ยุทธวิธี ๘ ขั้นแห่งการเป็นผู้พิชิต
(พาหุงฯ ๘ ที่พิสูจน์ได้)

คำนำ

ทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนต้องเผชิญกับการต่อสู้ ในรูปแบบ และจุดมุ่งหมาย ที่ผิดแผกแตกต่างกันออกไป ตามเงื่อนไขของสภาพแวดล้อม สัญชาตญาณ และความเจริญแห่งภูมิจิตภูมิปัญญา ที่พัฒนาแปรเปลี่ยนไป ในแต่ละยุค แต่ละสมัย

นับตั้งแต่การต่อสู้กับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ต่อสู้กับความทุกข์ทรมาน ของโรคภัยไข้เจ็บ ต่อสู้เพื่อครอบครองกรรมสิทธิ ในที่อยู่อาศัย ต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ฯลฯ ของมนุษย์ ในยุคสมัยต้นๆ

มาจนกระทั่งถึงการต่อสู้ เพื่อครอบครองอาณาเขต ดินแดนต่างๆ ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ต่อสู้เพื่อความอดอยากหิวโหย ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ ต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ฯลฯ ของมนุษย์ ในยุคปัจจุบัน

จากการต่อสู้ในระดับบุคคล เงื่อนไขของการต่อสู้ ได้บีบรัดให้มนุษย์ผนึกรวมกันเข้า เพื่อร่วมกันต่อสู้กับภัยพิบัติ ทั้งทางธรรมชาติและสังคม จนคลี่คลายขยายตัว เป็นขบวนการต่อสู้ อันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ

แต่แทนที่การผนึกรวมกันเข้าของมนุษย์ จะช่วยให้มนุษย์ ได้พบกับชัยชนะในการต่อสู้ และอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข มันกลับก่อให้เกิดปัญหาอันยุ่งยาก และสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นทุกทีๆ จนกลายเป็นกลไกอันยุ่งเหยิงของสังคม ในระบบต่างๆ ซึ่งมีอิทธิพล ผลักดันให้วิถีชีวิตมนุษย์ ให้ต้องดำเนินไป ตามวงจรและค่านิยม ที่สังคมนั้นๆ กำหนดขึ้น โดยปราศจากจิตสำนึกที่แท้จริง ในการอยู่ร่วมกัน และความรู้ซึ้งถึงคุณค่า และความหมายของการมีชีวิตอยู่ อันนับว่าเป็นความปราชัย อย่างยับเยินที่สุด ของมนุษยชาติ!

สาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์ ต้องประสบกับความล้มเหลว ในการต่อสู้กับศัตรู ทั้งทางธรรมชาติและสังคมนั้น เพราะมนุษย์มัวแต่ไปวุ่นวาย อยู่กับสิ่งเร่งเร้าภายนอกมากเกินไป จนละเลยและมองข้ามศัตรูสำคัญที่สุด ของมนุษยชาติ อันคือ "สัญชาตญาณสัตว์ป่า" ซึ่งครอบงำฝังลึก อยู่ในกมลสันดานของมนุษย์นั่นเอง ที่ทำให้สังคมของมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์เมือง มีสภาพไม่แตกต่างไปจากฝูงสัตว์ป่า ในด้านของความสำนึกทางมโนธรรม

จึงกล่าวได้ว่าศัตรูสำคัญ ซึ่งเป็นตัวการที่บ่อนทำลายมนุษยชาติ ให้ย่อยยับนั้น ก็คือ "สันดานดิบ" ที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของมนุษย์ปุถุชน ทั้งหลายนี้เอง

เมื่อเห็นได้แล้ว พึงช่วยกันกำจัดเถิด สาธุชนทั้งหลายเอ๋ย!

"ยุทธวิธี" ๘ ขั้นแห่งการเป็นผู้พิชิตนี้ มีเนื้อหาสาระ ในการที่จะชำระขัดเกลา หรือ อบรมบ่มสันดานของมนุษย์ ให้มีจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์หมดจด และเจริญงาม สูงส่ง เปี่ยมด้วยมโนธรรมสำนึกอันไพบูลย์ จนอยู่เหนืออิทธิพล ของสัญชาตญาณสัตว์ป่า เป็นผู้พิชิต ซึ่งได้รับชัยชนะเหนือตนเอง และเหนือโลก (โลกุตระ) อย่างแท้จริง

โดยเรียบเรียง ถ่ายทอดจากคำบรรยายเรื่อง "พาหุง ๘ " (บทถวายพรพระ) ซึ่งบันทึกเสียงไว้ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๖ และได้แก้ไขปรับปรุง และเพิ่มเติม ส่วนที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ ก็ได้ตั้งชื่อเรื่องเสียใหม่ เพื่อความเหมาะสมตามกาลสมัย

ซึ่งบทถวายพรพระ หรือพาหุง ๘ นี้ โดยทั่วไป ก็ใช้เป็นบทสวดอ้อนวอน ขอความเป็นศิริมงคล อันเป็นลัทธิพิธี ตามความเชื่อของศาสนาแบบ "เทวนิยม" ซึ่งเป็นแบบอย่าง ของลัทธิยอมจำนน ที่สอนให้คนงอมืองอเท้า ไม่ต่อสู้กับชีวิต โดยยกอ้างอำนาจลี้ลับของผีสางเทวดา มาพะเน้าพะนอ ความอ่อนแอของตนเอง อันไม่ใช่วิสัยของชาวพุทธที่แท้จริงเลย

รายละเอียดต่างๆ ก็จะไม่ขอกล่าวในที่นี้ เพราะภายในเนื้อเรื่อง ก็ได้บรรยายไว้ อย่างแจ้งกระจ่างอยู่แล้ว จนคิดว่าบางที ความแจ้งกระจ่างของเนื้อหาสาระ อันเป็นแก่นแท้ อาจทำให้เกิดความกระทบกระเทือน แก่ผู้ที่ยังติดอยู่ในสภาวะนั้นๆ ก็ขอความกรุณา โปรดอย่าได้ขัดเคือง หรือขุ่นข้องหมองใจเลย เพราะผู้บรรยาย มีแต่ความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ ที่จะแสดงสารัตถะแห่งสัจธรรม ให้ปรากฏอย่างชัดเจน ด้วยกุศลเจตนาแท้ๆ มิได้มีอคติแต่ประการใดเลย

พระพุทธพจน์ว่า "ผู้ชี้โทษ นั่นแหละคือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์"

ในที่สุดนี้ ก็จะเว้นกล่าวเสียมิได้ก็คือ การที่หนังสือเล่มนี้ สำเร็จเป็นรูปเล่มขึ้นมาได้ ก็ด้วยความเอื้อเฟื้อของคุณ "พยนต์ เทียนประเสริฐ" และมิตรสหาย ซึ่งเป็นผู้รับภาระ ในการจัดพิมพ์ จนสำเร็จลุล่วงมาได้ด้วยดี จึงขออนุโมทนาสาธุการไว้ ณ ที่นี้ด้วย และขออานิงส์ ในสารัตถะแห่งหนังสือนี้ พึงได้แก่สาธุชนทุกๆท่านผู้อ่าน ด้วยวิจารณญาณอันยิ่ง เทอญ

อัตตา หเว ชิตัง เสยโย ชนะตนนั่นแหละเป็นดี

จาก ชาวอโศก เพื่อมวลมนุษยชาติ


 

ยุทธวิธี ๘ ขั้นแห่งการเป็นผู้พิชิต
(พาหุง ๘ ที่พิสูจน์ได้)

ลำดับต่อไปนี้ จะบรรยายเกี่ยวกับ คำที่ได้สวดกัน ฟังกันมามากมาย คือ บทสวดมนต์ ชื่อ "พาหุง สะหัสสะมะภินิม มิตะสาวุธันตัง ฯลฯ" ที่เคยได้ฟังกันมา เป็นพาหุงสั้นๆ หรือเป็นพาหุง ทั้ง ๘ บท ยาวเต็มก็ตาม ณ ที่นี้จะบรรยายให้ฟัง ครบกันอย่างจะจะ ทั้ง ๘ บท ๘ ขั้น ทีเดียว

ที่ได้ฟังกันมาแล้ว ก็ได้ยึดหลงกัน คิดว่าบทสวดพาหุงฯ นั้นเป็น "คาถา" กันโน่นกันนี่ กันผีกันสาง ทำให้สมจิตสมใจในสิ่งโน้นสิ่งนี้ เที่ยวให้สำเร็จผล อย่างโน้นอย่างนี้ มีฤทธิ์มีเดชอย่างโน้นอย่างนี้ นั่นเป็นความเชื่อถือ ยึดถือที่งมงาย เพราะอะไร มีเหตุมีผลอย่างไร? ผู้เชื่อนั้นก็ไม่รู้ เราได้ยินติดหู ภาษาบาลี

"พาหุง สะหัสสะมะภินิม มิตสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ...ฯ เราก็นึกว่าเป็น "คาถา" แหม! ดีจริงๆ ขลังจริงๆ ทั้งๆที่เราไม่รู้เลยทั้งหมดว่า หมายความว่าอะไร? นอกจากได้รับมา โดยเป็นการสวดร้องหมู่

"พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตโฆระสะเสนะมารัง
ทานังทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ"

บท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ นี่เขาแปลว่า "ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น" อันนี้เป็นบทจบ ของทั้ง ๘ บท ที่สวดเป็น พาหุงยาวๆ เป็นบท "ขอ" หนะ !

ที่จริงพระพุทธเจ้า ท่านไม่เคยสอนเรื่อง "ขอ" และไม่มีบทสวด "ขอ" ไม่มีการสวดอ้อนวอน เพราะศาสนาพุทธ ไม่ใช่ "เทวนิยม" ไม่ใช่ศาสนาที่มี "พระเจ้า" (GOD) บันดาล เหมือนศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ฯลฯ เป็นต้น

ศาสนาพุทธ ไม่ได้มีพระจิต พระวิญญาณ คอยแผลงฤทธิ์แผลงเดช ประทานนั่นบันดาลนี่ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ เห็นยิ่งไปกว่า "ศาสนา" ซึ่งมีความเชื่อใน "เทวนิยม" ในเรื่อง"จิต" เรื่อง"วิญญาณ" แบบเก่าๆเดิมๆ หรือจะเรียก "พระจิต" เรียก "พระวิญญาณ" ตามภาษาศาสนาทางตะวันตกก็ตาม พระพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์ เป็นฮินดูมาเก่า เคยถูกสอนให้เชื่อ ให้"ขอ" ต่อเทวะ ต่ออาตมันมาก่อน แต่แล้วพระองค์ก็มาตรัสรู้ แจ้งในอาตมัน ตรัสรู้แจ้งในเทวะทั้งหลาย อย่างแจ่มชัดแท้ แล้วก็สอนผู้คน ให้รู้แจ้งตาม ศาสนาพุทธเน้น "กรรม" อันคือ "การงาน หรือการกระทำ" ของใครก็ของใคร

นั่นแหละ คือมี"การกระทำ" เป็นของๆตน ใครทำดีก็ได้ดีนั้น ใครทำชั่วก็ได้ชั่วนั้น หรือยิ่งไปหลงพึ่ง "ขอ" เอากับวิญญาณภูต วิญญาณผี วิญญาณเทวดากเฬวราก ที่ต่ำที่ต้อย ยิ่งกว่าวิญญาณ "พระเจ้า" ก็ยิ่งเป็นศาสนาต่ำต้อย ยิ่งกว่าศาสนาที่มี "พระเจ้า" ไปใหญ่ ก็ยิ่งไม่ได้เรื่องเลย ยิ่งเหลวยิ่งแย่!

นี่คนสมัยต่อมา เป็นอาจารย์รุ่นหลังแต่งบทนี้ขึ้น แต่งบทสวดพวกนี้ขึ้น แล้วก็ใช้เป็นบทขอ อ้อนวอนขอ กราบกรานขอ อ่อนน้อมขอ เดินเวียนรอบขอ ไปเอาอย่างศาสนาอื่น ที่เขามี "พระเจ้า" (GOD) ประทาน หรือบันดาลซะนี่! ซึ่งการสวดขอเอานั้น ไม่ได้! มันไม่ได้ มันเป็นการขอที่ไม่ได้ เราต้องเป็นคนช่วยตัวเอง ทำเอาเอง และจะได้เอง มันถึงจะดี

แต่เอาเถอะ จะขอหรือไม่ขอก็ตามแต่ ถ้าเราน้อมใจของเรา ตั้งอธิษฐานว่า อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ไปเป็นมงคล ! มงคลหรือความดี หรือเป็นชัยมงคล มันก็ดีละ "ชะยะมังคะลานิ" ชัยมงคลมันดี ที่มีชัยมีมงคลตามว่า แต่มงคลหรือความดีตามว่านี่ เราควรจะได้อย่างไร? เป็นยังไง?

บทพาหุง ทั้ง ๘ อาจารย์เกจิอาจารย์รุ่นหลัง (คือ ไม่ใช่คาถาของพระพุทธเจ้าตรัสไว้) ได้ไปเรียบเรียง เอาประวัติของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ แสดงปาฏิหาริย์ก็ดี หรือว่า แสดงความเก่งกล้าสามารถ โดยการปราบมาร ปราบยักษ์ ปราบเดรัจฉานที่โง่เง่ามืดมัว เพราะว่าเมามัน เมาสิ่งที่คนหลง แล้วก็ปราบคนใจหยาบอำมหิต ปราบคนที่มันจอมลวงโลก หรือว่าปราบไปจนกระทั่ง ถึงนักบวชที่อวดดีหลงตน ปราบนาค เรียกว่าพญานาคก็ได้ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง

พญานาค หมายถึงอะไร? คนต่างๆ หมายถึงอะไร? เดี๋ยวจะเข้าใจ

ปราบพญานาค ไปจนกระทั่งถึงพระพรหม ปราบหมด เป็นความสามารถ ที่พระพุทธเจ้าของเรา ท่านได้แสดง หรือได้กระทำมาแล้ว ในประวัติของท่าน ที่เราได้ฟังได้ยินมา แล้วพระเกจิอาจารย์รุ่นหลังๆ ก็ไปเอามาแต่ง เรียบเรียงเข้า ร้อยกรองเข้า พระพุทธเจ้าของเรา ที่เรียกว่า พระจอมมุนี หรือเรียกว่า พระบรมศาสดา เรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้แล้วแต่ เป็นผู้ที่ได้ผ่านการชนะ หมายความว่า ชนะมาหมดทุกอย่าง ตั้งแต่แสนร้ายกาจที่สุด ไปจนกระทั่ง เก่งที่สุดขนาดไหนๆ พระพุทธเจ้าชนะมาหมด นี่เป็นความดี เป็นความที่น่าสรรเสริญ เป็นสิ่งที่เราควรจะเอาแบบอย่าง

เพราฉะนั้น ถ้าเราฟังพาหุง ๘ บทแล้ว เราทำความเข้าใจให้ได้ ทั้ง ๘ บทว่า หมายความว่าอย่างไร? แล้วเราก็มีการประพฤติ เจริญรอยตามพระพุทธเจ้า เจริญรอยไป ตั้งแต่บทที่ ๑ ที่กล่าวมาแล้วเมื่อกี้นี้ ภาษาบาลี ซึ่งแปลความเป็นไทย บทที่ ๑ ตั้งแต่ พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง... (จนถึง) ชะยะ มังคลานิ ที่กล่าวไว้แล้ว แปลเป็นไทยแล้ว เขาแปลกันไว้ ว่าอย่างนี้

"พระจอมมุนี ท่านได้ชำนะพญามาร ผู้นิรมิตแขนมากตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่คชสาร ครีเมขละ พร้อมด้วยกองทัพมาร โห่ร้องก้องกึก ท่านเอาชนะได้ด้วยธรรมวิธี มีทานบารมี เป็นต้น

นี่ คำแปลว่าอย่างนี้ ถ้าฟังดูเผินๆ การเล่าถึงว่า พระพุทธเจ้าชนะพญามาร ที่มีแขนยุบยับไปหมดตั้งพัน และแขนตั้งพันนี้ ถืออาวุธหมด ถือทุกๆ มือเลย ครบมือ ขี่พญาช้างสาร ครีเมขละ มีเสียงโห่ร้องของเสนา พลพรรคพวกมารทั้งหลาย มาพร้อมเลย อย่างนี้ เราวาดรูป หรือเราปั้นรูป แสดงเป็นพญามาร ที่มีแขนตั้งพัน ถ้าเราไปเข้าใจถึงว่า รูปร่าง คอยคิดเอา ดำริเอา หรือปั้นเอา ว่ารูปร่างของพญามารนั้นแหละ ปั้นแขนเข้าไปตั้งพันแขน ถืออาวุธครบมือตั้งพัน แล้วก็ขี่ช้างสารมา มีเสนามาร ถือมีด ถือง้าว ถือหอก โห่ร้องกึกก้องมาอย่างนั้น เราก็เห็นเป็นรูปร่าง คงจะมีอำนาจมากทีเดียวล่ะ! ถ้าเราเห็น เราคงจะวิ่งหนี ก็คนตั้งพัน หอกดาบอะไร เต็มไม้เต็มมืออย่างนี้ ต้องวิ่งหนีแน่

