570120_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ และอ.กฤษฎา ให้วัฒนานุกูล ที่เวทีพระราม ๘
เรื่อง ประเด็นตัดสินให้รัฐบาลนี้ออกไป

        อ.กฤษฎาว่า... เราทำมาอย่างสงบ สันติอหิงสา แต่มีเหตุร้ายที่ว่า เขาว่ากันว่า เป็นมือที่ ๓ มาก่อเหตุด้วย การชุมนุม ก็ทำมานานแล้ว อะไรจะเป็นเหตุให้ รัฐบาลนี้ ออกไป

        พ่อครูว่า... ประเด็นที่จะตัดสินก็คือสัจธรรม

        .ตุลาการภิวัฒน์ ๒.ประชาภิวัฒน์ ๓.กรรมาภิวัฒน์
        เราเคยมาชุมนุมกัน ก็มีประเด็นของ ตุลาการภิวัฒน์ ช่วยมาหลายที ตัดสินความผิด ความถูก เราชุมนุม ตามระบอบ ประชาธิปไตย ประท้วงให้เห็นว่า ผู้บริหารไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม ให้คุณต้องหยุด ต้องเลิก หรือแพ้ไป ตุลาการภิวัฒน์ ก็ช่วยมาหลายครั้ง ตามหลักท ี่คนทั่วโลก ยอมรับกัน

        ส่วนประชาภิวัฒน์ คืออำนาจประชาชน ก็มายืนยันความถูกต้อง เป็นคณะตัดสิน แต่ไม่เหมือนกับ ตุลาการ เป็นอำนาจสากล ประชาชนคือ รัฏฐาธิปัตย์ ๑ คน ๑ เสียง ถ้าผู้บริหาร มารับใช้ประชาชน เมื่อตนเองผิด แม้มีคนประท้วง แม้คนเดียวก็ตาม เขาประท้วงถูกต้อง แล้วผู้บริหารทำผิด เขาก็ต้องรับผิด ถ้าถึงขั้น ต้องออก เขาก็ต้องออก แต่ถ้ามี เป็นจำนวนมาก เป็นแสน เป็นล้าน ก็ต้องออกไป

        เป็นหลักสากล ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ เพราะประชาชน เป็นเจ้าของอำนาจ เขาจ้างคุณ มาทำงาน แล้วเมื่อคุณทำ ไม่ถูกต้อง เขายืนยัน คุณก็ต้องออกไป

        แต่นี่เขาก็ยังหน้าด้าน เราชุมนุมนี่ สุดยอดแล้ว แต่ก็เจอรัฐบาล ที่หน้าด้าน สุดยอดแล้ว ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่เป็น โด้ ง่าน จะว่าฉลาด ไม่ฉลาดแน่ เขาโง่ที่ทำผิด หลักสัจธรรม หลักสากล

        เราทำอย่างถูกต้องสากล ไม่ใช้อาวุธ  ไม่รุกรานรุนแรง แต่เขาก็ปฏิเสธ อำนาจ ตุลาการ เมื่อประชาชนประท้วง เขาก็ไม่รับ ก็ต้องให้กรรมตัดสิน เป็นกรรมาภิวัฒน์ ก็จะเป็นอย่างไร ก็ด้วยอำนาจกรรม ตอนนี้ ก็ระหกระเหิน ตุหรัดตุเหร่ กรรมจะทำร้ายเขา เป็นวิบาก ที่เขาต้องรับ สุดท้าย ดีไม่ดี ก็ต้องฆ่าตัวตาย จะโดน อันนั้นอันนี้ ก็แล้วแต่ เขาอาจไม่เชื่อ เหมือนเทวฑัต ที่ทำร้ายพระพุทธเจ้า แล้วก็ถูก ธรณีสูบ เป็นต้น

        อ.กฤษฎาว่า... แต่ละวัน เขาก็ไม่รู้จะไปนอนไหน ระเหเร่ร่อน หลบเลี่ยงไป

        พ่อครูว่า.. วันนี้สำนักพิมพ์ผู้จัดการ เขาก็เขียน นายกเป็นปูอยู่ในรู มีรูสองข้าง คนก็ดักจับ สองข้าง ไปไหนไม่ได้ ต้องมุดรู ก็น่าสังเวช เขาโด้ คือด้านยกกำลังโง่ ไม่ใช่ฉลาด แต่ด้านยกกำลังโง่

       อ.กฤษฎาว่า.. สภาวะที่ต้องระหกระเหิน นี่เป็นกรรมาภิวัฒน์

        พ่อครูว่า... หนักเข้าก็ต้องตกเหว ตกห่า สุดท้าย แม้จะต้องฆ่าตัวตาย ก็เคยมี ในประวัติศาสตร์ เป็นตามสัจธรรม เขาไม่เชื่อกรรม แม้เขารู้ หรือไม่รู้ก็ตาม แต่โดยสัจธรรม ของมนุษยชาติ เขาก็มีการยืนยันหลักฐาน พยาน เป็นเครื่องยืนยัน เขาก็ดิ้นรน ใช้เล่ห์ตลบแตลงไป เขาก็มีฝ่าย ที่ออกข้อมูลสื่อสาร เขามีคน ที่พูดได้พูดดี สองคนคือ ณัฐวุฒิ และจตุพร นอกนั้นก็มี นางนกแสก สามีนางนกแสก เราเห็นชัดๆ เลยว่า เขากลับพูดว่า ตัวเขาเป็นคนถูก แล้วก็ให้เรา เป็นคนผิด หาเรื่องซับซ้อน พูดไปได ้สารพัด เป็นเรื่อง ทุจริตใคร ทุจริตมัน อกุศลใคร อกุศลมัน

