎหมายปรองดอง ที่น่าจะเป็น กฎหมาย หมักดองมากกว่า

        พ่อครูว่า... ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ สูตรนี้ จำไว้เลยว่า เราจะทำงาน ต้องใช้สูตรนี้ และเป็นสูตรที่สวยที่สุด เรากำลังเริ่ม ดำเนินการที่นี่ แต่ก่อนนี้ ที่ชุมนุม ก็ใช้มาก่อน แต่ว่ายังไม่ค่อยเห็น ประโยชน์กัน แต่ว่ามาวันนี้ หลายคน คงเห็นกันว่า น่าจะใช่ เพียงแต่ว่า คนที่เข้าใจว่า ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ ใครเข้าใจซาบซึ้ง ก็เรียกว่า ประเทืองปัญญา สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่เชื่องช้า ทำให้เต็มที่ขมีขมัน แต่ไม่เร่งรีบ เร็วรัด ทำไปเหมือนราบลุ่ม เหมือนฝั่งทะเลไปจนจบ ทรายจะเรียบไปจนจบ ยาวสุด ลูกหูลูกตา เป็นสัจธรรม ที่อธิบายได้ยาก แต่ผู้ที่เข้าใจ และซาบซึ้ง คนนั้นแหละ ประเทืองปัญญาละ

        เหตุการณ์ที่เรากำลังกอบกู้ชาติ เพราะชาติตกลงไป ในถังโสโครก เรากำลัง กอบกู้ชาติ อย่างจริงจัง เชื่อไหมว่า พ่อครูจะทำจริง วันนี้ต้องขอขอบคุณ ชาวอาชีวะ ที่มากัน ๔๘ สถาบัน เป็นนิมิตหมาย อันแสนสวยงาม สมัยโน้น พศ. ๒๔๙๙ พ่อครู เป็นประธาน อาชีวศึกษาสัมพันธ์ พ่อครูชื่นใจมาก ต่อหลานๆเหลนๆ พศ.๒๔๙๙ เขายังไม่เกิดเลย ตอนนั้น พ่อครูยังไม่บวช เมื่อ ๕๘ ปีก่อน พ่อครูเป็นประธาน อาชีวสัมพันธ์ ตอนนั้นเรียนปี ๓ ได้รับเลือกให้เป็น ประธานอาชีวสัมพันธ์ เลือดอาชีวะ มาที่นี่ ก็ต้องชื่นใจ พ่อครูเรียนมาหลายรุ่น เรียน ม.๖ ก็เรียนซ้ำ สองปี พูดด้วยความภาคภูมิใจ มี meeting กัน ก็รู้จักตลอดเลย

        พูดถึงเรื่อง ม็อบกับโพรเทสต์ จากคำถามของ คุณชวอร ที่เป็นตัวแทนจาก ม.ธรรมศาสตร์ มีคำถาม ถามมาว่า ม็อบ กับ protester ต่างกันอย่างไร

        คำว่าม็อบนั้น ไม่น่าใช้ เขาหมายถึง ฝูงชนก่อจราจล ฝูงชนบ้าคลั่ง คือกลุ่มคน ที่กระทำ ผิดกฎหมาย ถูกว่าจ้าง เป็นกลุ่มคน ที่แตกต่างจากพวกเรา อย่างสิ้นเชิง พวกเรานี่ ชุมนุมเหมือนกัน แต่ว่าเป็นการชุมนุม ก็ขอร้องพวกเรา ให้ชัดเจน ในภาษา ที่ใช้กัน ฝรั่งเขาได้ยิน ก็เข้าใจไปตามภาษา ผู้ที่ได้ยินทั้งสื่อสาร ก็ขอร้องว่า อย่าเรียก พวกเราว่าม็อบ เราไม่มีจิตใจ ไม่มีสันดานเป็นม็อบ เราไม่ได้มาก่อการไม่ดีงาม แต่อย่างใด

        แล้วพวกเรา เป็นพวก protester เป็นผู้มายืนยัน เสนออย่างเด็ดเดียว เพื่อเสนอ ข้อโต้แย้งคัดค้าน แสดงความจริงใจ ของเราออกมา กับรัฐบาล กับประชาชน กับสังคมโลก ในลักษณะของ protest พ่อครูก็ได้ยืนยันว่า เราไม่ใช่ม๊อบ พ่อครูใช้คำว่า Neo protest มาอย่าง สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ​์ คมลึก แม่นประเด็น แล้วบอกเป้าหมาย ยุทธวิธีไว้หมด

