_570102_พ่อครูและอ.กฤษฎา เวทีมัฆวานฯ
เรื่อง ชนะตนได้จึงเรียกว่าชนะสงคราม

               อ.กฤษฎาว่า.. วันนี้มาโดยธรรม รายการนี้เป็นรายการ เล่าความเป็นไป ทางโลก และทางธรรม ปีนี้ปีชง ชงอันนี้เ ป็นชงของ มวลมหาประชาชน จะเป็นอย่างไร

        เมื่อสักครู่นี้ ลุงชัยมาพูดว่า เราชนะแน่ แล้วถ้าเราแพ้ขึ้นมาล่ะ วันนี้ตั้งคำถาม พ่อครูว่า อะไรจะเป็นเหตุปัจจัย ให้มวลมหาประชาชนชนะ และอะไร จะก่อโอกาส ให้เราพ่ายแพ้ ถ้าเรานึกถึง ในสมัยพุทธกาล ที่อลัชชีส่งไส้ศึกเข้ามา แล้วให้เกิด ความพ่ายแพ้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

        พ่อครูว่า... ประเด็นสำคัญว่า อาตมาตั้งแต่เริ่มชุมนุม ก็ได้บอกเสมอว่า เรามาประท้วงนี่ เราไม่เอาแพ้เอาชนะ แต่เราจะต้องทำ ให้เกิดความชนะ ให้ได้เสมอ ความชนะเ ราไม่ใช่ว่า เราจะไปเข่นฆ่าใคร ข่มใครได้ หรือเจริญด้วยรูปลักษณ์ ชนะด้วยแรง ด้วยอะไร ที่เลยหน้าเขาไป เราก็ชนะ เราก็ไม่แข่งตรงนี้ แต่เราจะเลยหน้า ความประพฤติของเรา

        เราจะอยู่ในเหตุการณ์ใด สิ่งแวดล้อมใด หรือในสงครามใด เรากำลังอยู่ในสนามรบ เราคิดถึง สถาวะของตัวเราว่า เราได้สิ่งดีงาม ถ้าสิ่งดีงาม เราได้ก้าวหน้าเสมอๆ ในเรื่อง เหตุการณ์แวดล้อม หรือใครจะมุ่งหมายว่า จะต้องเลยหน้า จะชนะ อันนั้น มันสมใจ ได้สูงสุด ถ้าแม้ว่าเราชนะเขา เราเลยหน้า เรียกว่าชนะเขา ในสงคราม ถ้าเราชนะตรงนั้น แต่ความประพฤติของเรา เลวร้ายนั้นหนึ่ง แม้เราจะชนะสงคราม ในจุดมุ่งหมาย แต่อาตมาว่า อาตมาไม่ทำ ชนะอย่างนั้นไม่ทำ แต่โลกเขามุ่งหมายนะ

        โลกมุ่งหมายการกระทำ ที่จะผิดกฎหมาย จะเลวทรามต่ำช้า จะเล่ห์กล ทุจริต ก็ทำได้ทุกอย่าง ขอให้กูชนะ ผู้ที่เข้าใจ และทำอย่างนี้นั้น ขาดทุนยับเยิน ไม่มีประตูได้เลย แม้จะชนะศึก แต่ได้สร้างบาป แก่ตนเอง ตรงที่ว่า ชนะแบบนั้น จะสร้างความประพฤติ อันเลวร้าย ให้เขาทำตาม สังคมก็จะเลวลง นี่คือ การทำให้ทุกอย่าง เสื่อมโดยธรรม มีแต่อบายความเสื่อมต่ำ

        จะล้ำหน้าหรือจะทำฟาวล์ เพื่อให้ชนะ เพื่อให้ถึงเส้นชัยก่อน จะใช้อะไรก็แล้วแต่ แบบนี้ อย่างเช่น ตำรวจที่สารภาพว่า ที่อยู่บนตึก หลังคาตึก ก็คือตำรวจ แต่ยังปากแข็งอยู่ เป็นผู้ร้ายปากแข็ง แย้งไป จนกว่าเขาจะได้เปรียบ สรุปแล้วคำว่า ชนะคำนี้ จึงเป็นเรื่องลึกซึ้ง

