ธรรมปัจเวกขณ์ (๙๗)
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๒๕

เราได้แนะนำพิจารณาไปพลาง โดยอาศัยคำว่า ปฏิสังขาร หรือว่าพิจารณา การพิจารณาที่เรากำลังกระทำอยู่ ในอิริยาบถนี้ คือพิจารณาบิณฑบาต หรืออาหาร ที่เราจะรับประทาน แต่แล้ว เราก็ได้ศึกษาไป แม้แต่อาหาร เราก็จะได้เรียนรู้ เหลี่ยมคู ของการพิจารณา ว่าเราจะฉันอาหารอย่างไร จึงจะเป็นบุญ จึงจะเป็นกุศล จึงจะได้ประโยชน์ ในการปฏิบัติธรรม ตามมรรคองค์ ๘ คือมีการพิจารณา จริงๆ แล้วเรียนรู้ จริงๆ เตรียมตัว สังวรระวังจริงๆ มีสัมมาวายามะ มีสัมมาสติ ประพฤติปฏิบัติไป ทุกคำฉัน ประพฤติปฏิบัติไป ในทุกอิริยาบถ ละเอียดยิ่งกว่านั้น ประพฤติทุกขณะ

เรายังมีอิริยาบถใหญ่ จะเกิดการสัมผัส อะไรต่ออะไรอยู่ เราก็จะรู้เท่าทัน และพยายามสังวรระวัง ลดละ จางคลาย ปลดปล่อย ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดจริง ไม่ใช่ เวลานี้ เวลาที่ไม่จริง เป็นเวลาจริงที่เราจะได้ทำจริง ได้ทำแบบฝึกหัดจริง ได้ลดละจางคลายลงจริงๆ สังวรเรียนรู้

ความรู้ทางปริยัติใด ที่เราได้ศึกษามา เราก็จะได้เอามาใช้พร้อมกันกับ การปฏิบัติจริง ซึ่งเราจะต้องลดละจางคลาย ตั้งแต่ความนึกคิด ธรรมวิจัย มีสติรู้ สัมผัสมาแล้ว ก็วิจัยกุศลอกุศล ทำในใจอย่างไร ทำอย่างไรกับสิ่งที่มาประกอบ มาประชุม สิ่งที่เป็นวัตถุข้างนอก เมื่อมากระทบสัมผัสแล้ว เราเกิดอาการอย่างไร เราจะทำอย่างไร จะตัดสินอย่างไร จะใช้วิธีการอย่างไร เป็นอิทธิวิธี ที่เราจะได้เกิดบุญ เกิดคุณ เกิดค่า ในการพิจารณา และกระทำ

การที่จะทำท่าที รูปแบบ ก็เพื่อเตือนให้เรารู้ว่า บัดนี้ เรากำลังจะเข้าสงคราม เรากำลังจะต่อสู้ เรากำลังจะปฏิบัติประพฤติ แม้แต่ผู้ใด จะลดละจางคลายได้ ไปมากแล้ว ยังเหลือเศษเหลือเลยอะไรอยู่ ก็ไม่พึงประมาท ควรจะทำการสังวรระวัง พยายามที่จะกระทำให้ลึกซึ้งละเอียดไป ถึงรูปราคะ อรูปราคะ หรือ เศษส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่เราควรจะพึงเป็นพึงไป มันเกิดความแยบคาย เกิดความละเอียดจริง ของการอบรมตนอย่างสูง เราก็จะพึงกระทำอย่างจริง แม้กระนั้นก็ตาม เราได้ศึกษาส่วนตรง ของการบิณฑบาต หรือว่า พิจารณาอาหารแล้ว เราก็ยังมีเวลาอื่นอีก ที่มากมาย เราก็ได้ชักชวนแนะนำ เพื่อที่จะให้พิจารณา ในเรื่องอื่นๆอีก เชิงชั้นอื่นๆ อันมากหลาย เป็นประโยชน์ในการศึกษา จนเราเอง ผู้ที่เข้าใจในเรื่องของ ยิตถัง หุตตัง อะไรต่างๆนานา ที่เราจะต้องใช้เป็นองค์ประกอบ เป็นระเบียบแบบแผน ประเพณี เพื่อที่จะกระทำ ให้มันสมบูรณ์

