_561119_สงครามสังคมฯโดยพ่อครู อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ

เรื่อง สูญญากาศทางการเมืองได้เกิดแล้ว

 

        เรื่องที่จะพูดนี้ เป็นเรื่องเพื่อ พหุชนสุขายะ การเมืองก็เป็นงาน เพื่อประชาชน อีกฝ่ายหนึ่ง เขาก็ว่า เขาเป็นประชาธิปไตย แล้วว่าเราเป็นเผด็จการ ต่างคนต่างตู่กันไป อาจเป็นความเข้าใจเขาจริงๆก็ได้ คนเราก็โง่เท่าที่ตนโง่ ฉลาดเท่าที่ตนฉลาด ส่วนคนที่ฉลาด แต่เพื่อตัวตน เขาอาจแฝงอยู่นิดว่า เขาทำเพื่อคนส่วนใหญ่ แต่เขาเอง ก็ได้บ้าง มีร้อย ก็ให้ประชาชน ๘๐ เขาเอาแค่ ๒๐ ก็เป็นได้ หรือบางคนเอาไว้ ๔๐ ให้ประชาชน ๖๐ ก็เป็นได้ สัจธรรม มีหลายชั้นมาก ชาวอโศก เป็นลูกพระพุทธเจ้า เราก็อาศัย พึ่งกันกินกันใช้ เราพึ่งกันได้ เหลือก็ให้ส่วนรวม ใจเราบริสุทธิ์ ไม่เห็นแก่ตัว ศาสนาพุทธ ให้อ่านใจตนว่า มีกิเลสไหม อย่างไร ตั้งแต่การกระทบ ทวารทั้ง ๖ ในรูป ๒๘ ซึ่งมีมหาภูตรูป ๔ และมีอุปาทายรูป อีก ๒๔ สูงสุดคือ ความว่าง เป็นอากาสธาตุ หมดตัว หมดตน หมดเนื้อ หมดตัว เป็นอากาสธาตุ และก็มีวิญญัติรูปอีก ๒ เป็นการเคลื่อนไหว ทางกายเรียกว่า กายวิญญัติ ทางวจีเรียกว่า วจีวิญญัติ มีการแสดงออก เป็นอิตถีภาวะ และปุริสภาวะ และก็มี วิการรูปอีก ๕ มีลหุตา ที่พวกเราทำได้นี่ ขอบคุณมาก ทำได้อย่างสงบ เรียบร้อย แม้แต่ฝ่ายแดง เขาก็ว่า สงบ สันติ อหิงสา ใครปฏิบัติผิดพลาด เป็นแพ้ มุทุตา แปลว่า จิตหัวอ่อน ปัญญาแววไว เจโตก็แววไว เพราะทุกอย่าง ไม่เที่ยง อภิมหา ปรมานิจจัง มีอุปจยะ คือเจริญขึ้น และมีความต่อเนื่อง เป็นสันตติ และมีชรตา คือความเสื่อม ก็มีปัญญารู้ว่า จะเอาอย่างเกิด หรือจะเอาเสื่อม ทำได้ถูกหมดเลย มันเสื่อม เพราะเราทำให้เสื่อม แล้วก็มีอนิจจตา ทุกอย่างใน มหาจักรวาลนั้น ไม่เที่ยง สิ่งเที่ยงแท้อย่างเดียว ในมหาจักรวาล คือ นิพพาน มีคุณสมบัติ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

        ขณะนี้ ท่านผู้รู้หลายท่านบอก.... หลายคนจำนนว่า เขาไม่มีทางออก ส่วนอาตมา ก็คุยกับเทวดา (ต้องเข้าใจว่า เทวดาคืออะไร) เทวดาที่คุยกับอาตมา ไม่เก่งเท่า พระพุทธเจ้า เทวดาคือจิตที่ดี ของตนเอง นั่นเอง และได้คำตอบว่า... ทางออกมี ปัจจุบัน ก็ทำได้ ทางออกคือ ตุลาการภิวัฒน์ และ ประชาภิวัฒน์ ก็ใจเย็นๆ มันเป็นบุญบาป ของประเทศด้วย ให้ตุลาการ ท่านตัดสิน ท่านช่วยมา ตั้งแต่สมัย สมชาย และสมัคร เชื่อท่านเถอะ เราก็รอ ตุลาการภิวัฒน์

