570301_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ
เรื่อง ประชาชนปฏิวัติ โดยธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตอน ๓

 

อาตมาจะได้นำ เพลงอาริยะหมายเลข ๙ มาให้อ่านให้ฟัง

        เพลงอริยะ หมายเลข ๙
(๑)

เมื่อใด "พุทธ" ปรากฏตนขึ้น
ปฏิกิริยาแตกตื่น และ สั่นสะเทือนหวั่นไหว
อันประดุจดังแผ่นดินไหว
ย่อมเกิดขึ้น ในโลกแห่งศาสนา

(๒)

เมื่อใด "พุทธ แท้ๆ ได้ประกาศก้ององอาจกล้าขึ้น
ปฏิกิริยาแตกตื่น และ สั่นสะเทือนหวั่นไหว
อันประดุจดังแผ่นดินไหว
ย่อมเกิดขึ้น ในโลกแห่งพุทธศาสนิกชน

(๓)

เมื่อใด "พุทธ" แสดงปาฏิหาริย์แท้ๆ ขึ้น
ปฏิกิริยาแตกตื่น และ สั่นสะเทือนหวั่นไหว
อันประดุจดังแผ่นดินไหว
ย่อมเกิดขึ้น ในโลกแห่งศาสนาและพุทธศาสนิกชน

(๔)

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ กระทบจิต
แล้วจับจิต จับใจ มนุษย์ เทวดา นั้นๆ
อาการ "ตรึง" ชะงักงัน… "ซ่าซ่าน" ซาบซึ้ง
ย่อมเกิดขึ้น ในผู้นั้น ๆ

(๕)

เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ กระทบจิต
แล้วบาดจิต บาดใจ อมนุษย์ มาร ยักษ์
อาการ "ฉงน" ร้อนเร่า…
"ดิ้น" ดาลเดือดทุรนทุราย
ย่อมเกิดขึ้น ในผู้นั้น ๆ

(๖)

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ กระทบจิต
แล้วผ่าแตก แบ่ง "ขาวกับดำ" ออกจากกันได้
ไปจนกระทั่ง แม้แต่…
แยก "สะอาด กับ ธุลีด่างที่ซ่อนแฝง" ออกจากกันได้
ย่อมเกิดสุขสันติขึ้น ในผู้นั้นๆ และ ในโลกแล้ว

(๗)

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ กระทบจิต
แล้วแตกแยก "ธรรม กับ อธรรม" ออกชัดแท้
"ความแตกแยก" อันถึงสัจธรรมสุดท้าย
ย่อมเกิดจริง เป็นจริง

(๘)

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ
กำลังทำการผ่าตัด ผ่าแตก ผ่าแยก อยู่
ปฏิกิริยาแตกตื่น และ สั่นสะเทือนหวั่นไหว
อันประดุจดังแผ่นดินไหว
ย่อมเกิดขึ้น ในโลกแห่งพุทธศาสนิกชน

(๙)

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ เกิดได้เต็มตัว
และยืนได้เต็มรูปแข็งแรง
อาการ "โตเร็ว" อย่างน่าฉงน…
"เปล่งปลั่ง" แตกเนื้อแยกนวล
ย่อมเกิดขึ้น ในโลกแห่งมนุษย์ เทวดาทั่วจักรวาล

(๑๐)

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ เกิดแล้วสมบูรณ์
ปฏิกิริยา เบิกบานแจ่มใส-รู้-ตื่น
อันประดุจดังแผ่นดินสงบ สันติ ร่าเริง
ย่อมเกิดขึ้น ในโลกแห่งมนุษยชาติ

(๑๑)

เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ
แผ่บุญฤทธิ์ อยู่ในชนกลุ่มใดๆ
ความ "แตก"ต่าง จะ"แยก" ให้เห็นได้
ว่า "แตกแยก" จากชนกลุ่มที่มีแต่บาป นั้นๆ
ย่อมเกิด "ความแตกแยก"
อันประเสริฐขึ้นแล้วหนอ !

(๑๒)

เมื่อใด "ศาสนิกชน" ใด
รู้ยิ่งใน "เกิด" ไม่หลงใหลกับความ "เกิด"
และรู้ยิ่งใน "ตาย" ดับสนิท
ทั้งทำ "ตาย" ดับสนิทเองได้ ในตนจริง
ย่อมรู้เห็นจะแจ้งในความ "แตก" ต่าง
"แยก" ได้ชัดเชิง

(๑๓)

และอีกทั้งยังสามารถจับความ "เกิด" และ ความ "ตาย"
ที่เป็น "ความแตกแยก" กันแล้วจริง นั้น
มาใช้ร่วมกัน มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ได้
อย่างราบรื่นเรียบร้อยสันติ
โคจรอยู่ ในมหาจักรวาลเดียวกัน

(๑๔)

หรือ ต่างคน ต่างเกิด ต่างตาย
ต่างคน ต่างอยู่ อย่างรู้เกิด รู้ตาย
หยุดถือสากันสนิท ! ปล่อยวางสะเด็ด !
แต่ก็ยังเห็นแจ้งใน "ความแตกแยก" นั้น
ซึ่งแน่นอน ! ก็ยังมีอยู่
ด้วยน้ำใจที่เกื้อกูลเข้าใจกันจริง ๆ เป็นปกติ

(๑๕)

