_561124_สงครามสังคม เวทีมัฆวานฯ โดยพ่อครู

เรื่อง การเปลี่ยนแปลงโดยอภิมหาประชาชน

 

       วันนี้ได้นั่งรถออกไป ดูที่สนามหลวง และได้ข่าวว่า ตอนนี้ล้นจาก สนามหลวง ข้ามไปฝั่งธนฯ แล้ว ไปสะพานปิ่นเกล้าแล้ว เรามีเครื่องบินหรือโดรน สำหรับถ่ายภาพ ทางอากาศ ก็เห็นว่า นี่คือ ปรากฏการใหม่จริงๆ มั่นใจว่าเป็น ปรากฏการณ์ใหม่ ของโลก ที่เราใช้อธิปไตย ของประชาชนจริงๆ ที่เราออกมาประกาศ เรียกว่า มวลอภิมหา ประชาชน เพราะมันไม่ใช่ ของธรรมดาเลย ที่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้ ที่สำคัญมาก็คือ ประชาชนคนไทย ออกมาครั้งนี้ เลือดไม่ตกซักหยดเลย ต้องคารวะต่อ ประชาชน คนไทย อย่างยิ่งเลย สิ่งที่หลายคนว่า ไม่น่าเป็นไปได้เลย ว่าเหตุการณ์ที่เกิดนี้ ประชาชน ออกมา แสดงตัวมากมาย จะเป็นนักวิชาการ นักรัฐศาสตร์ นี่คือ อำนาจของ ประชาชน ที่ออกมา แสดงสิทธิ ที่เรียกว่า ออกมาประท้วง อาตมาเรียกว่า มาปฏิวัติ หรือบางคนว่า ออกมาอภิวัฒน์ ถ้าเราเข้าใจสภาวะ ก็คือ การการเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่ไม่ดี ให้ออกไป แล้วขออำนาจคืน เปลี่ยนแปลง เอาอำนาจอื่นเข้าไป ของเก่านั้นผิด เราก็ขอเอา อำนาจใหม่ ที่จะขอทำอย่างถูก อันเก่าทำเสีย เดือดร้อนลำบาก ซึ่งเป็นวิธีการ ที่สงบ เรียบร้อย ถูกสากล ไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้แอคอาร์ท ใช้ภาษาพูด

       แต่เป็น A best record เลยที่เรามาแสดงสิทธิ สงบเรียบร้อย ไม่ใช่วันเดียวด้วย นานนะ แล้วพูดกันอย่าง อะไรผิดก็ว่าผิด ว่าแรงด้วย จะเรียกว่า ด่าว่ากันก็ได้ เรียกอีกอย่างว่า มุขสตี หรือปากหอก เสียบกันด้วยภาษาทางปาก ในยุคพระพุทธเจ้าก็มี อาริยะ ขั้นโสดาบัน นั้น ญาณปัญญา ข้อที่ ๑ จะรู้จักกิเลส ในระดับหยาบ เราเรียกว่า วีติกมกิเลส แล้วก็กำจัดกิเลสนี้ได้ และเริ่มมีญาณปัญญา รู้จักกิเลส ระดับกลาง ในโสดาบัน จะมีญาณรู้ และตัดกิเลสเบื้องต้น และยังมีการใช้ภาษาพูด หรือปากหอก เสียบกัน หรือด่ากัน พระพุทธเจ้า ท่านตัดแบ่งคุณสมบัติ คุณธรรมของผู้ปฏิบัติธรรม เป็นขั้นๆ

       โสดาบันก็เป็นอาริยะขั้นที่ ๑ ยังมีพฤติกรรมด่าว่ากันอยู่ แต่สูงขึ้นไป ก็จะด่าว่ากัน น้อยลง ต่อเมื่อ ดับอนุสัยกิเลส ก็เป็นอรหันต์