        แล้วประชาภิวัฒน์ เราต้องช่วยตนเอง เรามาตัดสินกัน ด้วยความถูกต้อง กับมวลประชาชน สิ่งถูกต้อง คือ องค์รัฐาธิปัตย์ เป็นหนึ่งเดียวกับ พระมหากษัตริย์ ตุลาการ คือตัวแทนกษัตริย์ ประชาชนเลือกนายกฯ ทางตรงหรืออ้อม และตุลาการ ก็ทำให้เกิดเป็น ประชาธิปไตยสองขา ถ้าเผื่อว่า ตุลาการ ก็ทำได้ดี ประชาชน ก็มาทำหน้าที่ ออกมาชุมนุม ประท้วง อย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ถ้าออกมากัน มืดฟ้ามัวดิน มีประสิทธิภาพ คุณภาพและปริมาณ ครบสมบูรณ์ ทางคุณค่า ความดีงาม ถูกต้อง เรายกให้ ตุลาการ ตัดสิน ส่วนปริมาณ ออกมากันให้มาก สักล้านเสียง ถ้าออกมา ล้านเสียง จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ประชาชนชนะแน่ เชื่อว่าฝ่ายโน้น ก็ต้องยอม เพราะยุคนี้ เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ ยุคฟ้า บ่ กั้น ก็จะจบ อย่างสวยงาม หวังลึกๆว่า ประเทศไทย จะเป็น A Best model ได้ น่าจะเป็นครั้งที่เป็น Final

        ล่าสุด ก็เห็นว่า สงบได้ อย่างตอนข้างทำเนียบ แม้กดดันเรา ไม่ให้กินข้าว กินน้ำ พล.อ.ปรีชา ก็พาเราออกมาได้ สงบ จนเกิดเป็นอีกแห่งหนึ่งขึ้น ครบ ๓ เส้า มันครบแล้วนะ ทั้งปัญญาความรู้ ทั้งจิตใจ ที่แข็งแกร่ง แกล้วกล้า นี่คือทางออก ที่ชัดเจน นี่คือ ความสุจริต ของสังคมมนุษยชาติ ก็ขอพูดความจริงว่า จริงๆแล้ว ประชาชนคนไทย ในประเทศ ทำให้ฝ่ายทักษิณ ที่เขาซื่อ เขาก็เข้าใจว่า ทักษิณถูกต้อง และเขาก็ว่าเราผิด แต่เราก็เห็นกัน ตรงกันข้าม นอกจากคนรู้ว่า ทักษิณผิด แต่หลงในลาภ ยศสรรเสริญ เป็นเจตนาเลย ก็บาปใครบาปมัน

        พวกเราก็เห็นว่า ทักษิณผิด แต่ว่าไม่ใช่ ทักษิณผิดคนเดียว แต่คนไทยทุกคน ที่ปล่อยปละ ละเลย ให้ทักษิณเหลิง ใช้ความร่ำรวย ทำร้ายชาติไทย ให้ตกทุกข์ได้ยาก คุกคามประเทศอยู่  ก็เป็นคนผิดด้วย บางคน อาจมีบัลลังก์รองรับ แต่คนส่วนใหญ่ เดือดร้อน ความผิด ไม่ใช่อยู่ที่ทักษิณคนเดียว แต่อยู่ที่คนไทย ที่เฉยเมย ปล่อยให้ทักษิณ เป็นเสือติดปีก ใช้พลังฤทธิ์ ตามที่เขาทำได้ จนเขาบอกว่า สะกดคำว่า แพ้ ไม่เป็น ประชาชน ที่ปล่อยให้ทักษิณ หลงเหลิง ไม่ออกมาช่วยกัน ต้องรับผิดชอบนะ ถ้าออกมา ๓๕ ล้านไม่ชนะ ตัดคออาตมาได้เลย หรือถ้ามาล้านหนึ่ง แล้วทางโน้น ยังหน้าด้าน ไม่ยอม ก็ต้องยอมมันล่ะ

