570119_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่เวทีป้อมมหากาฬ
เรื่อง ประท้วงแบบคนจนมหัศจรรย์กู้ชาติได้

        คนยิ่งทำเลว เรายิ่งต้องทำดีให้มาก
ทำดีหรือทำชั่ว เป็นผลวิบาก กรรมเป็นทรัพย์ ฟังซ้ำๆ ใครเบื่อในสิ่งที่เป็น ยอดเพชร ยอดสมบัติ เป็นสุดยอดของชีวิต คนนั้นจิตไม่ดีแล้ว เพราะเป็นสิ่งที่ ควรได้รับเสมอๆ ถ้าคนไหนรู้สึกว่า ไม่ค่อยชอบแล้ว คนนั้นจิตใจตกต่ำ ไม่ดีไม่งามแล้ว

        เราต้องสั่งสม สิ่งประเสริฐ จงรู้สึกตัว ให้ไวเลย ว่าเราชักแย่แล้ว ความเป็นคน ของเรา ชักตกต่ำแล้ว คนเขาทำชั่ว เขาก็รู้ตัวเองนะ จะทำคนเดียว หรือทำเป็นแก๊งค์ ก็ตาม หรือเป็นคณะใหญ่ระดับประเทศ ก็น่าสงสารประเทศไทยนะ เราต้องไม่ดูดาย เราต้องคิดว่า อาจจะเป็นเช่นนั้น ยิ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เรายิ่งจำเป็น ต้องช่วยกัน จำเป็นอย่างยิ่ง ต้องช่วยกัน

        ช่วยอย่างที่เราพากเพียร ร่วมกัน มาร่วมต้านสิ่งชั่วเลว สิ่งไม่ดี เป็นความจำเป็น ดูดายไม่ได้ เราตั้งหน้าตั้งตา ทำกันมา อีกเดือนเดียว ก็ทำลายสถิติ พธม.แล้ว ที่เคยประท้วงมา ต่อเนื่องได้ ๑๙๓ วัน เป็นสถิติ นอกนั้น ก็มีอีก หลายกลุ่มหมู่

        แล้วชาว กปท. ออกมาตั้งแต่วันที่ ๔ ส.ค.​๕๖ กองทัพธรรม มาวันที่ ๗ ส.ค.​๕๖ วันนี้ก็ได้เลย ๕ เดือนมาแล้ว ถ้าอีกเดือนหนึ่ง ก็จะทำลาย สถิติเดิมเลย แล้วเรามาทำอะไร แต่ละคน รู้สึกไหมว่า เราได้มาทำชั่ว ทำไม่ดีไม่งาม หรือเราทำไม่ถูก ได้ตรวจตรา ดูบ้างไหม?

        เขากล่าวหาว่า เราเป็นกบฏ ซึ่งวันนี้ อาตมาตั้งใจ จะพูดเรื่องนี้ว่า เราออกมา ทำอะไร?

        เราออกมารวมตัวกัน ประท้วง ตามลักษณะของภาษา ประท้วง การกระทำของ ผู้บริหารประเทศ ที่ทำประเทศ ล่มจม พังทลาย สลายผิดพลาด เราก็ใช้ภูมิปัญญา เท่าที่เรามี ออกมาด้วย อิสรเสรีภาพ ไม่ได้ถูกครอบงำ หรือจ้างวาน หรือบังคับ มันเป็นอิสร เสรีภาพ ของแต่ละคน ที่จะออกมา แสดงมวลของมหาประชาชน

        ฝ่ายตรงข้าม ก็มาต้านเรา ว่า ๑ คน ๑ เสียง เขาทำก็ถูกต้อง เราทำก็ถูกต้อง แล้วฝ่ายไหนผิด ฝ่ายไหนถูก ฝ่ายไหนชอบธรรม ฝ่ายไหนไม่ชอบธรรม แต่ทุกคน มีสิทธิ์ ตามระบอบ ประชาธิปไตย ทำได้ทั้งคู่ เขาก็พูด เหมือนที่เราพูด ต่างคนต่างตู่ โทษกันว่า คนอื่นผิด