        ขอบอกชาวไทยทุกคน ถือว่าเราได้ฝึกอดทน ทำเพื่อชาติประเทศ เราได้ทำ กรรมกุศล ตลอดเวลา เราไม่ได้ทำเพื่อ ลาภยศตำแหน่ง แต่เขาทำ เป็นวิบากกรรม ของเขา แต่เราจะมาไขความจริง ออกมาให้มากหมดๆ และยาวให้เป็น เย็นเรื่อยๆไป ไขความจริง ออกมา ให้มากๆหมดๆ

        ครั้งนี้ มามากกว่าทุกครั้ง ที่ออกมากัน และหนักหนาสาหัส แต่ก็ยังเบา เป็นความซับซ้อน เป็นสัจธรรม เพราะเรา ไม่ต่อสู้ ด้วยความเลวร้าย เราสู้ด้วย ความเมตตา เขาตบมา เราไม่ตบไป ตบมือข้างเดียว Action ไม่มี Reaction ก็ไม่มีแรงมาก เป็นการทำ ข้างเดียว เห็นว่าคนไทยเรา ยังหวังได้ จิตวิญญาณ ของขาวไทยเรา ขอให้อดทน เพียงพอ ครั้งนี้ จะเป็นการยืนยัน สร้างประวัติศาสตร์แก่โลก อาตมา มั่นใจว่า เราจะชนะ อย่างสวยงาม ไม่ทำรุนแรง ไปกับเขา เขารุนแรงมา เราต้องเสียสละ แม้ร่างกายชีวิต อาจพิการก็มี เลี่ยงไม่ได้ คนชั่วเขาทำชั่วได้จริงๆ คนตายก็ถือเป็น วิบากกรรม ได้รับเคราะห์ไป ถ้าไม่ถึงที่ ถึงเวลาวาระ ก็ไม่เป็น พวกเราก็พยายาม ช่วยเหลือ เฟือฟายกัน

        เขาทำชั่ว ก็เป็นกรรมชั่ว เราก็มากล่าว ความจริงกัน อาตมาก็เก็บหลักฐานมา เพื่อยืนยัน ความจริง

        เรื่องแรก ที่จะอ่านก็คือ บทความพิเศษ ของทีมข่าวอิสรา ในนสพ.ไทยโพสต์

...ความผิดของรัฐบาล ชื่อเรื่อง เจาะสองเงื่อนตาย ระบายข้าวจีทูจีเก๊ ….

เจาะ 2 เงื่อนตาย ระบายข้าวจีทูจี “เก๊” รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในสำนวนสอบ ป.ป.ช. “จีเอสเอสจี – ไห่หนาน” ไร้หนังสือ มอบอำนาจจาก "คอฟโก" รัฐวิสาหกิจจีน ให้ทำสัญญา ซื้อข้าวโดยตรง บริษัทค้าข้าวไทย 17 ราย สั่งสินค้าผ่าน สยามอินดิก้า ก่อนจากแคชเชียร์เช็ค กรมการค้าต่างประเทศ ?

ในการแถลงผลสรุป สำนวนการไต่สวน กรณีการระบายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ของ คณะอนุกรรมการ ไต่สวนคดีทุจริต โครงการรับจำนำข้าว ที่มีนายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกัน และปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธาน มีการเปิดเผย ข้อมูล อย่างเป็นทางการ ต่อสาธารณชน ไปเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา

นอกเหนือจากประเด็น การลงมติเอกฉันท์ ให้แจ้งข้อกล่าวหา กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการส่วนนี้ จำนวน 15 คน อาทิ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ รวมถึง ข้าราชการ และบริษัทเอกชน ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การชี้แจง แก้ข้อกล่าวหา ในขั้นตอนการไต่สวน ของป.ป.ช.แล้ว

(อ่านประกอบ: ป.ป.ช.แจ้งข้อหา “บุญทรง” ขายข้าวจีทูจีเก๊ เริ่มไต่สวน “ยิ่งลักษณ์”)

ชื่อตัวละครใหม่สำคัญ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับ การระบายข้าวส่วนนี้ 2 กลุ่ม คือ บริษัท คอฟโก และ บริษัทค้าข้าว ในประเทศไทย จำนวน 17 ราย ถือเป็นไฮไลท์สำคัญ ในการแถลง ผลการไต่สวน เรื่องนี้

เพราะ "สถานะ" และ "บทบาท" ของตัวละครสำคัญทั้ง 2 กลุ่ม นี้ ดูเหมือนจะเป็น หัวใจสำคัญ ที่ทำให้ คณะอนุไต่สวนฯ กล้าฟันธง ว่าการระบายข้าว ในรูปแบบ รัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ตามที่รัฐบาล กล่าวอ้างมาตลอด ไม่ได้เป็นของจริง แต่เป็นของเก๊

และดูเหมือน จะเป็นเงื่อนตาย ที่ชี้เป็นชี้ขาดว่า ผู้ถูกกล่าวหา ในคดีนี้ ทั้ง 15 ราย จะรอดพ้นจาก บ้วงการถูกชี้ มูลความผิด ในคดีนี้ ของ ป.ป.ช. หรือไม่?

