570426_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่ ป้อมมหากาฬ
เรื่อง ปากหอกและความเสื่อมของชาวพุทธ

     พ่อครูว่า... เรื่องการศึกษา เป็นเรื่องสำคัญ ของมนุษยชาติ เดี๋ยวนี้ เข้าใจเรื่องการศึกษา กลายเป็นพิษแล้ว แต่การศึกษา จะเป็นตัวทำให้คน พัฒนาขึ้น หากเป็นการศึกษา ที่สัมมาทิฏฐิ ที่เข้าใจจุดมุ่งหมาย การศึกษาให้เจริญ อะไรเป็นหลัก

     ความเจริญที่ผิด คือเจริญทางเทคนิค ความสามารถในกลวิธี ในการสร้างสรรค์ แต่จิตใจไม่เจริญ จิตใจไม่ลดกิเลส ยิ่งมีความรู้สามารถ เทคนิคสูง ก็ได้เปรียบสังคม ก็เอาเปรียบ สังคมหนัก ต่อรองสูงขึ้น สังคมต้องการสูง ก็ยิ่งโก่งค่าตัวมากขึ้น คนก็เลยหลงใหล โลกธรรม ยิ่งเงินมาก ยิ่งไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้เรื่องกาม ต้องไปหลงเสพสุข มักมากไปใหญ่เลย

     พูดชัดๆเลยว่าทั้งโลก มหาวิทยาลัยไหนๆ ทั้งโลก ไม่เน้นเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม หรือธรรมะเป็นหลัก แต่เน้นเรื่อง ความรู้ความสามารถ ทางเทคนิคเพิ่ม แต่จิตใจ ไม่ได้ลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัวแท้จริง

     ศาสนาที่จะลดความเห็นแก่ตัว ลดกิเลสที่แท้จริง นั้น ก็แต่ละศาสนา แต่ละศาสดา ท่านก็หาวิธีให้คนลด ความเห็นแก่ตัว ก็เต็มที่ของ แต่ละศาสดา เราชาวพุทธ ก็มาพูดของ พระพุทธเจ้า ท่านศาสดาอื่น ก็เป็นธรรมะ ช่วยสังคมเหมือนกัน

     พอเวลานานเข้า ศาสนาที่เคยมีธรรมะ ก็กลายเป็น มีผู้ไม่มีคุณอันสมควรก่อน แล้วไปสอนผู้อื่นจึงมัวหมอง ต้องมีคุณอันสมควรก่อน สอนผู้อื่นภายหลัง จึงไม่มัวหมอง แต่เมื่อไม่มี ความรู้จริง ได้แต่ตรรกะ ได้แต่รู้จำได้ นึกคิดเอา ก็เลย ไม่จริง เมื่อไม่จริง ก็ใช้เหตุผลส่วนตัว แต่มีกิเลส ก็หยุดไม่ได้ ก็จนแต้ม ก็ดำน้ำไป มีปฏิภาณปัญญาของตน ก็ใส่ไปเรื่อย ก็ไม่ตรงกับความจริง

     ศาสนามัวหมองมากเลย พระศาสดาสิ้นไปแล้ว สาวกก็มีการสืบทอด มีทั้งผู้จริง และไม่จริง และผู้ไม่รู้จริงนี่แหละ ทำให้เสื่อม จนบัดนี้ ๒๕๕๗ ปีแล้ว ที่พระพุทธเจ้า ปรินิพพานไป ศาสนาก็เสื่อมไป เกือบจะหมดเลย

     เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่คนเสื่อม ทำให้ศาสนาเสื่อม สังคมก็เสื่อม ผู้ที่เรียนรู้ ก็เรียนรู้มาผิดๆ ก็ไม่เจริญ นอกจากไม่เจริญแล้ว ก็ยังเลวร้ายด้วย อย่างไทยนี่ คนนับถือพุทธ ๙๕ % ผู้ศึกษาพุทธมา ก็เผยแพร่กัน ไม่เพียงในเมืองไทย ยังมีต่างประเทศอีก แต่คนเสื่อม แม้ผู้ตามศึกษาศาสนา ที่เป็นฆราวาส ก็ได้รับการศึกษามาผิดๆ ยิ่งผู้ไม่ไปศึกษา ตามหลักที่ถูกต้อง ก็ยิ่งแย่ ตามความเสื่อม ๗ ประการของชาวพุทธ
๑.  ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ (ภิกขุทัสสนัง หาเปติ)
๒.  ละเลยการฟังธรรม (สัทธัมมัสสวนัง ปมัชชติ)
๓.  ไม่ศึกษาในอธิศีล (อธิสีเล น สิกขติ)