        อาตมาทำงานทุกวันนี้ กับพวกเรา เห็นว่าพวกเรา ชนะตลอดเวลา ก้าวหน้า ตลอดเวลา ก้าวหน้าในพฤติกรรม อย่างน้อย เราได้มาเสียสละ แค่ตื้นๆ คือมาเป็นมวล นี่แหละ เรามาชุมนุม ทุกวันๆ อยู่กันเรือนหมื่นขึ้นๆ ยิ่งหลายหมื่น ก็ยิ่งดี แค่นี้มาเป็นมวล นัดกันมาหลายครา ก็ได้มาเพิ่มขึ้นๆ จาก ๑ ล้านเป็น ๕ ล้าน มาเป็นยิ่งกว่า ๕ ล้าน คราวนี้ วันที่ ๑๓ นี้จะมากขึ้น เพราะมันยาวนานไป คนก็มีภาระอะไรสารพัด แต่อย่าหาว่า ชี้โพรงให้กระรอก ปล่อยให้พวกเราอ้างว้าง อยู่ไม่กี่คน

        เราก็ชนะรายทางมาเรื่อยๆ คนอยู่ก็เป็นหลักอยู่ มีอัตราการก้าวหน้า เพิ่มขึ้น ตามลำดับ ซึ่งอัตราการก้าวหน้า เป็นเชิงบวก เช่นบวก ๑ บวก ๒ บวก ๔ บวก ๘ ไปเรื่อยๆ เป็นต้นทุน และมีอัตราการก้าวหน้า สะสมไปเรื่อยๆ จนก้าวหน้าถึงขั้น

        อย่างแรกเรียกว่า เชื่อถือ คือเชื่อต่อกันมา แต่ถ้ามากกว่าเชื่อถือ คือความเชื่อฟัง จากเชื่อฟัง ก็เป็นศรัทธินทรีย์ ก็มีอัตราก้าวหน้าเพิ่มขึ้น สุดท้ายเป็น ศรัทธาพละ ก็ตั้งมั่น เชื่อมั่น มันมีผลครบสมบูรณ์ เลยความเชื่อมั่น ถ้าเชื่อมั่นสมบูรณ์ ก็จะมีตัวปัญญา มีเหตุผล มีสภาวะรองรับด้วย ความอ่อนแอ ไม่แข็งแรง ก็หายไป

        อย่างคนจะเดิน ๒๐ กฎหมายต่อเนื่องนี่ ต้องมีศรัทธาพละ อย่างกำนันสุเทพนี่ ตอนแรก ก็เดินไม่มาก แต่ต่อไป ก็เดินมากขึ้นๆ เพิ่มขึ้น ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงที่ไหน และหลังเดิน ยังไปพูดอีก มีกัมมัญญา เข้าใจเชื่อมั่น มีพลัง ใจมีปัญญา เป็นของจริง ถ้าไม่มีปรมัตถ์ ไม่มีของจริงรองรับ ก็ยาก นี่ไม่ใช่พูด ประเล้าประโลมกัน แต่พูดสัจธรรม

        อาตมาว่า เรามาประท้วงกัน ในยุคนี้ ตั้งแต่พศ.๔๙ แรกเริ่มเลย  ต่อมาก็ไป สนามหลวง เรื่อยมาหลายปี จนมาปี ๕๖ ก็มีการพัฒนา มาเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่พัฒนาโลกีย์ ซึ่งเราก็พัฒนา รูปแบบโลกีย์ด้วย แต่เราทำ ประโยชน์ทางธรรมด้วย ขณะนี้เราชุมนุม ด้วยแรงศรัทธา ที่ไม่มีอาวุธแน่นอนในแกนกลาง ไม่นับรอบนอก หลวมๆนะ ที่มาแฝง ไม่นับ ก็เป็นได้ แต่อัตราการก้าวหน้าเจริญ เราออกมา ชุมนุมประท้วง ด้วยสงบ และ ไขความจริง ความรู้ ที่ถูกต้องดีงาม มาบอก ขยายความ เอาหลักฐาน มาอ้างอิง ยืนยัน สิ่งเหล่านี้ คือของจริง ที่พัฒนามาเรื่อยๆ พวกเราเจริญขึ้น ไม่เฉพาะพวกเรา แม้แต่ศัตรู (เรียกโดยสำนวน เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่ศัตรู) ที่เราจะให้เขาหยุด หรือ คู่ต่อสู้ของเรา เขาก็เปลี่ยนแปลง ท่าทีดีขึ้นมา คือรุนแรงน้อยลง เทียบตอนปี ๕๔ ก็แย่เลย แต่ตอนนี้ ลดลงๆ เปลี่ยนไปเยอะเลย ก็พัฒนาขึ้น

