ธรรมปัจเวกขกขณ์ (๘๔)
๑๒ มกราคม ๒๕๒๕

การปฏิบัติธรรม มันมีสภาพหยาบกลางละเอียด ที่พูดโดยภาษาตื้นๆ แต่ว่า โดยสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน หยาบกลางละเอียดนั้น มันไม่ใช่ตัดพัวะๆๆๆๆ เป็นแว่นๆ แว่นๆ ไปเลย มันไม่ใช่สภาพของความละเอียด สุขุมลึกซึ้ง แม้เบื้องต้น เราทำได้ เราแน่ใจแล้วว่า เราทำได้เด็ดขาดแล้ว หมดสิ้นแล้วเบื้องต้น แล้วกระทำท่ามกลาง บั้นปลาย โดยไม่แลหลัง ไม่ได้ตรวจอ่านเศษเชื้อที่เหลืออีกนั้น เป็นการประมาท เราจะต้องตรวจ อ่านสิ่งที่เหลือ แม้แต่ในสังโยชน์ ท่านก็ตรัส ส่วนเหลือพวกนี้ไปไว้เป็น รูปราคะ อรูปราคะ เศษของความหยาบ อะไรก็แล้วแต่ มันมีพลิ้วพราย มันมีสิ่งเนื่อง อรหันต์ของพระพุทธเจ้านี้ มันไม่ได้ตื้นเขินเลย อรหันต์ของพระพุทธเจ้านั้น มันเป็นเศษส่วนเหลือ ที่เราเรียกว่า อนุสัยอาสวะ เรียกว่า ส่วนที่มันยังตกตะกอนนอนเนื่อง มันยังทำงานอย่างนิ่งสนิท เหมือนกับไม่มี ถ้าไม่ใช้ปัญญาอันแยบคาย ไม่ใช้จิตอันแยบคาย อย่างจริงจริ๊ง คอยสังเกตอ่าน ตรวจซ้อนๆ แล้ว เราจะไม่รู้จัก เราจะจับมันไม่ติด มันละเอียด มันเล็ก มันนอนเนื่อง แต่มันก็มีบทบาท มันมีการงาน มันมีการสั่งสม มันยังไม่ขาดสนิท มันยังไม่ถอนรากถอนโคน ไอ้ที่เป็นสิ่งที่เป็นวัตถุ เป็นตัวตน อันเล็กอันน้อย ในเชื้อตัวเกิดของวัตถุโลก สัตวโลก มันเป็นตัวเชื้ออะไรของโลกนี่ มันก็ยังเล็กน้อย ขนาดรู้ไม่ได้ง่ายๆ เล็กละเอียดขนาดหนัก ยิ่งจิตวิญญาณแล้วละก็ มันยิ่งเล็กยิ่งน้อย ยิ่งมีอาการนิ่งเนียนสนิทสุขุม เหมือนไม่มีอะไร กระดุกกระดิกเลย

เราก็จะต้องรู้ความไหว ความมีอาการ ความมีชีวะ ชีวิตของปาณะ หรือว่า ของเชื้อกิเลส ที่แฝงอยู่ในใจเรา ให้สำคัญ อย่าประมาทง่ายๆ แต่ก็จงเข้าใจให้ดีว่า เมื่อเราได้พ้นความหยาบ ความแรงนั้นมาได้ แม้มันเหลือเชื้อเล็กน้อย แล้วเราไม่ทุกข์หรอก ทุกข์เราไม่มีจริงๆ มันง่าย มันไม่ต้องทนอะไรมากด้วยซ้ำ มันทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบากอะไร มันสบาย มันไม่ต้อง แต่ว่ามันยังมีการงาน ยังมีการกระทำ สะสมกอบโกย หรือ ไม่ใช่กอบโกย มันสะสมแตกตัว มันสะสมทำกิจอยู่ เป็นอาสวะนี่ แปลว่า เครื่องหมักดอง เหมือนเครื่องหมักดอง มันมีตัวเชื้อ มีอะไรแตกบทบาท กระทำบทบาท พัฒนาอยู่ในกองนั้น อยู่จริงๆ ท่านเรียกอาสวะ หรือท่านเรียกอนุสัย แปลว่า มันนอนเนื่อง หรือ นอนนิ่ง นอนสงบ กบดาน เหมือนกับไม่มีจริง เราจะต้องถอนอาสวะ ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่พ้นทุกข์อย่างเดียว เคยกำชับกำชาแล้ว อรหันต์ ไม่ใช่แค่พอสบาย ไม่ใช่แค่ว่า หมดเดือดร้อน หมดทุกข์เฉยๆ อรหันต์ของพระพุทธเจ้า ต้องถอนอาสวะสิ้น อาสวะจึงเป็นเรื่องลึกซึ้ง ถอนอาสวะ จึงไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน นี้ขอย้ำยืนยัน เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเรานี่ เมื่อเราจะสบาย เป็นลิงนั่งแป้น นั่นแหละ ยิ่งไม่มีหยาบ ไม่มีละเอียดอะไร อีกมากมายด้วยซ้ำ พอทนได้อยู่บ้าง แต่ก็รีบๆกลบเกลื่อน หรือว่าเฉยเมย ก็จริงอยู่ คุณทนได้