พระพุทธเจ้าเอง ท่านสามารถเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า ถ้าคนมีรูปอย่างนี้ หรือว่าสัตวโลกชนิดไหน ที่มีรูปร่างอย่างนี้ ถือมีดถือหอก ถือดาบมาอย่างนี้ น่ากลัว มีเสียงโห่ร้องส่งมา กึกก้องเสียด้วย

ซึ่งถ้าใครพาซื่อ หลงบัญญัตินั้น เป็นรูปธรรมโท่โล่ๆ อย่างนั้นแล้วละก็ ชีวิตของคุณทุกคนนี่นะ ไม่มีทางที่จะเจอพญามารแบบนี้เลย เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด กี่ร้อยชาติพันชาติ ก็ไม่เจอมารที่มีมือตั้งพัน ถือมีดถือหอกดาบมาตั้งพันมือ มีเสนามาร ร้องโห่กึกก้องมาอย่างนี้ ไม่มีหรอก ! คุณไม่เจอหรอก ! แต่คุณจะเจอพญามาร ที่มันร้ายกาจ เหมือนกับมันมีมีดเป็นพันมือ ถืออาวุธครบมาทั้งพันมือ จะเจอ"ตัวแท้" ตัวจริงด้วย ถ้าคุณเข้าใจ ใสสว่างเป็น "สัมมาทิฏฐิ" ได้

เมื่อไรคุณจะพบมารพวกนี้ ฟังดีๆ ! มันโห่ร้อง ยั่วยวนกวนใจ มากำหราบให้คุณกลัว ให้คุณยอมสิโรราบ ถ้ามันจะสั่งให้คุณ ทำเลวขนาดไหน คุณก็จะทำ คุณกลัวมาร มารมันยิ่งยวน มันบังคับขู่เข็ญ ใช้มีด ใช้อำนาจต่างๆ ใช้หอกใช้ดาบทิ่มแทง พยายามที่จะบังคับให้คุณทำชั่ว ทำเลวยังไง คุณก็ทำ เพราะคุณกลัวมัน กลัวมารนี้ คิดให้ดี ถ้ามารอย่างนี้แล้วละก็ ไม่เห็นตัว ไม่มีมือไม่มีแขน ให้เห็นโท่โล่ๆ หรอก ! แต่มันเหมือน มีแขนมีมือให้เห็น มันขู่คุณทุกเวลา บางที คุณกำลังไม่อยากทำในสิ่งนี้ เป็นสิ่งเลว แต่มันก็บังคับคุณเหลือเกิน บังคับคุณให้ทำ คุณรู้ว่าสิ่งนี้ชั่ว คุณก็รู้ แต่ก็ถูกบังคับไป เหมือนมีมาร มันถือมีด ถือหอกถือดาบทิ่มแทง ให้คุณทำการกระทำชั่ว การกระทำเลวอย่างนี้ โดยที่คุณรู้คุณเห็นอยู่ คุณเข้าใจอยู่ว่า เป็นของไม่ดี แต่ก็เหมือนพญามารบังคับอยู่ นั่นแหละ มารที่เจ้าของเอง จะเห็นจะรู้ คนเราทุกคน จะเห็นจะรู้ในชาตินี้ ไม่ต้องชาติไหน อย่างนี้แล้วล่ะก็ ได้ผล ถ้าใครเข้าใจธรรมะ ซึ่งเป็นธรรมาธิษฐาน ที่แปลออกมาแล้ว ไม่ต้องไปปั้นรูป จะเป็นพญามาร ขี่คอช้าง มีมือตั้งพันมือ ไม่ต้องแปลงรูป เป็นปุคลาธิษฐาน อย่างนั้น แต่เป็นความเลวบังคับใจคุณ ให้คุณทำสิ่งนั้น นั่นแหละ"ตัวมาร" มันจะเจอ มาจากไหนก็ช่าง มันอาจจะเป็นเจ้านาย ห้าร้อยคน ก็มาแล้วพันมือ นายมีห้าร้อยคน คนละ ๒ มือ ก็มีแล้วพันมือ และบีบบังคับให้คุณทำความชั่วนั้น คุณไม่ยอมโกง แต่เจ้านายอีกห้าร้อยของคุณโกง แล้วบีบบังคับให้คุณโกงด้วย นี่แหละเจ้านาย หรือว่ามารพันมือละ ซึ่งบังคับคุณ ถือหอกถือดาบ บังคับให้คุณโกงตาม คุณรู้อยู่อย่างนี้แล้ว คุณก็แพ้มัน คุณสร้างทำความชั่วนี้ ก็เหมือนกับถูกมาร ที่ยื่นหอกยื่นดาบ เอามีดทิ่มแทง บังคับขู่เข็ญให้คุณทำ เสร็จแล้ว คุณชนะไม่ได้ ชนะความชั่วไม่ได้ พ้นความชั่วไม่ได้ คุณทำความชั่วนั้น เรียกว่าคุณแพ้มาร

ถ้าคุณเอง หาทางปลีกออก ไม่ยอมเป็นทาสพญามาร แม้จะมีพันมือ เอาหอกเอาดาบทิ่มแทง คุณก็ไม่ยอม ปลีกตัวหนีเสีย ไม่ยอมร่วมมือ นี่คุณรู้ชัดว่า นี่เป็นความชั่ว คุณไม่ทำเลย ใครผู้ใดก็ตาม ถ้าทำได้อย่างนี้ แน่นอน ชนะมารที่มีมือตั้งพัน หรือถืออาวุธครบ จริงๆด้วย อย่างนี้คุณจะพบ อย่างนี้คุณจะต้องทำ

เพราะฉะนั้น แม้มารจะมีมือเพียงสองมือ สามมือ ถือมีดมาทิ่มแทงคุณ ก็อย่าทำ อย่าว่าแต่มาร มีอาวุธครบพันมือเลย มารเล็กๆ น้อยๆ แม้จะมีหอกมีดาบ มาทิ่มแทงให้คุณทำชั่ว คุณก็อย่าไปทำ อาจจะเป็นพ่อเป็นแม่คุณนี่แหละ บังคับให้คุณทำชั่ว ทั้งๆที่คุณรู้ว่าความชั่ว เหมือนพ่อแม่บังคับ เหมือนกับถือมีด ถือหอกถือดาบ นี่แหละบังคับ แล้วคุณก็จะต้องทำชั่วอย่างนี้ เพราะพ่อแม่บังคับ หรือเพราะพี่น้องบังคับ เพราะญาติโก โยติกาบังคับ เพราะเมียคุณ เพราะผัวบังคับ เพราะลูกบังคับ เพราะแฟนบังคับ เพราะเจ้านายบังคับ ก็อย่าได้ล่วงละเมิดกระทำเป็นอันขาด คุณต้องชนะทุกประเภท แม้แต่มีมือตั้งพันมือ คุณจะต้องชนะให้ได้ บังคับคุณ ถือหอกถือดาบ ก็ต้องบังคับตัวเอง ชนะมารอย่างนี้ให้ได้

เพราะฉะนั้น ยิ่งมารมีมือเดียว ถือหอกถือดาบ ยิ่งอย่าไปยอมแพ้เป็นอันขาด ถ้าเรารู้ได้ว่าความชั่ว อย่างนี้ เรียกว่า บทที่ ๑ ของพาหุง บทถวายพรพระ ผู้ที่เป็นพระได้ ต้องเป็นคนอย่างนี้

เป็น"พระ" คือ "ผู้ประเสริฐ" คือ"คนดี" อย่าเพิ่งไปหลงเข้าใจว่า "พระ" คือคนโกนหัว ห่มจีวร อยู่เพียงเท่านั้น เป็นอันขาด

ผู้ที่เป็น"พระ" ได้ ต้องเอาชนะมาร ที่อยู่เหนือหัว(ใจ)ของเราได้ มีดหอกดาบ คมแหลมหลาวอะไร ก็ตามแต่ รู้ว่าไม่มีใครบังคับเราได้ เอาหอกทิ่ม แทงตำลงไป คมหอกคมดาบ คมมีดคมปืน อย่าไปให้ตัวเองชั่วลงไป เพราะคมหอกคมดาบ คมมืดคมปืน อย่างนี้เรียกว่า เป็นผู้ชนะ

พระพุทธเจ้าเอาชนะ แม้แต่มารมือตั้งพัน ทนได้สู้ได้ เอาชนะได้ ไม่ล่วงละเมิดความชั่วเลย อย่างนี้เป็นอันต้น

ท่านบอกไว้ในนี้ว่า ท่านเอาชนะมารเหล่านั้นได้ ด้วยวิธีอะไร? ด้วยวิธียอมเสียสละ ยอมให้ไป ไม่เอาด้วย ภาษาบาลีแปลว่า ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ชนะลงแล้วด้วยทานบารมี สละไป ไม่ยอมเอาด้วย อย่างนี้เรียกว่า ชนะด้วยการไม่เอาด้วย

เมื่อกี้นี้ ยกตัวอย่าง นายของคุณ ๑๐ คน ๒๐ คน มีมือ ๒๐ มือ ๔๐ มือ หรือว่า นายร้อยคนเหนือคุณ มีมือสองร้อยมือ มาบังคับขู่เข็ญคุณ ให้คุณทำชั่วตาม โกงตาม คอร์รัปชันตาม เพราะนายเขาคอร์รัปชันหมดแล้ว บีบบังคับให้คุณคอร์รัปชัน คุณก็อย่าเป็นอันขาด อย่าไปเอาด้วย ให้เขาไป เขาจะโกงเขาจะกินอย่างไร ให้เขาไป เรายกเลิก ถ้าเราอยู่ด้วยไม่ได้ ลาออก ให้มันตายไปเลย ไม่ทำชั่ว เมื่อรู้ชั่วแล้ว ต้องเลิก อย่างนี้นี่เรียกว่า เราชนะมาร ด้วยการรู้ดีรู้ชั่ว มารจะมีฤทธิ์มีเดช แข็งขันเก่งกล้าใหญ่อย่างไร เราก็ชนะด้วยการยกเลิก เสียสละ ไม่เอาด้วย ยอมให้ไปเลย ไม่พยายามที่จะไปแย่งมา หรือไม่พยายามไปสุมหัว ร่วมกับเขาทำชั่ว

อย่างนี้เรียกว่าเป็น "การกระทำ" (กรรม) ถ้าใครเข้าใจพาหุง บทที่ ๑ นี้ ผู้นั้นก็จะเอาไปทำประโยชน์ได้ เอาไปก่อประพฤติ ปฏิบัติตนให้มันเป็นธรรม ไม่ให้ละเมิดความชั่ว

เพราะฉะนั้น ถ้าใครทำ ผู้นั้นก็ได้ทันที ไม่ต้องมาสวด ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ไม่ต้องมาขอ ด้วยเดชแห่งพระพุทธเจ้า พระชัยมงคล ไม่ต้อง!

คุณทำเอง ไม่ต้องไปฟังพระสวดก็ได้ ได้จริงๆด้วย ถ้าคุณเข้าใจจริงๆแล้ว หรือฟังสวด ก็ได้ประโยชน์ ถ้าคุณรู้เรื่อง แปลออก และหรือ พอฟังแล้ว มันก็มีฤทธิ์ เตือนคุณ เร่งให้คุณละชั่วนั้นๆได้

แต่ถ้าได้ฟังพระสวดเฉยๆ สิ คุณไม่ได้อะไร ฟังพระสวด เสร็จแล้ว คุณก็ไปนั่งทำชั่ว มันจะได้อะไร คุณไม่ประเสริฐ คุณไม่ได้เป็นพระ คุณจะเป็นพระได้ คุณต้องชนะความชั่วอย่างนี้ นี่ พาหุง บทที่ ๑ นะ


บทที่ ๒


มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลา

คำสุดท้าย ลงท้ายเอา ชิตะวา มุนินโท หมายความว่า พระพุทธเจ้าเอาชนะได้ มุนินโทหมายถึงพระพุทธองค์ ชิตะวา หมายความว่าเอาชนะได้ แปลเป็นไทยบทนี้ก็มีว่า

"พระจอมมุนี ได้ชนะอาฬวกะยักษ์ ผู้มีจิตกระด้าง ปราศจากความอดทน มีฤทธิ์ยิ่งกว่าพญามาร เข้ามาต่อสู้ยิ่งนัก ด้วยวิธีทรมานเป็นอันดี คือขันติฯ"

ข้อนี้หมายความว่า พระจอมมุนีได้เอาชนะยักษ์ ตอนนี้ชนะยักษ์ เมื่อกี้นี้ชนะมาร  ชนะอาฬวกะยักษ์ ผู้มีจิตกระด้าง แข็งกระด้าง แต่ไม่อดทนเสียด้วยสิ! ปราศจากความอดทน ยักษ์นี่ขี้ขลาด ! ไม่อดทนหรอก ฉะนั้น ใจที่ยังแข็งกระด้างนั่นแหละ ไม่ดี แต่เขามีฤทธิ์นะ มีฤทธิ์ยิ่งกว่าพญามาร เข้ามาต่อสู้ ยักษ์เข้ามาต่อสู้  พระพุทธเจ้าท่านเอาชนะได้ ด้วยวิธีทรมาน  คือพระองค์มีขันติ  ใช้ขันตีสุทันตะวิธินา ใช้ขันติบารมี ใช้ขันติ เป็นสิ่งที่เอาชนะได้ ชนะพญายักษ์ได้

เอาละคราวนี้แหละ ถ้าคุณฟังแล้ว คุณก็ไปนึกถึงสิ หน้าตาแบะๆ ตาโปนๆ  เขี้ยวออกมาสองเขี้ยว สีเขียวสีขาวอะไรก็ตาม ถือไม้กระบอง เพ่นพ่าน ขาโตๆ มือโตๆ ตัวใหญ่ๆ อย่างนี้เขาเรียกว่า เราปั้นรูปเอามาดู หรือมาว่ามาขู่กัน ให้เห็นว่ามันน่ากลัว ว่ายักษ์นี้เป็นแล้วน่ากลัว น่าเกลียดน่าชัง แต่ถ้าเรารู้ถึงหัวใจ ของยักษ์แล้ว ยักษ์นี้เป็นผู้มีจิตกระด้าง ปราศจากความอดทน ไอ้การที่จิตกระด้างนี้ มีจิตไม่อ่อนโยน ไม่สุภาพ มีจิตแข็งกระด้าง กับการที่ปราศจากความอดทน อย่างนี้เราเรียกว่ายักษ์ ถ้าไปนึกถึงยักษ์ที่ถือไม้กระบอง เที่ยวแยกเขี้ยว เที่ยวตาโปนๆ ปากแบะๆ แล้วละก็ คุณเกิดอีกร้อยชาติ คุณก็ไม่เจอยักษ์ ที่คุณจะต้องปราบ ต้องเอาชนะ

หรือยิ่งไปหลงใน "ภวตัณหา" อยู่ดีไม่ว่าดี ไปหลงว่า"ยักษ์" คือตัวลึกลับชนิดหนึ่ง ที่หลอกกัน มอมเมากัน ต้องหลับตาบำเพ็ญ ถึงจะเห็นได้บ้าง หรือไม่หลับตาล่ะ ลืมตากันโพลงๆ ก็เห็นรูป สัมผัสร่างกันได้แล้ว ก็ไม่เข้าใจแท้ ใน "ยักษ์" ได้กันสักที ก็ซวยกันไปกี่ชาติ ก็งมงายกันอยู่เท่านั้นๆ

"ยักษ์" อย่างนี้ก็มีจริง มีกับเฉพาะผู้ยัง"ไม่หมดอัตตา" ปัญญาขั้น "อนัตตาธรรม" ยังไม่ขึ้นสู่จิต จิตยังมีความหลงผิด ใน"อสรีระ" ว่าเป็น"สรีระ"  ก็จะยังได้ถือว่า จิตของผู้นั้น ยังอ่อนกว่ายักษ์เสียด้วยซ้ำ จึงยังถูกหลอกอยู่ได้

แต่ถ้าคุณนึกถึง "ยักษ์" ที่หมายถึง จิตปราศจากความอดทน ที่หมายถึงจิตแข็งกระด้าง คุณจะเจอ "ยักษ์" ทุกวัน