        เรามาทำ อย่างสงบ เรียบร้อย ไม่ใช้อาวุธ ไม่ไปคุกคาม ทำร้ายเขา แม้เขาทำร้ายเรา ก็ไม่ทำร้ายตอบ ต้องอดทน อุตสาหะวิริยะ ซึ่งมีอ.ปราโมทย์ นาครทรรพ ได้พูด ที่สวนลุมฯ ได้ประมวลความผิด ของอีกฝ่าย มาจากต้นตอ คือคุณทักษิณเลย ตามหลักวิชา และพฤติกรรมจริง ที่เขาได้ทำมาแล้ว มันเป็นโลกียธรรม เป็นโลกธรรม ที่เลวร้าย ซึ่งที่จริง โลกียธรรม มีทั้งกุศล และอกุศล และเขาทำเลว หนักขึ้นๆ ก็ต้องขอพูดอีกที ว่าอายุปูนนี้แล้ว ไม่เคยเห็น ใครทำเลว ได้เท่าคุณทักษิณ จะให้พูดว่าดี ก็ไม่ใช่ เพราะเลวมาก เป็นสิ่งควรพูด เพราะกระทบต่อ บ้านเมืองไทย คนไทย มีผลจริงอยู่ เมืองไทย ไม่เคยแตกแยก ขนาดนี้ ผัวเมียแตกกัน พ่อลูกแตกกัน ซับซ้อน หลอกล่อ โกหก ตลบแตลง ใช้โลกธรรม เป็นพลัง คนมีกิเลส ก็ตกเป็นทาส

        นอกจากจะโง่ส่วนตัว แล้วก็ถูกเขาเอา โลกธรรม เป็นอามิส ล่อ บังคับ ให้ทำสิ่งเลว คนมีกิเลส ก็กระโดดงับ ตกเป็นทาส เป็นลิ่วล้อ เป็นเบี้ยช่วย

        คนที่ไม่ได้ไปหลงลมเขา ไม่เป็นทาสโลกธรรม ก็ไม่ไปช่วยฝ่ายโน้น ก็เป็นกลาง กับช่วยกัน ซึ่งมีทั้งกลาง มิจฉาทิฏฐิ ไม่ช่วยสังคม ใครจะชั่วดี เราไม่เกี่ยว นี่คือ มิจฉาทิฏฐิ

        เป็นกลาง ต้องเข้าข้างคนดี เพราะเห็นๆว่าสังคมเลวร้าย ต้องมาต้านคนชั่ว ช่วยคนดี เพราะคนชั่ว ทำเลวได้มาก คนดียิ่งไม่ทำร้ายใคร ส่วนคนร้ายนั้น ทำร้ายคู่ต่อสู้ คนอยู่กลางๆ คือคนใจดำมาก ทั้งรู้ว่าใครดี ใครชั่ว แต่ก็ปล่อยให้คนร้าย ทำร้ายคนดีได้ ทำไม ไม่รู้สึก รู้สาบ้าง

        คนดีก็หลบเลี่ยงบ้าง อย่าไปตอแยเขามาก ก็ทำสิ่งที่ จะให้เขาหยุด การให้ความดี ไปยับยั้งความชั่ว ต้องอาศัยมวล และอาศัยตุลาการ แต่คนชั่ว ไม่ยอมรับตุลาการ ก็เลวซ้อนเลวซ้ำ ก็ต้องอาศัยมวล

        ที่เราทำได้มากขนาดนี้ เพราะได้มวลมาก ไม่ว่าเวทีไหน แยกเวทีกัน ก็คือ หนึ่งเดียวกัน แต่ก็เป็นจุดหมาย เดียวกันหมด เป้าหมายเดียวกันหมด จึงเยอะ เป็นเหตุการณ์ ที่ยังไม่เคยเกิด มีคนออกมาร่วมชุมนุม ยาวนาน อดทน สงบ อันนี้เป็น บุญญาวุธ สุดประเสริฐ จะเป็นสิ่งบันทึก เป็นประวัติศาสตร์ ของโลก