และเขาสอนว่า การสอนศีล คือการขัดเกลาแค่กาย วาจา เท่านั้น ส่วนจิตจะได้สมาธิ ต้องไปนั่งสมาธิ สอนแยกส่วนเลย เพราะฉะนั้น สอนอย่างนี้ ก็เจ๊งเลย มีหลักฐาน ในพระไตรปิฎก ในกิมัตถิยสูตร ล.๒๔ ข.๑, ๒๐๘ ซึ่งสอนกันว่า ศีลปฏิบัติแต่กายกับวาจานั้นก็ได้ผลแต่ ในการสำรวมเบื้องต้น จิตก็ได้กดข่ม แต่ไม่ได้ละกิเลส ไม่รู้จิต เพราะอย่างนั้น ถ้าสอนศีล แล้วไม่ลดกิเลสในจิต ก็ไม่ได้ผล ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ตาม กิมัตถิยสูตร

  1.  อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
  2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)
  3.  ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)
  4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
  5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
  6. สมาธิ (จิตมั่นคง)
  7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)
  8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)
  9. วิราคะ (คลายกิเลส)
  10. วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ในนิพพาน) (กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม ๒๔ ข้อ ๑ , ๒๐๘)

๔.  ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ ทั้งที่เป็นเถระ ผู้ใหม่และปานกลาง
๕.  เพ่งโทษฟังธรรม (ธัมมัง สุณาติรันธคเวสี)
๖.  แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา ทักขิเณยยัง คเวสติ)
๗.  ทำสักการะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ จ ปุพพการัง กโรติ)
(พตปฎ. เล่ม ๒๓ ข้อ ๒๗)

     แม้แต่ภิกษุเอง ก็กลับไปนับถือ นอกคำสอน ของพระพุทธเจ้าไปแล้ว นี่คือความเสื่อมแท้ๆ ที่พูดนี้ พูดสัจธรรมนะ

     เมื่อผู้ที่อยู่ระดับสูง ระดับบนของสังคม เสื่อมจากคุณธรรม มันจะเหลืออะไร ก็เป็นอย่างนี้ บ้านเมืองบริหารด้วย คนไม่มีคุณธรรม นับถือพุทธ ก็ทำตามจารีต ประเพณี ขนบธรรมเนียมไป ในสังคมที่ขาดธรรมะ ขาดคุณธรรมแท้จริง ขาดจิตที่ลดกิเลส ไม่รู้จักการลดกิเลส กิเลสก็โต จนกระทั่ง เดี๋ยวนี้ ก็น่ากลัว ขออภัยที่ต้องพูด ที่อาจต้องเสี่ยง ข้อหา ผิดกฎหมาย แต่เจตนา ไม่ได้ลบหลู่ดูถูก แต่พูดตามหลักวิชาการ

     ได้ข่าวมาว่า แม้แต่ผู้ที่เป็นหลักของประเทศ ที่ดูแลความถูกความผิด พยายามเป็นหลัก ในการตัดสิน ความผิดถูก ของประเทศ แต่จิตเต็มไปด้วยกิเลส ทีนี้ก็มีคน ประมูลซื้อไปได้ คนมีหน้าที่ดูแล ตัดสินชั่วดี ถูกผิด ของประเทศชาติ มีผลต่อสังคมมาก โดยเฉพาะคนที่ จะซื้อบ้านเมือง มีเกมการเมือง พวกเราคงได้ข่าวคราว ว่าเขาใช้เงินซื้อ ใช้อำนาจประเคนลาภยศ ซื้อ ร้อยล้านไม่ได้ ก็ห้าร้อยล้าน พันล้าน คนมีกิเลส จะอดใจไหวอย่างไร ประเทศไทย ก็เสร็จสิ เขาว่าเงินซื้อได้หมด ที่เขาว่า จ้างผีโม่แป้ง แต่อาตมาว่า เอาเงินจ้างเทวดาล้างส้วม

     ผีเป็นสัตว์ชั้นต่ำ ก็หลงเงิน แต่เทวดาชั้นสูง มาล้างส้วมยังเอาเลย มันร้ายแรง น่ากลัวมากเลย