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับ "สถานะ" และ "บทบาท" ของตัวละครทั้ง 2 กลุ่ม ในสำนวนการไต่สวนคดีนี้ ของ ป.ป.ช. พบข้อเท็จจริง ที่น่าสนใจ ดังนี้

ตัวละครแรก : บริษัท คอฟโก รัฐวิสาหกิจจากจีน

นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ระบุชัดเจน ในการแถลงข่าว สรุปผลการไต่สวน เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 57 ว่า “สาเหตุที่มีการแจ้งข้อกล่าวหา กับบุคคลทั้ง 15 คน เนื่องจาก ที่อ้างว่า มีการทำสัญญาขายข้าว จีทูจีกับจีน ข้อเท็จจริงเบื้องต้น พบว่า ไม่มีสัญญา ขายข้าว จีทูจีกับจีนดังกล่าว ไม่มีอยู่จริง เพราะโดยปกติ หากมีการขายข้าว จีทูจีกับจีน จะต้องผ่าน หน่วยงาน ที่เรียกว่า คอฟโก แต่ปรากฏว่า การขายข้าว จีทูจีครั้งนี้ ไม่ผ่าน คอฟโก และในกระบวนการไต่สวน แม้จะมีการยืนยันว่า บริษัท จีเอสเอสจี จำกัด และบริษัท ไห่หนาน จำกัด เป็นรัฐวิสาหกิจของจีนจริง แต่ไม่มีหลักฐาน ยืนยันว่า ได้รับมอบอำนาจ ในการมาซื้อข้าว แบบจีทูจีกับไทย แต่อย่างใด อนุกรรมการไต่สวน จึงพิจารณาแล้ว เห็นว่า การขายข้าวครั้งนี้ ไม่ใช่การขายข้าว แบบจีทูจีกับจีน”

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ที่ผ่านมา คณะอนุไต่สวนฯ ได้พยายาม เรียกเอกสาร การมอบอำนาจ ของบริษัท คอฟโก ให้กับบริษัท จีเอสเอสจี จำกัด และบริษัท ไห่หนาน จำกัด เพื่อมายืนยัน "สถานะ" การเป็นตัวแทนจากจีน ในการทำสัญญา ซื้อขายข้าว จีทูจี กับประเทศไทย หลายครั้ง

แต่ไม่เคยได้รับมอบ! โดยหลักฐานที่ได้รับมา มีเพียงแค่เอกสาร แสดงสถานะ การเป็น รัฐวิสาหกิจจีน เท่านั้น

นอกจากนี้ ในขั้นตอนการไต่สวนคดี ทางคณะอนุไต่สวนฯ ได้มีการเชิญ อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ และอดีตปลัด กระทรวงพาณิชย์ มาให้ปากคำ ได้รับการยืนยัน ข้อมูลตรงกันว่า ตามขั้นตอนปฏิบัติ ที่ถูกต้อง ในการทำสัญญา ซื้อขายข้าว ระหว่าง รัฐต่อรัฐ บริษัทจีน ที่เข้ามาทำสัญญา ซื้อขายข้าวกับไทย จะต้องได้รับ มอบอำนาจ จากบริษัท คอฟโก ซึ่งเป็นหน่วยงาน ที่มีอำนาจ ในการดูแล เรื่องการค้าข้าว จากรัฐบาลจีนก่อน ทุกครั้ง

และการมอบอำนาจ ที่เกิดขึ้น จะต้องเป็น การมอบอำนาจเต็ม เท่านั้น

ตัวละครที่สอง : 17 บริษัทค้าข้าวในไทย

นายวิชา ระบุในการแถลงข่าว สรุปผลการไต่สวน เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 57 เช่นกันว่า "กรณีบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด อนุกรรมการไต่สวน มีมติว่า ต้องดำเนินการ ไต่สวน เพิ่มเติม เพราะมีพยานหลักฐาน ขยายผลไปถึง เอกชนรายใหญ่ 17 บริษัท ที่รับซื้อข้าว จากบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด อีกทอดหนึ่ง โดยมีหลักฐาน เป็นการจ่าย เช็คเงินสด ให้กับ กรมการค้า ต่างประเทศ ไม่ใช่การจ่ายเงินแบบจีทูจี ให้กับจีน

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ในการไต่สวนคดีนี้ คณะอนุไต่สวนฯ ได้รับหลักฐานสำคัญ เป็นแคชเชียร์เช็ค จำนวนหลายพันใบ ที่สั่งจ่าย ให้กับ กรมการค้าต่างประเทศ เพื่อชำระเป็นค่าข้าว ในสต๊อกรัฐบาล ซึ่งอ้างว่า เป็นการระบายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)