โดยเฉพาะที่จิตของคุณเอง คุณดูจิตของคุณเถอะ ถ้าจิตใดของคุณ มันไม่สุภาพ มันหยาบคาย จิตของคุณมันไม่อดทนเอาเสียเลย จะโน้มน้อมไปในทาง ที่ถูกกว่า ดีกว่า สูงกว่า มันก็ไม่ยอมสักที ยังพะว้าพะวัง ติดที่ผิด ติดที่ต่ำ หลงที่ไม่สูงจริงอยู่นั่นแล้ว ! นี่คือยักษ์ จะทำการทำงาน จะคิดโน่นคิดนี่ ทำคุณงามความดี จะทำให้ใจตัวเอง มันสุภาพเรียบร้อย อ่อนโยน ก็ทำไม่ได้ เพราะใจมันแข็งกระด้าง ใจมันมีฤทธิ์ ใจมันอยากทำตามใจ อยากจะอ่อนโยน มันก็ไม่อ่อนโยน จะแข็งกระด้างอยู่อย่างนั้นแหละ ดูเหมือนมันแข็งมันแรง ดูเหมือนมันมีฤทธิ์มีคุณ แต่แท้จริงแข็งกระด้างไม่ได้แข็งดี แรงร้ายไม่ใช่แรงดี มีฤทธิ์เลวไม่ใช่ฤทธิ์ดี มีคุณหลอกๆ ซึ่งที่แท้ๆ นั้นเป็นโทษ จะอดทนไอ้โน่นนิด ไอ้นี่หน่อยก็ไม่อดทน ที่จะทำอะไรดีขึ้นมาหน่อย ก็ไม่กล้า ไม่อดทน เขาถึงเรียกว่ายักษ์ เรียกอีกภาษาหนึ่งว่า "อสุรกาย"

คำว่า "อสูร-อสุรา" ถ้าใครเรียนหนังสือมา จะเคยได้ยิน อสุราแปลว่ายักษ์ เคยได้ยินไหมล่ะ?  อสุราแปลว่ายักษ์  ใครเคยได้ยิน ถ้าเรียนมา ทุกคนไม่มีพลาดแหละ

เพราะว่า อะแปลว่าไม่ สุระแปลว่ากล้า อสุรก็แปลว่าไม่กล้า ใจที่มันไม่มีความกล้า ใจที่มันปราศจากความอดทน ใจที่มันแข็งกระด้าง อย่างนี้คือ "ยักษ์"

อย่าไปนึกถึงรูปถึงร่าง ที่เขาปั้นรูปไว้เลยเป็นอันขาด เราต้องนึกถึงยักษที่อยู่ในคน ยักษ์คือหัวใจ คือวิญญาณ การที่มันเป็นรูปร่างอย่างนี้ จิตใจมันเป็นอย่างนี้ อย่างที่กล่าวแล้ว ถ้าเราเข้าใจเป็นธรรมาธิษฐาน เข้าใจถึงจิตในจิต ถึงธรรมในธรรม คือเป็นแบบ อธิบายเนื้อหาสาระ ของพระธรรมแท้ๆ แล้ว คุณจะเข้าใจเลย มันหมายถึงจิตใจ หรือหมายถึง วิญญาณของเราที่ "ดี" (กุศลธรรม) หรือที่ "ชั่ว" (อกุศลธรรม)

ถ้าเราไม่มีใจสุภาพ เป็นความใจไม่กล้า นั้นแหละ เรากำลังเป็นยักษ์ รูปร่างหน้าตาเรา อาจจะไม่เป็นยักษ์หรอก แต่หัวใจเราเป็นยักษ์ พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ท่านชนะโดย ธรรมาธิษฐาน คือ ชนะสิ่งที่ถือว่าเป็นยักษ์แบบนี้ แต่ท่านไม่ได้ชนะ โดยไปตีรันฟันแทง เอาปืนไปสู้กับไม้กระบองยักษ์นะ ในนี้ก็บอกอยู่แล้วว่า ท่านเอาชนะยักษ์ด้วย "ขันตีสุทันตะวิธินา"  คือ ใช้ขันติ ความอดทนอย่างยิ่งยวด แทนที่จะเป็นคนไม่รู้จักอดไม่รู้จักทน ท่านกลับเป็นผู้อดทนอันยิ่งยอด เอาชนะยักษ์ได้ คิดให้ดี นี้เป็นคำสอนที่ดี ถ้าเราฟังรู้เรื่อง ถ้าเราฟังคำสอนอันนี้ แล้วเอามาประพฤติตามซิ เอาไปอ่าน (ตรวจสอบในจิตของตน) เห็นว่าเป็นยักษ์ ใช่ไหมเอ่ย? ยักษ์มันอยู่ในตัวเราใช่ไหม? ถ้ายักษ์มันอยู่ ในตัวเราแล้ว ก็ชนะมันด้วยความอดทน ขันติบารมี อดกลั้น ฝืนให้กล้าทีเดียว แล้วเราจะชนะยักษ์ อย่างนี้แล้วคุณจะเห็นยักษ์ ฟังแล้วมีประโยชน์ ไม่ใช่ไปนั่งสวดอ้อนวอนกัน "ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคลานิ"  ขอชัยมงคลทั้งหลาย ด้วยเดชะแห่ง พระพุทธชัยมงคลนั้น "ขอ"ให้ตายมันก็ไม่มี ยี่สิบตาย ห้าสิบตาย ร้อยตาย พันตาย ร้อยชาติ ห้าหมื่นชาติ มันก็ไม่ได้ "ขอ" อย่างไรก็ไม่ได้ ต้องทำเอา และต้องรู้ด้วยปัญญา ว่ายักษ์คืออะไร? ยักษ์ที่พระพุทธเจ้าท่านสู้  ก็ต้องเก่งกว่ายักษ์ที่เราสู้ จะขู่จะกดข่ม หรือว่ามันจะดื้อรั้น หรือมันจะแข็งแรงกว่าเรา เราเองจะเอาชนะมัน ตามภาษา เรารู้ได้ที่ใจว่า ใจของเราเอง มันจะแข็งกระด้างเท่าไหนๆ เราก็ฆ่ามันเท่านั้นๆ  มันไม่รู้จักอดจักทน หัดทนเข้า แล้วเราจะเป็นผู้ชนะยักษ์

นี่ พาหุง บทที่ ๒ "มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติงฯ"

นี่แหละ พาหุงข้อที่ ๒ จำไว้ อย่าไปเที่ยวได้ฟังพาหุง สวดเสร็จ เสร็จ ยิ่งเป็นภาษาบาลี ยิ่งยอด กันโน่นกันนี่ กันยักษ์กันมารอันลอยลมเพ้อพก เป็นอันขาด หรือไม่งั้นก็เกิดผล ลาภยศอะไร อย่างนั้นอย่างนี้ หวังเพ้อลมๆ แล้งๆ มันไม่ใช่หรอก ! มันจะต้องทำความเข้าใจ แล้วก็ทำ เอาไปประพฤติเอง ไม่ใช่เรื่องลึกลับ ! ไม่ใช่เรื่องขลัง ! เป็นเรื่องความรู้ ความประเสริฐ ความจริง จงเอาไปปฏิบัติให้ได้ ถ้าปฏิบัติได้ เราก็จะเป็นผู้เจริญ เจริญยิ่งๆ ไม่ใช่เจริญด้วยพุทธชัยมงคล อ่านเป็นภาษา อย่าฟังแต่เพียงเสียง แต่เจริญด้วย พุทธชัยมงคล แบบเราชนะด้วยคุณงามความดี ชนะด้วย "กรรม" อันคือ "การกระทำแท้ๆ” ให้มี "พุทธ" ให้มี "มงคล" ปรากฏขึ้นที่ตนจริงๆ เราชนะด้วยการกระทำความดี ให้เกิดที่ตัวของเรา เรียกว่า พุทธชัยมงคลแท้ ไม่ใช่ว่าเราไปนั่งสวดเอา หรือไปฟังสวดเด๋อๆ แล้วได้พระชัยมงคล ไม่ใช่นะ! นี่เป็นบทที่ ๒


บทที่ ๓


นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวามุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

บทนี้ ชนะอะไร เอาแปลก่อน แปลให้ตรงตัว "ชนะช้างตัวประเสริฐ" ที่ชื่อว่า "นาฬาคิริง" เป็นช้างเมามันยิ่งนัก แสนที่จะทารุณ ประดุจเพลิงป่า และจักราวุธ และสายฟ้า ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำ คือพระเมตตา "เมตตัมพุเสกะวิธินา" นี่สิสำคัญ ชนะด้วยอะไร ท่านเอาชนะด้วย "เมตตัมพุเสกะวิธินา" ชนะด้วยเมตตาธรรม

ทีนี้ช้างตัวนี้ มันแสนจะทารุณ มีจักราวุธ มีสายฟ้า มันร้ายกาจมากนะ ช้างตัวนี้ ถ้าใครเคยได้ฟังประวัติของพระพุทธเจ้า ก็คงรู้ ชื่อว่านาฬาคีรี ตัวนี้เป็นช้างเมามัน ที่เทวทัตปล่อยออกมา เพื่อจะให้มันมาขย้ำ หรือมาเหยียบ มาแทงพระพุทธองค์ ในขณะบิณฑบาต หรือในขณะ "โปรดสัตว์" พระอานนท์ ก็วิ่งออกมากันให้พระพุทธเจ้า ท่านก็ห้ามพระอานนท์ไว้ พระอานนท์ก็ปล่อย เข้าไปถึงพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็ทรงพูดกับมันด้วยเมตตา ท่านใช้จิตเมตตานั้น ห้ามให้ช้างตัวนี้ หยุดเมามันได้ ฟังอย่างนี้แล้ว เราก็นึกว่า เออ! เก่งนะพระพุทธเจ้านี่ สู้ช้างที่เมามันได้ สามารถหยุดช้าง ที่ขณะเมามันอย่างหนักได้ ที่มันเมาถึงขนาด ไฟไหม้ป่า ขนาดจักราวุธ สายฟ้าแลบอย่างนั้น พระพุทธเจ้ายังเอาชนะได้ ก็จริง! เพราะท่านมีจิตที่เก่ง

ท่านชนะด้วยอะไร? จิตที่เก่งคืออะไร? เมื่อกี้บอกแล้วว่า ด้วยเมตตัมพุเสกะวิธินา ท่านเอาชนะด้วยเมตตาธรรม ท่านมีเมตตามากพอสูงพอ จึงชนะช้างเมามัน ชนะความมืดมัวของเดรัจฉานทั้งหลายได้ เดรัจฉานสัตว์ ตัวช้างนี้เป็นเดรัจฉาน

ทีนี้ในทางธรรม ก็ต้องมีธรรมปัญญา เพราะว่า ถ้าเราจะคอยช้างชื่อนาฬาคีรี หรือช้างที่เมามัน แล้วไปทำตัวเองให้เก่ง โดยไปปั้นจิต เล่นฤทธิ์พิลึกพิลั่น เล่นอำนาจทางพลังจิต ว่างั้นเถอะ พอเห็นช้างเมามันวิ่งออกมา ก็ใช้จิตบังคับ หรือหักห้าม หรือแผ่เมตตา หรือกล่อมอะไร ก็ตามแต่จะเรียก จนช้างเมามัน หยุดเมา รู้สึกนึกยอมแพ้ ว่างั้นเถอะ ขอให้มันเป็นตรงๆ ว่ามี"พลังจิต" ขลังๆ ! เด็ดๆ ! จะไปปราบช้างที่เมามัน แม้คุณเอง คุณมีฤทธิ์ได้ขนาดนั้น คุณก็ไม่เข้าท่าหรอก คุณจะไปหาช้างที่เมามัน ได้ปราบมัน ก็หายาก ถึงหาได้ มันก็เป็นความเก่ง แค่ปราบช้างตกมัน แล้วคุณก็จะไปเป็นลูกจ้างเจ้าของช้าง ที่เขามีช้างเยอะๆ ก็เห็นจะเท่านั้น ! ไม่ได้ประโยชน์อะไร เสียเวลาไปเรียนวิชชา วิชชาที่จะไปชนะช้างเมามันแบบนี้ แล้วก็เอาปราบช้างเมามัน เสียเวลาเปล่า ไม่เห็นจะคุ้ม ยิ่งเป็นคนขนาด "เจ้าชายสิทธัตถะ" ยิ่งไม่คุ้มใหญ่

ตามจริง หรือตามขั้นของ ธรรมในธรรม ชนะเดรัจฉานที่เมามันนั้นหนะ มันไม่ได้หมายเอา เป็นตัวสัตว์โต้งๆ อย่างนั้นหรอก ไม่ว่าช้าง ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ แล้วก็โดยเฉพาะคำว่า "เดรัจฉาน" นั้น ท่านหมายเอา ที่มันอยู่ในร่างของคนนี้แหละ ใครก็ตาม หรือเรานี่แหละ ถ้าเผื่อว่าใจต่ำ มีจิตโง่เง่าเมามืดมัว มีโมหะเต็ม โมหะหมายความว่า ความมืดมัว ความหลง ความเมา เมาลาภ เมายศ เมาสรรเสริญ เมาอำนาจ เมาอบายมุข เมากามคุณ ก็ตาม ผู้ใดจิตถูกมอมเมาด้วยอบายมุข ถูกมอมเมาด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ถูกมอมเมาด้วยอำนาจ ด้วยฤทธิ์ ถูกมอมเมาด้วยกาม ด้วยอัตตาต่างๆ ผู้นั้นแหละเป็นเดรัจฉาน เป็นช้างเมามัน เมามืด โง่เง่า ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ตัวเลย มันทำร้ายคนที่ชื่อว่า "เมามืดมัว" นั้นเอง

หรือผู้ใดที่เป็นเพื่อน ติดอบายมุข ก็จะมาทำลายเรา หมายความว่า จะมาชวนเราไปเล่นอบายมุขด้วย เพื่อนคนใดเมายศ เมาสรรเสริญ เมาอำนาจ จะมาชวนเราไปเมาลาภ ยศ สรรเสริญ เมากับสิ่งทั้งหลาย หรือเพื่อนคนใด เมากามคุณ จะมาชวนเราไปเสพกาม เมากาม เมาอัตตา จะมาชวนเราไปเมาอัตตา เราพึงรู้เถิด เราจะช่วยเพื่อน ประดุจสัตว์เดรัจฉานผู้นี้ให้ได้ เพราะเขากำลังเมาโลก กำลังหลง ไอ้สิ่งที่ไม่ควรจะไปเมา คนไหนไปเมาอยู่ คนนั้นก็ดำดิ่งอยู่ เป็นสุขเป็นทุกข์ อยู่กับไอ้สิ่งที่เขาหลงมัน คนนั้นเรียกว่า โง่เง่าเหมือนเดรัจฉาน เดรัจฉานนี้เรียก สัตว์(คน) โง่เง่า ถ้าโง่เง่าหนักใหญ่ ก็เรียกว่า เท่ากับช้าง ยังมืดมัวเมามันมาก ถ้าโง่เง่า "ไม่มากไม่ใหญ่" ก็เป็นเดรัจฉาน น้อยลงไป ตามขนาดตามจริง แต่ก็คือ ยังไปติดมันอยู่กับสิ่งเหล่านั้น

ถ้าเป็นเรา ก็จงสงสารตัวเอง คือเราจะต้องเอาชนะให้ได้ เราจะต้องปล่อยเสีย เราต้องทำให้สร่าง ต้องจางคลาย ถ้าเป็นเพื่อนก็จงสงสารเขา ถ้าสอนเขาได้ ช่วยเขา จงใช้ "อำนาจเมตตา" อย่าไปตามใจเขา

ฟังดีๆนะ ! "เมตตา" หมายความว่า "อย่าไปตามใจเขา" อย่าไปกับเขา เหมือนเราชนะมาร อย่าไปยอมแพ้เขา อดทน เหมือนเราชนะยักษ์ อย่าไปเห็นตามเขาแท้ๆ เชียว ถ้าเราไปเห็นตามเขา ไปเห็นว่า แหม! อบายมุขก็ดี ไปหลงลาภหลงยศ ไปหลงสรรเสริญ ไปหลงเสพกาม ไปหลงเสพอัตตา ถ้าหลงตามเขา เราไม่อดทน เราไม่พยายามทำใจ ให้มันดี ให้มีปัญญา แล้วมันก็ไปหลงตามเขาไป ไม่ได้ !