     ก็เหลือแต่คนหวังดีต่อชาติ รักศักดิ์ศรี รักความเป็นคน ชีวิตนี้ไม่กระไร เงินทองจะมีมากอย่างไร ก็กินแค่อิ่ม บำเรอกามคุณ ด้วยข้าวของ ด้วยคน บำเรออัตตาเป็นสุขขัลลิกะ เป็นสุขเท็จ สมใจในกามในอัตตา พระพุทธเจ้าสอนไว้

     แต่ไม่ศึกษา ไม่ทำตาม ก็เป็นทาส ก็เลยเป็นโทษภัยต่อชาติ ที่บ้านเมืองเดือดร้อน เพราะคนเสื่อมจากธรรมะ ไม่มีอื่นเลย ถูกเงินลาภยศ ฟาดหัวเอา แล้วก็ไปเป็นพวก ของคนใช้ อำนาจบาตรใหญ่ เอาเรื่องโลกีย์ มาประมูลมาซื้อ ใช้เป็นอำนาจ น่าสงสารประเทศไทย

     ตอนนี้สู้กันด้วย ธรรมะกับอธรรม แต่ก็สู้ได้นะ เราสู้ได้ด้วยธรรมะ ขอยืนยัน น่าชื่นใจนะ กำนันสุเทพนี่ พูดอย่างเด็ดขาด มีการจะประนีประนอม เรื่องที่ดีก็คือ หัวหน้าพรรค ปชป. ออกมาบอกว่า จะพยายามเจรจากัน เป็นคนกลาง พอกำนันสุเทพ ได้ยินข่าว ก็ตัดพั๊วเลย ว่า... อย่ามาสะเออะ

     เมืองไทยนี่ คนไทยออกมาแสดงพฤติภาพ ของประชาธิปไตย ได้อย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ อย่างยิ่งเลย

     ประชาชนออกมาต่อต้านประท้วงล้มล้าง ตามรธน.เลย

     คนไทยนี่ปฏิวัติโดยประชาชน ปฏิวัติคือเปลี่ยนฉับพลัน จากการเมืองเลวร้าย มาเป็นการเมืองแบบใหม่ ไม่เอาแบบเลวร้ายแล้ว จะปรับเลย มั่นใจว่า พวกเรามีเยอะ ที่เตรียมจะมา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงประเทศ คัดเลือกกันเข้ามาให้ดี

     ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า สภาก็ผิดพลาดไปหมด แม้แต่รัฐบาล ก็ยุบสภาไปแล้ว มีอยู่แค่ว่า รักษาการ แต่ว่าตอนนี้ เขาทำละเมิดเยอะเลย ตั้งตัวเองเป็น ศอ.รส. ผิดไปหมดเลย โดยพฤตินัย ทางโน้นผิด จนไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ดึงดันอยู่ เพราะเราไม่ได้ไปดึงดัน ข่มขี่อะไร การยึดอำนาจนั้น เป็นประเพณี ทหารทำโดยอาวุธ ยังยอมให้ทำได้เลย แต่ว่านี่ทำโดยประชาชน

     รัฐบาลเป็นเพียง รัฐบาลาธิปัตย์ ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์ เมื่อประชาชน เจ้าของรัฏฐาธิปัตย์ มาขออำนาจคืน ยันยันออกมาล้มล้าง และล้มล้าง อย่างถูกต้อง ตามรธน.ด้วย จึงไม่มีอะไรผิด วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ไม่เคยมีมาในโลก แต่ก็ต้องทำ ให้เป็นประเพณี เป็นขนบที่ดีงาม สุดยอด ทำไมประชาชน ไม่มาช่วยกันทำ แม้แต่ข้าราชการ ทำไม ไม่มากันให้มาก

     ตอนนี้นายกฯ เป็นเพียงรักษาการ กฎหมายไม่ได้ให้สั่งการย้าย หรือปลดใครได้ จะไปเห็นแก่ลาภยศ สรรเสริญสุข ไปมากมาย ทำไมกัน