        แม้มีเหตุการณ์ทำร้ายเรา เราก็สงบ เราไม่ทำร้ายตอบ เขาทำร้าย อยู่ฝ่ายเดียว ผู้รู้ก็เห็น ขอให้รักษา ความสงบ เอามวลยืนหยัด อดทน นานเท่าไหร่ ก็ต้องยืนยัน

        ๑. ตุลาการ เขาก็ไม่รับ การไม่รับอำนาจตุลาการ คือกบฏ ก็เหลือแต่ ตุลาการภิวัฒน์ ชนะด้วยการตัดสิน ก็ย่ำแย่ แต่ก็ช่วยได้ หนักเข้า ต่างประเทศ ก็ต้องช่วยกัน ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ

        ๒. ประชาภิวัฒน์ คือมวลประชาชน ออกมามากๆ ในอเมริกาเอง มีคนชุมนุม ต่อเนื่องมานาน ๒๐ ปีแล้ว และเราออกมานี่ มีคุณภาพ ที่เป็นธรรมะ ทำแต่สิ่งดีๆ พฤติกรรมดีๆ ถูกต้อง เราอยู่อย่างภราดรภาพ อยู่อย่างพี่น้อง ยาวนานขึ้น จะเป็นบูรณภาพ ถึงที่หมาย ที่ควรเป็น

        ที่เราทำนี่ มีความชัดเด่น ที่เราทำ เราทำแบบคนจน

"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการ แบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุน มากหลาย อย่างของเขา เราก็ทำไป ก็เลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเรา ไม่ได้เป็น ประเทศที่รวย เราก็รวย พอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศ ที่ก้าวหน้า อย่างมาก เราไม่อยากจะเป็น ประเทศอย่างก้าวหน้า อย่างมาก เพราะว่า ถ้าเราเป็นประเทศ ที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้น ที่เขามีอุตสาหกรรมสูง มีแต่ถอยหลัง และถอยหลัง อย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรา มีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรา มากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคี นี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ ตลอดไป ไม่เหมือนคน ที่ทำตาม วิชาการ แล้วก็วิชาการนั้น ก็เราดูตำรา แล้วพลิกไปถึง หน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้น เขาบอกว่า "อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่า เป็นอย่างไร เวลาปิดเล่ม แล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้ว ไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้อง เปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรก ก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลัง เข้าคลอง" แต่ถ้าเราใช้ตำรา แบบที่เรา อะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ" ในหลวง ทรงมีพระราชดำรัสนี้ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2534

        ของพวกเรานี่แบบคนจน และมักน้อยสันโดษ แบบพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านสอนไว้ หลายแห่ง ในพระไตรฯ เช่นในโคตมีสูตร
.     เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ)
.     เป็นไปเพื่อความไม่ผูกมัดรัดรึงสัตว์ไว้ (วิสังโยคะ)
.     เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ)
.     เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ)
.     เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ)
.     เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ)
. เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ)
. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)
        นี้เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา  (โคตมีสูตร พตปฎ. เล่ม ๒๓   ข้อ ๑๔๓)

        เป็นหลักใหญ่สำคัญ ไม่ท้งมักน้อย สันโดษ มักน้อยคือมาจน ไม่ต้องมีมากหรอก ในชีวิต ฟังแล้วก็น่ากลัว สำหรับ ผู้ที่มักมาก ในโลกธรรม อย่างปธน.อุรุกวัย ชื่อ มูจิก้า เป็นคน มักน้อย ที่เป็นตัวอย่างที่ดี

        แล้วทำไม เรานับถือคนมักน้อย ว่าเป็นคนดี เป็นสิ่งยอดเยี่ยม แม้พระพุทธเจ้า มาเป็นคนจน ไม่ได้หมายถึงว่า คนจนเป็นความต่ำต้อย ไม่เจริญ ไม่ใช่เลย