        แล้วบอกถึงจุดหมายจริงๆ โดยเฉพาะในคราวนี้ เราจะ protest ไปอย่างไร แค่ไหน
        จะไปให้ถึงแค่ไหน ...ผู้ชุมนุมบอกว่า... พ่อครูว่ามีแค่ตาย แล้วมันมีอีกอันหนึ่ง เราจะไม่ใช้คำว่า ชนะหรือแพ้ เราจะไม่พูดว่า ชนะหรือแพ้ เพราะเราไม่ได้มา แก่งแย่ง แข่งขันกับใคร เรามาแสดงพฤติกรรมอันควร ตามนิติรัฐ - นิติธรรม

        เป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นประชาธิปไตยโดยตรง คือออกมา protest แสดงสิทธิ์เสียง อธิปไตยของเรา ๑ คน ๑ เสียง เป็นความจำเป็นมาก เป็นความรู้ที่ประชาชน ในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระเจ้าแผ่นดิน เป็นประมุข ตัวเรามีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถึงเวลาต้องสำนึก ต้องออกมาแสดง ให้รู้ว่า ประชาชนมีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๐ - ๗๑ แม้ไม่ระบุ ก็เป็นสัจธรรม

        มาตรา ๗๐  “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้” ส่วน ม.๗๑ บอกว่า บุคคลมีหน้าที่ ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย

        ผู้ที่ออกมาก็มา protest ประเทศไทยเรานี้ น่าประท้วงรัฐบาลไหม? ไม่ใช่ประท้วงรัฐชาติ ถ้าไม่เข้าใจ จะเลอะเทอะ เหมือนคุณธาริต ที่ว่าประมุขของรัฐชาติ คือนายกฯ นั้นไม่ใช่ นายกฯเป็นหัวหน้ารัฐบาล

        เมื่อประชาชน มาทำหน้าที่ประท้วง ก็ขอย้ำว่า กรุณาเรียกพวกเราว่า กลุ่ม  protest เป็นกลุ่มที่จะมา ระวังป้องกันรักษา มา protect ประเทศ พวกเราเป็นพวก protecter ขณะนี้ ประเทศไทยต้องการ การยืนยันความเป็นอธิปไตย ของประชาชน ทั้งๆที่ ประเทศต้องการ การยืนยันประท้วง เพราะมันไม่ไหวแล้วนะ ประเทศไทย สมัยเด็กๆ พ่อครูอยู่บ้านนอก เดินทางตอนตี ๒ – ตี ๓ ไปดักพวกชาวบ้าน ที่เลี้ยงไก่เป็น จับปลา จับกบได้  ก็ไปดักที่ต้นทาง ไปซื้อก่อน พ่อครูก็ไปซื้อไข่เป็นหลัก ไข่สมัยนั้น ลูกหนึ่ง สองตังค์ สามตังค์ แล้วมาขายลูกสามตังค์ ลูกห้าตังค์ ขายเอากำไร แต่เดี๋ยวนี้ ลูกหนึ่ง เท่าไหร่? ๕ บาท แล้วอะไรต่ออะไร ก็ราคาแพงลิบตาเลย มีสิ่งที่ไม่แพงอย่างเดียว คือชีวิตมนุษย์ ชีวิตมนุษย์ ราคาตกต่ำมากเลย ท่านจันทร์ว่า มนุษย์เสื้อแดง ๗ ล้านห้า พ่อครูว่า ยอมแพ้ๆ ใครหว่า ตั้งราคามนุษย์ ตั้ง ๗ ล้านห้า แล้วเอาเงินใครไปจ่ายล่ะ

        คือมีคำถามของคุณชวอร ที่ถามมาว่า... อะไรคือ Neo-Politics หรือ New Politics ซึ่งคำว่า Politic คือการเมือง แล้วอะไร คือการเมืองใหม่

        การเมืองใหม่ ที่เรากำลังพูดถึง และกำลังเริ่มต้นกัน ถามว่าอะไรคือ การเมืองใหม่ ... การเมืองใหม่ คือการเมือง ที่ยังไม่เคยมีมาเลย ในประเทศไทยมา ๘๐ ปี จะเป็นอย่างไร อะไร พ่อครูก็ตั้งใจ จะพูดให้มาก ในการมาชุมนุมนี่แหละ เพื่อให้เกิดการรู้ การเข้าใจว่า การเมือง ที่ควรให้เป็น ในประเทศไทย เป็นอย่างไร