เราก็ถูกมาร หรือถูกกามกลืนกินอีก ถูกอบายมุข ถูกลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และถูกอัตตากลืนกินอีก เราจะชนะมาร ชนะยักษ์ ต้องอดทนให้ได้ เราจะชนะความเป็นเดรัจฉาน ต้องมี "เมตตา" ให้ถูกให้ดี แท้จริง

แม้แต่ใจเราไปอยากติดอบายมุข บางทีเราอยากจะไปเสพกาม บางทีอยากจะไปหลงลาภ บางทีไปตะกละตะกลาม ไปโลภลาภ โลภยศ หลงสรรเสริญอยู่ ใจเราเป็นอย่างนั้นอยู่ เราก็จะต้องอดทนฝืนกลั้น ให้ชนะยักษ์ให้ได้ อย่าไปปล่อยให้ยักษ์ มันมาข่มขู่เรา เราจะชนะยักษ์ด้วย "ขันติบารมี" เสร็จแล้ว เมื่อไหร่รู้ทันอย่างนั้นแล้ว ทีนี้เราจึงใช้ "จิตเมตตา" ในความเป็นมิตรที่ดี

"เมตตา" ตัวนี้ รากศัพท์ภาษาเดิม เรียกว่า "มิตตะ" หรือ "มตะ" หมายความว่า ที่รู้ รู้แล้ว เราก็เป็นมิตร กล่าวคือ ให้ช่วยผู้อื่นให้ได้ดี เมตตาหมายความว่า สงสารผู้อื่น หรือตนก็ตาม ตนเมา ตนโง่เง่า ตนมืดมัว ก็ต้องเมตตาตนเอง ช่วยตนเองนั่นแหละ ให้ได้ดี ให้รู้ตัว ให้ตัวเองหยุดเมาหยุดมืดก่อน แล้วก็ช่วยเขา บอกเขาบ้าง เมื่อเราเองไม่ไปเลว อดทนได้แล้ว เราไม่ไป ไม่เมามันเหมือนเขา แล้วเราก็ช่วยเขา สงสารเขา ให้เขาหยุดเสพอบายมุข หยุดหลงลาภ เมาลาภ เมาสรรเสริญ หยุดหลงกาม เมากาม หยุดเสพกามเสีย เขายังมีเศษ "อัตตา" เมาอัตตา ก็ให้เขาหยุด เขารู้เท่าทันใน "อัตตา" ให้ได้ เราก็จะเป็นผู้เมตตาอย่างดีอย่างถูก ช่วยเขาได้อย่างนี้

พระพุทธเจ้าท่านมีจิตเมตตาอันนี้แรง ทำไมต้องใช้คำว่า "เมตตา" เมื่อจะช่วย "เดรัจฉานที่เมามัน" ก็เพราะผู้โง่ ผู้เมาโลกียะนั้น ไม่รู้ตัวหรอก! เขาติดเขาหลง ว่ามันน่าได้ น่ามีน่าเป็น เขาอร่อย เขาหลงจริงๆ เขายังไม่รู้ชัด เขายังเห็นว่ามันดี ถ้าเราจะไปว่า"ไม่ดี" มันก็ขัดใจเขา เขาจะโกรธจะแค้น เราจะไปห้ามสิ่งที่เขาอร่อย ที่เขาได้เขามี เขาเป็นกันนั้น เขาจะไม่ชอบใจ เขาจะโต้ตอบย้อนแย้ง บางทีถึงขั้นร้าย ขั้นแรงออกมาเลย ซึ่งเดรัจฉาน เขาก็มีฤทธิ์ มีกำลัง มีอำนาจของเขาเหมือนกัน เราก็จะต้องมี "เมตตา" ให้มาก ต้องใจเย็น ยังไงๆ ก็อย่าทิ้งเขาเลย แม้เขาจะโต้ตอบ เล่นงานเราเท่าใดๆ ก็จงช่วยเขา สงสารเขา และต้อง "สงสาร" ให้ถูก! อย่าไปสงสารโดยส่งเสริมเขา ให้เมาหนักเข้าไปอีก เป็นอันขาด

"สงสาร!" นี้ คือจะต้อง "ขัดเกลา"เขา ย้อนแย้งเขาให้เก่ง ถ้าย้อนแย้งไม่เก่ง ก็จะขาดกัน จะไม่ได้ช่วยกัน ถือว่าหมดมิตร จึงต้องฉลาดขัด ฉลาดทำลายความมี ความเป็น ของเขาให้ได้ ต้องพยายามควักของอร่อย ออกจากปากเขาให้ได้! แม้จะถูกเขาย้อนแย้ง ทุบตี โต้ตอบรุนแรง (เพราะเขายังไม่รู้จริงๆ ว่าเราช่วย เขาจะนึกว่าเราเบียดเบียนเขา เอาเสียด้วย) ก็ต้องอดทน ให้คง"สงสาร"เขาอยู่ อย่าเสื่อมถอย ท้อแท้ อย่าหยุดสงสาร เช่น พระพุทธองค์ ยังคง"สงสาร" (เมตตา) พระเทวทัตอยู่ดุจเดิมนั่นทีเดียว แม้พระเทวทัต จะออกฤทธิ์แผลงเดช ย้อนแย้ง แข่งขัน อวดดี ตีข่ม ดุร้าย แกล้งทำร้ายทำลายพระพุทธองค์ เสียๆหายๆ อย่างไรๆ พระพุทธองค์ก็ยังทรงใช้ "เมตตา" เป็นฐาน เป็นการทรงจิตคงที่ อยู่ตลอดไป ไม่โกรธตอบ ไม่ทิ้งขว้าง (จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ ไม่ได้จับสึก) แม้จะลงพรหมทัณฑ์ ขนาดหนักปานใด แต่ไม่ปฏิฆะ ไม่เสียใจ ไม่น้อยใจ ไม่ท้อแท้ใจ ไม่ลด"สงสาร" ลงเลยจริงๆ

ต้องสงสารช้างร้าย ที่เมามันกันจริงๆ "ช้างร้าย" หมายถึงความเป็นส่วนใหญ่ หรือคนส่วนใหญ่ , "เมามัน" ก็หมายถึง เขายังพากันหลง "มันส์" อยู่กับโลกีย์อยู่จริงๆ เขายัง"เมา" เขายังไม่สร่าง ยังไม่ซากันอยู่จริงๆ เขายังโง่ให้โลกีย์หลอก เขายังเป็นทาส ที่ยอมให้โลกีย์ มีอำนาจเหนือ "ตน" (อัตตา) นี้เป็นสัจธรรม มิใช่แกล้งใส่ความ หรือยกตนข่มท่าน ถ้า"พระ"ใด ไม่มี "เมตตา"อย่างนี้ "พระ"นั้นก็จะไม่ได้ช่วยโลกเลย เพราะคนในโลก ที่ยังไม่ใช่ "พระ" จะยังหลง โลกียารมณ์อยู่ ทั้งนั้นจริงๆ "เมตตา" จึงเป็นธรรมค้ำจุนโลก ช่วยโลก ช่วยสัตวโลกแท้ๆ "พระ"แท้ๆ "พระ"อริยะของพระพุทธศาสนา จึงต้องมีในโลก คือ "พระ" ผู้รู้แจ้ง ช่วยตนได้แล้ว ก็ขวนขวายช่วยผู้อื่นอยู่ อย่างขมีขมัน ถ้าไม่ช่วยกัน ก็เป็น"พระ"เดียรถีย์ เห็นแต่แก่ตัว ไม่พ้นขี้เกียจ ไม่ขวนขวาย ไม่มีปัญญารู้ความควร ก็เป็น"พระ" ของลัทธิอื่น ศาสนาอื่น ไม่ใช่พุทธ

เพราะฉะนั้น ถึงใครจะดุร้าย ถึงขนาดไม่รู้เรื่องแล้ว โถ เราจะช่วยเขาแท้ๆ เขาก็ไม่รู้ ก็โกรธ ก็จะแว้งกลับมาเล่นงานเรา จะพยายามบังเบียดเรา ถึงขนาดจะฆ่าจะแกงเราเอาด้วย ดั่งพระเทวทัตที่โกรธ จะฆ่าพระพุทธองค์อย่างแรงร้าย ขนาดเท่าช้างนาฬาคิริง ตกมันตัวนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็เอาชนะได้ คือเอาชนะ "แรงร้าย" อันนั้นให้ดีที่สุด แล้วก็ยัง"สงสาร" คนร้ายที่ใช้ "แรงร้าย" นั้นอยู่ต่อไปคงเดิม นี้คือ "เมตตัมพุเสกะวิธินา"

ดังนั้น เราเองไม่มีโอกาสเจอ ช้างนาฬาคิรี ตัวแรงตัวร้าย ดั่งเช่น บริวารพระเทวทัต เราจะเจอช้างตัวย่อยๆ สัตว์ย่อยๆ ที่อยู่ในโลกกับเรานั้นแหละ ซึ่งจะแรงจะร้าย ขนาดเท่ากรรม เท่าวิบากของเรา แล้วเราจะต้องเอาชนะอันนี้ให้ได้ คือ ถึงอย่างไรๆ ก็อย่าหมด"เมตตา" เข้าใจได้เลยว่า บท นาฬาคิริง คะชะวะรังฯ พาหุง บทที่ ๓ มันหมายความว่า เราจะต้องเอาชนะ เดรัจฉานที่โง่เง่า เดรัจฉานก็คือสัตว์ที่โง่เง่า หรือแท้ๆ ก็คือ"จิต" คือ"ใจ" เราเองนั่นแหละ ตรวจให้ดีๆ เถอะ

สำคัญที่มีใจโง่เง่า มันจะเอาแต่หลงโลกีย์ ต้องอย่าตามใจมัน ต้องขัด ต้องพยายามฆ่าความหลงนั้นๆ หรือคนอื่นที่มีใจโง่เง่าเหมือนกัน เหมือนกันทีเดียว เขายังโง่เง่า เขาหลงโลกีย์ ต้องอย่าตามใจเขา ต้องขัด ต้องพยายามฆ่าความหลงนั้นๆ ให้เขา ไอ้นี่เป็นเดรัจฉานอยู่ ต้องเอาชนะให้ได้ ต้องสงสารคนอื่นเขา อย่างนี้ เช่น เพราะเขาโง่เง่าอยู่ เขามาชวน หรือมาต่อต้าน เขาโง่เง่าเขาก็เป็นเดรัจฉาน เขาก็จะชวนจะจูง หรือจะต่อต้านเรา ตามประสาของเขา หรือไม่ก็จะยุแหย่ แกล้งประชดประชัน แดกดันเอาเสียด้วย เราก็สงสาร เห็นเขาให้ออก แล้วเราต้องยืนหยัด เป็นมนุษย์ที่ดี อย่าไปใจอ่อนตามใจเขา ต้องขืนไว้ ต้องขัดเขาไว้ และ "การขัด" ต้องขัดให้เก่ง ขัดให้สำคัญ อย่า"ขัดจนแตก" หรือ จนวิวาทบาดหมาง แค่"ขัดแย้ง" หรือ"ขัดเกลา" อยู่เสมอ

นี่คือ "เมตตัมพุเสกะวิธินา" เราไม่มีศัตรู เราไม่มีโกรธตอบ แค้นตอบ แม้เขาจะย้อนมาอย่าง "ดุ" อย่าง "ร้าย" ขนาดไหนก็ตาม เราก็ยังจะขัด ยังจะหาทางเกลา ช่วยเขาอย่างดี อย่างเก่งอยู่เสมอ สงสารเขาเสมอ

นี่คือ "เมตตัมพุเสกะวิธินา" ถ้าช่วยไม่ได้ ก็หาทางอื่น หรือเพลาๆก่อน ถ้าช่วยได้ช่วยไป แต่ตัวเราเอง ต้องเป็นผู้ชนะด้วยนะ ชนะไอ้สิ่งที่เขามาชวน ชวนไปเป็นคนเลวอย่างนี้ ชวนไปเสพโลกีย์ เราต้องชวนกลับ ย้อนทางให้ได้ อย่างนี้จะเป็นผู้ชนะ นาฬาคิริงฯ นี้เป็นบทที่ ๓ ของพาหุง จะมีประโยชน์กับมนุษย์แท้ๆ อย่างนี้

อย่าไปหมายใจว่า พอสวด "นาฬาคิริง คะชะวะรังฯ แล้วละก็ ตัวเราเอง จะเป็นผู้ได้อะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หลงคาถาอยู่อย่างนั้น นึกว่าแค่ได้ท่องแล้วได้ฟัง ก็สำเร็จแล้ว มี"วิมาน" แล้ว ได้บุญแล้ว ได้ศิริมงคลแล้ว สร้างอุปาทานอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ปั้นเป็นรูปรอย อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไอ้สิ่งที่ปั้นนั้น ไปเป็น"วิมาน" อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จนกระทั่ง ไม่รู้"วิมาน" นั้นคือ ถ้าใครยังหลงวิมาน ยังหลงใจตัวเอง(อัตตา) ไปสร้างไปก่ออยู่ในใจ ไปปั้นรูปปั้นรอย ปั้นภพ ก่อชาติอยู่ในใจ เอาใจตัวเองไปวาดรูป วาดร่าง วาดลมๆ แล้งๆ นั้นว่าเป็นความสุข วาดความสำราญอะไรอยู่ เป็น "วิมานะ" หรือเป็น "วิมาน" ไปสร้างไปก่ออยู่ ผู้นั้นก็ยังหลงอยู่ ยังมืดอยู่ ยังมัวเมาอยู่

ถ้าผู้ใดยังมัวเมาโลกียะอยู่ เป็นเดรัจฉานอยู่ทั้งนั้น เป็นผู้ที่ยังมัวเมา มืดมน แล้วเราเองก็ไม่รู้จักเอาชนะ ด้วยการสงสารตัวเอง โดยอย่าไปติดต่อ เชื่อมโยงอยู่ในสังสารวัฏฏ์

อันนั้นเลิกมาเสีย อย่างนี้ที่จะชนะกันแท้จริง ถ้าผู้ใดเลิกมาได้ ไม่ไปหลงมัวเมาในสิ่งใดๆ หลงอารมณ์สุขไปต่างๆ หลงตั้งแต่ หลงสุขในอบายมุข หลงสุขในลาภ ยศสรรเสริญ หลงสุข ที่มันเสพกามต่างๆ อะไรพวกนี้ แม้ที่สุด ไม่หลงสุขใน"อัตตา" (วิมาน) ต่างๆ อย่าไปหลง อย่าไปยึดถือ อย่าไปวุ่นวายกับมัน ถ้ามีชีวิตอยู่อย่างทำการทำงาน ของดิบของดี ก็ทำแต่งานดีๆ นั้น มีทาน มีขันติ มีเมตตา ผู้นั้นก็เป็นธรรมะทุกอย่าง ไม่หลงที่เป็นวิมานต่างๆ

อันนี้เป็นพาหุง หมวดที่ ๓ ถ้าผู้ใดเข้าใจ จะเอามาใช้ประโยชน์ได้ ไม่มัวไปนั่งท่อง นั่งหลงอยู่ได้ ไอ้นี่เป็นคาถา ท่องแล้วจะได้ไอ้โน่น มีไอ้นี่ มีไอ้นั่นอย่างนั้น อย่างมงายกันเป็นอันขาด ชาวพุทธเอ๋ย !


บทที่ ๔

อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

ความบทนี้ แปลว่า "พระจอมมุนี มีพระหฤทัยไปในทางที่ กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ได้ชนะใจโจร ชื่อองคุลิมาล แสนร้ายกาจ มีฝีมือ ถือดาบเงื้อง่า วิ่งไล่พระองค์ไป สิ้นทาง ๓ โยชน์" อย่างนี้ พระพุทธเจ้า ท่านก็ชนะองคุลิมาล ที่เป็นคนใจหยาบใจร้าย ดื้อดึงรุนแรง แสนอำมหิต ขนาดจะฆ่าแม่ของตนก็ได้ ออกปานนี้ พระองค์ก็สามารถชนะได้ เพราะท่านเป็นถึง พระพุทธเจ้า พระองค์ก็ต้องชนะ ถึงขั้นองคุลิมาล ซึ่งเป็นบุคคลที่ใจหยาบ ฆ่าคนเป็นพัน และจะฆ่าแม้แต่แม่ของตัว แต่คนที่มีใจหยาบอำมหิต ขนาดรุ่นของเรานั้น ใครก็ได้ ที่มีใจหยาบอำมหิต ไม่ต้องร้ายเท่าองคุลิมาล เราก็ต้องเอาชนะเขาให้หมด อย่าให้เขามีอำนาจเหนือเรา

ถ้าเผื่อว่า เราจะไปตีความหมายเอาว่า เราจะต้องเจอองคุลิมาล คงจะเจอยาก เพราะองคุลิมาลบอกแล้ว เป็นคนที่ใจหยาบอำมหิต อย่างร้ายกาจที่สุด เพราะถูกอาจารย์หลอกมา ให้ไปฆ่าคนมาตั้งพันหนึ่ง แล้วจะสอนวิชาให้ ถ้าฆ่ามาได้ถึงจะสอนให้ แล้วองคุลิมาล ไม่รู้หรอกว่า อาจารย์หลอกเอา ที่จริงอาจารย์หลอกให้ไปตาย เพราะอาจารย์คิดแล้ว ถ้าไปฆ่าคนตั้งพันหนึ่ง คงไม่รอดมาแล้วละ ก็คงถูกเขาฆ่าตาย ก่อนจะถึงพันแน่ๆ แต่องคุลิมาลก็เก่งเกินอาจารย์คาด และฆ่ามาได้ตั้ง ๙๙๙ คน อีกคนเดียว ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร แต่ก็แปลกจนได้ คือ จะต้องหยุดฆ่า! เสียก่อน ที่จะถึงคนที่พัน แค่เพียงมาพบพระพุทธเจ้า บอกว่า "หยุดเสีย !" เท่านั้น พระพุทธเจ้าทำสำเร็จ โดยไม่น่าจะสำเร็จ ดูมันง่าย มันได้เร็วจนไม่น่าเชื่อ มันไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปได้ ดูช่างไม่เห็นว่า จะมีฤทธิ์มีเดชอะไร แต่ก็เป็นฤทธิ์ที่ประหลาดยิ่ง นี่แหละ คือ "มหาปาฏิหาริย์" ไม่ใช่ "ปาฏิหาริย์" ที่เล่าสู่กันฟังอย่างพิลึกพิลือ เกินเชื่อ อะไรนั่นหรอก!

