ธรรมปัจเวกขณ์ (๙๒)
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๕ ณ พุทธสถานสันติอโศก

ขอให้ทุกคนได้ทบทวน อย่าทิ้งอดีต ที่ไม่ให้ทิ้งอดีตนี่ มิได้หมายความว่า ไม่ให้ปลดปล่อย ไม่ให้วาง ให้วางอดีต แต่ว่าจำได้แล้ว เราก็ระลึกทบทวน เพื่อเป็นข้อมูล ในการที่จะเปรียบเทียบให้เห็นว่า ก่อน-กลาง-หลัง นี่พูดเป็นระยะเพียง ๓ ขั้น ที่จริง มันมีมากขั้นกว่านี้ ให้รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ความเป็นของเรา แต่ก่อนเราเคยหลง หลงอย่างไร แต่ก่อนเราจะติด ติดอย่างไร แต่ก่อนเราเคยมีกิเลส เป็นอาการลักษณะอย่างไร ติดยึดแรงเป็นอย่างไร แล้วเมื่อความเข้าใจเปลี่ยน ทิฏฐิหรือปัญญาของเรา ได้เป็นปัญญาใหม่ แล้วจริงๆ มันแตกต่างจากปัญญาเก่าอย่างไร พร้อมกระนั้น เมื่อเราเอง เราเห็นปัญญาเก่า เราเองเราก็ดีใจ ก็นึกว่าเป็นความรู้ เป็นปัญญาที่เราหลงระเริง ดีใจที่เราได้ปลื้มอะไร ตามแบบโลกๆ เมื่อเสร็จแล้ว เราได้ปัญญาใหม่ เราอย่าไปมีจิตอีกตัวหนึ่งว่า... เราเอง เราก็เลยดูถูกดูแคลนปัญญาเก่า ย่ำยีปัญญาเก่า ถ้าเราจะย่ำยีปัญญาเก่าของเราเองนั้น ไม่เสียหาย แต่มันจะติด มันจะพลอยพาทำให้เรา ย่ำยีปัญญาเก่า ที่คนอื่นเขาคิดอย่างเรา อยู่อย่างเก่าๆนั้นด้วย แล้วมันจะกลายเป็นมานะ ตีข่มผู้อื่น อันนี้ต้องให้ระมัดระวัง สภาพซับซ้อนให้มากๆ เราจะเห็นของจริง ความจริงของการเปลี่ยนแปลงพัฒนา ทั้งทางด้านที่เราอยู่กับโลก โลกเก่า โลกใหม่ หรือ สภาพเก่า กับสภาพใหม่ที่เป็น

ถ้าใครระลึกได้มาก ทบทวนได้ละเอียดลออมาก คนนั้นจะมีธรรมะ ที่แปลว่า ชั้นเชิง หรือแปลว่า สภาพหมุนซ้อนเชิงซ้อน จะมีสภาพเชิงซ้อน จะมีสภาพชั้นเชิงที่ลึกซึ้งละเอียด หลายระดับ แล้วเราจะเห็นความวนไปวนมา แต่มันมีชั้นเชิงที่สูงขึ้นๆ มันมีหัวมีท้าย มันเหมือนกลับไปกลับมา แต่มันไม่ใช่อันเดียวกัน มันวนเวียนอย่างนี้แหละโลก แล้วเราก็ศึกษาโลก แล้วเราก็จะรู้ว่า เราปล่อยโลก เราวางโลก เราเหนือโลก เราไม่ได้ติดโลกอย่างนั้นๆ มันหลุดเป็นอย่างไร เราไม่มีคำตอบจากภาษา แต่เราจะมีคำตอบจากสัจธรรม ความจริงที่เรามีเราเป็น เราเห็นโดยตนเอง เป็นปัจจัตตัง ว่ามันเป็นลักษณะ อย่างนั้นอย่างนี้