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ ใด
เป็น "พุทธ" แน่แล้วจริง
เมื่อนั้น ก็จะเห็นแจ้ง "ความแตกแยก"
ทั้งที่เป็น ความแตกแยก ทั้งที่เป็น เอกภาพ

โอ ! "ความแตกแยก"
อันแสนประเสริฐ เป็นสุทธิสัจจะ
ได้เกิดขึ้นแล้ว และ ดำเนินไปอยู่
ด้วยประการฉะนี้

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๒

        แต่ก่อนอาตมาเขียนเพลงพวกนี้ไวเยอะ ...เพลงชีวิต เพลงความซ้ำซาก เพลงอาริยะเป็นต้น

        วันนี้เตรียมเรื่องหนึ่ง มาอธิบายให้ฟัง เรื่องประชาธิปไตย นี่แหละ ตอนนี้ปฏิกิริยา ในการแยกในประเทศ ชัดเจน พวกแดง เขาก็จะแยกประเทศ มีธงของตนเอง ไม่มีสีน้ำเงิน มีแต่สีแดงกับขาว เป็นต้น ทำตนเหมือน อึ่งอ่างพองลม ซักวันหนึ่ง ก็จะท้องแตกตาย ส่วนอีกทางหนึ่ง เป็นราชสีห์ มายืนยัน ความถูกต้องความจริง ไม่ต้องทำมากหรอก อึ่งอ่างหนังเหนียว ไม่นึกว่า จะหนังเหนียว ขนาดนี้ แต่ถึงอย่างไรหนังเหนียว สักวันก็ต้องขาด เป็นสัจจะ

        แล้วเขายืนยันว่าจะตายคาสนามรบแห่งประชาธิปไตย เขาเข้าใจไม่ได้ว่า ประชาธิปไตยคืออะไร
        เรื่องของความเป็น อธิปไตย ของประชาชน ตามมาตรา ๒  และมาตรา ๓ ของ รัฐธรรมนูญ
มาตรา ๑ (รูปแบบรัฐ) ประเทศไทย เป็นราชอาณาจักร อันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
มาตรา ๒ (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มาตรา ๓ (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้
        คณะสถาบันหลัก ก็ทำหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ ส่วนอาตมาจะพูดเรื่อง สิทธิของประชาชน ซึ่งกว้างขวางกว่า อำนาจของรัฐบาล และรัฐสภา หรือตุลาการ
        อำนาจอธิปไตยของประชาชน นั้นกว้างกว่า เพราะอำนาจของประชาชน เป็นอำนาจที่ ไม่มีกรอบบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญ มาบัญญัติไว้ได้หมด ที่ไม่ได้บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๗ ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณี การปกครอง ระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

        เช่นประชาชนปฏิวัติ ก็ไม่มีบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ ก็ให้ทำตามประเพณี การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

        ๑.ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
        ๒.บังคับแก่กรณีใด
        ๓.ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตาม
        ๔.ประเพณีการปกครอง
        ๕.ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
       