เช่นเดียวกัน ถ้าเราเอง เหมือนองคุลิมาลสำนึกผิด เลิกเสีย หยุดเสีย ด้วยจิตอันเก่งกล้าสามารถ คือ ทำปาฏิหาริย์ พลิกล็อก "ปาฏิหาริย์" หมายความว่า "พลิกล็อก" มันพลิกล็อก คือมันไม่น่าเชื่อ มันเก่งเกินคาด มันเหนือใครคิด มันมีความสามารถเหนือชั้นจริงๆ มันไม่น่าจะได้ เอ๊ะ! มันได้ง่ายๆ กะว่ามันจะชนะ หนอย ไอ้คนนี้กลับชนะได้ เหมือนปาฏิหาริย์ มันพลิกล็อกเลย มันพลิกกระเป๋าเลย มันเป็นของเก่ง ชนิดที่ไม่เห็นว่า จะเป็นของเก่งอะไร แท้ๆมันช่างเป็นไปได้ ชนิดที่ไม่น่าเป็นไปได้ เช่น อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านปราบองคุลิมาล มนุษย์ผู้ใจหยาบ โหดร้ายอำมหิต ให้เปลี่ยนจิตเสียได้ โดยไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะพระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำอะไรพิลึกพิลั่น แปลกๆ อย่างที่เล่าผิดๆ กันมานั่น เสียด้วยซ้ำ มันจึงยิ่งแปลกใหญ่ ! ยิ่งเป็นปาฏิหาริย์ใหญ่! เพียงพระพุทธองค์ ใช้ความสามารถ ทำจิตขององคุลิมาลให้ "รู้ดี - รู้ชั่ว" ทำใจขององคุลิมาลให้ "เข้าใจ" ได้อย่างซาบซึ้ง จนเปลี่ยนจิต จากคนโหดร้าย คนชั่วร้าย มาเป็นคนดีได้ ภายในเวลาไม่นาน และ โดยไม่เห็นมีอะไรน่าทึ่งเลย นั่นสิยิ่ง "น่าทึ่ง"! นี่แหละคือ "ปาฏิหาริย์ซ้อนปาฏิหาริย์"

พระพุทธองค์เพียงแต่ เข้ามาห้ามให้"หยุด"เสีย เมื่อองคุลิมาลจะไปฆ่าคน เป็นคนสุดท้าย คือคนที่พัน คนที่จะครบจำนวน เป็นผลสำเร็จแล้ว ซึ่งมันไม่น่าจะหยุดเลย แต่ก็หยุดได้ มันไม่น่าจะง่าย แต่มันก็ง่าย อย่างแปลกประหลาด ! มันไม่มีอะไรมากเลย !

นี่ต่างหาก คือ"มหาปาฏิหาริย์" คือ เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งจริงๆ ยิ่งกว่า เพราะถ้าอย่างที่เกจิอาจารย์ รุ่นเก่าๆบางคน เล่ามาเป็นว่า พระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์ พิลึกๆ มากมาย เช่นเล่าว่า องคุลิมาล วิ่งตามพระพุทธเจ้าใหญ่เลย ท่านก็แสดงอภินิหาร ไม่ให้วิ่งทัน เงื้อดาบจะฟัน ก็เงื้อค้าง ฟันไม่ลง เหมือนมีอะไรมาค้ำให้ค้างไว้ หรือเรื่องแปลกประหลาด ที่พิลึกๆ อะไร ยิ่งกว่านี้อีกก็ตาม จะเป็นยิงไม่ออกฟันไม่เข้า อะไรต่างๆ ตามความเห็นของ "คนหลง" ที่เขาชื่นชูกันว่าเป็น "ความเก่ง" ก็ตาม มันก็จะน่าอัศจรรย์อะไร?!

ถ้าองคุลิมาลเจอเข้าแบบนั้น แล้วจะต้องหยุด จะไม่ฆ่าพระพุทธองค์ ก็เพราะองคุลิมาลทำไม่ได้ เขาก็ต้องยอม เขาก็ต้องไม่ทำ หรือเพราะเขา"ทึ่ง" ความเก่งแปลกๆ นั้น แล้วเขาก็หยุด แต่นี่เจอคำสอนพระพุทธองค์ เป็น "อนุศาสนีปาฏิหาริย์" นี่สิ! เพียงแต่สอน เพียงแต่ห้าม เพียงแต่บอกธรรมดา ก็หยุดแล้ว นี่สิมันยิ่งมหัศจรรย์ใหญ่ ! ซึ่งถ้าองคุลิมาล จะฟันก็เข้า และพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้วิ่งหนี เดินหนีอะไรด้วย พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงอะไร เพียงแต่บอกดีๆ ห้ามง่ายๆ

อธิบายชัดๆ เท่านั้น เป็นแต่แสดง "ความเก่ง" (อิทธิ) ในเรื่อง "ปรับปรุงจิตใจ" (สังขตมโน) ขององคุลิมาลให้"เข้าใจ" ให้รู้ดี รู้ชั่วชัดยิ่งแท้ (อภิ) เท่านั้นต่างหาก จึงเรียกว่า "อิทธีภิสังขตมโน" มันยอดเก่ง (มีอิทธิ) มันยิ่งยอดในการกระทำ เป็น "การปรับเปลี่ยนจิต" (อภิสังขตมโน)ได้ ทั้งๆ ที่ไม่มี "อิทธิฤทธิ์" อย่างเดรัจฉานวิชชา ไม่ต้องมี "อาเทสนาปาฏิหาริย์" อย่างเดรัจฉานวิชชา แต่พระพุทธองค์ ก็มี"อิทธิฤทธิ์" (เก่งจนสามารถ เปลี่ยนร้ายให้เป็นดี) อย่างพุทธวิชชา และมี "อาเทสสนาปาฏิหาริย์" อย่างพุทธวิชชา (เก่งเพราะหยั่งรู้กิเลส รู้จริตในจิตขององคุลิมาลได้ถูกแท้ จึงสามารถปรับเปลี่ยนได้) จนดูช่างง่ายเสียจริง ที่เสือร้ายแสนอำมหิต ขนาดองคุลิมาลยอมวางดาบ ก้มลงกราบ ยอมมอบตน โดยเฉพาะ เปลี่ยนจิตมาเป็น"พระ" ได้ทันที อย่างจริงๆ ยิ่งพระพุทธองค์ พูดยิ่งสั้น สอนยิ่งน้อย ทำอะไรยิ่งไม่มากเลย แต่มีผลให้องคุลิมาล กลับหยุดได้นั่นแหละ ยิ่งหมายถึง "อิทธีภิสังขตมโน" คือยิ่งเป็นปาฏิหาริย์ ที่แปลกประหลาดใหญ่!! เพราะมันยิ่งไม่มี "ความมาก" แต่มันกลับไปหยุด "ความมาก" ขององคุลิมาลได้ นี่ล่ะ ! "ยอดปาฏิหาริย์" ที่สุด

ทำความเข้าใจให้ดีๆ เราทำให้ได้อย่างนี้ เราก็ชนะด้วย อิทธีภิสังขะตะมะโน คือ ชนะแบบเก่ง สามารถสร้างจิตของเราเป็น อิทธีภิสังขะตะมะโน หมายความว่า จิตจะสามารถรวบรวม กระทำการขึ้นมาได้ เหมือนมันเล็ก มันบางเบา มันง่าย มันดูไม่มีน้ำหนัก แต่มันยิ่งใหญ่ มันเก่งกาจ เป็นอิทธิฤทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ มันอิทธิวิธีอย่างเดียวกัน (กับพระพุทธเจ้ามี) เก่งกล้าสามารถอย่างนี้ เอาชนะใจตนเอง ที่เป็นอย่างองคุลิมาลนั้นแหละ สำคัญก่อนอื่น อย่างนี้ก็ได้ประโยชน์สูงที่สุด หรือได้เอาชนะใจคนอื่น ที่ได้เป็นองคุลิมาลอำมหิตแล้ว ก็แก้อำมหิต เปลี่ยนใจหยาบลงมาได้ง่ายๆ มีอิทธิวิธีที่จะปรับเปลี่ยน เขาได้อย่างเก่ง (มีอิทธิ) ตามขั้นตอน สำหรับผู้มีปัญญา พอจะปรับจิตของเขาอื่นได้

ส่วนผู้กระด้างที่สุด ร้ายที่สุด ปรับเขาไม่ได้ ก็เมตตาเขาถึงที่สุด โดยเฉยๆ ไม่ต้องไปยุ่ง ไปเกี่ยวกับเขา เราเมตตาเขาเสีย อย่าโกรธ อย่าเคือง อย่าชัง อย่าเบียดเบียนใดๆ แก่เขาเลย ดังนี้ เป็น เมตตัมพุเสกะวิธินา ซึ่งเราก็ทำได้ โดยใช้วิธีต่างๆ นี่ เป็นบทที่ ๔

เป็นผู้ที่ชนะใจอันหยาบ ใจอำมหิต ถ้าใครสามารถทำตนจนสำเร็จ ทำผู้อื่นจนสำเร็จ ผู้นั้นก็จะมีจิตพุทธะ หรือเป็นองค์มุนี เป็นผู้ที่มี "มุนินโท" ชิตะวา มุนินโท ผู้ใดสามารถเป็นผู้ประเสริฐ คือ "มุนินโท" มุนินโทแปลว่า นักพรต นักปฏิบัติธรรม หรือพระ ถ้าเราทำตัวเป็น "พระ" ได้ด้วยการชนะแบบนี้ ได้ประโยชน์จากที่ พระพุทธเจ้าท่านพาทำ ตามบทพาหุง ที่สวดกันอยู่นี้ ก็คือ คาถาพาหุงมีผล ทำความเข้าใจให้ดีๆ และทำให้ตรง ทำให้ถูก ตามแบบ พระพุทธเจ้านี้เถิด

 

 


บทที่ ๕

กัตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

อันนี้แปลว่า "ตอนนี้ชนะการกล่าวร้าย ของนางจิญจมาณวิกา ทำอาการประดุจว่ามีครรภ์ เพราะทำไม้ มีสัณฐานอันกลม ให้เป็นประดุจมีท้อง ด้วยวิธีอันงาม เอาไปใส่เอาไว้ที่ใต้ร่มผ้า พระพุทธเจ้า ท่านเอาชนะด้วยสมาธิอันงาม คือระงับพระหฤทัย ในท่ามกลางหมู่ชน ท่านทำเฉยเสีย "สันเตนะ" ("สันตะ" แปลว่า เฉย สงบ) สันเตนะ โสมะวิธินา ท่านชนะด้วยอาการ ทำความสงบเฉยนิ่ง ไม่ตอบโต้อะไรเลย ท่านเอง ท่านทำความเฉยแบบนี้ แม้ใครจะมากล่าวร้าย ป้ายสี ว่าร้าย

ถ้าลงขนาดพระพุทธเจ้านี่นะ เป็นนักบวชขั้นศาสดา แต่แล้วก็มีคนไปกล่าวร้าย ว่าไปทำให้เขาท้อง แหม ! มันร้ายกาจขนาดหนัก เป็นปาราชิก เป็นร้ายกาจแล้ว ไปทำให้เขาท้อง แล้วเราไม่รับว่าเราไปทำ อันนี้ความเลวขั้นสุด ของพระ

พระรูปใดที่ละเมิดด้วยเมถุนธรรม ไปทำให้ผู้คนท้องได้ จะต้องเกี่ยวยุ่ง เป็นกงเป็นการ ในเรื่องผู้หญิงผู้ชาย ชู้ๆ สาวๆ คนนั้นเลวที่สุด ในวงการพระนี้เลวที่สุด เหมือนกับพวกเราคงรู้ พระรูปไหนไปเกี่ยวข้องผู้หญิง ผู้ชายไปมีเมีย หรือไปละเมิดอย่างนี้ขึ้นมา คนนั้นเลวมาก เลวที่สุด

พระพุทธเจ้าท่านจึงถูกใส่ความ ในจุดนี้เหมือนกัน นางจิญจมาณวิกาได้ทำเสแสร้ง เอาไม้กลมๆ ใส่เอาไว้ในผ้านุ่ง เหมือนกับคนมีท้อง มาตู่พระพุทธเจ้าว่าเป็นสามี พระพุทธเจ้าท่านก็เฉย แล้วท่านก็กล่าวขึ้นว่า มีน้องหญิงกับเรา เท่านั้นแหละนะ ที่จะรู้กัน จริงหรือไม่จริง จริงไหมล่ะ? ท่านไม่ได้ยุ่งเกี่ยวนางจิญจมาณวิกา แต่นางจิญจมาณวิกาซิ เข้ามาเกี่ยวตัวท่านเอง ท่านก็เลยพูดขึ้นอย่างนั้น ท่านเกี่ยวเขา หรือไม่เกี่ยว เขาก็รู้ดี ท่านก็รู้ดี

เรื่องนี้ พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าท่านถูก ท่านไม่ใช่เป็นคนผิด ท่านจึงเฉย เฉยจริงๆ เพราะฉะนั้น การหยุดการเฉย สันเตนะ โสมะวิธินา เฉยสงบ เมื่อถึงที่สุดนั้น เป็นคุณสมบัติ ของอริยะที่แท้จริง ความสงบนี่แหละ ชนะอะไรทั้งปวงในโลก ท่านไม่เดือดร้อน เพราะท่านรู้ ท่านเฉยอยู่ สุดท้าย นางนั้นเต้นไปเต้นมา ไอ้ไม้ที่ซุกอยู่ในท้อง มันหล่นตกลงไปเอง โธ่ มาหลอก ! อย่างนี้ นางจิญจมาณวิกาก็ถูกคนเขาด่าไป ถูกคนเขาว่าให้เสียไปเลย ท่านเอาชนะมารอย่างนี้

ฉะนั้น เราก็เหมือนกัน ต้องจำยุทธวิธีบทนี้ให้ดีๆ อย่างพระพุทธเจ้าท่านทำ ใครจะมาด่า กล่าวว่าร้ายอย่างไร ก็ช่าง ถ้าเราตรวจดูตัวเรา ว่าเราไม่ได้เลว เราไม่ได้ร้าย ก็ไม่ต้องหวั่นไหว เราไม่ได้เสียหาย เราไม่ได้ทำผิด ก็เก่งนั่งยิ้มแป้น อยู่เฉยๆเถอะ ไม่เดือดร้อนใจเลย ไม่มีเคือง ไม่มีระคาย ไม่หวั่นไหว เฉย สงบ พูดได้ดี มีสติสัมปชัญญะ มีความจริง มีความสัตย์บริสุทธิ์อยู่ อย่างนี้ก็เป็นผู้ที่ได้ผล ในการฟังพาหุง บทที่ ๕ คือ ชนะคนจอมลวงโลก หรือคนกล่าวร้าย เสียดสี หรือคนพาลหาเรื่อง เราจะชนะคนเหล่านั้นได้ อย่างเก่งเป็นธรรมะที่จะต้องรู้ ต้องเข้าใจเรื่อง เข้าใจเหตุผล ไม่ใช่ธรรมะ สวดเสร็จแล้วก็ขลัง ! มีอะไรมาบันดลบันดาล อย่างนั้นไม่ อย่าไปขอ อ้อนวอนเอา อ้อนวอนยังไงก็ไม่สำเร็จ หรือไม่ใช่พุทธวิธี วิธีการที่พระพุทธเจ้าทำเป็นตัวอย่างนี้ เป็นการเรียนรู้ แล้วลงมือกระทำ ให้ถูกตรงตาม นี่ พาหุง บทที่ ๕

 

 


บทที่ ๖


สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

บทนี้ ท่านแปลกันไว้ว่า

พระพุทธเจ้าท่านชนะนักบวช ผู้มีอัชฌาสัย ที่จะละเสียซึ่งความสัตย์ มีใจที่จะยกถ้อยคำของตนให้สูง ดุจยกธง เป็นผู้มืดมนยิ่งนัก ด้วยเทศนาญาณวิธี คือ รู้อัชฌาสัย แล้วตรัสเทศนา

ฟังคำแปลแค่นี้ ก็แสนจะเข้าใจยากแล้ว ก็จะขอแปลซ้อนลงไป ให้ง่ายขึ้นอีกหน่อย คือ

"พระพุทธเจ้าท่านชนะนักบวชอื่นๆ ที่"เบี้ยว"แล้ว "ไม่จริง"แล้ว "ไม่ตรงไม่ถูกตามสัจธรรม"แล้ว และยังเจตนาที่ยกตนอยู่ ว่าตนสูงตนดีเสียอีก มืดมนอยู่หรือโง่อยู่ ยังบกพร่องอยู่ พระพุทธเจ้าจึงพยายามเอาชนะ ได้ด้วยการใช้พระปัญญา แสดงธรรม สอนไป เผยแพร่ออกไป กระจายสัจธรรมออกไป ตามอัธยาสัยของบุคคล ตามอัธยาสัยของตนเอง และกาละเวลาอันควร ความกระจ่างสว่างไสวแห่งสัจธรรมแท้ ก็จะเป็นประทีป ไปจุดให้ผู้"ไม่รู้" ผู้ยังยึดดี ถือตนนั้นๆ เห็นได้ตามเป็นที่สุด