        เป็นการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข เป็นพุทธศาสนิก การเมือง จะต้องประกอบไปด้วย ธรรมะหรือคุณธรรม นี่คือ การเมืองใหม่ และการเมือง ที่นักการเมืองแสดง ทุกวันนี้ ถือว่าเป็นการเมือง ที่มีธรรมะไหม? ก็ไม่มีธรรมะเลย ดังนั้น การเมืองชนิดนี้ เราต้องขอปฏิเสธ ไม่เอา ดังนั้น การเมืองใหม่ Neo-Politic ที่เป็นประชาธิปไตยและการเมือง ก็ขอนิยามว่า

        คำว่าการเมือง ที่เข้าใจกัน คือคำที่เสียแล้ว ต้องให้หยุด เพราะนักการเมือง ทำให้ การเมืองแปดเปื้อน ตกต่ำเสียหายไปหมด พอพูดการเมือง ก็สั่นหัวกันหมด ทำให้ภาษาสำคัญ ของมนุษยชาติ เสียไป

        คำว่าการเมือง คือการทำ เพื่อบ้านเพื่อเมือง แล้วไปทำให้คำนี้เสีย ก็เอานรกไป เพราะได้ความตกต่ำ ได้เสื่อม เขาได้จริงๆ ตามกฎแห่งกรรม สัจธรรมจริงๆ ทีนี้การเมือง ที่ถูกต้อง เป็นคำดี เป็นการกระทำ เพื่อบ้านเพื่อเมือง ซึ่งคนทุกคน ที่เป็นประชากร ก็ต้องทำหน้าที่ ในรัฐธรรมนูญ ก็มีเขียนไว้ว่า ต้องมีหน้าที่รักษา Protect และต้องออกมา protest ซึ่งเขาบริหารกันอยู่ อย่างเลอะเทอะ เน่าเหม็น เราต้องออกมา ค้านแย้งประท้วง เป็นเรื่องของทุกคน นะจ๊ะ

        ไม่ได้พูดเล่น แต่พูดด้วยความจริง ต้องขอบอกแจ้งเตือน กระจองงองๆ เจ้าข้าเอ๊ย บ้านเมือง จะฉิบหาย วายป่วงอยู่แล้ว ตื่นมาทำหน้าที่ เสียเถอะคนไทย แม้อาชีวะ ๔๘ สถาบัน ก็มาแล้ว ตื่นเถิดชาวไทย อย่าหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดำรง ก็เพราะเรา ทั้งหลาย

        ทำไมจะต้องออกมา ชุมนุมประท้วงกัน เพราะพ่อครู อยากให้มีความรู้ ความจริง ของประชาธิปไตย คนไทยไม่ใช่คนโง่ เป็นคนมีปัญญา รับรู้อะไรไม่ช้า ถึงเวลาต้องรู้ ความจริงว่า การออกมาประท้วง โต้แย้ง ผู้มาปู้ยี้ปู้ยำบ้านเมือง ถ้าไม่รู้ ก็ต้องรู้บ้าง อย่าไปดูแต่ ข่าวกีฬา แต่ไม่เสนอข่าว ที่บ้านเมืองจะฉิบหาย ไปออกแต่ข่าวอย่างนี้ ทำไม การสื่อสาร ไปเห็นสิ่งไม่เป็นสาระ สื่อออกมา ไปสนับสนุน ส่งเสริม เสียเงินไปกับ เรื่องพวกนี้ มันแสดงถึง ภูมิปัญญาของคน พ่อครูเห็นว่า ประเทศไทย น่าจะเป็นไปได้

        คือต้องออกมาแสดง ประชาธิปไตย ที่สวยสดงดงาม ที่สุดในโลก คือออกมา แสดงความจริง ของแต่ละบุคคล ๑ สิทธิอธิปไตย มาอย่างเบิกบาน ร่าเริง ยิ้มแย้ม ไม่เครียด ออกมาแสดง บอกว่าอย่างนี้ไม่เอานะจ๊ะ ออกไปนะจ๊ะ บอกอย่างสุภาพ เรียบร้อย มายืนยันความเป็น Protesters ๑ ล้าน ๒ล้าน ๕ ล้าน แค่ออกมา ๑ ล้าน ก็ยืนยันว่า เหนือกว่า ๑๕​ ล้าน ที่เขาอ้างกัน

        เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น ไม่รอไม่หวังแต่เราทำ ไม่รอไม่หวัง แต่เราทำ ทำความจริง ออกไปเรื่อยๆ ใครไม่ออก เราจะออกมา ใครไม่ออกมา เราออก จนกว่า คนไทยจะตื่น ว่านี่คือ หน้าที่ของเรา แล้วตอนนี้ ควรออกมา ได้แล้วใช่ไหม ถ้าความตื่นตัวนี้ เกิดตื่นตัวยิ่งกว่า เจนนี่มาประกาศใบสมรส ตื่นยิ่งกว่านั้น นี่มันเรื่องยิ่งใหญ่ เรื่องของประเทศชาตินะ มันน่าจะเข้าใจ นักข่าวก็น่าจะตื่นกับข่าวนี้ มากกว่าข่าวเจนนี่

        นี่คือสภาวะของ สังคมประเทศชาติ ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจอวิชชา คือความไม่เข้าใจ สาระสัจจะว่า อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรดี ก็ควรทำ อันนี้มันควรกว่า น่าจะทำ นี่ยังอวิชชาอยู่ ทำอย่างไร คนที่ตื่นแล้ว จะมาช่วยกัน ไม่ต้องบังคับ ไปดูถูกดูแคลนเขา ก็ไม่สวย จริงอาจมีเชิงตำหนิ แต่ไม่ได้ไปย่ำยีเขา ให้ร้ายเขา แต่ว่าสงสารเขาด้วยซ้ำไปว่า ไม่ควรทำ เมืองไทยน่าจะเป็น ผู้ฉลาดได้แล้ว ให้โลกเขาเห็น ใครจะว่าอวดว่าโชว์ ก็โชว์สิ่งดี ไม่ต้องอวดขี้เท่อ อวดสิ่งดี มาทำข่าวดี ผู้รู้เขาก็จะเห็น

        ขออภัยล่วงหน้า ที่ต้องพูดย้ำซ้ำสิ่งนี้ ในงานนี้ต่อไป ในเรื่องของ การเมืองใหม่นี้ แล้วพูดถึงเนื้อหา การเมืองใหม่

        การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆคือ
1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือ เผยแพร่ประชาธิปไตย ให้กับประชาชน (ประชาชน ก็ใส่ใจ ขวนขวาย เรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่า ไปเลือกตั้งเท่านั้น)

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
คือเป็นคน ไม่เอามาก อย่างในหลวงเรา เป็นนักการเมือง คือผู้ที่ไม่เอามาก คนจะไป ถวายอะไร ท่านก็รับไปทำประโยชน์ แล้วก็ไม่เคยประกาศ ท่านทำอยู่ ตลอดเวลาเลย คนที่จะถวายมา ไม่พอหรอก ท่านก็ทรงควักของท่าน ออกมาช่วยประชาชนตลอด ท่านไม่ได้ประกาศเลย แล้วท่านก็ประกาศ หลักการของท่านว่า ต้องมาเป็น เศรษฐกิจพอเพียง มักน้อยคือ อย่าสะสมมาก อย่าสะสมแบบนายทุน ซึ่งขัดแย้งกับ ประชาธิปไตย พระพุทธเจ้าคือ นักประชาธิปไตย เบอร์หนึ่ง ชาวอโศกปฏิบัติ ตามในหลวง ตามพระพุทธเจ้า มีน้อยก็พอ ไม่ใช่ว่ามีมาก แล้วก็เอาไป ออกดอก ออกผล นี่คือบาป
6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมือง เป็นอาชีพหากิน
นักการเมือง ต้องมารับใช้ประชาชน ไม่ใช่มาหากิน ซึ่งปัจจุบัน เขาก็ให้มากเกินควรแล้ว ยังไม่รู้จักพอเลย 
7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ พวกคุณที่ออกมานี่ มาเสียสละ คุณได้บาท ได้เบี้ยที่ไหน คุณจ่ายค่ารถมาเอง ทั้งนั้นเลย ยิ่งไปเป็นสส. อะไรก็ฟรี ขึ้นรถไฟ เครื่องบิน ก็ฟรี ยังไม่พอหรือ แต่พวกเรา มาทำงาน การเมืองแท้จริง เราออกมากัน จะกี่ปีกี่เดือน ก็ตาม เพื่อแสดงว่า ไทยเราจะมีประชาธิปไตย อันสวยสดงดงาม เป็น ลุคใหม่ ที่โลกจะต้องแล เป็นนิวลุค
8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ ๔) . .ต้องพยายามจริง ไม่อย่างนั้นไม่ตรง