มาตรา ๒  ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
        ซึ่งหมายความตาม มาตรา๓ ที่ทั้งแปลคำว่า “ประชาธิปไตย” ไว้ชัดเจนว่า
        อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจ ซึ่งเป็น “อธิปไตย” ที่เป็นของประชาชนชาวไทย” นั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้
        และวรรค ๒ ของมาตรา๓ ก็กำกับบัญญัติ ไว้ชัดเจนว่า การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลัก นิติธรรม
        นั่นคือ ๓ สถาบันหรืออื่นๆ ตามระบุไว้นั้น คือผู้มีหน้าที่ทำงาน ตามหลักนิติ ให้เป็นธรรม
        มีหน้าที่ทำได้ตาม หลักนิติ หรือ กฎหมาย กำหนดไว้ ถ้าไม่ทำก็ผิด ทำเกินก็ผิด ทำไม่เป็นธรรม ไม่ชอบธรรม นั่นเอง ก็ผิด
        สรุปชัดๆ คือ ผู้อาสาเข้าไปทำหน้าที่ โดยรับจ้าง มีรายได้ รับรายได้ ตอบแทนบ้าง ไม่ได้รับบ้าง
        แต่คือผู้สมัครใจทำงานนี้ เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพื่อประชาชนแท้ๆ เรียกว่า งานการเมือง
        ถ้างานการเมือง ก็ต้องเพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชน ไม่ใช่งานเพื่อตัวเอง หรือเพื่อครอบครัว เพื่อพรรคพวกแน่ๆ
        ยิ่ง ผู้ใดทำงานเพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชน ด้วยใจจริง สมัครใจเอง ไม่รับค่าตอบแทนเลย นั่นแหละคือ นักการเมือง แท้ๆตรงๆ
        มาตรา ๔
        ๑.ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
        ๒.สิทธิ
        ๓.เสรีภาพ
        ๔.และความเสมอภาคของบุคคล
        ๕.ย่อมได้รับการคุ้มครอง
        เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ตาม มาตรา ๗
        เช่น บทบัญญัติ ว่า ให้ “ประชาชนปฏิวัติ” ก็ดี ยึดอำนาจจากรัฐบาล ก็ดี หรือ
        การกระทำใดๆที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครอง โดยวิธีการซึ่งมิได้ เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
        บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ตามบทบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๙
        ส่วนวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
        บุคคลจะใช้สิทธิ์ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นั่นต่างหาก ทำไม่ได้
        มาตรา ๖๘ บัญญัติไว้ว่า จะทำมิไม่ได้
        แต่มาตรา ๖๙ บัญญัติไว้ชัดว่า ทำได้ ถ้าทำโดย สันติวิธี ย่อมมีสิทธิ์ ทุกบุคคล
        ยิ่งเมื่อสิทธิ ของมวลมหาประชาชน ร่วมกันเป็นส่วนรวม นั่นแหละ คือ พลังของอธิปไตย แท้ๆ ที่ชนชาวไทย จะต้องทำหน้าที่ตาม มาตรา ๗๐ ที่ว่า บุคคลมีหน้าที่ พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครอง ในระบอบประชาธิปไต ยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข    
        มาตรา ๗๑ ยิ่งเป็นหน้าที่ของชนชาวไทยกันทีเดียว ที่จะต้องช่วยกัน ทำหน้าที่ คือ บุคคลมีหน้าที่ ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย
        มาตรา ๖๓ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ
        โดยสงบ ก็คือ วิธีการที่ไม่รุนแรง หรือสันติวิธี ตามบทบัญญัติ ที่มีในรัฐธรรมนูญนี้ การจำกัดเสรีภาพ ตามวรรคหนึ่ง (ของมาตรา ๖๓) จะกระทำมิได้
        แต่ก็มียกเว้น ในกรณีการชุมนุมสาธารณะ นั้น ทำได้ เพราะยกเว้น เป็นต้น
        ซึ่งก็มีข้อยกเว้นอื่นอีก เช่น
        เพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชน ที่จะใช้ที่สาธารณะ ก็ทำได้
        หรือ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ในระหว่างเวลาที่ประเทศ อยู่ในภาวะสงคราม ก็ทำได้
        หรือในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ ในภาวะสงคราม ก็ทำได้
        หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศใน กฎอัยการศึก ก็ทำได้
        ซึ่งมาตรา  ๖๒ นั้น บุคคล ย่อมมีสิทธิ์ติดตาม และร้องขอ ให้มีการตรวจสอบ การปฏิบัติหน้าที่ ของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ
        และบุคคล ซึ่งให้ข้อมูล โดยสุจริต แก่องค์กรตรวจสอบ การใช้อำนาจรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมได้รับการคุ้มครอง
        โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา ๕๘ บัญญัติ ไว้ถึงสิทธิของบุคคลชัดๆว่า บุคคลย่อมมีสิทธิ์ มีส่วนร่วม ในกระบวนการ พิจารณา ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการปฏิบัติ ราชการทางปกครอง อันมีผล หรืออาจมีผลกระทบ ต่อสิทธิและเสรีภาพ ของตน และมาตรา ๕๙ รัฐธรรมนูญ ให้สิทธิแก่บุคคล ย่อมีสิทธิเสนอ เรื่องราวร้องทุกข์ และได้รับแจ้งผล การพิจารณา ภายในเวลา อันรวดเร็ว อีกด้วย
        แถมมาตรา ๖๐-๖๑-๖๒ ก็ยิ่งให้สิทธิ์แก่บุคคล อย่างบริบูรณ์ ที่จะฟ้ององค์กร ทุกองค์กร ที่เป็นของรัฐ ตามนิตินัย
        ที่จะพิทักษ์รักษาสิทธิ์
        ที่จะได้รับการคุ้มครอง
        ดังนั้น เมื่อไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ตาม มาตรา ๗
        ก็ให้ วินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
        เช่น ไม่มีบทบัญญัติ ว่า ให้ประชาชนปฏิวัติ หรือ ยึดอำนาจรัฐ
        แต่ อำนาจประท้วง ต่อต้าน เปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูป ให้มีคณะบริหาร และคณะสภาใหม่ นั้น มีในรัฐธรรมนูญนี้
        ซึ่งประเพณี การปกครอง ขนบธรรมเนียม ที่เคยเกิดเคยทำมาแล้ว ก็เคยมีประเพณี การปฏิวัติ ด้วยอำนาจ ที่ต้องใช้คำว่า อำนาจที่เป็น Force ของคณะทหาร เป็นต้น หรือเมืองไทยเคยมี คณะราษฏร์ ที่ฝรั่งเรียกว่า coup d' Etat หรือรัฐประหาร ก็เคยมี  คณะผสมผสานกัน ก็เคยมากมาย หลายครั้ง ที่ปฏิวัติยึดอำนาจ เปลี่ยนอำนาจ กันมาเป็นประเพณี ซึ่งได้ใช้ “สิทธิอันไม่ชอบธรรม” แท้ๆด้วย ที่จริงนั้น ละเมิดสิทธิอันชอบธรรม ไม่ใช่ได้สิทธิ
        ทั้งๆที่ การยึดอำนาจ เพื่อเปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูป คณะบริหาร และคณะรัฐสภาใหม่ ที่เคยยึดอำนาจ มาด้วยอำนาจ Force อันเป็น อำนาจรุนแรง บังคับข่มขี่ นั้น ผิดกฎหมาย
        ไม่มีสิทธิจะทำ
        แต่คณะที่ปฏิวัติด้วยอำนาจ บังคับข่มขี่ ซึ่งผิดกฎหมาย และไม่มีบทบัญญัติ อนุญาตให้ยึดอำนาจ หรือขออำนาจ จากคณะรัฐบาลเลย แต่ก็ทำกันได้ และยอมรับกันมาแล้ว เป็นตัวอย่าง เป็นขนบประเพณีที่จำยอม เคยยอมกันมาแล้ว ใช้ “สิทธิ” อันไม่ชอบธรรม นั้นมาหลายครั้งได้ เป็นประเพณี
        ประเพณี แปลตาม พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถานว่า สิ่งที่นิยมถือ ประพฤติปฏิบัติ สืบๆกันมา จนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือ จารีตประเพณี
        ซึ่งไม่น่านิยม แต่ก็กลายเป็นนิยมไปแล้ว คือ มันเป็นการ “ประพฤติ” มันเป็นการกระทำ ที่รับรู้ทั่วกันแล้ว แน่นอน หรือยอมรับ นับถือ ถึงขั้นชื่นชมยินดี ในบางครั้ง บางเรื่องไปแล้วด้วย
        เป็นแบบ เป็นอย่าง ขึ้นมาในโลกแล้ว นั่นเอง