แม้กระทั่ง เราจะมีรูปแบบอะไร เพิ่มเติมขึ้น ในการที่ได้รวมกลุ่มกัน ปฏิบัติประพฤติ มันเกิดมี เป็นระเบียบเรียบร้อย ถึงเวลาลงฉัน ถ้าใครไม่ติดธุระ ไม่ติดความจำเป็นอะไร ก็ลงฉันพรั่งพร้อม เป็นสามัคคีธรรม เป็นพลัง อย่างน้อยก็เป็นบุญ ที่ได้สนับสนุน ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นกฎเป็นหลัก เป็นจารีต เป็นประเพณี ได้ เป็นผู้ไม่คัดค้าน ไม่กระทำให้ดูแตก ไม่กระทำให้ดูกระเด็นกระเซ็น แต่เรียบร้อยลงกัน พรั่งพร้อม เป็นสามัคคี สามัคคีนี้ เป็นพลังที่เราได้อาศัย ในการพัฒนา ในการกระทำงาน ในด้านศาสนามานี้ ก็เพราะพลังสามัคคี

สามัคคีที่เกิดจากปัญญาของเรา และเราก็ทำได้ เพราะจิตใจของเรา มันไม่มีตัวเลว หรือตัวค้านตัวแย้ง ตัวที่เป็นมานะ หรือตัวที่เป็นตัวกระด้าง ขวาง มันไม่มี มันเข้าใจ แม้มันจะมี ถ้าเราเข้าใจด้วยปัญญาแล้ว เราก็ต้องพยายามกระทำตนเอง ให้ปล่อยวาง ให้เป็นไป เพราะว่าหมู่กลุ่ม ย่อมมีกฎมีระเบียบ มีหลัก มีการกระทำเหมือนกัน พรั่งพร้อมกันฉัน พรั่งพร้อมกันประชุม พรั่งพร้อมกันลง พรั่งพร้อมกันเลิก พรั่งพร้อมกันกระทำ ต่างๆนานา พวกนี้เป็นความไม่เสื่อมเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ใดเข้าใจ ผู้นั้นก็อนุเคราะห์เกื้อกูล กระทำสิ่งที่มันเป็น พลังสามัคคีเสมอ

โลกที่มีความสามัคคี พรั่งพร้อมอย่างไร ต้องขัดข้อง แต่มีจิตใจอันดี อย่าว่าแต่เป็นพลังสามัคคี ทางด้านกุศลเลย พลังสามัคคีทางด้านอกุศล ยังสามารถทำลายล้าง อะไรได้ด้วยเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ป่วยการกล่าวไปใยว่า ถ้าเป็นพลัง และยังเป็นกุศลด้วยซ้ำ มันจะมีความดีงาม ยิ่งกว่านั้นอีก เท่าใดๆ น่ะ