พระพุทธเจ้าชนะเขาด้วยการสอน สอนด้วยอะไร สอนด้วย "ปัญญาปะทีปะชะลิโต" สอนด้วยปัญญาที่เป็นประทีป ที่ท่านมี เช่น มีความสว่าง หรือมีความรู้แจ้งชัด อยู่เท่าใดๆ ท่านก็ใช้ปัญญานี้ สอนนักบวชดื้อด้าน ยึดถือดี อวดดี หลงตนทั้งหลาย นักบวชที่ยึดดี หลงตน ที่ร้ายกาจนั้นๆ ในสมัยพระพุทธเจ้า ท่านก็มีคู่แข่ง มีนักบวชทั้งที่เขาก็ยืนยันว่า เขาประพฤติถูกต้องแล้ว พระโคดมสิ มาประพฤติมาสอนผิดๆ เขาก็พากันต่อต้านโต้แย้ง และมีทั้ง ประกาศศาสนากันคนละศาสนา พระพุทธเจ้าก็สอนนักบวช ที่ยังผิดๆเพี้ยนๆ อวดดีทั้งหลายแหล่ นี้แหละ หรือนักบวชอื่นๆ อีกก็ตาม สอนเขาจนเห็นดีเห็นชอบด้วย สอนเขาด้วย "ปัญญาปะทีปะชะลิโต" พวกนักบวชที่ยึดดี ถือตน อวดดี ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ พระพุทธเจ้าทำอย่างนี้

นักบวชในสมัยพระพุทธเจ้า มีหลายลัทธิ แยกออกมาจากพราหมณ์ ด้วยกันนั่นเอง ก็เยอะแยะ แต่งตัวเหมือนกันก็มี แต่งตัวอย่างโน้น แต่งตัวอย่างนี้ นับถือจารีตอย่างโน้น นับถือประเพณีอย่างนี้ มีแบบนี้แบบนั้น หลายๆอย่าง หลายๆแขนง ต่างกันมากมาย แต่ก็มาจากพราหมณ์ เหมือนๆกันนั่นแหละ ส่วนใหญ่ต่างก็ล้วน จะประพฤติพรหมจรรย์

เหมือนกันกับสมัยนี้ เรียกว่า พุทธศาสนาเท่านั้น แต่ก็มีการปฏิบัติกัน ไม่รู้กี่จารีต กี่ประเพณี กี่แบบอย่าง โดยเฉพาะทาง "ความเข้าใจ" หรือ "เป้าหมาย" ทางนามธรรมนั้น แตกแง่ แยกทาง มากมายหลายอย่างเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ได้หลายอย่างๆ นี้แหละ ก็เหมือนกันกับสมัยโน้น ใน "พระพุทธศาสนา" ก็มีแบบอย่างกันหลายอย่าง มี"ทิฏฐิ" กันคนละ"ทิฏฐิ" ในสมัยนี้ ผู้รู้จริง ก็จะต้องใช้ "ปัญญาปะทีปะชะลิโต" ซึ่งจะสามารถเทศนา แสดงคำสอน ด้วยญาณวิธี หมายความว่า ทำด้วยความเก่งแห่งปัญญา มีเชิง มีกลวิธีต่างๆ คนอื่นที่เขาเป็นนักบวชต่างๆ นั้นก็จะรู้ได้ จะได้ประโยชน์เช่นเดียวกัน

สมัยพระพุทธเจ้ามี "ปัญญาปะทีปะ" มีญาณมีปัญญา อันเป็นประทีป ถ่ายทอดกันอยู่ สมัยนี้ก็ต้องใช้ "ปัญญาประทีป" อย่างเดิมอยู่นั่นแล เพราะสมัยไหนๆ ก็พยายามใช้ปัญญาประทีป

นี่แหละแสดงเทศนา เพื่อที่จะให้พระหรือนักบวช ผู้ที่มืดมนหลงตน ยึดดีถือดี อวดดี อยู่ต่างๆนั้น คลายทิฏฐิ ยอมแพ้ หรือพระท่านมีญาณประทีปนั้น ท่านก็จะพยายาม แสดงธรรมเทศนา สั่งสอน กล่าว หรือว่าแสดงวิธี ให้พระที่กำลังมืดมน หลงตน ยึดดีถือดี ว่าตัวดีอวดดีเหล่านั้น ยอมเห็นตามได้ เข้าใจในสัจธรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นสมัยไหน ถ้าใครมีปัญญาแก่ตนแล้ว "ปัญญาปะทีปะชะลิโต" เป็นปัญญา เป็นดวงประทีปสูง ก็สามารถที่จะเป็นผู้สาดส่อง กระจายรังสีแห่งสัจธรรม ออกไปข่มรัศมี ที่ยังไม่จริงได้ จะปราบความอวดดี ปราบความหลงตน เย่อหยิ่งของนักบวช แม้รุ่นเก่า เกิดก่อน หรือรุ่นที่ยังไม่ดีแท้ ยังไม่เป็นสัจธรรมจริงได้ ซึ่งก็ยากยิ่งแท้ แต่ถ้าคุณเป็นนักบวช ผู้มีปัญญาปทีปนั้นจริง คุณก็ทำได้จริง ถ้าคุณไม่ได้เป็นนักบวช ที่มีปัญญาปทีป จริงนั่นสิ ! คุณก็ทำอันนี้ไม่ได้ ก็ให้ฟังไว้เท่านั้น

แต่ผู้ที่จะได้ประโยชน์สูงขึ้นมาแล้ว เมื่อกี้นี้ ชนะคนชั้นหลอกลวงในโลก ขนาดนั้น ฉะนั้นขั้นต่อไป ตั้งแต่บทที่ ๖ นี่ก็ขั้นสูงขึ้นๆ ผ่านขั้นชนะ "คนลวง" ต่อมาก็ชนะ "พระลวง" หรือ "นักบวชลวง" ก็ต้องเตือนกันบอกกัน แม้จะเป็น "นักบวช" ผู้ที่ยังไม่บริสุทธิ์สูงสุด ก็ยังหลง "โลกียสุข" อยู่อีกต่างๆ ที่มันทำให้ต้องถือดี ต้องอวดดี ยึดตัวยึดตน ต้องยุ่งยากลำบากกัน เพราะเป็นเรื่องของความสุขขั้นสูง ที่"นักบวชก็ยังหลง" เป็นเรื่องของจิตชั้นสูง ขั้นสอนเขา ปราบมาร เรียกว่า "มารในนักบวช" ที่ปราบครั้งนี้ เรียกว่า "ปราบมารชั้นนักบวช" ไม่ใช่ปราบมารชั้นคนธรรมดา มารชั้นคนธรรมดา มีมือตั้งพัน บอกไปแล้วแต่ต้น ตั้งแต่บทที่ ๑ มีมือที่มีมีด แต่นี่เป็นมารที่อวดกล้า ว่าตัวเองนี่เก่ง มีสัจจะ มีตบะบ้าง มีแบบมีวิธีบ้าง อะไรบ้างก็ตามแต่ แต่ตัวเองยังมีความหลอกอยู่ ไม่มีสัมมาทิฏฐิ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านปราบมาแล้ว และเราเอง พุทธศาสนิกชนเอง นักบวชของพุทธศาสนา ในสมัยนี้แหละ ถ้าใครเป็นนักบวชที่มี "ปัญญาประทีป" อันรุ่งเรือง "ปัญญาปะทีปะชะลิโต" ปัญญาที่เป็นประทีปรุ่งเรืองนี้ ก็ช่วยปราบนักบวชเหล่านี้ด้วย อันนี้เป็น พาหุง บทที่ ๖



บทที่ ๗

นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุทธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

อันนี้ก็แปลกันมาว่า "พระพุทธเจ้าชนะ คนที่ติดในเรื่องที่ตัวเองได้แล้ว เป็นเจโต ที่มา ที่รู้ นึกว่าตัวเองถูก อันนี้เป็นนักบวชเหมือนกัน ปราบนักบวชขั้นสูงต่อมา ปราบนักบวชขั้นใหญ่ ที่คิดว่าตัวเอง เป็นผู้ที่ได้แล้วซึ่งความสูง ด้วยฤทธิ์อันนั้น ถือว่าตัวเองเป็น "เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต" นึกว่าตัวเองเป็นเถระที่ใหญ่ ที่มีฤทธิ์เดช ดังหนึ่งพญานาคราช ใหญ่โตแล้ว

เพราะฉะนั้น ถ้านักบวชผู้ใดถือว่า ตัวเองเหมือนพญานาคราช อันนี้ก็ไม่เน้น"ปัญญา" แต่อันนี้เน้น"เจโต" คือได้ความสงบมาก ได้"วูปสโม สุโข" มาก สงบมากที่สุด เป็นพญานาค สงบจนกระทั่งนิ่งเงียบ ชั้นพญานาค เหมือนคนนอนหลับ พญานาคนอนหลับทีหนึ่ง พระพุทธเจ้าเกิดหนหนึ่ง ถึงตื่นทีหนึ่ง หรือรู้สึกตัวทีหนึ่งน่ะ

"พญานาค"นี้ หมายความว่า สงบถึงขั้นนั้น สงบดิ่งเก่ง เป็น"เจโตสมถะ" ไม่รับรู้ ไม่รับทราบอะไรทั้งนั้น นี้หมายความว่า เป็นผู้ที่มาปฏิบัติธรรม มาแล้วได้รับความสงบ พระพุทธเจ้าปราบคนที่มิจฉาทิฏฐิ พวกนี้เหมือนกัน โดยเกจิอาจารย์ (ผู้แต่งบทพาหุงฯ) ก็จับความ ผูกเรื่องมาว่า พระโมคคัลลาเถระ ซึ่งเป็นพระสาวก นิรมิตรกายเป็นนาคราช ไปทรมานพญานาค ชื่อนันโทปะนันทะ ถ้าเราปราบคน เดี๋ยวนี้ อย่างนี้ก็คือ เราปราบนักบวช ที่มีคุณลักษณะ เป็นดั่งพญานาค และนักบวชผู้นั้น มีความสงบรำงับได้อย่างลึก แล้วก็ปราบด้วยวิธี "อิทธูปะเทสะวิธินา" ก็คือ เทศนาให้มีผลเก่ง แสดงความจริงให้ปรากฏเก่ง "อิทธูปะเทสะวิธินา" ด้วยอุปเทศ มีฤทธิ์ ท่านแปลว่า อุปเทศมีฤทธิ์ เป็นอิทธิ อีกประเภท ต้องเทศนานั่นแหละ ให้มีความเก่ง หรือมีฤทธิ์ (อิทธิ) ยิ่งๆขึ้น ให้มีรายละเอียด มีแง่มีมุมต่างๆ ยิ่งๆขึ้น (อุปเทศ) ให้มีเทศนาที่ดี มีอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทศนาปาฏิหาริย์ มีความเก่งกล้า ถูกต้องอริยธรรม (คือ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ ที่เป็นเดรัจฉานวิชชา) ด้วยวิธีอันเยี่ยมยอด เพื่อจะทำวิธีให้เขาเห็นได้ เข้าใจได้ ว่ากลายไปหลงความสงบ เป็นนันโทปนันทะ พญานาคตัวใหญ่ มันก็ยังไม่เป็นที่สุดหรอก ไปหลงความสงบนี้ ก็ยังไม่เข้าท่า อันนี้เป็นเรื่องของนักบวชแล้ว หรือคนปฏิบัติธรรมชั้นสูง นักบวชด้วยการพึงรู้ นักบวชคนไหน ติดทิฏฐิของตัวเอง ว่าตัวเองเก่ง (หลงในความหยุด ความนิ่ง ความสงบของตน) อย่างนี้แล้ว ซึ่งเหมือนกับนักบวช เก่งในความลึกซึ้ง อย่างนั้นอย่างนี้ สามารถเรียนไอ้โน่น เรียนไอ้นี่ ทำเก่ง มีคำพูดเก่ง สามารถที่จะแสดงไอ้นี่ได้เก่ง แล้วก็หลงในความรู้ หลงในความเก่ง ความสามารถของตน อย่างนั้นก็จัดว่า เป็นประเภทที่ ยังหลงตัวอยู่เหมือนกัน การแสดงธรรม เอาชนะด้วยการใช้วิธี ใช้ปัญญาอธิบาย ใช้พลังของความจริงที่มี ยืนยันด้วยวิธีต่างๆ นานามากหน่อย เพราะว่า คนที่หลงความสงบนี้ มันเป็น"มานะ"ขั้นสูง เป็นความยากแสนยาก และนักบวชชนิดนี้ ปัญญาจะไม่ค่อยแล่น หรือส่วนมากไม่ชอบคิด ปัญญาน้อย

เพราะฉะนั้น ต้องมี "อิทธูปะเทสะ" มีวิธีที่จะแสดงอุปเทศต่างๆ เหลี่ยมนั้นเหลี่ยมนี้ แสดงถึงกายธรรม วจีธรรม มโนธรรม ออกมาให้เขารู้ได้ เขาหมดทิฏฐิได้ จนเป็นผู้มี "สัมมาทิฏฐิ" รอบถ้วน และพร้อมกับแก้ไขความติด ความผิดนั้นๆ ได้ ถ้าใครได้สามารถ ช่วยคนอย่างนี้ได้ คนนั้นก็เป็น "ชิตะวามุนินโท" เป็นพระมุนีที่เราชนะได้ ซึ่งเป็นมารชั้นสูงมาก

ก่อนอื่นจริงๆ ก็ตรวจตัวเราเอง นั้นแหละก่อนว่า เราหลงความสงบหรือไม่? เรามีความสงบนั้น ต้องมีให้ได้จริง! แต่เราติดสงบติดหยุด ติดคุดคู้หรือไม่ ถ้าไม่ติด เป็นผู้รู้แจ้งจริง ก็เป็นชิตะวามุนินโท เอาทีเดียว จากนั้นจึงช่วยผู้อื่น ที่มีมิจฉาทิฏฐิ มีมิจฉาสมาธิ ให้นักบวชผู้มี "มิจฉา" เหล่านั้น เข้าใจถูกเป็น "สัมมาทิฏฐิ" และถอดถอนส่วนที่ไปหลงผิด จนเป็น "มิจฉาสมาธิ" นั้นๆ เสีย

"สัมมาสมาธิ" ของพระอริยะ อันมีมรรคองค์ ๘ นั้น ไม่ใช่สภาพที่ จะเข้าใจได้ง่ายๆ หรือเป็นได้ง่ายๆ ดั่งสมาธิหลับตา ต้องมีความเข้าใจ อย่างถูกต้องจริงๆ  (ผู้สนใจโปรดอ่าน "มหาจัตตารีสกสูตร" มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์) และเป็นของศาสนาพุทธ เท่านั้น มันมีประโยชน์สูงสุด และมีสภาพประหยัดสุด มีระดับอนุโลม - ปฏิโลม อยู่ครบพร้อม เกื้อกูลเกี่ยวพันกับผู้อื่น เป็นความสมบูรณ์ของศาสนา หรือเป็นความประเสริฐ สมบูรณ์ ของความเป็นมนุษย์ ผู้เข้าถึง ผู้เป็นได้จริง คนผู้ได้ความสงบ แล้วก็หลงความสงบ ติดสงบ ก็จะขี้เกียจเฉื่อยชาเนือย ปัญญาก็จะเสื่อมลงๆ เมื่อความเกียจคร้านเข้าจับ นั่นไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ประเสริฐ ของศาสนาพุทธเลย

ศาสนาเดียรถีย์ ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ไปจบที่"หยุด" เลิกโลกแบบพาซื่อ ทิ้งโลกแบบเถรตรง ไม่รับรู้กับโลก ไม่เกื้อกูลโลก ไม่เกื้อกูลมวลมนุษยชาติ ไม่เข้าใจความสุขของ มวลมนุษยชาติ ไม่ช่วยมวลมนุษยชาติ ให้มีอริยญายธรรม ได้ชื่อว่า ศาสนาหนีเอาตัวรอด หรือลัทธิเห็นแก่ตัว ศาสนานั้น ลัทธิอย่างนั้น หรือทิฏฐิอย่างนั้น เป็นเดียรถีย์

แต่ศาสนาพุทธนั้น พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า ธรรมวินัยนี้ ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลมวลมนุษยชาติ

ปฏิบัติเพื่อความสุขแห่งมวลมนุษยชาติ เพื่อยังหมู่มวลมนุษยชาติ ทั้งหลายทั้งปวง ให้มากที่สุด อันจะตั้งอยู่ใน อริยญายธรรม (คือ เป็นอารยชน เป็นมนุษย์ที่เจริญ ไม่ด้อยพัฒนานั่นเอง)

(จากสุตตันต. อังคุต จตุกก.ข้อ ๓๕ ตามพระบาลีที่ว่า อิธ พราหมณะ พะหุชะนะหิตายะ ปฏิปันโน โหติ พะหุชะนะสุขายะ พหุสสะ ชะนะตา อริเยญาเย ปติฏฐาปิตา)