        ในหลวงเราเลยบอก ให้มาเป็นคนจน ต้องทำปัญญาให้แจ้ง เป็นเรื่องน่าเป็น น่ามีด้วย ขออภัย ที่ต้องยกตัวอย่าง อโศก ชาวอโศก เป็นกลุ่มคน ที่อยู่ตามจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทย มีชื่อเรียกกันไปตามแต่ละ สถานที่ เช่น สันติอโศก ราชธานีอโศก เป็นต้น ทุกชุมชน คนตั้งใจ เป็นคนจน กระทั่งไปตั้ง นามสกุล เป็นตระกูลจน ไม่รู้กี่นามสกุลแล้ว เจตนามุ่งมั่น ประทับใจว่า เราต้องเป็นคนเช่นนี้ ให้ได้ พยายามลดละ จนออกมาอยู่กับ วัฒนธรรมของเรา มีจารีต มีระบบ เป็นระบบที่เราเรียกว่า ระบบบุญนิยม

        ซึ่งถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นของพระพุทธเจ้า อยู่ในสาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗ มีเมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แล้วมี สาธารณโภคี , ศีลสามัญตา , ทิฏฐิสามัญตา

        ศีลสามัญตา คือมีศีล เสมอสมานกัน คนศีล ๕ เสมอศีล ๕ แล้วเสมอสมานศีล ๘ ตามลำดับไป นับถือกัน มีคุรุกรณะ มีสารณียะ มีปิยกรณะ มีสังคหะ มีอวิวาทะ ไม่ทะเลาะวิวาท มีสามัคคียะ มีเอกีภาวะ เป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน

        อโศกแน่น เป็นปึกแผ่น สัจธรรมที่เป็นแล้ว จะเป็นเช่นนั้น จะลงตัว เป็นของจริง ที่ไม่ขัดแย้ง เป็นสาธารณโภคี เกิดจากจิตที่ ถ้าไม่มีจิตเมตตา ก็จะออกมาทางกาย ทางวาจา มีมากน้อย ก็ออกมาจริง

        เราสังวรระวัง แม้มีกิเลส ก็ต้องระวัง ให้เมตตาทางกาย ทางวาจา เกื้อกูลกัน สังคหะ ช่วยเหลือกัน เป็นภราดรภาพ เป็นพี่เป็นน้องกัน ใช้กินของส่วนกลาง เราออกมาชุมนุม ทำอย่างสาธารณโภคี

        คนมาชุมนุม ก็กินใช้ร่วมกัน แบ่งกัน ใครมีมาก ก็เสียสละ เลี้ยงดูกันไป หลายเดือนแล้ว ถ้าจะไปเป็นปี จะอยู่รอดไหม? ...รอด... เอาอะไรมาเป็นประกัน... คุณได้ช่วยเหลือ อะไรบ้าง

        เราอยู่อย่างอนุเคราะห์ ไม่แย่งชิง สังวรระวัง ไม่เห็นแก่ตัว พยายามลด เห็นแก่ตัว อย่างที่เราอยู่กันนี่ ถ้าเราทำอย่างนี้ เป็นปี ก็เป็นได้

        เมื่อเราได้ทำร่วมกัน ที่เราอยู่นี่ แออัดนะ แต่ถ้าชีวิตจริงๆ ต่างคนต่างอยู่ คนละบ้าน แต่พฤติกรรม เช่นนี้ ทุกคน พยายามทำ ให้มีส่วนเกิน แล้วไปเกื้อกูลกัน ขายกัน ก็ขายถูกๆ ไม่ใช่ขายอย่างทุนนิยม เสียสละเท่าใดก็ได้ ถ้าจิตเป็นจริง อย่างนี้ได้จริงๆ จิตเป็นประธาน อย่างอโศก เป็นชุมชน สาธารณโภคี หลายสิบปีแล้ว

        เริ่มมาแต่ ๒๕​๒๗ ชุมชนปฐมอดโศก เป็นชุมชนแรก ถือว่าเป็นรูปร่างเสร็จ มีแผ่นดิน แบ่งแจก มีวิธีการอยู่กัน แล้วทำงานเป็นสาธารณโภคี กินใช้ส่วนกลาง ทุกคน ทำงาน เข้าส่วนกลางหมด เป็นต้นแบบ แล้วเกิดชุมชนอื่น ขึ้นมาเรื่อยๆ หลายชุมชน จนกระทั่ง มีชุมชนย่อย หลายสิบชุมชน ทุกแห่งสาธารณโภคีหมด