ทั้งนี้ จากการประสานงาน ขอข้อมูลไปยังธนาคาร ที่ออกแคชเชียร์เช็ค เหล่านี้ทุกแห่ง คณะอนุไต่สวนฯ ได้รับการยืนยันว่า เป็นการสั่งจ่ายโดย บริษัทค้าข้าว ในประเทศไทย ไม่ได้สั่งจ่ายจาก บริษัทเอกชน สองราย จากจีน ที่ระบุว่า เข้ามาทำสัญญา ซื้อขายข้าว กับไทย ในรูปแบบจีทูจี ตามที่มีการกล่าวอ้าง

ขณะที่จากการเชิญตัวแทน บริษัทค้าข้าวทั้ง 17 ราย มาให้ปากคำ คณะอนุไต่สวนฯ ได้รับการยืนยัน ข้อมูลตรงกันว่า ได้ซื้อข้าว ในสต๊อกรัฐบาลจริง โดยกระบวนการ ที่เกิดขึ้น บริษัทเหล่านี้อ้างว่า จะต้องติดต่อ ซื้อข้าว ผ่านบริษัท สยามอินดิก้าก่อน แต่ถ้าจะขนข้าวได้ จะต้องสั่งจ่าย แคชเชียร์เช็ค ให้กรมการค้าต่างประเทศ

นอกจากนี้ ในขั้นตอนการไต่สวน ยังได้รับการยืนยันว่า ในการซื้อขายข้าว แต่ละครั้ง บริษัทเอกชน เหล่านี้ ไม่ได้เสียภาษี ให้กับรัฐด้วย คณะอนุไต่สวนฯ จึงเห็นสมควร ให้ส่งเรื่องไปยัง กรมสรรพากร เพื่อติดตาม เรียกเก็บภาษี ที่ขาดหายไปส่วนนี้ กลับคืนมา โดยเร็ว

เบื้องต้น เมื่อวิเคราะห์พยาน และหลักฐาน ที่ได้รับมาจาก ตัวละคร ทั้งสองกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น การที่บริษัท จีเอสเอสจี จำกัด และบริษัท ไห่หนาน จำกัด ไม่สามารถ แสดงหลักฐาน การมอบอำนาจ จากบริษัท คอฟโก ให้มาเป็นตัวแทน รับซื้อข้าวจากไทย ได้

ขณะที่ข้าวในสต๊อกรัฐบาล ที่อ้างว่า มีการระบาย ออกไปต่างประเทศ ไม่ได้ถูก ส่งออกไปจริง แต่วนเวียน ไปอยู่ในมือของ บริษัทค้าข้าวในไทย ทั้ง 17 รายแทน แถมการซื้อขาย จะต้องติดต่อผ่าน บริษัท สยามอินดิก้าก่อน และมีการสั่งจ่ายเช็ค ให้กับ กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นใบเสร็จ ชิ้นสำคัญ ที่ชี้ให้เห็นว่า การซื้อขายข้าว ส่วนนี้ ไม่ได้เป็นการซื้อขาย แบบจีทูจีจริง

จึงทำให้คณะอนุไต่สวนฯ ลงความเห็น ไม่เชื่อว่า การระบายข้าวส่วนนี้ เป็นการ ระบายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ จีทูจีจริง ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง และนำมาซึ่ง มติเอกฉันท์ ในการแจ้ง ข้อกล่าวหากับ ผู้เกี่ยวข้อง ในขั้นตอนนี้ จำนวน 15 ราย อาทิ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรี ช่วยว่าการ กระทรวงพาณิชย์ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดี กรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผู้อำนวยการ สำนักบริหาร การค้าข้าว นายอัครพงษ์ ทีปวัชระ อดีตเลขานุการ กรมการค้าต่างประเทศ ผู้แทนบริษัท จีเอสเอสจี จำกัด และ บริษัท ไห่หนาน จำกัดจากจีน และผู้แทนบริษัท จีเอสเอสจี จำกัด และบริษัท ไห่หนาน จำกัด ในประเทศไทย อาทิ นายรัฐนิธ โสจิระกุล นายนิมล รักดี นายสมคิด เอื้อนสุภา และ นายลิตร พอใจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับ บริษัทสยามอินดิก้า

โดยเบื้องต้น จะมีการส่งหนังสือ ให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด มารับทราบ ข้อกล่าวหา และ เริ่มชี้แจง แก้ข้อกล่าวหา อย่างเป็นทางการ ในช่วงปลายเดือน มกราคม 2557 นี้

        พ่อครูว่า... ถ้าหลักฐานเหล่านี้ ปปช. เขาไม่เห็นว่า เป็นความจริง เขาไม่เปิดเผยแน่ เป็นการโกง ระดับแสนล้าน เรื่องนี้เป็นเหตุแน่ ทำให้เขาต้องรับ วิบากแน่ หยิบมา ให้เห็นว่า จริงไหม ที่เรามาทำให้คนผิด เขาเลิก เขาหยุด เป็นรูปธรรมเลย แล้วก็มี บทความของ คุณผักกาดหอม ที่เขาว่า จะต้องเลือกตั้ง ๆๆๆๆ นี่ทำไปทำไม เราก็เห็นว่า เป็นเรื่อง ที่เขาสร้าง ค่ายกลไว้หมดแล้ว ล็อคไว้หมดแล้ว เขาก็มั่นใจว่า เขาต้องทำสำเร็จ ตั้งแต่เป็นพรรค ไทยรักไทย เขาซื้อได้ เขาคำนวณว่า เขาทำแล้ว คุ้มแสนคุ้ม การเลือกตั้ง จึงเป็นค่ายกล ที่เลวที่สุด ของประเทศไทย ขอให้ได้เลือกตั้ง กูไม่ฟัง ใครจะพูด สัจธรรมอย่างไร ไม่สน เพราะเขามีค่ายกล อันนี้แล้ว