        ทีนี้ การประพฤติของมวลมหาประชาชน คราครั้งนี้ ในพ.ศ.นี้ ประชาชนเอง ที่รวมตัวกันเป็น หมู่มวลมหาประชาชน ออกมา “ยึดอำนาจ”  ขอเปลี่ยนแปลง คณะรัฐบาล คณะรัฐสภา ใหม่บ้าง
        อย่างถูกกฎหมาย ไม่ผิดกฎหมาย
        เพราะมวลมหาประชาชน ขอยึดด้วย อำนาจอันชอบธรรม ด้วยอำนาจ Authority ซึ่งเป็น Sovereign power ซึ่งเป็น Supreme แล้ว เพราะเป็น สุดยอด แห่งรัฐาธิปัตย์ ตาม มาตรา ๒ และมาตรา ๓ แท้ๆที่มีบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
        มวลมหาประชาชน รวมตัวกัน ออกมาแสดง ความประสงค์เปิดเผย ซื่อตรง ไม่มีอะไรซ่อนเร้น อะไรผิด อะไรถูก ก็แฉกันตรงๆ ขอเปลี่ยนแปลง ให้คณะเก่าออกไป จะปฏิรูปกันใหม่ โดยใช้สิทธิ อันมีอยู่แท้ของ มวลประชาชน และไม่ผิดกฎหมาย เลยด้วย
        แสดงปริมาณ ก็มีมากมาย ทำลายสถิติ ที่เคยมีมา ในประเทศด้วย
        แสดงเชิงคุณธรรม ก็มีคุณภาพที่สงบ สันติ ถูกธรรม ยืนยันฝ่ายผิด และยืนยันฝ่ายถูก ชัดเจน ว่า ประชาชน มีส่วนถูก รัฐบาลมีส่วนผิด มากพอจริง       
        สมบูรณ์ได้คะแนนป่านนี้แล้ว
        ทำไมจะไม่มีสิทธิ ? เสมอภาคเท่า คณะปฏิวัติ ด้วยอำนาจ บังคับข่มขี่ ด้วยอาวุธ ยุทธภัณฑ์
        ที่อำนาจบาตรใหญ่ ที่ทำผิด ของคณะปฏิวัติ Force อันเป็นอำนาจรุนแรง coup d' Etat รัฐประหาร กดขี่บังคับนั้น ไม่ชอบธรรม เท่าอำนาจ ของมวลมหาประชาชน ที่ทำกันในครั้งนี้
        พลังอำนาจทั้งทางปริมาณ และคุณภาพคุณธรรม ของมวลมหาประชาชน ในคราครั้งนี้ ดีกว่า ถูกต้องกว่า ตามสากลกว่า อำนาจกดขี่ บังคับ ที่เคยทำกันมาก ซึ่งปฏิวัติด้วยอำนาจ Authority ที่ Supreme เป็น Sovereign right power
        ทำไมไม่ให้ “สิทธิ”
        ทำไม“สิทธิ”​ แท้ๆของประชาชนที่มีเต็มๆ และแม้ในรัฐธรรมนูญก็ถูกต้อง ตามนิติธรรมด้วย จึงถูกห้าม ถูกต้านกั้น ไม่ให้ทำได้บ้าง
        เป็นความไม่เสมอภาค ใช่มั้ย?
        ไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างยิ่งกว่า คณะ Force คณะ coup d' Etat รัฐประหาร ที่ใช้อำนาจผิดๆ ดังที่เคยทำกันมา? ใช่มั้ย?
        ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ของมวลมหาประชาชน และความเสมอภาค ทำไมไม่ได้รับ การคุ้มครอง ตามมาตรา ๔
        ในเมื่อไม่มี “บทบัญญัติ” แห่งการปฏิวัติ เหมือนกัน แต่อำนาจของ คณะปฏิวัติ ที่ใช้อาวุธไม่สงบ ที่ผิดกฎหมาย กลับต้องจำยอมให้มี “สิทธิ” ทำได้มาแล้ว ไม่รู้กี่ครั้ง จนเป็นประเพณี ที่ไม่น่านิยม ก็มีบ้างในบางครั้ง ที่เป็นที่น่านิยม ของมวลประชาชน
        ส่วนอำนาจของคณะปฏิวัติ ที่ไม่ใช้อาวุธ สงบ ไม่ผิดกฎหมาย “มีสิทธิ” ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๓-๖๔-๖๕ และมาตรา ๗๐
        สร้างเจตนารมณ์ทางการเมือง ของประชาชนตาม มาตรา ๖๕ ย่อมมีเสรีภาพทำได้
        การกำจัดเสรีภาพ จะกระทำมิได้ตาม มาตรา  ๖๔
        แม้ มาตรา  ๖๖-๖๗ ก็ย่อมมีความหมาย สมคล้อย ที่สิทธิเสรีภาพ ของมวลมหาประชาชน ที่รวมกันชุมนุม รักษาผลประโยชน์ ของประเทศ
        แม้แต่ มาตรา ๖๘ สิทธิ และเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ ก็เป็นวิธีการ ที่เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
        โดยเฉพาะ มาตรา ๖๙ บุคคลย่อมมีสิทธิ ต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจ ในการปกครอง ประเทส โดยวิธีการซึ่ง มิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
        นั่นคือ “การปฏิวัติโดยประชาชน” ซึ่งเป็นการกระทำ ที่เป็นไปหรือมี “วิถีทาง” เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดย “วิธีการ” ซึ่งมิได้เป็นไปตาม“วิถีทาง” ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
        บุคคลย่อม มีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี
        นี่คือ เป็นไปตาม “รัฐธรรมนูญนี้” ตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม
        บัญญัติไว้ใน มาตรา ๖๙ ชัดๆ ยืนยันอยู่โต้งๆ โทนโท่ เห็นไหม?
        แถม มาตรา  ๗๐-๗๑ เป็นหน้าที่ของชนชาวไทย อีกด้วย
        เห็นไหมว่า เป็นหน้าที่ของชนชาวไทย ตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญนี้
        ประชาชนชาวไทย จึงออกมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ออกมาใช้สิทธิ ต่อต้านโดยสันติวิธี
        ในเมื่อ ไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด
        ก็หมายความว่า มิได้ เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
        รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติวิถีทาง ว่า ปฏิวัติ ยึดอำนาจ ต้องทำอย่างนี้ ต้องปฏิบัติตามทางนี้ ตามวิถีนี้ นั่นคือ บัญญัติ ไม่มีชัดเจน ในรัฐธรรมนูญนี้
        ดังนั้นจึงเท่ากับ บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ไม่มี
        การบังคับในกรณีนี้ จึงไม่มี
        เมื่อไม่มี ก็ให้วินิจฉัยกรณีของ กปปส. ที่ประพฤติ กระทำอยู่นี้ ให้เป็นไปตามประเพณี การปกครอง
        ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
        ทีนี้ ประเพณี ซึ่งหมายถึง สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบๆกันมา จนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือจารีตประเพณี
        อันไม่น่านิยม คือ  การยึดอำนาจ ด้วยอำนาจ Force หรืออำนาจของคณะปฏิวัติ คณะรัฐประหาร coup d' Etat ที่ได้ทำกันมา จนเกิด ธรรมเนียม การเปลี่ยนแปลง คณะบริหารกันมาแล้ว ตลอดมา
        ไม่ถูกกฎหมาย ด้วยซ้ำ แต่ประเทศไทยก็ยอม ต่อ “อธิปไตย” หรือ อำนาจที่ไม่ชอบธรรมนั้น
        วันนี้ ขณะนี้ ประชาชนรวมตัวกัน เป็นพลังประชาธิปไตย ออกมาปฏิวัติ ตามกฎหมาย ชอบธรรมด้วย จึงควรเป็น “ขนบ” ที่ดีงาม
        ตาม มาตรา ๖๙ ทั้ง ๒ นัย
        คือ นัยที่ ๑ ถ้า...การกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดย...
        มีผู้ใช้ วิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
        บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี นี่เป็นนัยที่ ๑ ตาม มาตรา ๖๙  เราก็ทำอยู่แล้ว
        ทีนี้ นัยที่ ๒ นี่แหละ ที่ลึกซึ้งซับซ้อนหน่อย
        กล่าวคือ ตามนัยที่ ๑ นั้น คณะรัฐบาลปัจจุบันนี้ ก็ทำผิดแล้ว มิได้เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญนี้ แล้ว มวลมหา ประชาชน ก็ออกมาต่อต้าน ด้วยสันติวิธีอยู่แล้ว.... นัยนี้ก็ถูกต้อง ชอบธรรมแล้ว ตามรัฐธรรมนูญนี้
        ส่วนประเด็นที่ว่า การกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ นั้น เรากำลังปฏิวัติ เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจจริง
        พวกเราชาวคณะ กปปส.กับมวลมหาประชาชน กำลังต่อต้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ “ปฏิวัติ” ของเรา ชาวมวลมหาประชาชน มิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ แต่เรา “ประชาชนปฏิวัติ” เองโดยรัฐธรรมนูญ ไม่ได้บัญญัติวิถีทางไว้ ซึ่ง เป็นการต่อต้าน โดยสันติวิธี
        เราก็จะจัดการให้เกิด ระบบการปกครองใหม่ ขึ้นมาให้ดี อย่างบริสุทธิ์ ที่สุด ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ จนกว่าจะได้ คณะปกครอง บริหาร หรือ สภานิติบัญญัติ ที่ดีเรียบร้อย แล้วคณะเราประชาชน ที่จัดการนี้ ก็จะหยุด... วางมือทันที
        แล้วให้คณะบริหาร คณะนิติบัญญัติ และคณะตุลาการ ที่เป็นคณะใหม่ อันได้ปฏิรูปเรียบร้อยแล้ว ให้ทำงาน อย่างสัมบูรณ์
        เพราะคณะสภาประชาชน ที่ก่อการอยู่นี้ เหมือนคณะก่อการ ตั้งบริษัทจำกัด เมื่อตั้งบริษัทเสร็จ มีคณะกรรมการ ถาวร มีคณะทำงาน สมบูรณ์เรียบร้อย “คณะก่อการ” ก็สลายเลิกล้มไป
        ขณะนี้คล้ายๆกับ เรากำลัง ร่าง บริคณห์สนธิ ในการก่อตั้งบริษัท เมื่อได้สภาประชาชน เราก็ได้ คณะกรรมการก่อการ เมื่อคณะก่อการ จัดการทุกอย่าง เรียบร้อย เลือกตั้งกรรมการถาวร มีคณะกรรมการ ทำการบริษัท อันสมบูรณ์ ก็มอบหมาย ให้คณะบริหารถาวร คือคณะรัฐบาลใหม่ต่อไป คณะกรรมการก่อการ ก็วางมือ จบ
        ฉันใดก็ฉันนั้น
        เรื่องใหม่มากคือ คณะ กปปส. นี้เป็นสภาประชาชน ที่ยังไม่เคยเกิดมาก่อน จึงยังไม่เคยมี ประเพณี ที่ยึดอำนาจ ด้วยมือเปล่า ด้วยความสงบ สันติวิธี แบบนี้เป็น “ขนบ” ธรรมเนียม ประเพณีให้เป็น
        แต่คราวนี้ ครั้งนี้แหละ กำลังจะมีเป็นครั้งแรก ที่ทำได้ ปฏิบัติได้ อย่างวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ขนาดนี้ เห็นแล้ว ปรากฏแล้ว
        ซึ่งมหัศจรรย์ที่สุด จนคนไม่เชื่อว่าจะจริง จะบริสุทธิ์จริง จะทำได้จริง
        ทั้งๆที่ คณะกปปส.นี้ ได้ต่อต้าน ต่อสู้มาอย่างอุตสาหะ เรียบร้อย เป็นไปได้ ใช้เวลานาน มาถึงครึ่งปีกว่า คือกว่า ๒๐๐ กว่าวันแล้ว เรียบร้อยมาตลอด ชอบธรรมมาตลอด
        ส่วนที่เกิดความเสียหาย ล้มตายบาดเจ็บนั้น มันไม่ใช่เกิดจากเรา กปปส. แต่เกิดจาก ฝ่ายรัฐบาล และ ผู้ช่วยรัฐบาล หรือ ผู้ไม่ใช่ฝ่าย กปปส. แท้ๆตรงๆ เป็นผู้ทำให้เกิด ความเสียหาย เหล่านั้น
        ดังนั้น กปปส. จึงเป็นคณะประชาชน ที่ประพฤติต่อต้านโดยสันติวิธี ที่มี วิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตาม “วิถีทาง” ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ นั่นคือ ทำการยึดอำนาจ มาจัดการเอง ที่ไม่เหมือนคณะทหาร ใช้อาวุธปฏิวัติ ซึ่งทหารปฏิวัตินั้น ไม่ชอบธรรม แต่คณะ กปปส. ปฏิวัติโดยชอบธรรม ส่วนคณะทหาร ที่ใช้อาวุธปฏิวัตินั้น ผิดอำนาจอธิปไตย ผิดกฎหมาย เป็นกบฎ
        หากใครจะมองไปเป็นว่า คณะ กปปส. ปฏิวัติเพราะใช้ “อำนาจ” ยึด...ก็ถูกต้อง เพราะไม่ผิดกฎหมาย ไม่เหมือน คณะปฏิวัติ ที่ใช้อาวุธ ใช้อำนาจ Force หรืออำนาจ coup d' Etat(คู เดทา) รัฐประหาร ที่ไม่สันติวิธี
        คณะ กปปส. ใช้ “อำนาจที่ชอบธรรม” จึง วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ เพราะใช้ “อำนาจ” ยึดอย่าง ถูกต้อง สวยงาม ดีจริง เป็น Authority ที่ Sovereign right power =  supreme ยิ่งแล้ว
        จึงควร จะเกิดเป็น “ขนบ” ประเพณี อันสวยงาม แม้จะเป็นครั้งแรก ก็ควร จะเกิดขึ้น ใช่มั้ย?
        เพราะเป็นการแสดงออก ซึ่ง “อำนาจ” ที่เป็น “อธิปไตยของชนชาวไทย” ตรงตาม มาตรา  ๓ + มาตราอื่นๆ อีกมาก และ มาตรา ๖๙ อย่างลึกซึ้ง ด้วยประการฉะนี้
        จึงใช้มาตรา ๗ ได้อย่างเต็มที่ โดยมีมาตราอื่นๆ ประกอบสมบูรณ์ เช่น ม.๔-๖ ก็ต้องใช้ / มาตรา ๒๖-๔๐ ก็ต้องใช้ / มาตรา ๖๓-๗๔ ก็ต้องใช้ เป็นต้น
        จึงควรเป็น “ประเพณี” อัน วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์  อย่างไม่เคยมีมาก่อน แม้ครั้งแรกนี้ จะบกพร่องบ้าง ไม่สวยสด งดงาม สะอาดบริสุทธิ์ กว่านี้
        ก็หวังว่า จะเป็นการเริ่มต้น เกิด “อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย” ตาม มาตรา ๓ ที่จะเกิด “ประเพณีการปกครอง” ที่เป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข สืบไป
        ที่ไม่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเลย
        คณะ กปปส. ซึ่งเป็นประชาชนคณะแรก ที่เป็นกลุ่มชนได้ใช้ “อำนาจ” อธิปไตย เป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน จริงๆ
        แม้ไม่มีในบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ แต่พฤติปฏิบัติ ก็ชอบธรรม และสารสัจจะ แสนรู้ยาก ทำได้ยาก
        แม้ว่าจะไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ เป็นคำความภาษา ระบุตรงๆ ประชาชนในประเทศ ก็ได้ช่วยกัน วินิจฉัย
        ทั้งตาม “ประเพณี” ที่เคยมีมาก่อน อันยังไม่ถูกต้องนัก ในการปฏิวัติ หรืออำนาจ coup d' Etat รัฐประหาร อันรุนแรง ไม่ใช่สันติวิธี เพราะยังเป็นอำนาจ Force
        กระทั่งที่สุด ประชาชนได้ปฏิวัติ อย่างถูกต้องชอบธรรมจริงๆ เป็นอำนาจ Authority ชนิดสันติวิธี ที่ไม่เคยทำได้ มาก่อน 
        ถ้าทำสำเร็จ ได้ครานี้ ก็เป็นความมหัศจรรย์ อัน วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์  แท้แน่แล
       