       ปรากฏการณ์ที่เกิด แม้เราจะใช้ปากหอก แต่ว่ามีความสงบ เรียบร้อย เป็นปรากฏการณ์ พิเศษ ที่ยังไม่เคยเกิดในโลก ตอนนี้ แน่นไปหมดเลยคน ขนาด ยังไม่ถึงเวลา เต็มที่เลย คนก็ออกมา ขนาดนี้แล้ว อาตมาว่าสองทุ่ม ประมาณนั้น คนจะแน่น มากกว่านี้ อาตมาดูช่องสีแดง เขาก็รวมพลกัน ตอนนี้ เอาประชาชนออกมา เพื่อเปรียบเทียบสู้ เรียกอธิปไตย ของประชาชน ด้านเขาที่สนาม รัชมังคลาฯ เขาไม่ค่อย กล้าถ่ายรูป ไปที่คน เท่าไหร่ ตอนนี้เลย เพราะว่า มันมีแต่เก้าอี้สีแดง เต็มไปหมดเลย ไม่มีคนนั่ง มีคนเป็นกระหย่อมๆ ซึ่งของเราแน่นแล้ว เต็มหมดแล้ว ยาวเหยียด ถนนราชดำเนิน ตอนก่อนหน้านี้ เราขอว่า ถ้าประชาชน ยาวจากแท่งคอนกรีต ยาวไปถึง สนามหลวง ที่ไหนได้ ตอนนี้ เกินกว่านั้นอีกแล้ว แตกแยกแขนงไปอีก มากเลยตามซอย มันคงเกิน สองหมื่นคนแล้วล่ะ ตามที่ตำรวจ เขาประเมินมาก่อน

       แม้คราวนี้สมมุติว่า การด้านดื้อดึงดัน ก็ยังเกิดอยู่ ทั้งที่เราทำ อย่างงดงาม ตามนิติรัฐ นิติธรรม เขาหาว่าเรากบฏ แต่ที่จริงเขากบฏ เราสุภาพ สงบ เรียบร้อย เราไม่ใช้กำลัง แล้วจะมาหาเรื่อง เอามือที่ ๓ มา เอามีด ปืน อาวุธมา เราไม่ทำแน่ ซึ่งถ้าต่างพวก ก็รักษา ความสงบเรียบร้อยได้จริง แต่ก็ดื้อด้าน ดึงดัน ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมเลิก ทั้งที่จบแล้ว โดยนิติรัฐ นิติธรรม ตอนนี้ มันเกิดสภาพ ของผู้ผิด ได้ผิดชัด เป็นกบฏชัด ผิดกฏหมาย ชัดแน่ๆ

       พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่อง ความเป็นคน ทั้งรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ มีอยู่ในนี้หมด นอกจาก เรื่องเทคนิค ที่ต้องศึกษา เพื่อสร้างทำอะไรขึ้นมา แต่เรื่องของ มนุษยชาตินั้น ศึกษาธรรมะ พระพุทธเจ้า จะมีความรู้ไปเลย ไม่ว่าจะมานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ หรือ เศรษฐศาสตร์ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ตรงหมดเลย ศาสนาอื่น ก็เช่นกัน ไม่ว่าอิสลาม คริสต์ ฮินดู พราหมณ์ก็ตาม เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ไม่สิ้นไร้ไม้ตอกแน่

       ปรากฏการณ์ครั้งนี้ชัดเจนว่า ประชาชนเข้าใจตื่นตัว ในความเดือดร้อน ของสังคม และ เข้าใจในหน้าที่ ที่จะออกมาประท้วง เป็นสัญชาติญาณจริง ของจิตวิญญาณ เป็นหน้าที่ ก็ออกมาปฏิบัตินะ แม้ไม่ค่อยรู้ แต่เขาช่วยออกมา เราก็ออกไป ประท้วงด้วย มันมีปฏิภาณไหวพริบว่า ควรทำ ขออภัย ว่ามวลชน ที่ออกมานี่ เป็นล้าน แน่นอน อาตมาว่า จะถึงสองหรือสามล้าน ไม่รู้ได้ ใครมีความรู้ ช่วยประมาณให้หน่อย

       คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม เพราะเราไม่รู้ว่า รัฐบาล จะดันทุรัง ต่อไปไหม ทั้งที่ ตุลาการภิวัฒน์ ก็ทำหน้าที่ เต็มที่แล้ว ตอนนี้ ประชาภิวัฒน์ ก็มาทำหน้าที่ ได้แล้ว ออกมา ขนาดนี้แล้ว ขออภัยว่า แม้คราวนี้ จะไม่สำเร็จ ก็ดีใจภูมิใจแล้ว เขาหน้าด้าน หน้าทน แม้ครั้งนี้ ไม่สำเร็จเด็ดขาด เราก็ทำหน้าที่ต่อไป ตามนิติรัฐนิติธรรม