+++++++++

        ต่อมา เป็นบทความของ คุณผักกาดหอม ...
เรื่อง เลือกตั้งคนโกง

จุดเทียนเวียนวน จากแดงสีตก หรือแดงชุบแป้ง เวลานี้ กลายเป็นกระแส ที่รัฐบาลปั่น เพื่อให้ม ีการเลือกตั้ง วันที่ 2  กุมภาพันธ์ให้ได้

เดิมทีกลุ่มเสื้อขาว อ้างตัวเป็นกลาง สุดท้าย ก็หางโผล่!

ผมยกตัวอย่างมาเพื่อ ให้เห็นความพยายาม ในการสร้าง ความชอบธรรม ทั้งๆ ที่ การเลือกตั้ง คือความชอบธรรม ตามระบอบประชาธิปไตย ถูกต้อง ตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้อง มาสร้างกระแสใดๆ

แต่รัฐบาลสันหลังหวะไงครับ!

การเลือกตั้ง มิใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง ในการยืนยันว่า ประเทศนั้นๆ ปกครองด้วยระบอบ ประชาธิปไตยหรือไม่ อีกทั้งประเทศ คอมมิวนิสต์ จำนวนไม่น้อย ก็มีการเลือกตั้งให้เห็น มานานแล้ว

รวมทั้งในหลายประเทศทั่วโลก ที่จัดการเลือกตั้ง ในสถานการณ์ ที่มีความขัดแย้ง ของคนในชาติสูง ล้วนมีปัญหา ตามมาทั้งสิ้น ล่าสุดคือ บังกลาเทศ

แม้ปัญหา ในรายละเอียดปลีกย่อย ของแต่ละประเทศ จะไม่เหมือนกัน แต่หากไม่มี การแก้ไข เสียก่อน ก็ล้วนสร้างปัญหา ที่ใหญ่กว่า ได้ทั้งสิ้น

และปัญหาความขัดแย้ง ในประเทศไทย หนักหนาสาหัส เกินกว่าที่จะจบได้ ด้วยการเลือกตั้ง ความพยายาม ที่จะพาประเทศ ไปสู่ความสงบ จึงยากเป็นเงาตามตัว

พูดกันเยอะครับ ให้คนไทยรักกัน พูดภาษาเดียวกัน ทะเลาะกันทำไม? หันหน้ามาคุยกัน สารพัดครับ แต่ขอโทษที ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นคำพูด ที่ขี้ขลาด และเห็นแก่ตัว อย่างร้ายกาจ

ความขัดแย้งในเวลานี้ มิได้เป็นความขัดแย้ง ของนักการเมืองครับ ไม่ใช่เรื่องของ พรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ แย่งกันเป็นใหญ่ แม้มวลชนบางฝ่าย จะมอง เช่นนั้นก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่ ประชาชน ได้ตื่นขึ้นมา แล้วเรียกร้อง ให้ขจัด นักการเมือง เลวๆ นักการเมืองขี้ฉ้อ ออกไปจากแผ่นดิน

มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดเฉพาะ ในประเทศไทย แต่หลายประเทศทั่วโลก ล้วนผ่าน เส้นทางนี้ มาแล้วทั้งนั้น ต่างกันแค่ กาลเวลา และความชั่วช้า ของนักการเมือง

หากเทียบการเมือง ในหลายประเทศ จะพบว่า ตระกูลชินวัตร ได้สร้างปรากฏการณ์ชั่วช้า อันโดดเด่น ไม่เหมือนประเทศ ประชาธิปไตย ที่ใดในโลก

เผด็จการเบ็ดเสร็จ ที่มาจากการเลือกตั้ง หากไม่ทำความเข้าใจ อย่างถ่องแท้ ก็ยาก ที่จะตามทัน แต่ก็ไม่ได้เข้าใจ ยากเย็นอะไร

ดูอย่าง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ลงสมัคร ส.ส. 19 พฤษภาคม 2554 เลือกตั้ง 1 กรกฎาคม 2554 เป็นนักการเมือง แค่เดือนกว่า ก็ได้เป็น นายกรัฐมนตรีแล้ว

ถามว่าช่วงเดือนกว่า ทำความดีอะไร ให้ประชาชนได้เห็น ประชาชน ถึงได้ไว้วางใจ ให้เป็นผู้นำประเทศ?

อย่าหลอกตัวเอง กันอีกเลยครับ คนไทยทุกคน ก็รู้กันอยู่ว่า การเลือกตั้ง ภายใต้กติกา ที่เอื้อ ให้โครงสร้าง พรรคการเมือง บูชาเงิน และผลประโยชน์นั้น ไม่เคยเกิด ประชาธิปไตย ที่แท้จริง

    มีแต่คอร์รัปชัน และประชาธิปไตย 5 นาทีเท่านั้น ที่เบ่งบาน

    ประเทศไทย ผ่านการเลือกตั้ง มากี่ครั้งแล้วครับ? 27 ครั้ง

    แล้วเราปฏิรูปประเทศ กันมากี่หน

    ผมไม่จำเป็นต้องบอกว่า จะเลือกอะไร แต่ต้องการถาม คนบางกลุ่มว่า การเป็นขี้ข้า ระบอบทักษิณ ทั้งทางตรง และทางอ้อม คือสิ่งที่ควรทำ ในฐานะเกิดมา เป็นสัตว์ประเสริฐ อย่างนั้นหรือ!