        สรุปเอาเนื้อหา มาตรา ๖๙ นี้ ก็คือ
- คณะ กปปส. ย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี และทำได้ถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญนี้ ยิ่งกว่า คณะอื่นๆ ที่เคยมีขนบ ทำการต่อต้าน ที่เป็นไป เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจ หรือ ยึดอำนาจ ในการปกครองประเทศ
-ส่วนคณะรัฐบาล และคณะนิติบัญญัติ หรือรัฐสภา นั้น โมฆะ ไปแล้ว ตาม มาตรา ๖๘ เป็นต้น และมาตราอื่น ต่างกรรมต่างวาระ
จึงไม่ชอบธรรม ที่จะอยู่ในอำนาจ ในการปกครองประเทศ ต่อไปอีกแล้ว
            เพราะฉะนั้น “สิทธิ” ของมวลมหาชน ที่รวมตัวกันเป็นคณะ กปปส. ต่อต้านโดยสันติวิธี จึงเป็นการกระทำ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ
            ที่ชอบธรรมที่สุด กว่า การกระทำใดๆ ของคณะใดๆ
 แม้คณะรัฐบาลและคณะรัฐสภาจะมาด้วยการเลือกตั้ง ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ แต่ก็ โมฆะแล้ว เพราะได้ทำ ความไม่ชอบธรรม มามากเกินไปแล้ว    
        ส่วนคณะมวลมหาประชาชน กปปส. คือผู้ดำเนินการกระทำ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครอง (ใหม่) โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
        แต่ก็ต่อต้านด้วยสันติวิธี อันเป็น Supreme ที่สุดกว่าคณะใด
        เป็น Supreme right power สูงสุดกว่าคณะใดๆ แล้ว
        เท่าที่มีการกระทำ อันเป็นขนบประเพณีที่เคยมีมา
        จึงเป็นคณะผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ตาม มาตรา ๓ ย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยชอบธรรม ตามมาตรา ๖๙ เพราะกระทำ ถูกต้องตาม มาตรา ๖๓ มาตรา ๗๐
        ที่มีวิธีการอัน สันติ อหิงสา ได้ดีที่สุด กว่าที่เคยมีการกระทำ ของคณะใดๆ เป็นปฐมฤกษ์ อันเป็นวิถีทาง ที่จะเป็น ขนบประเพณี ในการปฏิบัติ
        แม้ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
        เช่นบัญญัติให้ประชาชนปฏิวัติได้ เป็นต้น คณะกปปส. ก็ได้กระทำดีที่สุด ชอบธรรมที่สุดแล้ว
        เท่าที่ได้อุตสาหะพยายามกระทำมาถึงวินาทีนี้
        ซึ่งเป็นการกระทำของมวลมหาประชาชนคนไทย ที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ยิ่งแล้ว เท่าที่เคยมีมา
        จงพากันภาคภูมิใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยถ้วนหน้าเทอญ.