        มาถึงครั้งนี้ เราก้าวหน้าไปไกล เข้าใจตามที่อาตมา มีความรู้เท่าที่มี ในต่างประเทศ รอบโลก ก็ว่าไทยเรานี่ ชุมนุมประท้วง ที่เรานี่ก้าวหน้าไกลกว่า ทุกประเทศ เท่าที่ตามข่าว ซึ่งเขาทำรุนแรง หยาบกว่าเรา เยอะเลย มีเลือดตกยางออก แต่ของเรานี่ ก้าวหน้า

        ถ้าเทียบกับแรกๆ ก็เห็นความสงบเรียบร้อยได้ดี แม้แต่พวกเรา ความหวาดกลัว ก็เบาลง ลดลง จนกระทั่ง แทบจะไม่กลัวกันแล้ว จะตูมจะตาม ก็ไม่กลัว

        ถือว่าเป็นการพัฒนาสังคม คราวนี้อาตมาว่า เป็นรอบที่ได้ผลสูง มากเลย เสร็จคราวนี้ พฤติกรรมสังคม จะเปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก แม้ว่าเราจะชนะ หรือแพ้ ถ้ายิ่งชนะ ก็พลิกเปลี่ยนไป มหาศาลเลย รธน.กฎหมาย จะออกมา อย่างวิเศษเลย แม้ว่า เราจะแพ้ ก็เปลี่ยนแปลง เพราะประชาชนเข้าใจเพิ่มขึ้น ในค่าเฉลี่ย ก้าวหน้า ไม่เสียหลาย ทุกคนแบ่งเอากุศลไปเลย ที่มาช่วยกัน

        อ.กฤษฎาว่า... เห็นด้วยครับ อย่างผมไปหลายจังหวัด เห็นปรากฏการณ์ว่า เห็นธงชาติ ติดธงชาติ จะมีความเป็นพี่น้อง ความเป็นไทย ส่งถึงกัน เราเป็นคนไทย มีน้ำใจ เป็นรูปธรรม ที่เห็นชัด ว่าความก้าวหน้า เป็นลำดับๆ อย่างน้อย มวลมหาประชาชน มีมิตรไมตรี เมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเป็นธรรมฤทธิ์ เป็นสยามเทวาธิราช

        พ่อครูว่า... พอดีมีคำถามมาทาง ๑๐๗.๙. ส.บินก้าวส่งมา

  1. ทำไมการชนะตนจึงจัดว่าเป็นความชนะที่ประเสริฐ ที่แท้ ..

ตอบ... การชนะตนนี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ การชนะตนเป็นสิ่งแท้ สิ่งประเสริฐ เพราะว่า คนเราในโลกีย์ มันตั้งต้น ตั้งใจเอาชนะ แย่งลาภยศสรรเสริญ แย่งกาม แย่งโลกธรรม ก็แย่งกันทั้งนั้น ถ้าแย่งได้ถือว่าชนะ ซึ่งต้องแย่งมาจากคนอื่น พระพุทธเจ้าว่า อย่างนั้นไม่ถูกต้อง ไปเบียดเบียนคนอื่น เป็นการเห็นแก่ตัว การชนะตัวตนได้ คือการไม่เห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัว ก็ไปเบียดเบียนคนอื่น ถ้าเราไม่แย่ง จะได้ไหม? เราอยากจะมีลาภ เป็นลาภธัมมิกา ก็สร้างสมรรถนะ ความรู้สามารถ ทำเอา เป็นลาภอันประเสริฐไม่เบียดเบียนใคร