++++++

        พ่อครูว่า.. คุณทักษิณ เขาเก่งจริงๆ เขาสร้างค่ายกลไว้ อย่างเก่งเลย จนกระทั่ง เขาเชื่อว่า ส่งเสาไฟฟ้าลง หรือ ไม้จิ้มฟันลง ก็ได้ด้วย แล้วก็จริงของเขา เขาทำได้ด้วย เรารู้ทันแล้วก็เลยว่า ไม่เลือกตั้ง อย่างนี้หรอก

       พ่อครูว่า... ที่อาตมาหยิบหลักฐาน มาพูดนี่ อย่างคลิป ที่มีภาพเคลื่อนไหว ของคน โยนระเบิดนี่ เขาไม่กลัวเลยนะ คนจะเดินเข้า เดินออกอย่างไร เขาก็ไม่กลัว แต่ปรากฏว่า โดยไปถูกกิ่งไม้ ก็เลยไม่ค่อยเข้าเป้า ...เป็นสิ่งที่เดี๋ยวนี้ เครื่องมือเขาจับได้ชัด เขาคงไม่รู้ว่า มีกล้อง จับภาพไว้ ชัดเจน ถ้าตำรวจทำงานจริง หมอนี่ เสร็จแน่นอน แต่นี่ ไม่รู้ไม่ชี้ แต่อาตมา ไม่ค่อยเชื่อ น้ำมนต์ตำรวจว่า จะติดตามจริง ถ้าตำรวจ ตั้งใจทำงาน เต็มที่เลย เป็นหน้าที่ตำรวจ ติดตามหาคนร้าย เพราะเป็นภัยต่อสังคม หลายเรื่อง ไม่เห็นจัดการเลย พวกเรา ทำงานเพื่อชาติ ไม่ผิดรธน. แต่ก็หาเรื่องจับผิด เป็นข้อหากบฏ หนักเลย โทษมีจำคุก ตลอดชีพ หรือติดคุก ตลอดชีวิตเลย แสดงจิตใจที่ ไม่ต้องบอก ก็รู้เองเลย

        จิตใจคนตกต่ำมากเลย ต้องอาศัย ตุลาการก็ช่วยอยู่ ประชาชน ก็ออกมา เต็มที่เลย เห็นว่า ประเทศไทย เป็นกระบวนการประชาชน ที่สุดยอด ที่มาร่วมกัน ตื่นรู้จริงๆ อดทน แสดงคุณภาพ คุณสมบัติ ของคนไทย

        อ.กฤษฎาว่า... พ่อครูให้ลำดับว่า ตุลาการภิวัฒน์ก่อน ประชาภิวัฒน์ มาอันดับสอง แล้วกรรมาภิวัฒน์ เป็นอันดับสาม แต่ถ้าประชาชน ออกมามาก จะมีผลต่อ ตุลาการภิวัฒน์ หรือไม่?

        พ่อครูว่า ถ้าประชาชน ออกมามาก ตุลาการ ก็มีกำลังใจ เป็นเหตุปัจจัยให้ด้วย เพราะประชาชน ที่ออกมา มีทั้งปัญญาชน มีทุนทางสังคม เป็นน้ำหนัก ในสังคม ผู้ซื่อสัตย์สุจริต และเฉลียวฉลาด ด้วย ก็ต้องรู้ว่า อะไรผิด อะไรถูก อะไรควรไม่ควร ถ้าท่าน ได้ออกมาร่วม แสดงตัว ร่วมกับประชาชน น้ำหนักทำให้ตุลาการ มีกำลังใจ ได้เยอะเลย  เป็นพลังทางสังคม ที่กดดันอยู่ ยื้อกันอยู่ เป็นจริง มวลประชาชน จำนวนมาก จึงมีความสำคัญ ถ้าผู้มีทุนทางสังคม เป็นที่เคารพนับถือ ยิ่งมีน้ำหนักสูงด้วย น่าจะเกิดขึ้น ในประเทศไทย พวกเราทนไปเถอะ สักวันคงมี เหตุปัจจัยครบ

        เราจะรอ กรรมาภิวัฒน์นั้น เรากำหนดไม่ได้ แต่มีจริง ก็เชื่อใจ ประทับใจ มวลมหาประชาชน ที่ออกมา มากมาย แต่อย่าประมาท ขอยืนยันว่า ทำดีแล้วถูกแล้ว อย่าประมาท ทนแต่ไหนก็ “ทนอีกนิดเถอะน่า” เป็นชื่อเรื่อง นวนิยาย ของนักเขียน ที่ดังมาก คนหนึ่ง เรียกว่า นักเขียน บรรทัดละ ๘ บาท