       นิติธรรมต้องมีกิเลสน้อย ผู้จะไปทำงานรับใช้ประชาชน เหมือนสส. หาเสียงว่า ผมขอไปทำงาน รับใช้ประชาชน คุณต้องไปทำงาน รับใช้ประชาชน แต่แท้จริง กิเลสคุณไม่ลด พอได้โอกาส มีอำนาจขึ้นมา ที่คุณทำได้ คุณก็ใช้ช่อง ของอำนาจต่างๆ ใช้เชิงฉลาด ได้เปรียบ ทุจริตซับซ้อน ที่จะหลอก ทุจริตหากินสารพัด ใช้เป็นอาชีพ สะสมกอบโกย จนมาถึงปัจจุบัน เลวร้าย จนคนไทย ทนไม่ไหว แม้ไม่มีความรู้มาก แต่ก็ทนไม่ไหว ต่อการบริหาร ประเทศชาติ ถ้าเป็นชาติอื่น ที่เขาเจริญ ทางประชาธิปไตย เขาเอาหัวมุดดิน เป็นนกกระจอกเทศไปแล้ว

       มาถึงวันนี้แล้ว น่าจะได้มีโอกาส มีคณะใหม่ ที่จะมาปฏิรูปการเมือง ให้แก่ประชาชน ให้ได้สักที บอกอีกทีว่า เราได้ยึดอำนาจ คืนมาแล้ว โดยนิติรัฐ นิติธรรม สำเร็จแล้ว แต่เขายังหน้าด้าน หน้าทนอยู่ แล้วไปหลอก คนกลุ่มหนึ่ง ให้หลงเชื่อได้ แล้วเขาบอกว่า เขาเลือกตั้งมา คะแนนเสียง ๑๕ ล้าน คุณก็ขน คนของคุณมาสิ ที่ว่า ๑๕ ล้าน เราไม่มีสักล้าน เพราะไม่ได้มีเลือกตั้ง แต่นี่เป็นอำนาจ ๑ คน ๑ เสียง อิสระเสรีภาพ ออกมา ประท้วงสดๆ คุณรู้ไหมว่า นี่คือ อำนาจที่แท้จริง ยิ่งกว่าอำนาจที่มี ตอนเลือกตั้ง เท่านั้น

       ขณะนี้คนทั้งโลกรู้แล้ว เป็นโลกโลกาภิวัฒน์แล้ว นี่คือวิธีการบอกความจริง ให้คุณรู้ คุณพาประเทศไทย ขายหน้าแก่ชาวโลก

       ขณะนี้อาตมาว่า ได้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เรียบร้อยแล้ว หมายความว่า ถ้าประเทศไทย ว่างจากผู้บริหาร ประเทศ​ถูกประชาชน ปฏิวัติยึดอำนาจ เรียบร้อยแล้ว และยึดอำนาจ อย่างสวยงาม เรียบร้อยที่สุดเลย มันสวยงาม มั๊กมาก

       สงบเรียบร้อย ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เพราะเขาดึงดัน ดื้อด้านมาก หากใช้มีด ปืน มันก็เร็ว เขายอมจำนน สู้ไม่ได้จริงๆ เขาก็หยุด แต่นี่เราไม่ได้ทำ เราเป็นอาริยะชน ให้เขาละอาย ต่อความผิด ประเทศไทย เป็นประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ดังนั้น รัฐาธิปัตย์ จะอยู่ที่ประชาชน กับ ในหลวง

       เจ้าของอำนาจใหญ่สูงสุด ประชาชนกับในหลวง เมื่อในหลวง เป็นประมุข เป็นหัวหน้า จึงเป็นเจ้าของสูงสุด แต่ถ้าจะพูดในแบบประชาธิปไตย คือประชาชน เป็นเจ้าของอำนาจเต็มๆ สูงสุด