        อาตมาภูมิใจมา ทุกชุมชน ไม่มีที่ไหน เป็นหนี้ภายนอก หรือเป็นหนี้ธนาคาร นี่คือ ชุมชนเอกราช ส่วนกลาง ไม่เป็นหนี้ ส่วนตัวก็มีบ้าง พระพุทธเจ้าสอนว่า การเป็นหนี้ เป็นทุกข์

        ในหลวงว่า การไปรวยๆนี่ จะไม่ก้าวหน้า มันมีแต่จะถอยหลัง อย่างสังคม ทุนนิยม สะสมร่ำรวยส่วนตัว แล้วให้ส่วนใหญ่ อดอยาก แย่งชิง จิตใจคน รักจะมาจน กับคน ที่อยากรวย เหมือนนายทุนนั้น ต่างกัน ถ้าคนส่วนมาก อยากรวย เหมือนนายทุน ก็ตรงกันข้ามกับ ในหลวงท่านตรัส เราต้องมาอยากจน ไม่ไปอยากรวย แล้วพากเพียรจน

        ไม่มีใครให้คนอื่น จนตัวตายหรอก กิเลสมันไม่อยากให้ เราก็ต้องให้ไป ถ้าสังคม สาธารณโภคีจริง ไม่ต้องมีส่วนตัวเลย ให้ไป หมดเนื้อหมดตัวเลย ก็อยู่ได้ ใช้กิน ส่วนกลาง เขาไม่ให้ เราก็ไม่ใช้ เขาให้เราก็ทำ ทำแล้ว เราไม่เอา เป็นส่วนตัว ทำน้อย เราก็ให้ส่วนกลางได้น้อย ทำมาก เราก็ให้ส่วนกลางได้มาก แต่ละคน ถ้าทำแล้ว ไม่คุ้ม เขาก็ไม่ให้มาก คนนี้ควรอนุมัติ ให้มากไหม คุ้มไหม คุ้มก็ควรให้ ต่างคนต่างดูแล เพราะเป็น ของส่วนกลาง ช่วยกันบริหาร แบ่งแจก

        เป็นเศรษฐศาสตร์ บทใหม่ของโลก เป็นเศรษฐศาสตร์ บุญนิยม ส่วนทุนนิยมนั้น มุ่งไปรวย เป็น Maximize Profit ต้องให้ได้กำไร มากที่สุด เป็นเป้าหมาย แต่มาจนนี่ Minimize Profit กำไรให้น้อย หรือไม่เอากำไรเลย

        จิตที่เป็นจริงได้อย่างนี้ เป็นความก้าวหน้า อย่างมาก กล้าพูดว่า ชาวอโศก ก้าวหน้า ทุกวันๆ เราทำตามที่ ในหลวงตรัส ว่าให้มุ่งมาจน แล้วเราทำ ให้เราจน ได้จริงๆ เป็นจริงแล้ว อยู่กันมา หลายสิบปี
       
        ตั้งแต่ปีพศ. ๒๕๒๗ มาถึง ๒๕๕๗ ก็ ๓๐ ปีแล้ว สำหรับปฐมอโศก ตอนแรก อาตมา ก็เป็นคนกลาง มีคนบริจาคให้อาตมา ก็ไปช่วยชุมชนไหน ที่ต้องช่วย โดยอาตมา ไม่เอาไว้ เป็นของส่วนตัว เงินที่ใคร บริจาคให้อาตมา จะไม่ใช้เลี้ยงตนเอง จ่ายเพื่อตนเอง แม้ตนเอง ต้องกินข้าว แล้วไม่มีข้าวกิน ก็ไม่ใช้เงิน ที่เขาบริจาค ซื้อข้าวกิน เพื่อตนเอง และแม้ว่า จะซื้อปัจจัย ๔ แม้รักษาโรคตนเอง ก็ไม่จ่ายเงินที่เขาบริจาคให้ ใครจะอนุเคราะห์ ก็ทำไป ถ้าไม่มีใคร ก็ดื่มน้ำเยี่ยว ของอาตมา รักษา