การระลึกสิ่งเหล่านี้ ถ้าผู้ใดไประลึกเข้าแล้ว แล้วเราเองก็ทนไม่ได้ ระลึกแล้ว เราก็เกิดเป็นกิเลส เราก็อย่าไประลึก เราอย่าเพิ่งระลึก แต่ผู้ใดที่แข็งแรงแล้ว จิตใจกล้าหาญ จิตใจหลุดล่อน จนสามารถระลึกย้อนได้ ก็จงระลึกดู แล้วเราก็จะได้รับความรู้ หรือเกิดปัญญาที่กล่าวนี้ มันจะเป็นปัญญา ขั้นซ้อนที่ ไม่ใช่นั่งตรรก ไม่ใช่นั่งคิดหาเหตุผล ไม่ใช่มีการวิเคราะห์วิจัย เท่านั้น แต่เป็นปัญญาตัวรู้ธาตุรู้ ที่รู้อย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง เพราะมันมีของจริงมาให้เรารู้ ของจริงเหล่านี้ มันเกิดที่ตัวเรา มันเป็นประสบการณ์ของเรา มันเป็นการสัมผัสของเรา เป็นบุพเพนิวาสา เป็นบุพเพนิวาสะ เป็นสิ่งที่เราเคยอยู่ เคยเป็น สิ่งที่เราเคยมีมาเก่าจริงๆ

ใครระลึกย้อนได้ละเอียด ได้มากขึ้น ยิ่งข้ามชาติได้ ซึ่งข้ามชาตินี่ มันไม่แน่ไม่นอน เดากันเป็นส่วนใหญ่ แล้วระลึกเอง ไปในส่วนที่ไม่เข้าท่า แม้จะระลึกโดยการนั่งหลับตา ให้เกิดรูปเกิดรอย เกิดเป็นสภาพรูปสภาพร่าง ขึ้นมาก็ตาม แล้วก็ไปหลงว่า การนั่งหลับตานั้น อันนั้นเป็นการระลึกชาติ ที่เป็นตัวจริง อันนั้นก็ตัวปลอมได้เหมือนกัน สำหรับใครที่ไปปั้นนิมิต ไปปั้นอุปาทานไว้จัด มันก็เกิดรูป เหมือนอย่างความฝัน แต่มันเป็นความฝันที่จงใจ มันเป็นฝันที่มีเจตนา แล้วก็พยายามบังคับ ให้จิตที่มันแข็ง มันแรง มันหนา มันแน่น ก็มันเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้เหมือนกัน เป็นอัตภาพอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การที่จะนั่งหลับตา แล้วบอกว่า ระลึกชาติไปได้นั้น แล้วจะคิดไปว่า อันนั้นๆ เป็นของจริงนั้น เอาจริง ก็ยังไม่ได้แน่นอน เพราะว่า ยังสามารถมีอุปาทานแทรก มีนิมิตลวงแทรก เช่นเดียวกัน

ถ้าเอาให้แน่ๆแล้วก็ ปัจจุบันนี้แหละ ที่ผ่านมาจริง มีของจริง ที่เรายืนยันของเราได้ ไม่มีใครมาเถียงเรา เราไม่ได้เถียงตัวเอง เราไม่ได้เป็นคนหลงเลอะอะไร เรายังจำต่ออดีตของเราได้ ชาตินี้แหละ มากพอ ที่จะมีการเกิดการดับของชีวิต มีประสบการณ์ของชีวิต ที่จะพิสูจน์ ในเรื่องของกิเลสตัณหาอุปาทาน และโลกใหม่โลกเก่า โลกเก่าที่เราเคยหลง โลกใหม่ที่เราหลุดพ้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ ที่เป็นของทันทีทันใด หรือเป็นของที่ใหม่สด ที่ไม่เพี้ยนไม่เบลอ ไม่พร่ามัว แต่เป็นของชัดเจนนั้น ยิ่งมีประโยชน์แก่เรามาก มีคุณค่าแก่เรามาก แต่ถ้าเผื่อว่า เราสามารถระลึกข้ามชาติ ไปได้มากมาย อย่างชัดแจ้งได้จริงๆ เป็นญาณทัสสนวิเศษที่สำคัญ หรือว่าเป็น บุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นอภิญญา ที่ได้อีกจริง ก็เป็นองค์ประกอบ มันรูปรอยที่ไม่ค้านแย้ง แล้วมันจะชัดแจ้ง ต่อเมื่อเรามีมิเตอร์ หรือว่า มีเครื่องวัดของเรา ในปัจจุบัน ที่มันชัดนี่แหละ เอาไปวัดอดีตด้วย แล้วอดีตจะมีเหตุผล ซับซ้อนกัน มายืนยันปัจจุบัน แล้วปัจจุบันส่งผล ไปให้เป็นเครื่องประกอบ ให้เข้าใจอดีต หรือว่า ตัวอดีตนั้น ถูกจริงหรือไม่จริง เป็นการเช็กในตัวไปด้วย เช่นเดียวกัน มันเกื้อกูลกัน แล้วมันให้ผลแก่กันและกัน หรือมันให้เป็นเครื่องช่วยแก่กันและกันด้วย เสมอๆมา