       ประเทศที่บริหารประชาธิปไตยขาเดียว เขาก็เลือกจาก ประชาชนล้วนๆ ไปเป็นหัวหน้า เป็นประชาธิปไตย ขาเดียว มันดีเชิงหนึ่ง แต่ไม่บริบูรณ์ ในฐานะ มนุษยชาติ ที่จะมีทั้งจิตวิญญาณ และวัตถุ เมื่อเป็นแบบวัตถุมาก เช่น คอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่เอาวิญญาณ อย่างยิ่ง ยิ่งกว่าประชาธิปไตยขาเดียว จึงแข็งกระด้าง ไปไม่รอด ไม่มีเมตตา ไม่มีน้ำใจเลย หนักไปทางวัตถุ ใช้อำนาจบาตรใหญ่ หนักกว่า ประชาธิปไตย ขาเดียว ที่ยังมีศาสนา แต่คอมมิวนิสต์ ตีทิ้งศาสนาเลย

       พิสูจน์มาทั้งโลก คอมมิวนิสต์เกิดมา ๗๐ กว่าปี ทุกวันนี้ถือว่า คอมมิวนิสต์ ล้มละลายแล้ว พวกที่คิดแบบคอมฯนั้น ตกยุคแล้วไม่รู้ตัว เขาก็จะแดง ทั้งแผ่นดิน อยู่นั่นแหละ ต้องกลับมาสู่มิติ จิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณ เป็นใหญ่

       คนที่มีจิตวิญญาณประเสริฐ เป็นอาริยบุคคลได้ ไม่ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ตะกละ ไม่ติดยึดในราคะ ลดราคะจริง ก็ไม่ต้องเสียแรงงาน ทุนรอน ไปบำเรอ เพราะราคะลด จนถึงไม่มีราคะ อย่างอนาคามี ไม่มีแล้วกิเลส กามราคะ แล้วไม่มี เวียนกลับ ไม่เหมือนฤาษี ที่บวช ๓๘ ปี ยังสึกมา เมื่อเจอเนื้อคู่

       พุทธสอนให้อยู่กับโลก อย่างเหนือโลก เหนือกามและอัตตา แม้ในโลก มีกิเลส เช่นนี้ แต่ทำอะไรท่านไม่ได้ ไม่ถือยศศักดิ์ แม้มียศ ก็ใช้ทำประโยชน ์แก่สังคม ไม่ได้เอามาเบ่งอำนาจ ยศตำแหน่งหมายถึง ขอบเขตแห่งอำนาจ เช่นผู้หมวด ผู้กอง ผู้พัน ผู้บัญชาการ หรือตำแหน่งต่างๆ ข้าราชการก็คือ ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ เก่งขึ้น ก็ได้รับ ความยอมรับ ให้มีความรับผิดชอบ ในการงานมากขึ้น มีผู้รับสนอง เป็นลูกมือ มากขึ้น เป็นสัจจะ ที่จะต้อง ทำงานมากขึ้น

       การไม่มีตัวตน เข้าใจในโลกธรรม เข้าใจในกามและอัตตา ก็จะอยู่กับโลก อย่างไม่เป็นทาส ไม่แย่งชิง ยิ่งคุณธรรมสูง ยิ่งจะทำประโยชน์ แก่สังคมมาก และ จะไม่เอามาก เราสามารถมาก ไม่เอามากอดทนมาก ก็ไม่ต้องเอา ไม่ต้องแย่งกับเขา เป็นเรื่องจริง ทำอย่างสบายใจ เราไม่มีเงิน เราก็ทำงานได้

       อย่างอาตมาก้าวมาทำงานนี้ ไม่ได้มีตำแหน่งยศศักดิ์ แต่ก็ได้รับ ความนับถือ จากคนที่เข้าใจ ให้ทำหน้าที่ อาตมาไม่มีเงินทอง ไม่มีสรรเสริญ ลาภยศ ในวงสังคม เขามีมาก ที่มองอาตมาว่า เป็นตัวปะหลาด ทำอย่างนี้ทำไม อาตมา ไม่ได้น้อยใจ อาตมา ก็ทำไป อย่างจริงใจ ส่วนอาตมา จะมีความสามารถเท่าไหร่ อาตมาไม่ต้องกำหนด ทำไปเท่าที่มี เท่าที่จะทำไป