        ถ้าเราเลิกเบียดเบียน ที่จะไปเอาจากคนอื่น แต่เราสร้างเอง ได้ลาภโดยธรรม แล้วได้มาก เราก็แบ่งแจกคนอื่น เราสร้างสิ่งจำเป็น อาศัยใช้สอย เราถนัดอันนี้เก่ง เป็นของที่คนใช้กัน เราทำได้มาก เราก็ไปแลกอันอื่น ที่เราไม่ได้สร้าง แต่เราต้องใช้ สังคมก็จะอยู่กัน อย่างเผื่อแผ่ เจือจานกัน โบราณก็ใช้ของแลกของ แต่ของมีค่ามากขึ้น ก็เขียนตั๋วแลกกัน ของมันแลกกัน แต่เหลือค่าอยู่ ก็เขียนตั๋วค้างไว้ เรียกว่า ตั๋วแลกเงิน คุณก็มีหนี้อยู่ ๕๐๐ แต่ตอนนี้ มันเกิดตั๋วแลกเงินกลาง มากมาย เรียกว่าธนบัตร ก็เกิดจาก ตั๋วแลกเงิน เกิดจากการตีราคาค่าของ แต่ก่อนก็แลกกัน ไม่ถือว่า ค่ามากหรือน้อย ไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่คิดว่า ได้เปรียบเสียเปรียบ จนกระทั่ง มาเป็นตั๋วแลกเงิน เพราะคิดว่า ไม่เท่ากัน ก็กลายเป็นธนบัตร เป็นตั๋วแลกเงิน กลายเป็น ใบกระดาษสารพัดนึก แลกกันได้ ทั่วโลกเลย

        สรุปคือ ถ้าเราไม่เอาเปรียบ ไม่โลภ ไม่เห็นแก่ตัว ลดกิเลสได้ เราไม่แย่งชิง เอาเปรียบ เอารัด ไม่มักได้แย่งชิง โลกจะสงบสุข เหลือเฟือ เพราะความเห็นแก่ตัว มันมาก จนกระทั่ง มากจนเผื่อพอ แล้วไปหลงดีใจว่า ถ้าเราโกงได้มาก ยิ่งดี เรามีความสามารถ ก็เอามาสะสม กอบโกยเท่าไหร่ ก็ไม่พอ เพิ่มได้ไม่หยุดยั้ง ยิ่งอ้างว่า เอาไว้ให้แก่ตระกูล ลูกหลานอีก แม้ไม่มีลูกหลาน ก็ยังโลภเลย โง่จนกระทั่ง ไม่รู้จักพอ กิเลสนี่โง่ ทำให้สังคมเสื่อม หนักเข้าโลภแรง ก็เกิดจากกิเลสตัวนี้จริงๆ

        อ.กฤษฎาว่า... ถ้าเรารู้จักพอเพียง อยู่สันโดษ ก็คือรู้จัก ความเป็นไปของชีวิต ดูเหมือนว่าอโศก มีหนังสือ สรรค่าสร้างคน จะตอบปัญหาชีวิต ที่พ่อครูได้ตอบมาได้มาก

        พ่อครูว่า... ในนี้บางที่ มาจากพระไตรปิฎก แต่ส่วนมาก นำมาจากที่อาตมาได้พูด ได้เป็นหนังสือ สรรค่าสร้างคน ตั้งแต่หัวข้อแรกเลย คือหลักการทำงาน ซึ่งทำงานแล้ว จะก้าวหน้า เป็นการชนะตัวเอง

        หัวข้อที่ถามมาก็คือ ชนะตัวเอง ประเสริฐแท้ เพราะว่าโลกเห็นแก่ตัว แต่เรากลับ มาเสียสละ ทำให้ได้เถอะ ชนะตัวตน ที่จะเอามาให้แก่ตัว พระอรหันต์ทำได้ พึ่งตนรอด แล้วทำงาน ให้เหลือ เกินกินเกินใช้ กล้าจนกระทั่ง ไม่ต้องสะสม มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น ปรปฏิภัทธา เม ชีวิกา ชีวิตก็เนื่องด้วยผู้อื่นเลี้ยงไว้ เพราะเห็นคุณค่าเรา เขาก็หามาให้ใช้

        ๒. ก็เขามาทำให้เราบาดเจ็บล้มตาย แล้วเราไม่ตอบโต้อะไร การชนะตนเอง จะต้องทำตน เหมือนฝึกมวยไว้รับ ไม่รุกเหมือนออกกำลังกาย...