ศาสนาพุทธ สอนคนให้เป็นปราชญ์ ให้เป็นมหาบุรุษ ยิ่งบรรลุธรรม ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อโลก โลกุตตรธรรมของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นคุณธรรมของ มหาปราชญ์ ของมหาบุรุษ ที่จะค้ำจุนโลก ช่วยมนุษยชาติ ไม่ใช่ธรรมที่ปฏิบัติแล้ว กลับกลายเป็น ผู้ได้แต่ประโยชน์ตน เห็นแก่ตัวไปชิบ ! อย่างนั้นก็ไม่เลย อย่าเข้าใจผิด หลงผิด (มิจฉาทิฏฐิ) กันว่า การปฏิบัติตามโลกุตตรธรรมนั้น ก็เพื่อ"ตัวเอง" เท่านั้น หรือบวชเป็นภิกษุเสีย จะได้ไม่ต้องมาอยู่ในโลก ปฏิบัติไปในทางโลกุตตรธรรมแล้ว ก็หมายความว่า เรารอดพ้นแต่ตัว เราไม่อยู่ในฐานะที่จะทำอะไร ให้เกิดแก่คนอื่นได้ โลกุตตรธรรมนั้น หมายถึง การแยกตนจากหมู่คณะ หรือแยกตนออกจากสังคม ถ้าขืนใครเข้าใจ "โลกุตตรธรรม" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอย่างนี้ ผู้นั้นก็ซวยมาก ก็น่าสงสาร ที่ไปเห็นศาสนาพุทธ เป็นอย่างนั้นเสียนี่ เพราะมันเท่ากับ หมายความว่า ศาสนาพุทธเนื้อๆแท้ๆ กลับไม่มีค่าอะไรเลยกับมนุษยชาติ หรือขัดกับพระพุทธพจน์ ที่ยกขึ้นมายืนยันให้ฟัง เมื่อกี้นี้แน่ๆ

ศาสนาฤาษี ที่สอนให้มีทิฏฐิแบบทิ้งโลก ทิ้งมนุษย์ "หยุด"ไปอย่างพาซื่อ ดื้อๆ เป็นเถรตรง ไม่มีสติปัฏฐาน ไม่มีวิปัสสนา แล้วก็ "เบื่อหน่ายแบบเกลียดชัง" ความเป็นจริงของทุกๆ สิ่งในสังคม เกลียดชังวัตถุ เกลียดชังในพฤติกรรมของมนุษย์นั้น มันมีมาก่อนศาสนาพุทธจะเกิด และมีมากลัทธิด้วย และมันก็ไม่ใช่ความประเสริฐ ของความเป็นมนุษย์อะไร? มันเป็นเพียง "ความเห็นแก่ตัว" ของมนุษย์เชิงหนึ่งเท่านั้น มันเป็นลัทธิที่สอนให้คนกลัว! ไม่ใช่ลัทธิที่สอน ให้คนแกล้วกล้า องอาจแข็งแรงต่อโลก เป็น"ที่พึ่ง"ของมนุษยชาติ มันตรงกันข้ามกับลัทธิพุทธน่า! มันเป็นเรื่องตื้นเขิน และ ไม่ใช่ความลึกซึ้งอะไร ที่จะเรียนรู้ หรือทำความเข้าใจ มันจึงไม่เข้าใจง่าย และใครๆ ก็เข้าใจได้ไม่ยากจริงๆ

คนเป็นจำนวนมาก จึงเข้าใจกันอย่างนี้ และแล้วจึงคิดว่า ศาสนาพุทธ ก็มี "ทิฏฐิสัมบูรณ์" แบบนี้บ้าง ซึ่งมันไม่ใช่!

แต่ศาสนาพุทธ ก็ไม่เป็นทาสสังคม ไม่หลงใหลติดใจ ในพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่เป็นทาสวัตถุ ไม่เป็นทาสอารมณ์จิต และมี"กรรมวิธี" (มรรควิธี) ในการปฏิบัติ เพื่อเรียนรู้ เพื่อลดละ เพื่อขัดเกลาอารมณ์จิต ที่เคยหลงเคยติด เคยเป็นทาสสิ่งเหล่านั้น ออกให้เกลี้ยงสนิท จนอยู่กับโลก อยู่กับสังคม อยู่กับวัตถุ อยู่กับพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งหลายได้ โดยจะได้ชี้ ช่วยลดช่วยเพิ่มให้แก่สังคม เป็นครูของมนุษย์ ของสังคม เกื้อกูลเขา ช่วยให้เขาอยู่เป็นสุขขึ้น และฉลาดขึ้นอย่างแท้จริง ตรงตามพระพุทธพจน์แน่ๆ ผู้เป็นครูนั้นๆ ก็เป็นผู้ "ประหยัดสุด" เพื่อ "ประโยชน์สูง" จริงๆ

ดังนั้น แม้จะปฏิบัติกัน จนบรรลุได้ในช่วงหนึ่ง ได้รับผลเห็นแจ้งว่า การหยุด การพัก การไม่ต้องยุ่งกับอะไรๆ นั้นมันสบาย มันว่าง มันง่าย มันสงบจริงๆ นักปฏิบัติธรรม ที่ไม่มีครูอาจารย์สอน ถูกทิศถูกทางจริงๆ ก็จะติดสงบ หลงความสงบ หลงความหยุด หลงความพัก ความไม่ต้องยุ่งกับงานการ กับเรื่องอะไรทั้งหมดเลย จะอยู่มันเฉยๆ นิ่งๆ เนือยๆ ไม่มีความขวนขวาย ไม่มีความขยัน เป็นใบ้ เป็นเศษมนุษย์ เป็นกากคน ที่เหมือนของสูญเปล่า ไร้ค่า ไร้แรงงาน ทั้งทางกาย ทางปัญญา แต่ก็ยังกินอาหารในโลกอยู่กับเขา ยังใช้สอยวัตถุต่างๆ บางราย ที่ยังไม่ใช่รายเก่ง ก็จะเป็นเศษมนุษย์ที่เปลืองพอได้ แต่บางรายก็เก่งเหมือนกัน เป็นเศษมนุษย์จริง และไม่เปลืองวัตถุโลก ไม่มีพฤติกรรม เยี่ยงมนุษย์ปุถุชนโลกๆ นั่นก็นับว่า เป็นความเก่งอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หมดกิเลส เพียงแต่ห่างวัตถุ ห่างสิ่งที่เป็น"เหตุ" แห่งกิเลสภายนอกไปเท่านั้น ถ้าจิตที่หมดกิเลสจริงแล้ว อยู่กับเหตุปัจจัยภายนอก อะไรก็ได้ จึงจะเรียกว่าเหนือโลก เหนือวัตถุในโลก จึงจะชื่อว่า "โลกุตระ" แท้

แต่นี่ยังสัมผัส สัมพันธ์กับวัตถุบางอย่าง พฤติกรรมของมนุษย์บางอย่างไม่ได้ ก็ยังไม่เปล่า ไม่ว่างในจิตจริง ยังหวั่นไหวต่อการกระทบอยู่ จึงต้องหลบลี้ หรือเลี่ยงอยู่ป่า อยู่เขาอยู่ถ้ำ ที่ห่างไกลโลกีย์ จนตายไปก็เยอะ ซึ่งที่จริงก็ไม่ใช่ของง่ายเลย ที่คนจะปฏิบัติตน จนปละปล่อยจิต หยุดจิต ละมาได้ถึงขั้น ทิ้งพฤติกรรมที่ปุถุชนเขาติด ทิ้งโลกียะทางกามราคะ ขั้นละเว้นกันได้นานๆ จนดูประหนึ่งเป็น "อนาคามี" หรือเป็นผู้ไม่ใยดีบ้านช่องเรือนชาน ทรัพย์สินสมบัติอะไร บางคนทิ้งละไปได้ จนตราบตายจากไปเลย ก็มีไม่น้อย แต่มันก็ยังไม่ใช่ จุดสูงสุดของศาสนาพุทธ

การลดละ สงบ รำงับมาได้ออกปานนี้ ก็เป็น "ผู้ประเสริฐ" (นาค) ขั้นหนึ่งแง่หนึ่งเหมือนกัน แต่ยังไม่สูงสุด จริงๆนั้นอาจจะละ จะเว้นสมบัติโลก ละเว้นพฤติกรรม อย่างมนุษยโลกออกมาได้ เพียงเพราะติดสงบ ซึ่งเป็นการเสพย์ติดชนิดหนึ่ง เพราะอุปาทานสุดโต่งชนิดหนึ่ง หรือเพียงเพราะห่างเหตุ ห่างปัจจัยแห่งกิเลส อันเป็นเพียงวัตถุหยาบ เป็นเพียงรูปธรรม มิใช่เหตุที่เป็นนามธรรม เป็นที่สุดพร้อม เป็นเพียงภายนอก มิใช่ในภายใน อย่างถูกจุดแท้ ด้วยปัญญาจริงเท่านั้นเอง จึงทนได้ แต่ถ้ายังสัมพันธ์สัมผัสโลกอยู่ จะทนไม่ได้ จึงจะต้องเอาชนะความติดสงบ ติดหยุดนี้ให้ได้ และจะต้องเรียนรู้ พิสูจน์แท้ว่า "ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ" คือสัมผัสโลกธรรมใดๆ สัมพันธ์อยู่กับโลก ทั้งหลายอย่างไร จิตใจของเราก็ไม่มีหวั่นไหว จริงๆ ได้แท้ จึงจะเป็น "ชิตะวามุนินโท" เป็นมุนีผู้ชนะ สูงขึ้นไปให้ได้อีก

นี่ก็เป็นสภาพธรรม และความรู้อันได้มาจาก "พาหุง บทที่ ๗" ก็สูงขึ้นๆ มาตามลำดับ ขั้นนี้มันขั้น "ปฏินิสสัคคะ" คือ ขั้น"ย้อนคืน" หรือ "สละคืน" มันเป็นขั้นสูง ถึงขนาดเข้าใจสภาพจริงที่แท้ว่า ได้แล้วก็เป็นอันได้ และไม่ต้อง "ติด"นี่ ! ไม่ต้องเอาก็ได้ ซึ่งเราก็รู้ว่า เราก็ยังได้อยู่นั่นเอง


 

บทที่ ๘

ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

ซึ่งก็แปลกันมาว่า "พระพุทธองค์ชนะพรหม ผู้มีนามว่า ท้าวพะกา ผู้มีฤทธิ์ อันสำคัญว่า เป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ มีมืออันท้าวภุชค์ คือทิฏฐิที่ตนถือผิด รัดรึงไว้แน่นแฟ้นแล้ว ด้วยวิธีวางยาอันพิเศษ คือ เทศนาญาณ ฯลฯ"

ขั้นนี้มันขั้นสุดท้ายแห่งมุนีจริง คือขั้นปราบพระพรหม เป็นอภิญญาขั้นสุดท้าย หรือเป็น "อิทธิวิธี" ลำดับปลายขั้น "ใช้อำนาจทางกาย ไปตลอดพรหมโลก" มันเป็นขั้นสูงกว่า "เหาะไปในอากาศเหมือนนก" ขั้นสูงกว่า "ลูบคลำพระจันทร์ พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก ด้วยฝ่ามือ" กันเสียอีก

คือ ขั้นต้องชนะ สภาพที่เรียกว่า "พรหม" ทั้งหลาย เกจิอาจารย์ ท่านก็จับเรื่องขึ้นมาว่า พระพุทธองค์ชนะพระพรหม ผู้มีนามว่าท้าวพะกา ผู้มีฤทธิ์ ซึ่งสำคัญว่า ตนเป็นคนเก่งยิ่งใหญ่ ถ้าผู้ใดยัง "มิจฉาทิฏฐิ"อยู่ ยังไม่มีปัญญารู้ว่า "พรหม" นั้นก็คือ "จิตวิญญาณ" และไม่ใช่อยู่ฟากฟ้า ฟากดินไหนหรอก ! มันก็คือ จิตวิญญาณของเรานี่เอง อยู่ในตัวเรานี่เอง

นี่แหละ! ต้องตรวจ ต้องอ่าน ต้องรู้แจ้งให้ได้ จะปราบพระพรหมฯ ก็ไม่อยู่ไหนหรอก พระพรหมก็อยู่ในจิตของเราเอง พระพรหมอยู่ในจิตของคุณทุกคน ทุกคนมีจิตพระพรหม อันนี้ภาษาพระ ท่านเรียกว่า "มมังการ" หรือ "อหังการ" อยู่ในตัวคนเป็นๆ นี่เอง ไม่ใช่ล่องลอยอยู่ในอากาศ อยู่บนยอดไม้ ยอดเขา ยอดดินอะไร หรือไม่ใช่ไปสิงสู่อยู่กับรูปปั้น รูปหล่ออะไร ถ้าใครยังงมงาย "มิจฉาทิฏฐิ" อยู่ รู้ไม่ออก จับในตนไม่ได้ ก็ไม่มีหวังได้เป็น "ชิตวามุนินโท" พระพุทธเจ้าท่านก็ปราบพระพรหม นี้ตั้งชื่อเป็น ปุคคลาธิษฐาน ท้าวพะกาพรหม มีฤทธิ์ คือสำคัญตนว่า เป็นผู้รุ่งเรือง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ สูงส่ง ว่างั้นเถอะ สูงด้วยคุณอันบริสุทธิ์ มีทิฏฐิ ถือตนถือตัว มีมืออันท้าวภุชงค์ คือทิฏฐิ ที่ตนถือผิดนั้นหนะ มันหมายความว่า เจ้าของจิตวิญญาณเองนั่นแหละ ยังหลงยึดเอาจิต เอาวิญญาณ ที่ตนเป็นอยู่มีอยู่ ว่าเป็น "ตน" เป็นประหนึ่ง "ของของตน" เลยไม่หมดสิ้น"อัตตา" ไม่จบกิจเป็นผู้บรรลุอรหันต์ ไปได้สักที "พรหมโลก" หรือลักษณะพรหม มันมีอีกหลายแบบ หลายขนาด หลายชั้น ต้อง "รู้ชัด" และ มีอำนาจเอาชนะพรหมได้จริงๆ ซึ่งล้วนแต่คือ "จิตวิญญาณ" ในตัวเรา นี่เองจริงๆ

แม้"จิตวิญญาณ" ของใครจะเก่ง จะดีบริสุทธิ์ จากกิเลสหยาบต่ำ จากกิเลสอย่างกลาง แม้จะกิเลสอย่างสูงละเอียด มาได้จริงแท้ สูงจริง เก่งจริง ดีจริง บริสุทธิ์จริง ออกปานใดก็ดี มันก็เป็นความดีจริง สูงจริง เก่งจริง บริสุทธิ์จริง ของจิตวิญญาณนั้นๆ ตามขนาดที่ตนละตนเลิก ตนหลุดพ้นมาได้จริง แต่อย่าเผลอไป "หลงตน" ว่าตนมีดี ตนมีตัวเก่ง ตนบริสุทธิ์ แล้วก็หวงแหน ห่วงหวงความบริสุทธิ์ ถือ "เจ้าตัวสูง" ยึดเจ้าตัวเก่ง ตัวดีนี้เหนียวแน่น จนมันกลายเป็นเหตุให้ "ตนทุกข์ตนลำบาก" หรือตนทำการงานอะไร ก็ไม่บังเกิดผลสูงส่ง ดียิ่งขึ้นไปๆ ได้กว่านั้นอีก เป็นอันขาด ได้รู้มานิดได้ดีมาหน่อย ก็จะไปหลงตัวหลงตนเข้า ก็นั่นแหละ ระวังๆ เถอะ!