       ถ้าเรามีโลกุตรจิต ที่เหนือกว่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จะไม่ประหลาดใจ เขาด่า เราก็เข้าใจเขา ก็ไปทำกับที่เข้าใจ ยอมรับดีกว่า ทุกวันนี้ก็ทำไป เท่าที่จะทำได้ ก็ทำมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น เท่าที่มีแรง ด้วยความจริงใจ ภาคภูมิใจ ที่เราเป็นคน มีประโยชน์ ต่อสังคม ไม่ใหญ่โตอะไร ก็ภูมิใจ แต่เป็นอาริยธรรม คือธรรมะ ระดับ โลกุตระ ไม่เป็นทาส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คนที่ปฏิบัติ บางคนเงินเดือน สามแสนสองหมื่น เขาก็ลาออกมาเลย อีกคนเงินเดือน แสนกว่า เขาก็ทิ้งมาทำขยะ อยู่กับพวกเรานี่ สิ่งเหล่านี้ เขาอยากเสแสร้งอวดอ้าง ก็ให้เขาอวดไป จนตายเลย ทำเอาหน้าอย่างนี้ ทำไปจนตายเลย พวกเราเงินเดือนแสน ก็ลาออกมาเยอะ ทุกวันนี้ เงินเดือน แสนบาท ก็มากพอสมควรนะ ลาออกมา ก็ไม่มีตำแหน่ง ยศศักดิ์ ทำงานกับสังคม ไม่พาเข้าป่าหลับตา แต่ทำงาน ในชีวิตประจำวัน นี่แหละ

       อาตมาไม่ได้โอ้อวด อ้างปรากฏการณ์จริง เป็นอกาลิโก เอหิปัสสิโก ซึ่งเป็นเรื่องจริง เป็นของสูง (โอปนยิโก) ที่ต้องเอื้อม ก็เป็นสันทิฏฐิโก การได้ธรรมะ บรรลุโลกุตรธรรม เป็นเยี่ยงนี้หรือ? ก็เป็นได้ คุณไม่จำเป็นต้องเชื่ออาตมา หรือแม้แต่ พระพุทธเจ้า แต่จงเชื่อ สิ่งที่ตนได้ ปฏิบัติได้ผลจริง ตามหลัก กาลามสูตร เราทำมานี่ ไม่ได้ติดในลาภยศ สรรเสริญ กามหรืออัตตา

       ธรรมพระพุทธเจ้า สอนแล้วทำไป ให้พิสูจน์ได้ ท่านให้เกียรติคน ในการปฏิบัติ เมืองไทย ถ้ามีสัมมาทิฏฐิ ในการปฏิบัติ ประเทศไทย จะเป็นประเทศที่ บริหาร แบบคนจน ในหลวงตรัส การที่จะเป็นประเทศ แบบคนจน ไม่ก้าวหน้าอย่างมาก คำตรัสในหลวง เราเอาออก FMTV เป็นสัจธรรมลึกซึ้ง ระดับโลกุตระธรรม แต่คน ไม่ค่อยเข้าใจ ชาวอโศก เป็นคนจน แต่สมบัติชาวอโศก เช่นการจัดเวที การจัดชุมนุมนี่ เราไม่ได้เช่านะ เขาจะบอกว่า ชาวอโศกนี่รวย แต่แต่ละคน ของชาวอโศกนั้น ไม่ได้สะสม นี่เป็นสัจจะ อย่างนายตูน หรืออุดมนี่ ก็ทำกัน งอกๆๆ ไม่มีเงินเดือน ยังไม่พูดถึง อีกหลายคนนะ สิ่งนี้พิสูจน์ สัจธรรม ของมนุษยชาติ ว่าโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ อย่างนี้ยังมีอยู่

       ตั้งแต่เราพาออกมา ทำงานกับสังคม เขาหาว่านอกรีต ก็ไม่เป็นไร อาตมาพาทำ อย่างพระพุทธเจ้าสอน เป็นโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ แต่คนไม่เข้าใจ ที่พูดนี้ เกรงใจเขา ที่ต้องไปว่าเขา ศาสนาพุทธ ที่พาหนีเข้าป่านั้น ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ต่อสังคม การไปนั่งสมาธิ อย่างนั้น แต่ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน วิมุตในศีล ๕ เป็นโสดาบัน วิมุติในศีล ๘ เป็นสกทาคามี วิมุตในศีล ๑๐ เป็น อนาคามี วิมุติในศีล ๑๐ เป็นอนาคามี วิมุติ ในศีลธรรมนูญ ในโอวาทปาติโมกข์ เป็นอรหันต์