ตอบ เราฝึกรับได้ แต่ว่าคุณฝึกไว้นี่ ท่าทีมันฝึกไว้ จะรุกเขานะ เราทำแบบรับได้ มันลึกซึ้ง เป็นเรื่อง กรรมวิบาก เราไม่ทำตอบเขาได้ นี่ประเสริฐแล้ว เราก็ไม่มีวิบากเพิ่มเติม ถ้าเราตอบโต้ เขาก็ไม่หยุด จะตบไปตบมา ฆ่าไปฆ่ากันมา มี Action ก็มี Reaction ถ้าจะป้องกันตัว ก็ทำได้ แต่ต้องฝึกใจ ไม่ให้ทำร้ายเขา เพราะยิ่งคุณฝึกตน ให้มีความสามารถ ยิ่งอยากจะตอบโต้ อยากลองของ มันก็ไม่ดี มันมีหลักประกัน ที่จิตตน ไม่เห็นแก่ตัว ฝึกตายก็ยอมได้ คุณฝึกป้องกันตัวไปเถอะ แต่ถ้าถึงอย่างนั้น ก็ไม่ต้อง ป้องกันตัว เกื้อกูลให้เขาเลย เรามีน้ำใจให้เขา แค่นี้เขาก็ ไม่ทำร้ายเราแล้ว ยิ่งมีลีลาช่วยเขา ทั้งกาย วาจา ใจ รับรองเขาแพ้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปฝึกป้องกันตัว

         ๓. ถ้าผมเหลืออด โดนไล่ล่า แล้วอดไม่ไหว จะบาปไหม นับ ๑ถึง ๑๐ หลายรอบแล้ว
        ตอบ... บาปแน่นอน บาปคือกิเลส คือเหลืออดตอบโต้ไป ก็บาป ถ้าคุณอดไหว ไม่ตอบโต้ ไม่ด่าตอบ ไม่ทำกายกรรมเลย ไม่ออกมาเลย เหลือแต่ข้างใน เขาไม่รู้ ก็ไม่มีแรงตอบโต้มากนัก เพราะคุณไม่แสดงออก ทางกาย วาจา แม้คุณจะโกรธ แต่คุณกลบเกลื่อนได้ก็ดี แต่จะให้ดีก็ทำใจ ไม่ให้สะสมกิเลส เพราะถ้าสะสมตกผลึก กิเลสมา ก็ระเบิดได้ อย่างนี้เป็นสัจธรรม

        คนที่จะกล้าไม่โต้ตอบจริง ต้องมีคุณธรรมจริง ไม่มีใจตอบโต้แก้แค้น กิเลสมันมีแรง ไม่มากพอที่จะให้เกิด ทางกาย วาจา ตอบโต้เขา ก็เป็นคุณธรรม ระดับหนึ่ง

        อ.กฤษฎาว่า... การไม่กลัวตาย พูดเหมือนกัน แต่บางทีจะไปตอบโต้เขา มันคนละสภาวะ

        พ่อครูว่า.. การไม่ตอบโต้ ไม่กลัวตายด้วย ก็เป็นสิ่งประเสิรฐ เขาจะทำเรา ลดลงๆ ปรบมือข้างเดียวไม่ดัง เช่น หมาต่อสู้กัน ตัวไหนยอมแพ้ ก็หางงอลงไป มันก็ไม่ทำร้าย มันแค่แสดงเดินอาจๆไปแค่นั้น มันจะไม่ทำ คนที่ยอมแพ้ เป็นสัญชาติญาณสัตว์โลก คนไหนที่ยอมแล้ว ยังไปทำร้ายเขาอีก นี่เลวกว่าหมาอีก เขายอมแล้ว ยังไปซ้ำเติมอีก อันนี้สู้หมาได้ เลวกว่าหมา เป็นหมายิ่งกว่าหมา เป็นเรื่องลึกซึ้ง ถ้าไม่ฝึก ทำไม่ได้ สังคมเรา ถ้าไม่ฝึกธรรมะ โลกเขายอมไม่ได้ ตบมาไม่ตบตอบ ก็ไม่ใช่คนสิ ต้องทำตอบสิ อย่างนี้โลกๆ เขาคิดกัน

        อย่างพวกเรา มีคนชื่อหินไท ขณะเกิดคดีสันติอโศก เขานำสืบที่ วัดมหาธาตุ ก็มีกองเชียร์ ฝ่ายโน้นเขา เป็นผู้หญิง เกิดโกรธอะไรขึ้นมา ก็ตบหน้าคุณหินไท ที่เป็นชาย กลางสาธารณชน ทั้งที่เราไม่ได้ไปทำอะไรให้เขา แค่ถ่ายรูปแค่นั้น มีคนเห็นอยู่เยอะ แต่คุณหินไท ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ไม่ทำให้อาตมาขายหน้า เพราะได้รับ การฝึกฝนจิตใจแล้ว ก็ระงับได้