        คนปล่อยปละละเลย ถือว่ามีความผิด ถือว่าปล่อยให้ เสือติดปีก อาละวาดใหญ่โต คนไทย ที่ปล่อยปละละเลยไปแล้ว ณ วินาทีนี้ ออกมาแก้ไขบาปเถอะ มาช่วยกัน ยับยั้ง ไม่ให้เกิด ความเดือดร้อน มากกว่านี้เถอะ

        พลังอธิปไตยของปวงชน อยู่ที่ประชาชน ออกมาแสดง คะแนนเสียง มืดฟ้ามัวดิน ถ้าไม่ออกมากัน ให้มืดฟ้ามัวดิน ไทยถูกผีร้าย กลืนกินสิ้นชาติแน่ๆ ออกมาแสดงมวล เท่าที่จะมากได้ เป็น sovereign power

        ความถูกต้องกับความจริง เป็นสิ่งเดียวกัน จะเป็น สยามเทวธิราชิทธิ สมบูรณ์เลย จะเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน ระหว่าง ความจริงกับความถูกต้อง เรายืนยันอยู่กับ สองสิ่งนี้ ฝ่ายแดง ก็ทำไปสิ ไม่ต้องไปกดดัน ศาลรัฐธรรมนูญท่าน

        ฝ่ายแดง ก็จะออกมากดดันศาล ดาวแดง ก็มาป้องกันศาล ไม่ได้ไปกดดัน นิ่งสนิท ขอบคุณเขาจริงๆ ที่จริง ต้องเป็นหน้าที่ตำรวจ เมืองไทย มีความพิกลพิการด้านนี้ แต่ท่าน ก็รู้ตัวมากขึ้น เชื่อว่าท่านจะทำดียิ่งขึ้น ขอร้องกลุ่มแดง อย่าไปกดดันศาล และ พวกดาวแดง ที่ไปอยู่ เขาก็เป็นนักสู้ ไม่อยากให้เผชิญหน้ากัน ดาวแดง เขาทำหน้าที่ของเขา มานานแล้ว กินนอนอยู่ที่นั่น

        ประเทศไทย อาตมามองเห็นว่า มีพัฒนาการทุกด้าน ฝ่ายที่ผิดก็พัฒนา ฝ่ายถูกต้อง ก็มีเมตตา มีคนเสนอว่า ขอให้ใช้คำว่า มวลมหาประชาชน แทนพลังประชาชน ก็เป็นเรื่องดี มวลมหาประชาชน ก็ไม่ดูเป็น Force

        แม้อยู่คนละฝ่าย ก็ทำหน้าที่ ต่างคนต่างแย่ง ประชาธิปไตย แต่ว่า อยู่ในประเทศ เดียวกัน แต่ความเห็น ต่างกันได้ เป็น นานาสังวาส เขาเชื่อว่า เขาเป็นประชาธิปไตย ถูกต้อง แต่เราก็เห็นว่า มันไม่ใช่ อย่างในสภา เป็นต้น มีผู้รู้มาสาธยายกัน มากมาย ว่าอะไรผิด อะไรถูก

        พระพุทธเจ้า ท่านให้อิสระ ให้ฟังความสองข้าง ไม่ครอบงำ ทางความคิด เช่น ดูหลายๆช่อง อย่าดูช่องเดียว เห็นทั่ว แล้วตัดสินใจ เลือกว่าฝ่ายไหน ที่คุณเห็นว่า ถูกต้อง คุณต้องตัดสินเอง อย่าไปตกเป็นเหยื่อ ถูกครอบงำ ทางความคิด เป็นทาสทาง โลกธรรม คุณก็ตัดสินเอง ฝ่ายไหนดี เป็นธรรมวาที ฝ่ายไหน เป็นอธรรมวาที ก็ไม่ต้อง ไปร่วมด้วย พระพุทธเจ้า ท่านให้ไม่คบ คนพาล ท่านให้เข้าข้างคนดี ให้มองอย่างมี ปัญญาปาสาโท รวมแล้ว ส่วนถูก ใครมีมากกว่า แล้วสังคม ก็จะอยู่อย่างกุศล ถูกต้อง ถ้าฝ่ายมีปัญญากุศล ไม่เข้าข้างใครเลย แล้วฝ่ายไหน จะเป็นฝ่ายรังแก ก็คนเลวก็ต้อง รังแกคนดีสิ จะไปได้อย่างไร เราก็ต้อง เข้าข้างคนดีสิ ให้คนดีมีมาก คนเลวจะได้ ไม่กล้ารังแก อย่างสิงโต สู้หมู่ฝูงควายป่าไม่ได้