       มั่นใจว่า จะพาทำเช่นนี้ หากคนที่ปฏิบัติได้ อย่างนี้ ในเมืองไทย ก็จะทำต่อไป ถ้าประเทศอื่น จะได้อีกก็ทำ แต่เราทำไปตาม จากแคบไปกว้าง พระพุทธเจ้าสอน ให้มีการประมาณ เป็นสัปปุริสธรรม ๗ ประการ มหาปเทส ๔ มั่นใจว่า ธรรมะ พระพุทธเจ้า ที่พาทำนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อ มนุษยชาติ เราใช้คำว่าอาริยชน ไม่ใช้คำว่า อริยะหรืออารยะ อย่างเขา เพื่อให้เข้าใจว่า มีความต่างจากของเขา คำว่าอารยะนั้น เป็นการก้าวหน้า อย่างวัตถุธรรม ส่วนอริยะ จะเน้นทางนามธรรม แต่ว่า อาริยะนั้น จะผสมผสาน ระหว่าง จิตกับวัตถุ การเป็นคนเกิดมา ศึกษาสัจธรรม ของพระพุทธเจ้า บรรลุธรรม มีมรรคผล จะยืนยงเป็นของจริง ยืนยันว่า มีผลปฏิบัติได้ จนมีมวล เป็นหมู่กลุ่ม จนเป็นชาวอโศก หลายหมู่บ้าน เป็นเครือแห มีศีลสามัญตา มีสาธารณโภคี เป็นกินใช้ ส่วนกลาง แบ่งแจกกันไป ไม่มานั่งยึดถือ เล็กน้อยๆ เราไม่มีหนี้ ทุกวันนี้ ทุกชุมชนอโศก
๑. ไม่มีหนี้ที่เสียดอกเบี้ย แบบทุนนิยม ทำงาน ไม่มีเสียดอกเบี้ยเลย และ
๒.พึ่งตนเองให้รอด ขยันหมั่นเพียร มีสุจริตธรรม ให้พอกินพอใช้
๓.ทำให้เหลือกิน เหลือใช้ มากขึ้นๆ แล้ว
๔.แจกจ่ายเจือจาน เสียสละแก่สังคม ทุกวันนี้ เราทำสำเร็จ ทุกข้อแล้ว

       เราไม่รวยเพราะไม่สะสมกอบโกย เรามีพอกินพอใช้ แต่ส่วนกลาง กองกลางจะรวย ไม่รวยได้อย่างไร ช่วยคนอื่นได้ ไม่ได้ช่วย แบบทุนนิยม ที่เขาช่วย เลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากินบนคำว่า ช่วยเขา อย่างประชานิยม เป็นต้น หลอกกินตับ กินไส้พุง หมดแล้ว

       เหลือกินใช้เกิน เราไม่สะสม แต่เรามาสละ แก่คนอื่น เมื่อเราไม่สะสม ก็จะรวย ได้อย่างไร แต่ละคนๆ ก็เสียสละ ตามในหลวงตรัส แต่คนไทย ก็ไม่ค่อยเข้าใจ แม้ที่สุด ท่านใช้คำว่า ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา ก็ยังไม่เข้าใจอีก

       ขออภัย ที่ต้องกล่าวว่า อาตมาสงสารในหลวง ที่จริงใช้คำนี้ ไม่ได้หรอก ท่านเป็น ผู้มีบารมี แต่อาตมา สงสารท่านจริงๆ ท่านก็พยายาม บอกลูกๆ ว่าเศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร ขาดทุนคือกำไร คืออย่างไร คือเราทำ เกินกินเกินใช้ แล้วนำไปเสียสละ แก่คนอื่น อย่างไม่ใช่ เอากลับมามากๆด้วย ทุกวันนี้ เขาลงทุนน้อย แต่จะเอากำไรมากๆ ก็เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ เอารัด จัดจ้านมากเลย ทุนนิยม เขาทำอย่างนี้จริงๆ ยิ่งได้เป้าสูง ยิ่งชนะ ยิ่งเก่ง อย่างนี้ไปไม่รอด ในหลวงเรา พยายามให้ไทยเรา เป็นอาริยะ อาตมา ก็จะสนอง และทำต่อไป ตายแล้วเกิด ต่อไปจะมาทำต่อ....จบ

 

 
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.