        อ.กฤษฎาว่า... พรุ่งนี้ พี่น้องชาวนาอีสาน ก็จะมาร่วม ที่เวทีนี้ กับเราด้วย

        พ่อครูว่า... เรื่องของกรรม นั้นมีจริง เป็นจริง เป็นเรื่องที่ เรานึกไม่ถึง นึกไม่ออก มีหลักฐาน ประวัติศาสตร์ ของพระพุทธเจ้า ท่านสั่งสม คุณธรรม บารมี นับชาติไม่ถ้วน เรียกว่า ล้านๆๆๆๆๆๆ เป็นเรื่องที่ คุณคิดไม่ถึงหรอก อาตมาบำเพ็ญมา ปางนี้รู้ว่า ชาตินี้ นับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าสร้างมา เป็นกรรมวิบาก เป็นกัมมัสสโกมหิ, กัมมทายาโท, กัมมโยนิ, กัมมพันธุ , กัมมปฏิสรโณ

        กรรมเป็นของตน เป็นทรัพย์แท้ คนเข้าใจผิดว่า เราทำชั่ว แล้วได้อำนาจ ได้เงิน หลงเงิน หลงอำนาจ เอาเงินไปจ่าย เสพกาม บำเรออัตตา ก็เป็นตัวตนอัตตา แล้วหลงว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องจริง ที่แท้เป็นสุขเท็จ สุขหลอก อย่างพระอนาคามี เฉยแล้วต่อ ลาภ ยศ เป็นคุณสมบัติของ จิตวิญญาณ ที่ล้างกิเลสได้จริง ศาสนาพุทธ จับกิเลสได้ อ่านกิเลสออก ในจิต แล้วมีวิธี ปหานกิเลส จนกิเลส ดับสูญได้จริง ทำได้ ก็สั่งสมเป็น กรรมของตน

        พระพุทธเจ้า ทำให้กิเลสหมด แล้วก็สั่งสม บารมีต่อ เป็นโพธิสัตว์ต่อมา จนเป็น พระพุทธเจ้า เกิดมาตอนแรก เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ..เป็นลิงลม อมข้าวพอง เราเดา ไม่ออกว่า คนไหนมีบารมี ไปดูถูกไม่ได้ เช่น องคุลีมาล ปุ๊ปปั๊บ ก็เปลี่ยนได้ เห็นว่าชั่ว ฆ่าคนอยู่ ถูกอาจารย์ครอบงำ มีคนให้ข้อมูล อาจารย์ผิดๆ อาจารย์ก็หลอกให้ องคุลีมาล ไปฆ่าคน ถ้าฆ่าคนถึง ๑๐๐๐ คนได้ จะสอนความรู้ ที่วิเศษให้ องคุลีมาล ก็เชื่อ ก็ไปฆ่าคน แล้วตัดนิ้วโป้ง ห้อยคอ จนคนสุดท้าย แม่ก็มา แต่ว่า แท้จริง องคุลีมาล เป็น อุคติตัญญู เป็นบัวที่ ใกล้พ้นน้ำ อยู่แล้ว แต่ยังไม่โผล่จากน้ำ พระพุทธเจ้า เลยไปโปรด ก่อนที่จะไปเจอแม่ แล้วฆ่าแม่ แล้วองคุลีมาล ก็วิ่งไล่กวด วิ่งอย่างไร ก็ไล่ไม่ทัน ก็ว่า พระหยุดก่อนๆ พระพุทธเจ้า ก็เดินไม่หยุด แต่บอกว่า เราหยุดแล้ว แต่เธอสิ ยังไม่หยุด องคุลีมาลก็ว่า พระโกหก แล้วก็เรียกให้พระพุทธเจ้า หยุดอีก พระหยุดก่อนๆ พระพุทธเจ้า ก็ว่า เราหยุดแล้ว แต่เธอสิ ยังไม่หยุด ...ถามถึง ๓ ครั้งเลย องคุลีมาล ก็ได้คิดก็หยุด …. พระพุทธเจ้าก็เลย ได้สั่งสอน เราหยุดทำชั่วแล้ว... องคุลีมาลก็ได้คิด ได้ฟังธรรม จนบรรลุธรรม

        อย่างกำนันสุเทพ ทุกคนก็ว่ากันว่า กำนันสุเทพ ตอนเป็นนักการเมือง ก็ไม่ได้เป็น คนดีอะไร พวกแดง ก็ว่ามา สาธยายเบื้องหลัง ของกำนันสุเทพ มีคนเขียนว่า สุเทพอาจชั่ว แต่ว่า รวมความชั่ว ของสุเทพ ก็ไม่ได้ชั่วเกินหน้า ของทักษิณ ไปได้เลย

        อาตมาเชื่อว่า คุณสุเทพ จะเป็นเหมือน องคุลีมาลกลับใจ จริงหรือเท็จ ก็เป็นเรื่องของ คุณสุเทพ แต่ทุกคน ก็อยากให้เป็น ดูจากตอนแรก คุณสุเทพ ก็ไม่ได้พูด อย่างนี้ แต่พอทำแล้ว ได้ผล ก็ยิ่งทำต่อไปจนสุด รู้ว่าทำอันนี้ ทำได้ผลจริงกว่า ตอนเป็น นักการเมือง ในสภา ก็เรียนจบรัฐศาสตร์มา ก็รู้ด้วย จึงเกิดตาสว่าง ว่างานที่ทำมานี่ ต่อให้เป็น นายกฯ แบบที่เป็นๆ กันมาสัก ๕ ครั้ง ก็สู้เป็นอย่างนี้ไม่ได้  คุณสุเทพ จึงทุ่มเท ทำเต็มที่เลย ทำให้สำเร็จให้ได้ ตายเป็นตาย แล้วจะล้างมือ จบแล้ว ผมจะไปมอบตัวเอง มอบตัวให้ตาย เขาก็ไม่จับ เพราะสุเทพ ไม่ได้เป็นกบฏ เราทำด้วย ถ้าเป็นกบฏ ก็เป็นด้วยกันหมด