        สรุปลงตรงที่ว่า ถ้าสิ่งที่หนึ่ง ก็ต้องมีสอง แต่ ๑ กับ ๐ คือ ๑๐ ก็คือรอบใหม่ ถ้าเริ่มมี คำว่ามีนี่ ไม่มีอะไรเลย ที่จะนิ่งสูญ หนึ่งก็ต้องมีสอง สองก็ต้องมีสาม ท่านพุทธทาสว่า อย่าเอาจำนวนมากเป็นใหญ่ ต้องเอาความถูกต้อง เป็นใหญ่ สรุปแล้ว ความไม่มี คือนิพพาน อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเริ่มมีแล้ว ก็จะต่อเนื่องไป

        ต่อไปขอให้อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ บรรยายต่อ

        .ปราโมทย์ นาครทรรพ.... จอห์นล็อคว่าไว้.... อำนาจพิเศษ ของฝ่ายบริหาร เป็นอำนาจ ที่จำกัด ในสังคมที่มี พระมหากษัตริย์ จะมีอำนาจ มากกว่าฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นทฤษฏี ที่ตั้งขึ้นพิเศษ เป็นอำนาจที่เป็น กฎหมายธรรมชาติ แม้ไม่มีบทบัญญัติ หรือ ขัดกับกฏมาย ก็ทำได้ มีถ้อยคำนี้ อยู่ในหนังสือ ที่จะได้จัดพิมพ์ต่อไป สถาบันกษัตริย์ ก็มาจากประชาชน มีสถานะ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และ นั่งอยู่ในดวงใจ ของทุกคน สิ่งที่กษัตริย์ทำนี้ แม้ไม่มีในกฏหมาย ก็จะถือว่า ทำเพื่อส่วนรวม แน่นอน

        พ่อครูถามว่า เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าที่ประชาชน สงฆ์ยกให้ท่าน หรืออรหันต์ ท่านมีสติวินัย ไม่มีการทำผิด ไม่ใช่อภิสิทธิ์ แต่เป็นสัจจะ

        อ.ปราโมทย์ว่า.... พระมหากษัตริย์ มีอำนาจพิเศษ เช่น การให้อภัยโทษ เป็นต้น ท่านสามารถทำได้ ถ้าทักษิณมารับผิด แล้วขอพระราชทาน อภัยโทษ ก็ทำได้