     อาตมาไปบ้านราชฯมา ที่บ้านราชฯ จัดตลาดอาริยะ ตอนแรก จะจัดวันที่ ๑๓ แต่ว่า คนมาขอร้อง ให้จัดวันที่ ๑๒ เพราะว่า คนจะได้เอาเงิน มาซื้อของ ซื้อปุ๋ย จะได้ไม่เอาเงิน ไปซื้อเหล้า หรือเที่ยวสงกรานต์ นี่คือเหตุผล... คนกำเงินมา มือเปียกๆเหงื่อเลย มาซื้อของ นำเงินมาซื้อ สิ่งของจำเป็น เห็นความยากจน ของประชาชน น่าสงสารจริงๆ ชาวนา ถูกเอาข้าวไป แล้วไม่ได้เงินนี่ เรื่องจริงนะ ฆ่าตัวตาย ไปตั้งเท่าไหร่ เอาข้าวให้รัฐบาล แล้วรัฐให้ใบประทวนมา เสร็จแล้ว เขาก็ต้องกินต้องใช้ คนเรา ถ้าไม่จนทางจริงๆ ก็ไม่ฆ่าตัวตายหรอก แต่รัฐบาลนี่ ไม่รู้สึกเลยว่า คนฆ่าตัวตาย เพราะฝีมือ การบริหารของตน แล้วดันทุรังว่า ตนไม่ผิดๆ แล้วหาว่ากปปส. ทำให้ยืมเงินไม่ได้ แล้วคุณจะยืมทำไม คุณเอาข้าวเขาไป ก็ต้องเอาไปขาย เอาเงินมาคืนเขาสิ ทำไมต้องไปกู้ยืม

     แล้วก็ยังมีคนงมงาย เชื่อถือรัฐบาลอีก มันหมดทางแล้ว เขาก็ต้องใช้ปากทิ่มแทง ด้วยปากหอก เขาไม่ไปทำร้าย ร่างกายหรอก คนในระดับปุถุชน ห้ามปากหอก ไม่ได้หรอก แม้พระอาริยะโสดาบัน ก็มี หอกปาก

     ในญาณ ๗ ของพระโสดาบัน ข้อแรกเลย ๑.รู้จักปริยุฏฐานกิเลส (ได้แก่ นิวรณ์๕ , การวิวาทกันด้วย หอกคือปาก ฯลฯ) แม้ละปริยุฏฯยังไม่ได้ ก็รู้ ไม่มีที่จะไม่รู้ และมีทิฐิ ตั้งปณิธานจิตไว้ เพื่อไปสู่การตรัสรู้ สัจจะทั้งหลาย

     ถ้าไม่ดื้อด้านอย่างนี้ เขาก็ไม่ด่าหรอก เป็นสัจธรรม ของจิตและกิเลส ไม่ได้พูด เพราะอยากให้ด่าหรอกนะ แต่เป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่มีทางเป็นอื่น

     ยังไงก็ต้องเปลี่ยนแปลง ขืนปล่อยไปอย่างนี้ คณะนี้ทำต่อไปอีก เชื่อโรคชั่วจะทับทวี หนา ไม่อยากคิดต่อเลย เพราะฉะนั้น หยุดไม่ได้นะ ประชาชน ต้องพยายามอดทน ต้องล้มล้างให้ได้ หากล้มล้างไม่ได้ คุณเอ๊ย ไม่อยากคิดต่อ เพราะตั้งแต่เราได้ผิดพลาด ก็ขอปลงอาบัติ ช่วยทักษิณ ตั้งแต่คดีซุกหุ้น เราก็นึกว่า เขาเป็นคนดี เราก็ไปช่วยเขา จนเขาหลุดพ้นได้ ก็ผยองสิ เป็นเสือติดปีก เลวไม่ไว้หน้าอินทร์ หน้าพรหมเลย สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น

     [๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหาร จะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวก เจ้าหน้าที่ จับโจรผู้กระทำผิดได้ แล้วแสดงแก่ พระราชาว่า ขอเดชะ ด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ ฝ่าละอองธุลีพระบาท จงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ลงโทษโจรผู้นี้ ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมี พระกระแสรับสั่ง อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสีย ด้วยหอก ร้อยเล่ม ใน เวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้น ก็ช่วยประหาร นักโทษคนนั้น ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเช้า ต่อมา เป็นเวลาเที่ยงวัน พระราชาทรงซักถาม เจ้าหน้าที่เหล่านั้น อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้น เป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแส รับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกัน ประหารมันเสีย ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้น ก็ประหารนักโทษคนนั้นเสีย ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเที่ยงวัน ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชา ทรงซักถาม เจ้าหน้าที่ เหล่านั้นอีก อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษ คนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมี พระกระแสรับสั่ง อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสีย ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเย็น เจ้าหน้าที่คนนั้น ก็ประหารนักโทษคนนั้น ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเย็น ภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลาย ยังเข้าใจความข้อนั้น เป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลัง ถูกประหาร ด้วยหอก ร้อยเล่ม ตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวย แต่ทุกข์โทมนัส ซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลัง ถูกประหารอยู่ ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวย ความทุกข์โทมนัส ซึ่งมีการประหารนั้น เป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึง เมื่อเขากำลัง ถูกประหาร อยู่ด้วยหอก สามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหาร ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวก กำหนดรู้ วิญญาณาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมา กำหนดรู้ นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวก จะพึงทำให้ยิ่งขึ้น ไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