        การตอบโต้ ก็ดวงจิตโหดร้าย แต่ถ้ามันเบาบาง ก็ไม่ตอบโต้ อย่าไปนึกว่าเสีย แต่โดยสัจธรรมเราได้ โดยอหิงสา อโหสิ อาตมาจำได้ว่า เคยเขียนแจกว่า “สันติ อหิงสา อโหสิ” แต่คนเขาก็บอกว่า ทำได้แต่สันติ อหิงสา ทำอโหสิไม่ได้ ตกลงคำว่า ๓ คำนี้ เลยกร่อนไป ๒ เหลือแต่ สันติ อหิงสา หมู่ใหญ่เขาก็พูดแต่นี้ ไม่เอา.......อหิงสา เพราะเขาทำไม่ได้ แต่อโศกเราก็ใช้อหิงสา.....ด้วย

        มาเข้าสู่ ทฤษฏีงาน ๑๙ มันเป็นความเจริญสุดยอด ของมนุษยชาติ

๑.มีคนที่ดี
๒.มีงานที่ดี
๓.มีความรู้ความสามารถ
๔.มีเวลาหรือมีโอกาส
๕.มีทุนที่เหมาะควร (อย่าไปโลภมามาก)
๖.มีสุขภาพและกำลังที่ดี
๗.มีความขยันอุตสหะบากบั่น
๘.มีหลัก มีระเบียบ มีเป้าหมาย 
๙.มีการจัดสรรและจัดโครงการ
๑๐.มีการแบ่งงาน และประสานเนื่องหนุน
๑๑.มีกะจิตกะใจ มีความใส่ใจ ขวนขวาย ไม่ดูดาย
๑๒.มีการปรับความเข้าใจกัน ให้เกิดความสามัคคีอยู่เสมอ
๑๓.มีการขัดเกลา ปฏิบัติ ละกิเลสเสมอ
๑๔.มีความเห็นดี ยินดี 
๑๕.มีความเห็นจริง ซาบซึ้ง เชื่อมั่น
๑๖.มีสติ ปฏิภาณปัญญา
๑๗.มีสมาธิ ฌาน อุเบกขา
๑๘.มีความเสียสละแท้
๑๙.มีพลังเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน (เป็นเอกีภาวะ ที่มีวิมุติเป็นพลัง)

        วิมุติสำเร็จจริง เป็นอรหันต์จะมีพลัง วิมุติของพระพุทธเจ้า จะมีพลังสร้างสรร ทำงานอยู่กับโลก อย่างมี พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชน เป็นอันมาก)  โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) คือมีคนที่ดี ก็จะมีพลังปัญญา แล้วมีพลังความเพียร ไม่อยู่เฉยหรอก คนจะข้าม โมฆะสงสารได้ คือเราไม่พักเราไม่เพียร เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับ ยังเพียรต่อไป
เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพัก หรือไม่ต่ออายุ อิทธิบาท เราเป็นผู้ข้าม โอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ)

        ถึงเวลาควรพักก็พัก ไม่พักก็เพียร แม้เราป่วย เราก็รู้ เราก็พัก คนอาจงงว่า อย่างนี้หรือ คือนิพพาน ไม่เห็นบอกว่า หมดกิเลสเลย แต่นี่คือ คุณสมบัติอรหันต์ ทำการงาน ที่เหมาะควร เป็นพลัง ๔
.     ปัญญาพลัง  (กำลังคือ ปัญญา)
๒.     วิริยพลัง  (กำลังคือ ความเพียร ขยัน)
๓.     อนวัชชพลัง  (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ)
๔.     สังคหพลัง  (กำลังคือ  การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น)
 

        ที่พาพวกเรามาประท้วงนี่ ปราชญ์จะไม่ติเตียน แต่ผู้ท้วงคือ ผู้ไม่มีปัญญา

        การมีสุขภาพที่ดี เป็นสมบัติขั้นต้น จากนั้นมีความขยัน มีการจัดสรร เป็นเรื่องของ โครงสร้าง จากนั้น เป็นเรื่องของนามธรรม คือ...เป็นคุณสมบัติ ของจิตวิญญาณ