        เรื่องศาลรัฐธรรมนูญ..... ลึกๆก็รู้ว่า ธรรมะต้องชนะ กฏหมายต้องชนะ แต่ว่าฝ่ายตรงข้าม ก็ยกอ้าง แถ ไปได้ เขาไม่ประสงค์ ที่จะรับผิด สิ่งที่อยาก จะกล่าวเตือน ไปในหมู่ สส. และ สว. ที่โง่เขลาเบาปัญญา ที่ไม่รู้จัก อำนาจอธิปไตย และศาล อย่างศาลต่างประเทศ ก็พิจารณา ไม่อยู่ภายใต้ พระปรมาภิไธย ก็เหนือชั้นอยู่แล้ว ปธน. อเมริกา ที่ได้รับการเลือกตั้ง ชนะเกือบทุกรัฐ มีอำนาจมาก และประสพ ผลสำเร็จยิ่งใหญ่ ผูกมิตรกับจีน แต่ว่าได้ทำผิดเล็กน้อย ปล่อยให้คนของตน ไปลักลอบ เอาข้อมูล ของคนอื่น และศาลก็สอบสวน จนสาวถึงปธน. จนต้องลาออก จากตำแหน่ง เขามีสำนึก และความรู้ คณะของปธน. ที่ต้อง พากันไปติดคุก ปธน.ต้องลาออก เพื่อให้รองปธน. ที่ขึ้นมาเป็น ปธน. มาอภัยโทษ ปล่อยให้คนรับใช้ตนเอง ต้องติดคุก เขาติดคุก ด้วยสองข้อหา คือให้การโกหก ปกปิด และ เรียกมาให้การ แล้วไม่มา มีกฏหมาย ที่มีโทษ ที่เรียกว่า การขัดขวาง ขบวนการยุติธรรม ซึ่งบ้านเรา มีคนที่คิด จะไม่ทำตาม ที่ศาลตัดสิน ก็ขอเตือนฝากไปไว้

        คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ การกระทำ หรือกฏหมายใด กระทำขัด รัฐธรรมนูญ ซึ่งรุ่นของผมนี่ เป็นรุ่นที่ ๔ ตอนที่ผมได้รับแต่งตั้ง ซึ่งเมืองไทย ได้มอบอำนาจ ให้ศาลรัฐธรรมนูญ คณะของผม เรียกว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญ ส่วนคณะต่อมา ชื่อว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้ง ดร.กมลทอง ธรรมชาติ ที่ได้ตัดสิน ให้ทักษิณพ้นผิด คดีซุกหุ้น ในสมัยที่ผมเป็น ศาลรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่า ไม่มีสักคดี ที่ขึ้นสู่ ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วไม่เหมือนสมัยนี้ เมื่อก่อน เมื่อมีข้อสงสัย ก็ส่งข่าวกัน แล้วก็มาอธิบายกัน ทุกคนก็เข้าใจ และยอมต่อกฏหมาย แต่คนเหล่านี้ คงไม่เหลือแล้ว ในสมัยนั้น พล.ต.ท.ทักษิณ เป็นตำรวจ ที่ฝักใฝ่การเมือง คอยติดตาม ผู้ใหญ่แค่นั้น

        เรื่องที่เป็นเรื่องพิพาทย์นั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับ รัฐธรรมนูญ มีคณะบุคคล กระทำสิ่งที่ เกี่ยวข้องกับ รัฐธรรมนูญ แล้วก็ต้อง อธิบายถึง รัฐธรรมนูญ อีกสักนิด รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่ ตัวหนังสือ บนกระดาษ แต่ที่จริง รัฐธรรมนูญ มีองค์ประกอบ ๓ อย่าง และสิ่งที่ อ่อนแอสุด คืออักษรที่เขียนไว้ เพราะไม่ว่า สมัยเผด็จการใด ก็ยังมีการเขียน รัฐธรรมนูญ เป็นลายลักษณ์อักษร ไว้เช่นกัน เป็นสิ่งสำคัญ อันดับสาม แต่สิ่งที่สำคัญ ที่เป็นองค์ประกอบ คือ กฏหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเขียนก็ได้ ไม่เขียนก็ได้ ในอังกฤษ ไม่ต้องเขียน ส่วนอันที่ ๓ คือการบรรจุ หลักของรัฐธรรมนูญ หลักที่เป็น ประชาธิปไตย ที่เป็นแม่บทว่า ต้องกำกับว่า จะต้องเขียน รัฐธรรมนูญ อย่างไรนั่นแหละ อะไรๆก็ ๓ เหมือนไตรภาคีของเรา ที่มี ๓ และรัตนตรัย ก็มี ๓

        รัฐธรรมนูญ เป็นหนังสือค้ำประกัน สิทธิเสรีภาพ อำนาจของประชาชน ที่มีอำนาจ ยิ่งใหญ่ เหมือนดินฟ้า มหาสมุทร ถ้าประชาชน ไม่พอใจ ก็เหมือนฟ้าผ่า จะมีเขียนไว้หรือไม่ ก็ผ่าได้ ใครจะมาสั่นคลอนไม่ได้ แต่ประชาชน ต่างใหญ่กัน ใช้สิทธิ์ของตน ก็จะทำให้ คนอื่นลำบาก ก็เลยต้องหา ตัวแทน มาทำงาน ก็คือรัฐบาล