        ตั้งแต่บวชมา ก็มีเกณฑ์จะรับ ไม่ได้รับทุกคน ได้มาก็ให้ส่วนกลางใช้ สำหรับ ปฐมอโศก ตอนแรก ก็ให้เขาบ้าง เขายังตั้งหลักไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้ เขาตั้งหลักได้แล้ว ตอนนี้ให้อาตมา มาเดือนละ ๑ ล้านเลย แต่ตอนนี้มาชุมนุม ไม่ค่อยมีแรงงาน ก็เลยให้ ไม่ถึงล้านแล้ว แรงงานขาดทางโน้น อาตมาก็เลย พลอยถูกตัดไป เขาก็อยู่รอด ช่วยเลี้ยงน้องๆ ชุมชนอื่น

        เป็นเศรษฐศาสตร์ที่วิเศษ เป็นอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ เป็นพี่เป็นน้อง แท้จริง แล้วมีสันติภาพ สมรรถภาพ แล้วพัฒนาขึ้น บูรณาการขึ้น ทุกวันๆ เป็นเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นระบบระบอบบริหารกันไป เป็นระบอบที่เป็น ประชาธิปไตย ยิ่งใหญ่ มีธรรมาธิปไตย สมบูรณ์ ทุกคนจน พยายาม บางคนมีทรัพย์ ส่วนตัวบ้าง ส่วนคนไหน แน่ใจ ก็ไม่ต้องสะสม หมุนเวียนใช้ไป อธิบายยาก แต่มาอยู่จริง ก็จะรู้ อยู่ที่บารมีด้วย ถ้าเป็นหมาหัวเน่า ก็อยู่ยาก แม้เบิกส่วนกลางก็ยาก แต่ถ้าเป็น ที่รักของสังคม ก็ไม่ขาดหรอก

        แล้วยิ่งเรามีจิต ไม่มักมาก ไม่หลงใหญ่เฟ้อเกินแล้ว นิดหนึ่งก็พอแล้ว ไม่อยากมากมาย มีน้อยก็พอแล้ว ในวัฒนธรรมแบบนี้ เป็นจิตวิญญาณ ที่พร้อมพรั่งด้วย ภูมิปัญญา และมีจิตใจไม่โลภ ไม่โกรธไม่หลง มีน้อยก็พอ สงบ ไม่เดือดร้อนดิ้นรน สงบ แล้วจิตไม่ดิ้นรน ไม่ซัดส่ายวุ่นวาย มีเท่านี้ก็พอ

        อสังสัคคะ ไม่ติดสวรรค์ จิตไม่มีเพื่อนสอง คือจิตที่ปราศจาก กิเลส ตัณหา

        ที่เราชุมนุมนี่ อยู่อย่างสาธารณโภคี ตั้งแต่เราทำ Neo Protest เรียกว่าใหม่ ก็เพราะว่า เราจะเอา ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว เอาความสงบ และความถูกต้อง เป็นธรรมาวุธ ขออภัย ที่ต้องบอกว่า เป็นผลที่เราทำมา ได้ผลไม่มากก็น้อย ประชาชน ก็ช่วยกันทำมา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ ก้าวหน้า มาเรื่อยๆ แต่ปี ๒๕๔๙