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม ถ้ายังเป็นทาสโลกธรรม ก็ต้องขายตัว ไม่ขายอย่างโจ่งแจ้ง ก็ขายอย่างซับซ้อน มีอะไรแฝงอยู่มี Hidden agenta อยู่ นักการเมือง ต้องเป็นตัวของตัวเอง ใช้ปัญญา เพื่อช่วยบ้านเมือง
10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัว เพื่อหมู่พวก เพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนทั้งมวล เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง พ้นไปจากครอบครัว พ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

        ส.เพาะพุทธว่า... สักวันหนึ่ง ดอกไม้จะบานสะพรั่ง สักวันหนึ่ง คนจริงจัง จักหลากหลาย สักวันหนึ่ง คนดีทั้งหญิงชาย จะเกิดขึ้นมากมาย ในแผ่นดิน จะเกิดได้ เราต้องสะสมไป ตั้งแต่วันนี้ เราต้องมาช่วยกัน ทำงานการเมือง ที่เป็นงานอาสา ไม่ใช่งานอาชีพ จำไว้ และงานการเมืองนั้น นักการเมือง จะต้องพึ่งตนเอง จนเป็นที่พึ่ง แก่คนอื่นได้ นักการเมือง ต้องมักน้อย และสันโดษ แต่ปัจจุบัน นักการเมือง ตรงกันข้าม คือมักมาก และสันกระโดด คือเอาความต้องการของตน เป็นที่ตั้ง

        มาสู่ประเด็น ที่คนส่งมาถาม... ทั้งในเฟสบุ๊ครักธรรม ... มีประเด็นที่ว่า ถ้าจะบริจาค จะส่งมาทางไหน? ที่จริงกองทัพธรรมนั้น ไม่มีนโยบาย รับบริจาคผ่านสื่อ เรามีนโยบาย ถ้าไม่มาคบคุ้นกัน เกิน ๗ ครั้ง จะไม่รับเงิน ทำได้อย่างมากงานนี้ แค่บอกเบอร์โทร คือ ๐๘๑-๓๓๑-๕๒๒๙

        มาสู่ประเด็นที่ว่า ฟังพ่อครูมาสองปี รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ว่าฟังไป ก็ซาบซึ้ง พ่อครูมาก เจอผัสสะ ก็เปลี่ยนจิตใจได้... รู้เป้าหมาย สัมผัสมโนกรรมได้ สัมผัสความเมตตา จากคนอื่นได้ หนูมีหน้าที่ เก็บภาชนะค่ะ หนูอยากรู้ว่า คนที่มากินข้าว ที่กองทัพธรรม แล้วเอาจานไปทิ้งถังขยะ จะบาปไหม พ่อครูกรุณา ตอบนุ่มนวลนะคะ ได้บอกผู้ใหญ่กอง

        พ่อครูว่า.. จงเอาสิ่งที่เป็นความผิดของเขา พ่อครูจะบอกอย่างเน้น ก็เลยเหมือน ไปว่า กระแทกกระทุ้งเขา ที่จริงว่าสัจจะเท่านั้น และเรื่องนี้ก็คือ แต่ละคน สร้างนิสัยกัน พวกอโศก ใช้ศัพท์ว่า เก็บหาง คือทำอะไร ต้องดูว่า ก่อนเลิกงาน มีสิ่งตกค้างอะไร แล้วทำให้เรียบร้อย ก่อนเลิกงาน อโศกเราทำเป็นวัฒนธรรม เป็นนิสัย เห็นได้ว่า เราชุมนุมกัน เป็นหมื่นเป็นแสน เลิกชุมนุม เหมือนไม่มีอะไร เกิดขึ้นเลย นอกจาก หญ้าเขาตาย ก็ขออภัย ทำหญ้าทำเนียบเขาตายไป เสียเงินหลายล้าน ก็ไม่รู้ว่า หญ้าอะไร ราคาหลายล้าน