        และรัฐธรรมนูญ ต้องมีหนังสือ จำกัดอำนาจของรัฐบาล โดยต้องบอกว่า รัฐบาล ต้องมีอำนาจเฉพาะ เท่าที่ประชาชน กำหนดให้ ถ้าจะไปทำ นอกเหนือจาก ที่กำหนด ต้องมาขออนุญาต จากประชาชน เป็นครั้งคราวไป ประเทศที่ใหญ่โต อย่างอเมริกา ก็ต้องมาขอร้อง ให้สภาหรือประชาชน ตัดสินว่า จะอนุมัติงบฯไหม แต่รัฐสภาไทยนั้น เป็นรัฐสภา นรก จรกเปรต สับปลับ นึกจะทำอะไรก็ทำ ได้รับคำสั่งมา ก็ทำเลย ตอแหลได้ทันที

        อันที่ ๓ นี้สำคัญ ต้องมีบทถ่วงดุลอำนาจ ให้สมดุล เพื่อให้ข้อที่ ๑ และ ๒ เป็นความจริงขึ้นมา การใช้อำนาจอธิปไตย ต้องมีระบบราชการ ที่ซื่อสัตย์สุจริต และเป็นกลาง แต่ของไทยเรา ไม่เป็นกลาง มีวันนี้เพราะพี่ให้ เขาสั่งไม่ให้ ส่งข้าวน้ำ เยี่ยวขี้ อย่างนี้ ใช้อำนาจ ขู่เข็ญตำรวจผู้น้อย นี่คือการใช้อำนาจ ผิดรัฐธรรมนูญ ทั้งสิ้น

        มาถึงการที่จะตีความ การกระทำ ที่ผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งกฏหมาย รัฐธรรมนูญ เป็นกฏหมาย ลักษณะพิเศษ มีหน้าที่ พิทักษ์เสรีภาพ ของประชาชน อันยิ่งใหญ่ จะมาจำกัด หรือใช้กฏหมาย เล็กน้อยใดๆ มาจำกัดสิทธิ์ประชาชน ไม่ให้ออกมาแสดง สิทธิ์อำนาจอธิปไตย ไม่ได้

        เมืองไทยชอบต่อสู้โดย วาทะกรรม เช่นว่า จะตัดสินโดยนิติศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ อันนี้เป็น วาจาสับปลับ ไม่มีวิชา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ที่ไหน เขาสอนกัน ที่แท้จริงคือ สองวิชานี้ มีแม่เหมือนกัน คือสิทธิเสรีภาพ และความผาสุก ของปวงชน เป็นที่ตั้ง เราจะมาเห็นแก่ พี่น้องเสื้อเหลือง หรือเสื้อแดง ที่มีจำนวนมากกว่า ไม่ได้ ต้องใช้หลักของ ความถูกต้อง

        กฏหมายมีหลักอยู่สองอย่าง คือกฏหมาอาญา ต้องพิจารณาตาม องค์ประกอบ แต่ยังมีกฏหมาย อีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่าความผิด อันเกิดจาก การกระทำ สิ่งที่กฏหมายห้าม อันนี้ไม่ต้องไปดูว่า บกพร่องโดย สุจริตทุจริต หรือไม่ ต้องไป พิจารณาว่า เขาเลือกมา ด้วยคะแนนเสียง ๑๕ ล้านไม่ได้ ผิดก็ต้องผิด ซุกหุ้น ก็ต้องออก เป็นต้น เด็ดขาดมาก ในกฏหมายนี้ เป็น ความผิดอันเกิดจาก การกระทำ สิ่งที่กฏหมายห้าม