        ถ้านักรัฐศาสตร์จะทำวิจัย จะได้เป็นหลักวิชาเลย ซึ่งอาตมาขอบคุณ แต่ละคน ที่ออกมา ช่วยกัน แม้แต่คนที่ ช่วยสงเคราะห์ ช่วยเบื้องหลัง ก็มี เป็นองค์ประกอบ ร่วมกัน ทำคนละเล็กละน้อย หรือคนละมาก ก็ตาม อย่างที่รับเงิน ของกำนัน นั้น ไม่ได้รับ แค่เงินนะ แต่รับจิตวิญญาณด้วย ถ้าคนทั้งโลก มีจิตใจ เห็นน้ำใจ เสียสละ สุดยอด เป็นเรื่องจริงใจสุดวิเศษ น้อยก็คือ ยอดแห่งน้ำใจ ยิ่งมาก ก็ยิ่งวิเศษเลย เขาทำแล้ว ไม่เดือดร้อน ยิ่งทำยิ่งดี เขาเห็นคุณค่า เขาเหลือน้อยก็ให้ ไปตายเอาดาบหน้า มี ๑๑ บาท ก็ให้หมดเลย ไม่กลัวตายเลยก็ยอด

        การพัฒนามาถึงวันนี้ แล้วเข้ารอบ พัฒนาของประเทศชาติ มีความเดือดร้อน ของประเทศ เป็นตัวกระตุ้น แล้วมีความจริง ที่ประชาชนรู้ว่า ชาติเดือดร้อน เพราะอะไร เริ่มตั้งแต่ สนธิ ออกมา มาตามลำดับ จนกระทั่ง ถึงวาระนี้ก็เกิด กำนันสุเทพ มาเป็นตัว Activist ตัวสำคัญ​ ถ้าเข้าใจแล้ว ไม่ใช่เรื่อง จะไปริสยากัน แล้วก็เป็นเรื่องที่ สะสมมา เขาทุกข์ร้อนมาก ในทุจริต แล้วก็มีสิ่งดี ความดี เพิ่มขึ้นมา สองด้าน ทั้งดีและเลว ของสังคม สะสมมา จนประชาชนตื่นรู้

        เพราะประชาชน มีเนื้อหาธรรมะอยู่ด้วย จึงมารวมตัวกัน เกิดเหตุเช่นนี้ ประเทศที่ ประชาชน ตื่นรู้ และพิเศษที่ว่า เป็นความสงบ อย่างพิเศษด้วย ถามว่า... อาตมา อยากให้สำเร็จไหม... อยาก

        แต่ใจจริง ไม่ได้อยากหรือไม่อยาก แต่ควรไหม?... ควร ใจก็รู้ว่า ถึงเหตุปัจจัย ก็ควรเป็น ตอบตามโวหาร ว่าอยาก  ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่สุดประเสริฐ หากเราชนะ ด้วยสงบ ปราศจากอาวุธ ชนะด้วยความดีงาม ถูกต้อง ถ้าความถูกต้องดีงาม เป็นผู้ชนะ ไม่ดีได้อย่างไร และมาถึงวันนี้ เหตุปัจจัย ขนาดนี้ น่าจะเป็นไปได้

        เหลือแต่ว่าประชาชนเท่านั้น จะช่วยกันทำ ย่อมเกิดเอง อย่างลึกลับ ก็ไม่ใช่ ทุกอย่าง มาแต่เหตุ พระพุทธเจ้าสอน ไม่มีเรื่องอะไร เกิดโดยบังเอิญ

        ทุกวันนี้เล่นโกงกัน เป็นแสนล้านแล้ว มันไม่เล่นแล้ว พันล้าน หมื่นล้าน มันจะเอาล้านๆ สาหัสจริงๆ เลวฉิบหาย

        บาปบุญมีราคา ไปทำบาป ในดงคนบุญ ก็บาปมหาศาล เช่น คุณมีข้าว ก้อนนี้นะ ให้โจรกิน ก็คือให้โจร ถ้าให้คนดีกิน ก็ได้ค่าของบุญ สูงกว่าโจรไหม? ยิ่งข้าวก้อนเท่าเดิม ให้แก่อาริยบุคคล ให้แก่ผู้มีประโยชน์ ต่อโลกกิน ราคาค่าบุญ ของข้าว ก้อนเดิมนั้น ต่างกัน

        ยิ่งไปทำบาป เช่น ไปทำร้าย พระอาริยะ ก็บาปมากกว่า ไปทำร้ายโจรคนชั่ว ทำร้าย พระสกิทาฯ ก็บาปกว่า ทำร้ายโสดาบัน ถ้าทำร้ายพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดแผล ก็บาปมากกว่า ไปทำร้ายคนอื่น