มุนีขั้นนี้ จะต้องมี "ปัญญา" ขั้นชาญเชิง ขั้นฉลาดเหนือชั้นจริงๆ เป็น "ญาณาคะเทนะวิธินา" ตัวจริงตัวแท้ ที่จะต้องรู้ "ความจริง" ที่ตัวเอง (มีอัตตัญญู) และจะต้องรู้ "ความดีความเก่ง" หรือ "ความยังไม่ดี ยังไม่เก่งจริงๆ" ของผู้อื่น (ปุคคลปโรปรัญญู) ทั้งของหมู่กลุ่มต่างๆ (ปริสัญญู) เพื่อดำเนินการจรรโลง ก่อการรังสรรค์ที่ดี ให้เกิดแก่สังคม แก่มวลมนุษยชาติ จึงจะต้องมี "มัตตัญญู" คือจะต้องรู้ขนาด รู้ประมาณจริงๆ อย่าว่าแต่วัตถุเลย ถึงสภาพของ "อรูป" หรือ "นามธรรม" แท้ๆ ว่าจะปั้นขนาดใด ประมาณกันขั้นไหน จะต้องปั้นออกมาให้ได้ ตามประมาณจริงๆ และจะต้องมี "กาลัญญู" คือกาละอย่างไรควร กาละอย่างไรเคร่ง ก็จะต้องรู้จริง ให้ถูกต้อง "อัตถะ" ลงตัวเป็น "กุศลธรรม" และหรือ "อกุศลธรรม" กันให้ดีที่สุด ที่สามารถตลอด ไม่ใช่เอาแต่ "ตน" เป็นใหญ่ ไม่คำนวณของคนอื่น ไม่อนุโลมผู้อื่นเลย เห็นแต่ตน มองออกแต่ตน ตามใจแต่ตน เชื่อแต่ตนตะพึดฝ่ายเดียว อย่างนี้แหละพระพรหม (อัตตาธิปไตย)

โดยเฉพาะ ต้องปราบความถือดี ยึดตัวยึดตน ที่ตนเองนั่นแหละก่อน นั่นแหละคือ "การปราบพระพรหม" หรือคือ "มานะสังโยชน์" ตัวสำคัญนั่นเอง

ถ้าเรา "หลงความใหญ่" ท่านเรียกว่าเป็นพระพรหม หลงตัวเองว่ามีฤทธิ์ มีความสามารถ มีความดี มีความเก่ง (แม้จะมีจริง) มีอำนาจ หลงตัวหลงตน ว่าตัวเองใหญ่ ตัวเองโต อะไรอย่างนี้ จิตตัวเองนั่นแหละ คือพระพรหม หลงตนเอง มี"วิมานะ" หรือมี"วิมาน" ที่ไม่ยอมปล่อย มีจิต "มานะทิฏฐิ" ถือตัวถือตน ถือสิ่งที่ตนมีตนเป็นมากๆ ขึ้น หรือ ไม่ยอมปล่อยยอมวางเลย มันก็จะนึกว่าตัวเองเก่ง นึกว่าตัวเองเหนือเขาทั้งโลก อย่างไม่มีโอกาสว่าง ไม่หมด "ชาติ" สภาพจิตจะยึดจัด จนเห็นชัดว่าเป็นพระพรหม (พระเจ้า) ทีเดียว เป็นผู้บงการ เป็นผู้บันดาล เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้เผด็จการ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าใครรู้เท่าทันในตน จะต้องพยายามประมาณตน กำราบตัวเอง ถ้ามัน "มากไป" ก็ดี หรือ "ดูไม่ดีไม่งาม" ก็ดี ด้วยวิธีต่างๆ ที่จะสามารถปราบตนลงไป "ใช้ปัญญาประกอบให้มาก"

อนึ่ง ถ้าตนดีจริง ใหญ่จริง เก่งจริง ก็ไม่ใช่จะ"หลงผิด" เสียอีก ไม่ยอมแสดงตัวตามจริง ให้มันวนซ้ำ กลับกลายไปเป็นว่า ตนเล็กตนน้อย ตนด้อยตนไม่ดี ตนไม่เก่งอยู่ตะพึด มันก็วนไม่รู้จบ ไม่องอาจ ไม่ยืนหยัดความจริง ไม่มีที่พึ่งสุดท้าย คนผู้ยังไม่ละเอียดแท้ ยังไม่แน่จริง ก็จะ"วน"ดังนี้ แล้วก็มักจะแก้ตัว ด้วยคำว่า "นั่นเป็นการถ่อมตัว" ลักษณะเช่นนั้น คือ "อุทธัจจะสังโยชน์" แท้ๆของ "พระพรหม" ตัวร้าย จะต้องปราบให้ "หยุด" ให้มั่นคง ให้เลิกวนให้ได้ ละเอียดไปอีก ดั่งนี้ เป็นต้น

ที่จริงตนดี ตนกลาง ตนเล็กขนาดไหนๆ ก็ขอให้รู้ "ความจริง" และใช้ความจริงให้ถูกกาละ ถูกเทศะ ถูกฐานะ อย่างองอาจแกล้วกล้า มั่นใจและสุภาพที่สุด ตามปัญญาที่ได้ไตร่ตรอง อย่างสูงสุดเถิด ซึ่งบางทีบางกาละ จะต้องจำ "ถ่อมตน" ในบางเหลี่ยม แต่ก็ต้องแสดงความดีจริง ความใหญ่จริง ที่ตนมีจริงนั้น ออกมาได้จริงๆ จึงจะต้องใช้ปัญญา ใช้ญาณ เป็น "ญาณาคะเทนะวิธินา" อันยิ่งกว่า "ปัญญาปะทีปะชะลิโต" กันจริงๆ

จะเห็นได้ว่า มันสุดยอดสุดยากที่สุด แต่แค่ขั้นจะปราบ ความเป็น "พระพรหม" ของตนลงไปได้นั้น ก็สุดแสนจะยากยิ่งนักแล้ว ยิ่งจะไปปราบความเป็น "พระพรหม" ของผู้อื่นอีกละก็ เอ๋ย! มันไม่ใช่ของง่ายเลย มันต้องใช้ "ญาณาคะเทนะวิธินา" คือต้องใช้ "ญาณปัญญา" ใช้การแสดง ด้วยกรรมวิธีแสนฉลาด ซ้อนเชิงกันจริงๆ ลึกซึ้ง มีอิทธิฤทธิ์จริงๆ

และการ "หมดตัว-หมดตน" หรือ "ไม่ถือตัว ไม่ยึดตน" ที่ว่ากันเป็นภาษา สำนวนกันนั้น ก็มิใช่ว่าจะเป็นคนต่ำ ปล่อยให้ใครๆ ก็เหยียบก็ย่ำไป จนคนเขา เข้าใจผิดไปหมด ไม่มีการแสดง "ความจริง" ว่าเรามีความดี มีความสูง ชั้นนั้นชั้นนี้จริง ก็ไม่ใช่จะเถรตรงพาซื่อ เสียอย่างนั้นไปหมด จนกลายเป็น "หมดตัว-หมดตน" ก็คือ ให้ใครดูถูกได้หมด ทำตนต่ำไปตะพึด ว่า "ไม่ถือตัวไม่ยึดตน" ก็ไม่ยึดไม่ถืออะไรไปตะพึด ความดีก็ไม่ยึด อนุโลมตามชั่วตะพึด ความถูกก็ไม่ยึด ถูกก็ได้ ผิดก็ได้ ตะพึดไปหมด เป็นพระก็ไม่ยึดศีล ไม่ยึดวินัย หรือทั้งๆ ที่เห็นใน "สัจจะ" แต่ก็ไม่ช่วยกันยึดใน "สัจจะ" นั้น ไม่พยายามต่อสู้ยืนหยัด เพื่อยืนยง "สัจจะ" นั้น อะไรอย่างนั้น มันก็สุดโต่งเลยเถิดไป เป็นคนไร้ปัญญา และไม่เป็นหลักเป็นผู้นำ เป็นที่พึ่งอะไรในโลกกันได้เลย "สรณัง" ก็เลยไม่มี "โลกนาถ" ก็ไม่มีเท่านั้นเอง จงระวังเถิด ! ในคำว่า "ไม่ยึดไม่ถือ" ก็มิใช่ว่าจะเป็น คนหลักลอย เลอะๆ เทอะๆ

แท้จริงที่สุดนั้น ผู้บรรลุหรือผู้รู้ยิ่ง ผู้หมดตัวหมดตนอย่างแน่แท้ มีปัญญารู้ดีรู้ชั่วชัดเจน รู้ถูกรู้ผิดจริงจัง นั่นแหละคือ ตัวผู้ต้อง"ยึด" ต้อง"ถือ" หลักความจริง ยึดความถูก ถือ"สัจธรรม" แท้ๆ เป็น "ที่พึ่ง" ให้แก่มวลมนุษยชาติ ให้แก่โลก จึงจะเรียกว่า "สรณัง" (ที่พึ่ง) ของผู้ยาก หรือถ้าเป็นผู้สูงยิ่งเยี่ยมมาก ก็เป็น "โลกนาถ" อันคือ ที่พึ่งของชาวโลกได้จริง

ดังนั้น ผู้เป็นมหาบุรุษ หรือเป็นอริยบุคคล จึงจะต้องเป็นผู้รู้แจ้ง ในความจริงแท้ของความจริง ตนเป็นอย่างไร? มีอย่างไร? แค่ไหน? ก็จะต้องแสดงตามจริง นอกจากบางคราว ท่านอนุโลม "ถ่อมตน" ให้เท่านั้น ก็จะไม่ชัดตามจริงเท่าไหร่! ส่วนจะ "เบ่งตน" ใหญ่เกินจริง นั้นไม่ควร และอริยบุคคลจะไม่ทำ ฉะนั้น คราใดท่านต้องแสดงตัว "ตามจริง" ว่าท่านใหญ่จริง สูงกว่าจริง ดีเหนือเขาจริง คนก็มักจะมองไปว่า เป็นการ "ยกตน" เป็นการ "ข่มขี่ผู้อื่น" อยู่บ่อยๆ เสมอๆ ก็เป็นความจริง !

และท่านก็"รู้"แจ้ง ในความจริงอย่างนี้ แล้วท่านก็ "ไม่ยึดไม่ถือ" ในคนผู้ไม่รู้ความจริงนั้นๆ อีก ท่านเห็นใน"สัจธรรม" และเห็นใน"ความจริงใจ" เป็นความจริงจัง เป็นที่สุดเอง แล้วท่านก็รู้จักจบ รู้จักที่สุดเอง เป็น "สัจจะ" ลงตัว ตรงกับพระพุทธพจน์ที่ว่า "อลัญจ ปน โว ภิกขเว ตุฏฐียา อลัง อัตตมนตายะฯ"

จะเป็น "ชิตวามุนินโท" หรือมุนีผู้ชนะกัน ขั้นสูงสุดยอดนั้น จึงต้องมีญาณวิเศษ มีญาณทัสสนะ หรือ มีอธิปัญญากันขั้นปลายสุด (อันต) รู้ความเหมาะสม เป็นที่สุดจริงๆ แม้จะรู้ตนเองว่า เราไม่มีกิเลสแล้ว (อรห) ก็ดี จึงจะเกื้อกูลมวลมนุษยชาติ จะเพื่อความสุขของมวลมนุษยชาติ ยังมวลมนุษยชาติเป็นอันมาก ให้เข้าถึงความเป็นอารยชน (อริยญายธรรม) ได้จริงๆ เป็นที่สุด

บุคคลเช่นนั้นแล คือ "อรหันต์" (อรห+อันต)

ผู้ชนะพระพรหม ผู้เหนือพระเจ้าได้จริงอย่างนี้ จึงคือ "ชิตวามุนินโท"ที่มีผล เพราะได้เรียนรู้ พาหุง ๘ เป็นคาถา พาให้ศึกษาค้นคว้า จนหยั่งแจ้ง แทงทะลุได้จริง มิใช่ว่าเรียน "พาหุง ๘" แล้วก็ได้แค่ท่องแค่สวด แลกข้าวแลกของกินๆ ใช้ๆ จนตายไปเท่านั้น หรือมิหนำซ้ำ เอาไป "หลอก" ผู้คนให้งมงาย หลงใหลเลอะเทอะ ว่าคาถานี้เป็นของขลัง เป็นคำที่ท่องแล้ว กล่าวขึ้นมาแล้ว จะเกิดฤทธิ์พิลึกๆ สวดเดินหน้าถอยหลัง เท่านั้นเที่ยวเท่านี้เที่ยว แล้วจะบันดล บันดาลอะไรตลกๆ แฝงซ้อนซ่อนเงื่อน มีแต่ความมืดมัว งงงวย งมงาย ไม่รู้เหตุ ไม่แจ้งปัจจัย ไม่เข้าใจเหตุ ไม่แทงทะลุผล อย่างนั้นไม่ควรเลย ผู้หลอกนั้น ก็ได้อเวจีไปแท้ๆ ระวังๆ กันเถิด !

ผู้ใดศึกษาเข้าใจถ่องแท้ใน "มาร" ที่มีพันมือ คืออะไร?
"ยักษ์" ที่แข็งกระด้าง ไม่อดไม่ทน คืออะไร?
"เดรัจฉาน" ที่เมามัน โง่เง่าคืออะไร?
"คนใจหยาบ" ที่อำมหิตคืออะไร?
"คนลวงโลก" ที่แสนใส่ร้าย ต่อต้านคืออะไร?
"นักบวชผู้ลวงโลก" ที่ยกตนถือดี ดื้อด้าน แต่มืดมนคืออะไร?
"นักบวชที่ติดหยุด ติดสงบ" ดั่งพญานาค คืออะไร?
"พระพรหม" ผู้แสนใหญ่ แสนสูง แสนดีจริง คืออะไร?


แล้วมี "อิทธิวิธี" ต่างๆแก้ไข ปราบปราม จนปราบมาร ปราบยักษ์ ปราบเดรัจฉาน ปราบคนใจหยาบ ปราบคนลวงโลก ปราบนักบวชจอมลวง ปราบนาค ปราบพระพรหม ได้เป็นผู้ชนะ ครบ ๘ อย่าง ๘ ระดับนี้ ถูกตัวถูกตนจริง หมดเชื้อ หมดวิญญาณร้ายอย่างนี้ ผู้นั้นก็สุด

"เอตาปิ พุทธะชะยะมังคละอัฏฐะคาถา
โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวะนิ
โมกขัง สุขัง อธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ"

ซึ่งเป็นบทสรุปสุดท้าย ของเกจิอาจารย์ ผู้ประพันธ์คาถา พาหุง ๘ นี้ว่าไว้ มีความหมายไทยๆ ก็ว่า

"นรชนใดมีปัญญา ไม่เกียจคร้าน สวดก็ดีระลึกก็ดี ซึ่งพระพุทธชัยมงคล ๘ คาถา แม้เหล่านี้ทุกๆวัน นรชนนั้นพึงละเสียได้ ซึ่งอุปัทวันตรายทั้งหลาย มีประการต่างๆ เป็นอเนก ถึงซึ่งวิโมกขศิวาลัย อันเป็นบรมสุขแลฯ"

ก็จริง ถ้าใครมีปัญญาแท้ ไม่เกียจคร้าน สวดขึ้น รำลึกขึ้น แล้วก็ร่วม "ประพฤติปฏิบัติไปด้วย" จนละเสียได้จริง เลิกเสียได้จริง เข้าถึงซึ่งวิโมกขศิวาลัย ก็จะเป็นบรมสุขแท้

แต่ถ้าเอาแต่ท่อง เอาแต่สวดร้องกัน รุ่นแล้วรุ่นเล่า คนแล้วคนเล่า ไม่ได้รู้อะไรยิ่งกว่านั้น มันก็ไม่มีทางช่วยให้ละเสียได้ ซึ่งอุปัทวอันตราย อันใดแน่ๆ

ข้อสำคัญคือเรื่อง"ขอ" ซึ่งสวด "ขอ" "อ้อนวอนขอ" เดินเวียนรอบ "ขอ" ใดๆ ก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ติงเตือนไว้ชัดเจนว่า "ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้" พูดอย่างนั้นๆ ขึ้นแล้ว ก็"ขอ" ให้เป็นตามที่พูด มันจะเป็นไปได้ง่ายๆ เหรอ? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เน้น "การกระทำ" (กรรม) ที่ครบครัน จริงจัง ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ต้องรู้แจ้ง แล้วทำให้เป็นจริง ถูกจริง ตรงจริง โดยไม่ต้อง "ขอ" มันก็เป็นจริง มีจริง ได้จริง เอาแต่ปากพูดท่อง มันจะได้จริงเป็นจริงแท้ กันแค่ไหนกัน

ก็ลองคิดเห็นกันดีๆ ขอให้"ทำ"เถิด รู้ให้ถูกให้ตรง แล้วทำให้เกิดให้เป็นเถิด ถ้ายังไม่เกิดยังไม่เป็น ก็อย่าพูดอวดพูดอ้างว่าเราเป็น ถ้ายังไม่รู้จริงๆ ก็อย่าพูดอวด พูดอ้างว่าเรารู้

ที่ได้เล่า ได้ขยายความมาทั้งหมดนี้ ก็คิดว่าคงจะพอรู้กันได้ ตั้งแต่บทที่ ๑ ถึงบทที่ ๘ ไม่มากก็น้อย ผู้รู้ได้และทำได้จริง ก็เป็น "ชิตวา มุนินโท" จริงๆ โดยไม่ต้อง "ขอให้ชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่ง พระพุทธชัยมงคลนั้น" ขอเอาไม่ได้ !

มันเรื่องของการปราบกิเลส ตัณหาของตนเอง จะไปขอให้กิเลสออกไป มันบอกง่ายปานนั้นหรือ เจ้ากิเลสหนะ ! ถ้าจะใช้เพียงว่า ขอให้คุณเอาไปประพฤติ ให้บรรลุประสบผลเทอญ อย่างนี้ล่ะก็ พอพูดได้ แต่คุณจะเอาไปประพฤติหรือไม่ ก็คุณล่ะทีนี้ จะทำหรือไม่ทำ ก็จบล่ะ ไม่ "ขอ" อะไรกันอีก


พิมพ์ครั้งที่ ๑ / ๑๐,๐๐๐ เล่ม กรกฎาคม ๒๕๒๐

ตรวจทานใหม่ 31 มี.ค.2568 ที่สุด