เมื่อพวกเราได้พยายามเรียนรู้ ได้พยายามสังเกต จะเห็นว่า แม้แต่เรามานั่งเรียงกันเป็นแถว ทำการรับประทานอาหาร อย่างมีระเบียบเรียบร้อยอย่างนี้ เป็นของแปลก เป็นประสิทธิภาพ เราได้ไปแสดงกัน ถึงขั้นถึงขนาดว่า ที่สวนลุมฯ มีคนตั้งหลายร้อย จะเป็นพัน แล้วเราก็ได้จัดแจงสิ่งเหล่านี้ขึ้น เราเห็นได้เลยว่า เราเองลดความฟุ่มเฟือยลง ประหยัด ถ้าต่างคนต่างตัก เมื่อวานนี้ อาหารไม่พอ แต่เมื่อวานนี้ ได้จัดระเบียบอย่างนั้น อาหารพอ และเหลือด้วยซ้ำ และทุกคนก็ได้อาศัยเป็นไป พอประมาณ มันเกิดระเบียบ มันเกิดความเป็นไปอย่างดี อย่างงาม อย่างลงร่องลงตัวลงช่อง เป็นของดี ขอให้พวกเรา ได้สำนึกถึงพลังสามัคคีที่ก่อสุข ก่อความสำเร็จ ก่อพลัง ให้สำคัญให้มาก และเราก็พยายามช่วยกันสร้างสรร สิ่งที่เป็นพลัง แล้วจะก่อความสุข ความสุขที่ว่านี้ เป็นความสุขที่เป็นไปเพื่อสันติ ไม่ใช่ความสุขเสพย์สม แต่เราต้องลด ต้องทน สำหรับคนที่ยังมีกิเลสเหลือ คนที่ไม่มีกิเลสแล้ว มันเป็นสุขสงบ สบาย เรียบร้อย ง่าย เป็นไปด้วยดี ถ้าเผื่อว่าหมู่เขาเป็นไปอย่างนี้ ทุกอย่าง มันก็ยิ่งเป็นพลัง มันเป็นฤทธิ์เป็นแรง อย่างแน่แท้

ถ้าต่างคน ต่างก็เอาตามใจตัวแล้ว ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็แตก และ ความพร้อมเพรียงนี้ ในสำนึกของมนุษย์ อนุโมทนา เพราะคนทุกคนชอบสามัคคี คนไม่อยากจะให้ทะเลาะกันหรอก คนที่มีจิตวิปลาสเท่านั้น ที่จะให้ทะเลาะแตกแยก หรือว่า ค้านแย้งกัน ส่วนคนที่เป็นคนสามัญ เป็นคนที่มีธรรมในใจแล้ว ก็จะต้องชอบความสงบเรียบร้อย สอดคล้อง เบิกบานแจ่มใส สอดคล้องกันอย่างดี นี่เป็นเรื่องที่เป็น สามัญสำนึกของมนุษย์

เพราะฉะนั้น เขามาเป็นชาวอโศก เห็นพระท่านกราบ ก็พรั่งพร้อมกัน เห็นฆราวาสกราบ ก็พรั่งพร้อมกัน เป็นหมวดหมู่ ทำได้มากคน ยิ่งมากยิ่งมีน้ำหนัก น่าทึ่ง มันไม่ใช่ว่า เราทำความน่าทึ่ง ไปอวดอ้างเขา แต่ว่ามันเป็นน้ำหนักของสัจธรรม ที่แท้จริงว่า ความพร้อมเพรียงของชนผู้เป็นหมู่ ไม่ว่า จะพร้อมเพรียงกันทำ แล้วยิ่งการกระทำอันนี้ เป็นสิ่งที่น่าเลื่อมใส เป็นความพรั่งพร้อม ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วก็เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา เพราะว่ามันเป็นกรรมดี เป็นกุศลกรรม มันก็ยิ่งมีน้ำหนัก อย่างสูง

ขอให้พวกเรา ได้พิจารณาให้ลึกซึ้ง ไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง ในกรรมกิริยา ในการกระทำ ในสิ่งที่กำลังก่อเกิดกันอยู่ ทุกวันนี้

สำหรับผู้ใด ไม่เข้าใจ ในแง่เชิงประเด็นอย่างนี้ ก็ขอให้ทำความเข้าใจให้ดีๆ แล้วก็ช่วยกันสร้างพลังสามัคคี เพื่อความสำเร็จ อันที่เราได้แน่ใจแล้วว่า เรากำลังจะไปสู่เป้าหมายที่ดีนั้น เราจะได้สร้างความสำเร็จนั้น ให้แก่ประชาชน มวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะได้มากเท่าใดๆ เราก็ทำให้ดีที่สุด ที่เราจะทำได้ คิดว่าทุกๆคน คงจะเห็นพ้อง และสำรวมสังวร ตั้งใจทำกิจอันนี้ ให้เจริญรุ่งเรืองไปได้ด้วย จนกว่า จะสิ้นชีวิตของเรา ทุกคน

สาธุ

*****