เพราะฉะนั้น เรายังระลึกชาติข้ามชาติไม่ได้ เราก็ระลึกในชาตินี้ ดังที่ได้แนะนำแล้ว แล้วเราจะเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่า เพราะฉะนั้น การที่ใช้คำแต่แรกว่า ไม่ให้ทิ้งอดีต ไปเสียทีเดียวนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้ติดอดีต ไม่ได้หมายความว่า ให้ไปติดอดีต หมายความว่า อดีตนั้น เมื่อถึงคราวที่เราจะระลึก มันจึงเป็นอภิญญาระดับปลาย เราก็จงระลึก แล้วจะเกิดคุณค่าแห่งปัญญา จะเกิดเห็นความสัจจริง ที่ไม่ใช่เดา ไม่ใช่ตรรก ไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นปัญญาอันยิ่ง เป็นปัญญาอันแท้ ที่เราจะเกิดในตัวคนทุกคน พูดอย่างนี้ ก็คงจะเข้าใจ ในวิธีการแล้วทำ แล้วพวกเราก็คงจะรู้ ระลึกรู้ว่า อ๋อ! ตัวปัญญาตัวได้นี้ จะเป็นอย่างไร มันต่างกันกับเหตุผล หรือมันต่างกันกับตรรกวิทยา ที่มันเกิด เพราะเราผกผัน คิดนึก ด้วยเหตุผล ความหมายของมันต่างๆ แต่อันนี้ มันเป็นตัวจริง มันมาเทียบมาเคียงให้เราเห็น ให้เรารู้ว่า เมื่อเราหลุดมา กับยังไม่หลุด ปัจจุบันนี้เราหลุด แต่ก่อนนี้เราไม่หลุด มันเห็นต่างกันเลยว่า ความหลุดคืออะไร มันไม่ใช่คำพูด มันไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาอะไร แต่เรารู้ว่า จิตที่หลุด นั้นเป็นอย่างไร จิตที่หลุดนั้น จึงพูดไม่ได้โดยปาก พูดไม่ได้ด้วยโวหาร พูดไม่ได้ด้วยภาษา หรือแม้แต่ความอ่อนจาง หรือแม้แต่ความเป็นปัญญา ที่เราเข้าใจแต่ก่อนผิด เดี๋ยวนี้เราเข้าใจถูก สัมมาทิฏฐิ และมิจฉาทิฏฐิ ตัวถูกตัวผิด ดังกล่าวนี้ ก็จึงต่างกันอีก ขอให้เราได้พิสูจน์ความจริง ที่ไม่ใช่ตรรก แต่เป็นปัญญารู้ ที่มีของจริง เทียบเคียงอย่างนี้เถิด แล้วคุณจะมั่นใจเอง โดยอาตมาเอง โดยผมไม่จำเป็นต้องบอกเลย ขอให้คุณมั่นใจ ไม่ต้องขอคุณเสียให้ยาก ไล่ให้คุณไม่มั่นใจ คุณก็ยังจะมั่นใจของคุณเองแหละ นี้เป็นเรื่องหนึ่ง ที่จะขอกำชับกำชาพวกเรา ให้ปฏิบัติ เป็นวิธีการที่จะเกิดความมั่นคง หรือเกิดความรู้ ที่เป็นจริงได้.

สาธุ

*****