 

มาตรา ๖๙ นี้อาตมาตั้งข้อสังเกตว่า คณะร่างรัฐธรรมนูญ ไม่รู้ว่าไปลอกแบบ มาจากประเทศอื่น หรือเปล่า ก็ไม่รู้ แต่เป็นมาตรา ที่เยี่ยมยอดมาก เพราะเป็นประชาธิปไตย สุดยอดจริงๆ เป็นการรู้จัก อำนาจอธิปไตย ประชาชนที่ทำ
        เช่นกปปส.จะทำ คิดไม่ถึง จะเป็นการปฏิวัติ โดยสันติ มีสิทธิขอคืนอำนาจ ให้ได้อำนาจ ในการปกครอง บริหารประเทศ ของมวลมหา ประชาชน ให้เขาออกไป ไม่ให้ทำ เพราะเขาทำไปก็ผิด
        ตอนนี้คณะบริหารนี้ โดยเฉพาะ ขออภัยนะ นางดอกไม้ เขายืนยันว่า จะรักษาประชาธิปไตย จะตายคาสนาม ประชาธิปไตยเลย เป็นการแสดง ความไม่รู้ อย่างยิ่งเลย
        แม้แต่ตอนนี้ จะดันทุรังไปให้เลือกตั้ง คุณไทกร ก็ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัย ๔ ประเด็นคือ
        สำหรับ 4 ประเด็นที่ได้ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยนั้น ประกอบด้วย
        1. ขอให้วินิจฉัยว่า การที่ กกต.จะกำหนด ให้มีการจัดการ เลือกตั้งใหม่ใน 28 เขต 8 จังหวัดภาคใต้นั้น จะทำให้มี วันเลือกตั้ง ขึ้นอีก 1 วัน ถือว่าขัดต่อ รัฐธรรมนูญ มาตรา 108 ที่กำหนด ให้การเลือกตั้งทั่วไป ต้องกำหนด เป็นวันเดียวกัน ทั่วราชอาณาจักร หรือไม่
        2. การที่ กกต. ไม่สามารถประกาศรับรอง ผลการเลือกตั้ง ส.ส.ได้ร้อยละ 95 ภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้ง จะถือว่า ขัดต่อ รัฐธรรมนูญ มาตรา 127 วรรคหนึ่ง และมาตรา 128 วรรคหนึ่ง หรือสอง ที่กำหนดให้ต้อง มีการเปิดประชุม รัฐสภา ครั้งแรก ภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง หรือไม่