     เพราะฆ่าไม่ถูกตัว จะฆ่ากิเลสได้ ต้องรู้นามรูปในตัวเองได้ เราต้องรู้เหตุปัจจัย รู้ผิดถูก ดีชั่ว เราจะชนะความชั่ว ด้วยความดี ชนะความผิด ด้วยความถูก มายืนยัน ประชาชน องค์กรอิสระ ตุลาการ มายืนยันช่วยกัน ออกมากันให้มาก ดูสิว่า จะยอมรับไหม แต่นี่ออกมา ยังไม่มากพอ ต้องออกมามากมายจริงๆ

     เขาหน้าด้าน เราก็ทนทาน ก็แล้วกัน

     ในการสู้กันด้วยธรรมะนี่ ธรรมมีประสิทธิภาพ มีธรรมฤทธิ์ เป็นความสงบ สยบความรุนแรง มหัศจรรย์ มีเหตุ ทุกอย่าง มาแต่เหตุ

     จากพวกเรานี่แหละ ทำให้พวกตำรวจ ที่มากัน ในวันที่ ๑๘ แล้วเป็นตำรวจ ผู้เล็กผู้น้อย เขาก็มีจิตดี จะทำร้ายคนดี เขาก็ทำไม่ได้ ถ้าให้ไปฆ่าคนร้าย เขาก็ทำได้ แต่จิตที่รู้ดีรู้ชั่ว แต่ก่อนได้ยินว่า พวกนี้เขาเป็นคนดีด้วย แล้วมาเห็นกับตาเลยว่า พวกนี้ทำดี เราไปทำร้ายเขา เขาไม่ทำร้ายตอบด้วย เขายังดีกับเราด้วย แล้วความรู้สึกดีชั่ว ปัญญาเหล่านี้ ตำรวจ ผู้น้อยผู้เล็ก เขาก็เห็น พอถึงเวลาจริงๆ มันก็ตัดสินเอง ทำไม่ไหว ทำไม่ลง ไปเถอะเรา น้ำหนักของ คนรู้ดีชั่วผิดถูก คนก็สัมผัสได้ ต่างคนต่างตัดสิน ตำรวจก็ว่า ไปแล้วโว้ย แพ้ยะย่าย พ่ายจะแจ ไปเลย จนกระทั่ง บางคน มีอุปาทาน เห็นแสงจาก สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา มันก็เป็นอุปาทานได้

     เราเอาชนะความชั่ว ด้วยความดี ไม่ต้องไปข่มเหง ทำดีให้มากเข้าไป เราทำดีไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ

     ทำชั่วนี่ มันยากจะตาย ทำอยู่ได้ ทำดีมันไม่ได้ยากกว่า ทำชั่วเลย ทำชั่วนี่ยากจะตาย คนที่ยังทำดีได้ยากก็มี คนทำชั่วง่ายก็มี ส่วนคนทำดีได้ง่าย ก็ทำชั่วได้ยาก เป็นอย่างนั้นเอง

     ที่เราทำกันอยู่นี่ เกิดจากสัจธรรม พวกเพียรทำ จนทำได้ง่าย ทำได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ในฌานทั้ง ๔ กิเลสพาเราทำชั่ว แต่เรามีฌาน เป็นไฟเผากิเลส ให้หมดไปได้ เราก็ชนะได้ เราทำอย่างนี้ได้ก็ง่าย ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ในการทำดี เผาผลาญกิเลสไป มันก็ไม่มีพลัง มาบังคับเรา เราก็ทำดีได้ง่ายขึ้น กิเลสออก ก็ไม่มีฤทธิ์แรง พาเราทำชั่ว ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ในฌานทั้ง ๔ เป็นจิต ปราศจากนิวรณ์...     

   www.asoke.info