        ก็บอกไป ให้เป็นการศึกษา อุทธาหรณ์ อย่างร้านของอโศก เราจะฝึกให้แขก ที่มากินร้านเรา ให้ล้างจานเอง เราไม่ได้บังคับ คนไม่ทำ เราก็ไม่ว่าเขา แต่เขาทำ ก็ได้นิสัยดีของเขา มันไม่เสียหาย กินก็ล้างจานชามของตน แต่ถ้ามันรีบร้อน หรือแก่ ไม่มีแรงก็ว่าไป แต่ถ้าทำได้ ก็น่าทำ จริงๆแล้ว ทุกอย่าง อยู่ที่กรรม ทั้งกาย วจี มโน ทำทุกอย่าง ก็สะสมฝึกฝน สุกฏทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก กรรมเป็นของๆตน คุณจะทำ แรงหรือเบา ก็เป็นกรรมของคุณ นี่คือความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า
        เราจะทำดีทำชั่ว ทำแล้วไม่ต้องไปบอก ไปทำที่ลับที่แจ้ง ใครจะรู้หรือไม่ เจตนาหรือไม่ก็ตาม

         ส.เพาะพุทธว่า กระทำก็คือกรรม ดีก็ดี ชั่วก็ชั่ว สำนึกให้ดี ชั่วแม้น้อย อย่าทำเสียเลย
        “ทำดีก็เป็นทรัพย์ ทำชั่วก็เป็นทรัพย์ คุณจะทำในที่แจ้งหรือในที่ลับ มันก็เป็น ทรัพย์ของคุณ” และอยากฝากไปถึง คนแดนไกล น่าจะนำไปสำนึกนะ

        ส.เพาะพุทธ ต่อว่า มีคำถามว่า...อยากบอกถึงนร. ที่มาร่วมกัน ได้ยินพิธีกร ประกาศว่า สถานที่ไม่สะอาด หลังจากนักศึกษาไป แต่ถ้าบอกให้รู้ เขาก็จะรู้ และ ช่วยกันรักษา และทำความสะอาดได้

        พ่อครูว่า.. ได้ตอบไปแล้วว่า คนเราต้องฝึกฝน ถ้าทำแล้ว ก็เป็นทรัพย์ของตน ฝากไว้ให้ทุกคนว่า ทำอย่างนี้แหละโยม

        ส.เพาะพุทธว่า.. มีคำของคุณปรีชา ทรัพย์โสภา ว่า... “ขยะที่คุณทิ้ง ทำลายสิ่งที่คุณรัก” และคำถามต่อไป มีเด็กคนหนึ่งว่า เพราะเหตุใด พ่อท่าน จึงมาเสียสละ แม้แต่รองเท้า ก็ไม่ใส่ ทั้งที่พ่อท่านเคยเป็นดารา พิธีกร มีเงินเดือนมากด้วย

        พ่อครูว่า เพราะพ่อสอนมา พ่อคือพระพุทธเจ้าสอนมา และท่านก็ทำอย่างนั้นด้วย ท่านมีรองเท้าทองคำ ท่านก็สละออก พ่อครูว่า ไม่ได้เป็นแฟชั่น แต่เป็นเรื่องดีจริง เต็มใจมาทำ พ่อครูมาออกบวช ตอนแรก นสพ.ก็ลงข่าวว่า ดาราทิ้งทรัพย์ทิ้งแฟน ออกมา เขาก็ดูถูกว่า จะไปได้กี่น้ำ แต่ว่าพ่อครู ก่อนจะออกมา ก็ได้ปฏิบัติธรรม มาก่อนแล้ว ปฏิบัติธรรม ตอนแรก ผอมมาก เอวนี่ เอามือกำรอบเลย พ่อครูปฏิบัติจริง เห็นผลธรรมจริง ว่าชีวิตที่ดี ที่ประเสริฐ ต้องออกมาทำตาม พระพุทธเจ้า เขาถามว่า ทำไมบวช ก็ตอบว่า บรรลุธรรม บอกอย่างนี้ตรงๆ เขาก็หมั่นไส้ ที่เจตนาบอก เพราะให้รู้ว่า ธรรมของพระพุทธเจ้า อกาลิโก พิสูจน์ได้ ทุกกาลเวลา