        พระพุทธเจ้าว่า ใส่บาตรพระโสดาบัน ๑ ครั้ง ได้บุญมากว่า ใส่บาตรเป็นนิจทาน , ทำบุญ ใส่บาตร พระอนาคามี ๑ ครั้ง เท่ากับใส่บาตร พระสกิทาคามี ๑๐๐ ครั้ง ทำบุญ แก่สาวก พระพุทธองค์ ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ โดยไม่กำหนดบุคคล  ยิ่งได้บุญมากกว่า ทำบุญกับ พระพุทธเจ้า

        ทุกวันนี้ ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว คุณทำจตุทิสาสังคิกวิหารทาน ทำบุญ ทั่วทั้ง ๔ ทิศเลย ได้บุญมากกว่า ทำบุญกับ พระพุทธเจ้า ยิ่งทำบุญโดย ไม่กำหนดบุคคล จะพระเล็ก พระน้อย ท่านขาดอะไร

        พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลงทุนน้อย แต่ได้ผลมาก ท่านไม่ได้ขอนะ แต่เราไปสังเกตว่า ท่านขาดอะไร ขาดด้าย ขาดเข็ม แล้วท่านต้องการ เราไปรู้ ความขาดแคลน ของท่าน เรารีบสงเคราะห์ ลงทุนน้อย แต่อานิสงส์มาก ได้บุญมากกว่า สร้างวิหารถวาย

        ที่จริงวิหารแปลว่า เครื่องอยู่ เขาก็ไปตีกินว่า สร้างวิหารนี่ราคาแพง ไปเข้าใจว่าเป็น จตุทิสาสังคิกวิหารทาน ที่จริงไม่ใช่ แล้วยิ่งพระสงฆ์ ที่ท่านไม่ได้สะสม เพราะจะอาบัติ นิสสัคคียปาจจิตตีย์ ถ้าแน่ใจว่า ท่านขาดก็ซื้อให้ ถ้าแน่ใจว่าให้เงินท่าน ท่านก็ไม่เอาไว้แก่ตน ท่านไม่อยากได้ ไม่มีจิตมีกิเลสตัณหา แต่ว่าท่านขาดแคลนสำคัญ ก็อานิสงส์สูง ถ้าท่านมักน้อยสันโดษ ท่านไม่ได้อยากเอาหรอก ก็ยิ่งมีอานิสงส์ ถ้าท่านไหน มักมาก มีโวหาร มีวิธีเลียบเคียง ก็ยิ่งไม่น่าให้ท่าน มีตัวอย่างมาก ในสังคม ก็ให้ทำการ คว่ำบาตรบ้าง ยิ่งไปหลอก ให้คนหาให้ได้เยอะ แล้วเอาไปทำบุญ เขาก็หลอก คนมีความรู้สามารถ เขายิ่งรวย เขายิ่งทำได้ ก็ยิ่งให้มาก ก็ระบบทุนนิยม ก็ยิ่งรวย ไปมักมาก

        คนที่รู้จริง ก็จะสนับสนุน คนมักน้อยสันโดษ แต่ถ้าสอน ให้คนมักมาก คนไม่ฉลาด ก็เป็นเหยื่อ แล้วถ้าใคร ไม่สามารถมาก ก็หมดเนื้อหมดตัว ก็มีมาก บางคนก็ไม่หมดตัว เพราะฉลาด เอาเปรียบมาก ก็ยิ่งไปเอาเปรียบ คนอื่นอีก สังคมเดือดร้อนอีก

        อย่างสาธารณโภคี ยุคพระพุทธเจ้า ทำได้แต่ในวงสงฆ์ แต่ยุคนี้ ทำได้ในวงฆราวาส ถ้าศึกษาจริงๆ ธรรมะพระพุทธเจ้า ก็เปิดฉาก แง้มเปิดประตู สู่สังคมแล้ว โดยที่อาตมาเทศน์ โลกุตรธรรม


 
๑๙ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาส กทม.