        เราทำประท้วง อย่างสงบ สวยงาม ไม่รุนแรง ไม่มีอาวุธ ความรุนแรงที่เกิด เกิดจากใคร ก็ตามแต่ แต่ไม่ใช่เกิดจากเรา เขาพยายาม ยัดเยียดอาวุธ มาใส่เรา  หาว่าที่จับอาวุธได้ เป็นอาวุธปลอม แต่ว่าทำไม ระเบิดจริงล่ะ มีคนตายด้วย บาดเจ็บ โคม่า ก็ยังมีอยู่เลย

        พวกเราก็ขอยืนยันว่า เราทำสิ่งประเสริฐ เขาหาเรื่องทำร้าย ก็ทำไป เราก็ป้องกัน เป็นกรรม ของตน อย่างศาสนา อิสลามนี่ เขาไม่กลัวตายเลย หากได้ทำ เพื่อพระเจ้า ตายไปเขาเชื่อว่า ไปอยู่กับ พระเจ้า เขาทำเพื่อ สิ่งดีงามถูกต้อง พุทธเราก็ยืนยัน พระพุทธเจ้า สอนว่า ถ้าเราจำเป็น ต้องเสียทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ แต่ถ้าต้องเสียอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต ก็ต้องเสียสละอวัยวะ แต่ถ้าจะต้อง เสียสละชีวิต ก็เสียสละชีวิต เพื่อรักษาธรรม เรื่องสัจธรรม ไม่ต่างกันหรอก

        อาตมาเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ปฏิบัติ จนได้เข้าถึง ก็ได้แทรกยาทิพย์ เข้าไปบ้าง ที่ว่า กรรมเป็นของๆตน ตนเป็นทายาทของกรรม ของตน ตนทำ ตนก็ต้องรับผล เราต้องเป็น ทายาท ของกรรมของตน ตัดกรรม สแกนกรรมไม่ได้

        ซึ่งศาสนาพุทธนั้น เพี้ยนตรงนี้ ที่เขาสอนกัน แบ่งบุญ แบ่งกรรม กันได้นั้น พุทธนั้น ก็กรรม ไม่ใช่ของๆตน ก็ขอคนอื่นได้ แต่ที่จริง ต้องเป็นของๆตน

        แม้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องมีวิบาก ต้องไปทรมานในป่า ทรมานตน ๖ ปี หรือ แม้มาบวชแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เขาก็หาเรื่องมาว่า มาฆ่า อย่างนาง จิณจมาณวิกา ก็มา เป็นวิบากของท่าน แม้ที่สุด ถูกพระเทวฑัต กลิ้งหิน โดนสะเก็ดหิน ทับพระบาท จนห้อเลือด วิบากไม่ใช่หมดง่ายๆ แม้เป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่หมดเลย

        แต่กรรมวิบาก ลดน้อยลงได้ กรรมจะแก้ไขด้วย เพราะกรรมปัจจุบัน คนไหน ก็แก้กรรม ให้ตนไม่ได้ เราต้องแก้กรรม ของตนเอง อย่าไปถูกหลอกว่า ใครจะมา แก้กรรม ตัดกรรม ล้างกรรมให้เรา นั่นนอกรีตทั้งนั้น เราเป็นทายาทของกรรม ไม่หกตกหล่น ไม่ระเหยระเหิด ต้องรับทั้งหมด เราต้องทำแต่พลังงานดี ไปสังเคราะห์กันไป

        เช่น พระพุทธเจ้า ท่านเล่าว่า ในชาติหนึ่ง ท่านได้ฆ่า น้องชายตน หลอกไปในถ้ำ แล้วทุบด้วยหินจนต้องตาย ก็มีวิบากตามมา พระพุทธเจ้า ก็สร้างกุศล มากมาย แล้วทำให้ เศษวิบาก ที่ฆ่าน้องชาย ลดลงๆ จนเมื่อวิบากมาถึง พระเทวฑัต กลิ้งหินมา ก็ได้รับวิบาก ลดลง

        แต่ถ้าทำอนันตริยกรรม นั้นแก้ไม่ได้ อย่างพระเทวฑัต นั้นก็ได้ทำไว้ แต่ก็พยายาม แก้ไข แต่ก็ได้เป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่สามารถเป็น พระพุทธเจ้าได้

        อ.กฤษฎาว่า ระหว่างคนสั่ง กับคนขว้างระเบิด ใครได้รับวิบากกรรม มากกว่ากัน

        พ่อครูว่า... โดยเบื้องต้น คนสั่ง ก็ได้รับมากกว่า คนทำตาม ก็ได้รับวิบาก ตามมา ...

จบ 

 

 
๒๐ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานพระราม ๘ กทม.