        ถ้าใช้กฏหมายนี้ ก็จะเด็ดขาด แต่ถ้าท่านไม่ใช่ แต่เป็นมาตรา ๖๘

มาตรา ๖๘ (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้าง การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้ เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

มาตรา ๖๘ (วรรคสอง) "ในกรณีที่บุคคล หรือพรรคการเมืองใด กระทําการตาม วรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าว ย่อมมีสิทธิ เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุด ตรวจสอบ ข้อเท็จจริง และยื่นคําร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการ ให้เลิกการกระทํา ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือน การดําเนิน คดีอาญา ต่อผู้กระทําการ ดังกล่าว”

        ถ้าผู้ฟ้อง ก็ได้อ้างไปถึงตัวคณะ ที่ทำผิดอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เข็ดหลาบ ก็ต้อง รับโทษอีก เท่าที่กฏหมายกำหนด ที่จริง น่าจะรับมากกว่า เพราะทำผิด ไม่เข็ดหลาบเสียที

        แต่ถ้าการตีความ ของรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือกฏหมายทั่วไป สามารถตีความ โดยเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญ แล้วเรามาดูว่า อะไรเป็นเจตนารมย์ ที่ยิ่งใหญ่ เรียงกันมา ถ้าจำเพาะ ก็ต้องไปดู ในรายงานที่ คณะร่างรัฐธรรมนูญเขามี หรือ เอาแบบอย่าง ความคิดของปวงชน มาเป็นหลักก็ได้ อนุโลมคือเอาอย่าง ขนบธรรมเนียม หรือ มีศาลตัดสินไว้ ก่อนนี้ หรือใกล้เคียง

        พ่อครูว่า... เสื้อแดงประกาศแล้วว่า เขาไม่ยอมรับ ศาลรัฐธรรมนูญ และสภาฯด้วย พรรคเพื่อไทยด้วย ไม่ยอมรับ อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

        อ.ปราโมทย์ว่า.... นี่เป็นความผิด ต้องติดคุก ศาลเรียกแล้วไม่ไป อย่างปธน. นิกสัน ของอเมริกา เป็นต้น

        แล้วที่เขาขัดขวาง ไม่ให้ศาลทำหน้าที่ อย่างสมบูรณ์ นี่คือ รัฐบาลได้ทำผิด ไม่มีสิทธิ์ ในการบริหารต่อ เกิดสุญญากาศ ทางการเมืองแล้ว พระมหากษัตริย์ จะทรงลงมา ทำการเมือง ได้เต็มที่ พวกเราต้องมาแสดง ให้เห็นว่า เกิดสุญญากาศ โดยการมารวมกัน เพื่อทำหน้าที่

        สรุปว่า เมื่อเราได้ทำการปฏิวัติ โดยพล.อ.ปรีชา ปฏิวัติโดยประชาชน ในวันที่ ๑๑ พ.ย. ๕๖ เวลา ๑๕.๓๐ น. เป็นการทำจริง ไม่ได้เป็นเรื่องเล่น เรามีนิตินัย และรูปธรรม ชัดเจน แล้วมีคนถามต่อว่า การปฏิรูป จะเป็นอย่างไร อย่าดูถูกคนไทย คนไทยต้องปฏิรูปเป็นแน่

        มีคนส่งมาว่า ให้แผ่เมตตาให้ คนทำชั่วมากๆ... พ่อครูว่า ผู้ทำผิดทำเลวนั้น น่าสงสาร ส่วนคนดีนั้น เขาทำดีอยู่แล้วไม่ต้องไปสงสาร แต่คนชั่ว เราต้องช่วยเขา ต้องว่า ตำหนิลูกที่ชั่ว มากกว่าลูกที่ดี ลูกที่ดีจะไปยกมาก ก็ไม่ได้ จะไปทับถม ข่มคนชั่วมากไป ลูกชั่วจะแย่ เราเมตตาเขา... ขอให้ทุกคนว่า “ ถ้าไม่ออกมากัน ให้มืดฟ้ามัวดิน ไทยถูกผีร้ายกลืนกิน สิ้นชาติแน่ๆ” ...

จบ

      
 

 
๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กทม.