        ถ้าโลกเขาจะทำงาน ก็จะต้องบอกว่า มีทุนไหม แต่ถ้าทางธรรม จะตั้งต้น ที่มีคนไหม แล้วค่อยมีงาน อาตมาพาคนสร้างสรร ให้เกิดงาน แล้วทุนจะอยู่ข้อ ๕ โน่น อย่างคุณ เป็นลูกจ้าง ก็ไม่ต้องมีทุน แต่ถ้าได้งานแล้ว คุณมีความรู้สามารถ คุณทำลงไป ก็จะได้ทุน แต่ทุกวันนี้ ระบบทุนนิยม จะเริ่มที่ทุน ไม่พูดถึงคน ไม่พูดถึงความรู้สามารถ เป็นเรื่องตลก ทางโลกีย์กับโลกุตระ จะต่างกัน เราพาทำนี่ เราไม่คำนึงถึงทุน แม้มีทุนมาก เราก็ไม่สะสม เป็นเรื่องย้อนแย้ง เราอโศกทำมานี่ ตั้งแต่ต้น จนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่ได้มีทุน มากมาย แต่มาด้วยแรงงาน ด้วยเต็มใจ เป็นคนกับเป็นงาน มีน้ำใจมา รับรองว่า ที่ไหนก็ได้ ขอให้เรามีความรู้สามารถ กับพากเพียร ทรัพย์ของคนอยู่ที่ไหน?? อยู่ที่เงิน หรือธนาคาร ก็ไม่ใช่ แต่ทรัพย์อยู่ที่ สมรรถภาพกับความขยัน ถ้าคุณมีความสามารถ แต่ไม่ขยัน ก็ไม่ได้ แม้ขยันแต่โง่ก็ไม่ได้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ (ความสุจริตด้วยนะ ในความรู้สามารถ แม้มีรู้สามารถแต่ทุจริต เขาก็จะไล่คุณ แม้ขยันก็ยิ่งจะไล่เร็ว) ถ้าความรู้สามารถ แต่เห็นแก่ตัวแก่ได้ ....มีดี….

        อาตมาพาพวกเราทำนี่ ไม่ห่วงหาอาวรณ์ มีคนห่วงว่า นี่เราตั้งโรงเรียนนะ ตั้งมา ๒๐ กว่าปีแล้ว คนห่วงว่า เด็กเรามาทำอย่างนี้ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาเปรียบเอารัด แล้วจะออกไป สู้กับสังคมได้หรือ สอนให้เสียสละ จะถูกเอาเปรียบได้มากสิ …. คนเขาว่าอย่างนั้น สอนแบบนี้ จะไปสู้โลก ทันเหลี่ยมทันโลก ได้อย่างไร แต่จริงๆแล้ว ออกไปเซ่อซื่อ แต่ซื่อสัตย์ขยัน นี่แหละดีช่วยเขา เราจะได้อยู่กับคนดี คนดีจะเห็นค่าเรา จะเห็นใจ ช่วยเหลือ ยิ่งเราไม่เห็นแก่ตัว ขยันอีกต่างหาก เขายิ่งอยากได้ อย่างเด็กนร.เรา จบอาชีวะ เขาก็จองตัวเลย เดี๋ยวนี้รู้แล้ว จองตัวก่อนจบเลย  ไปทำงาน เรามักน้อย สันโดษ เขาให้เงินเดือนเพิ่ม ก็ไม่เอา บอกว่าพอแล้ว หรือเขาให้ ตั้งเงินเดือนให้เรา ก็เอาแค่น้อยก็พอ แต่พออยู่ไป ก็จะเกิดเห็นว่า อยู่กับเขาไม่ได้ แล้วจะออก เขาก็ไม่ให้ออก จะให้เงินเดือนเพิ่ม แต่ว่าเราก็บอกว่า ไม่ใช่เงินเดือนน้อย ที่ให้ก็พอแล้ว แล้วก็ออกมา ทำงาน อยู่กับพวกเรา มาทำงานฟรี คือจิตมันถึงขีดแล้ว ความสุขกับเงินนี่ เมื่อใจเราพอ เราไม่ต้องการมากแล้ว ไม่ตะกละด้วย ไม่หลงโลกเขา ที่พาหรูหรา เราไม่หลง เรามีปัญญาพอ แค่นี้พอ จิตมันจริง มันสันโดษ คือพอจริง ….


  

 
๒ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.