แต่ว่าในรายละเอียดมันมีอีก นี่เป็นจุดประเด็น ที่จะกำชับกำชากันในวันนี้ ขอให้ผู้ที่ได้ ที่มีที่เป็น อย่าปล่อยปละละเลย อย่าหลงคนง่าย อย่าหละหลวม ในการที่จะปล่อยทิ้ง แต่มันไม่ได้ทิ้งนะ จิตวิญญาณมันก็มีเชื้ออยู่ ในจิตวิญญาณ มันไม่ใช่เรื่องปล่อยทิ้ง โยนไม่ออกง่ายๆ ตัดไม่ขาด ฆ่าไม่ตายสนิทง่ายๆนะ เพราะฉะนั้น เราจะทำเป็นลืมๆ เลือนๆ เผินๆ ไม่เอาใจใส่ ไม่ทำการ ทำให้มันสนิท จริง มันไม่ใช่สิ่งที่สูญสูงสุด ถ้าสูญสูงสุดนั้น มันต้องสูญอย่างสนิท หมดอาสวะ ดังกล่าวแล้ว

ขอให้พวกเราได้มีสำนึก หรือว่ามีสำเหนียกในเรื่องนี้พอสมควร เราจึงจะได้เป็น ผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์บริบูรณ์จริง การพอทนได้โดยไม่ยาก การมีโลกของเราอาศัยอยู่ การมีระบบ การมีทางที่พอเป็นไป มันพอได้ แต่ในความลึกซึ้งสูงสุด สะอาดอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ เรียบเกลี้ยง ตายสนิท สิ้นอย่างสนิท ถอนอาสวะนี้ จึงไม่ใช่เรื่องตื้นๆ เขินๆ ไม่ว่าจะเป็นกิเลสหยาบ ตั้งแต่อบายมุข ไม่ว่าจะเป็นกิเลสกาม กิเลสลาภยศสรรเสริญ เรายังโกรธ ยังหลงด้วยลาภ ด้วยยศ ด้วยสรรเสริญ เศษโลกียสุข ที่เนียนใน

ต้องพยายามถอดถอน พิจารณาไปทุกเมื่อเชื่อวัน เรารู้แล้วว่า แม้แต่หยาบๆ เราละมาได้ มันยังบริสุทธิ์ ยังสะอาด ยังสบาย พ้นทุกข์ดีถึงปานฉะนี้ ถ้าดับสนิทไปเลย เกลี้ยงเลยไปแล้ว เราก็ยิ่งจะสบาย สมบูรณ์ยิ่งกว่านั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่จะขาดทุนอะไร เป็นเรื่องเจริญ เป็นเรื่องได้กำไร ตามภาษาของชาวธรรมะ มันเป็นกำไรที่แท้จริง ขอให้พวกเราได้สำเหนียก และสังวรระวัง ละ ล้าง สิ่งดังกล่าวนี้ ให้สมบูรณ์เถิดเทอญ.

สาธุ

*****