        ส.เพาะพุทธว่า ..มีคนถามว่า ดิฉันจะไปบริจาคเงินได้ที่ไหน?... ก็บอกให้ไป เต็นท์กองอำนวยการ หรือ ติดต่อเบอร์  ๐๘๑-๓๓๑๕๒๒๙

        มีถ้อยคำฝากมาจาก ส.ศิวรักษ์ ซึ่งเป็น คนจริงคนกล้า …. ฝากมาถึงพ่อท่านว่า ฝากความระลึกถึง ได้ยินว่า พ่อท่านสัตตาหะ มาจากอุบลฯ แล้วก็ฝากความระลึกถึงมา

        พ่อครูว่า สัตตะแปลว่า ๗ เป็นหลักของพระพุทธเจ้าว่า เวลาเข้าพรรษา ต้องอยู่ จำพรรษา ไม่ไปค้างคืนที่ไหน จะออกไป ต้องไม่เกิน ๗ คืน จะไปไหน ก็ต้อง กลับมาให้ทัน ซึ่งพ่อครูก็ว่า จำเป็นก็ต้องมา ช่วงแรกพ่อครู ก็จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว จองตามโปรโมชั่น

        ส.เพาะพุทธว่า คุณชวาลา ชัยมีแรง ฝากกลอนมาถวายพ่อครู ลุมพินีนี่นี้มงคลนาม ที่ประสูติ พระผู้สยบมาร.....

        พ่อครูว่า...คุณชวาลา ชัยมีแรง เป็นนักสู้คนหนึ่ง มีวิบาก สรีระไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่เป็นนักสู้ มีพรสวรรค์ ทางดนตรีการ เช่นเพลง ไปเถิดไป เพลงเรือน้อย ก็ตาม

        ส.เพาะพุทธว่า...มีคำถามว่า ทำไมไม่ไปช่วยกัน หาทางออกกับเขาล่ะ ไปปรึกษา การปฏิรูป ประเทศกับเขาล่ะ

        พ่อครูว่า ไม่เข้าไปทางออก เพราะเรามีทางออกแล้ว ใครอยากมาร่วม มาได้เลย
        พ่อครูว่า ขอพูดถึงคุณ ส.ศิวรักษ์ ใช้นามปากกาว่า ส.ศษ.  เป็นผู้ที่ทางด้านนาม ถือว่า ศิวะ รักษ์ คือรักษาศิวะ ส่วนพ่อครูเป็นปาง ๗ เป็นปางราม แต่ว่ารามกับศิวะ เป็นคู่กัน พ่อครูก็มีนามปากกาว่า รรร. คือรัก รามรักษ์

        สรุป จะขอจบด้วย คำของพระพุทธเจ้า ที่ได้รับหนังสือ จากพระพรหมคุณาภรณ์ ชื่อ อมฤติพจนา ถึง ๒ ​เล่ม ขอจบด้วย พุทธพจน์ ที่บอกว่า อัตตัตถปัญญา อสุจี มนุสสา ท่านแปลเป็นไทยว่า คนสกปรก คิดเอาแต่ประโยชน์ของตัว แต่พ่อครูแปลว่า คนที่มีปัญญา เห็นแก่ตัว คือคนอสุจิ คนที่ฉลาด มีปัญญาเห็นแก่ตัว คนนั้นคือ คนอสุจิ ก็คิดเอาว่า มนุษย์อสุจิ คืออย่างไร

        ส.เพาะพุทธว่า คนที่มีปัญญาเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน คือคนอสุจริ

        พ่อครูว่า...ไม่ควรใส่ใจคำแสลงหู ของคนอื่น ไม่ควรแส่ มองธุระที่เขาทำ และยังไม่ทำ ควรตั้งใจตรวจตรา หน้าที่ของตนนี่แหละ ทั้งที่ทำแล้ว และยังไม่ได้ทำ

        ส.เพาะพุทธ ขอจบด้วยบทกวีที่ว่า...รวมพลังอาชีวะปกป้องสถาบัน Long live the King เปลี่ยนพลังโรมรันเคยขันแข่ง ….เปลี่ยนกิเลสเป็นกำลังดีจังหนอ... เปลี่ยนจุดอับ กลับกลายเป็นความเจริญ...  

จบ

 

 
๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่สวนลุมพินี กทม.