  1. การที่ไม่สามารถเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก ภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้งได้ จน ส.ส. ไม่สามารถพิจารณา เห็นชอบแต่งตั้ง ให้บุคคล ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วันได้ จะถือว่าขัดต่อ รัฐธรรมนูญ มาตรา 172 ที่กำหนดให้ สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาให้ความเห็นชอบ บุคคล สมควรดำรงตำแหน่ง นายกฯ ให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการ เรียกประชุมรัฐสภา เป็นครั้งแรก หรือไม่

4. นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี จะต้องปฏิบัติหน้าที่ รัฐบาลรักษาการ ไปอีกนานเท่าใด ในเมื่อการเลือกตั้ง และการประกาศผล การเลือกตั้ง ไม่สามารถปฏิบัติได้ ตามกรอบเวลาที่ รัฐธรรมนูญกำหนด

        เราทำได้อย่างถูกต้องอย่างยิ่ง ที่เราทำนี่ ก็ต้องขอบคุณ มวลมหาประชาชนจริงๆ นี่อีกไม่กี่วัน ก็จะครบ ๒๕๐ วันแล้ว ซึ่งรัฐธรรมนูญนี้ ๗ มาตราแรก เป็นสิ่งที่รวมความ ไว้หมดแล้ว ในการปกครองประเทศ
มาตรา ๑ (รูปแบบรัฐ) ประเทศไทย เป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
มาตรา ๒ (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทย มีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
มาตรา ๓ (อำนาจอธิปไตย) อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไป ตามหลัก นิติธรรม
        ในมาตรา ๗๐ และ ๗๑ นั้น เมื่อประเทศจะเสียประโยชน์
มาตรา ๗๐  บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

มาตรา ๗๑ บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์ชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย
        ถ้าไม่ออกมาทำหน้าที่ ก็ผิดรัฐธรรมนูญ และที่ต้องบังคับ ให้ไปเลือกตั้งนั้น ก็เพราะคนไม่ยอมทำหน้าที่ คือคนก็หากินไป ไม่มีกตัญญูต่อชาติ เป็นคนอกตัญญูเลย เราต้องรู้หน้าที่ ของประชาชน แม้ไม่มีระบุไว้ เราก็ควรมี ปฏิภาณไหวพริบ ว่าเราอยู่ในสังคม เราควรทำอะไรบ้าง    
        การกระทำของเรา เป็นการมาช่วยสังคม ประเทศชาติ อดไม่ได้ ต้องขอบคุณพวกเรา ที่เสียเวลา ทำมาหากิน หลายคน ต้องเสียสละ สิ่งที่ควรได้ ควรมีควรเป็น เพื่อมาเสียสละ นับหัว ทางด้านโน้น ก็ประเมินว่า พวกเราเหลือ สามพันคน อาตมาว่า แค่ผ่านฟ้านี่ ก็ถึงแล้ว สามพันคน เราไม่ได้ออกมา หน้าเวที เพราะเราอยู่อย่าง บ้านใหญ่ มีอาณาจักร ยิ่งกว่าสลัม อยู่กันเต็มไปหมด ที่ออกมานั่ง หน้าเวที ก็ออกมาน้อยนี่ ก็สองร้อยกว่าวัน ก็เบื่อแล้ว นานๆที ก็ออกมา ยืดเส้นยืดสาย ถ้าคนไม่เป็น แฟนนานุแฟน ก็ไม่ออกมา

       
 

   www.asoke.info