ธรรมวันวิสาขบูชา
โดย สมณะโพธิรักขิโต
เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๒๐
ณ สันติอโศก


วันนี้เป็นวันสำคัญ วันวิสาขบูชา ซึ่งในเมืองไทยเรา พุทธศาสนิกชนด้วยกันรู้ดีว่า เป็นวันซึ่งเราถือว่า เป็นวันสำคัญ ก็เพราะว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ก็มีเลขหมายว่า เป็นวันเพ็ญเดือน ๖ แม้วันท่านตรัสรู้ ก็วันเพ็ญเดือน ๖ และแม้ที่สุด ท่านปรินิพพาน ก็วันเพ็ญเดือน ๖ นี่ มาตรงกันวันนี้ ซึ่งเป็นมหาฤกษ์ ที่เป็นฤกษ์น่าคิด และยิ่งใครคิด ยิ่งคิดยิ่งเห็นยิ่งลึก ว่ามันเป็นวันเดียวกันนี่ ประหลาด และมันก็ประหลาดจริงๆ ด้วย มันตรงกัน วันเดียวกันได้อย่างไร และในวันที่ตรงกัน วันเดียวกันนี่แหละ ยิ่งพิจารณา ยิ่งไตร่ตรอง ยิ่งอ่านเข้าไปจนเห็น ลึกซึ้งเข้าไปชัดอีกว่า การเกิดก็ดี หรือว่าการประสูติของพระพุทธเจ้านะ พุทธะเกิดนี่ หรือการเกิดจิตวิญญาณ เกิดการตรัสรู้ จิตวิญญาณ เกิดการมีปัญญาญาณ อย่างชาญฉลาดที่รู้ในธรรมะ รู้ในความหลุดพ้น รู้ในสภาพวิมุติ หรือรู้ในสภาพนิพพาน การเกิดสภาพวิมุติ หรือนิพพาน ท่านถือว่า จิตมีการเปลี่ยนแปลงไป มีอาการดับสนิทไป มีอาการตัดขาดไป จิตส่วนที่มันชั่ว จิตส่วนที่มันไปยึดถือ จิตที่มันไปติดไปเสพ มีอาการที่จะต้อง เป็นแบบคนโลกๆ จิตตัวนี้มันขาด จิตตัวนี้มันหลุด จิตตัวนี้มันดับสนิท จิตตัวนี้มันไม่เกิดอีก หรือเรียกเป็นภาษาง่ายๆว่า จิตชั่วตัวนี้มันตาย

ฟังดีๆ จิตชั่วตัวนี้มันตาย ก็เลยเหมือนกับความหมายว่า ปรินิพพาน หรือนิพพาน คือมันมีตัวหนึ่งตาย แล้วจิตของเรานี่ เกิดเป็นบุคคลใหม่ จิตของเราสะอาดขึ้น จิตของเรามีความรู้ เรียกว่าตรัสรู้ จิตของเราเห็นชัดเจนว่า โอ๊! จิตมันว่างมันปล่อยมันขาด มันวิมุติ มันหลุดพ้นจากสิ่งชั่วสิ่งเลว จากอาการจิต ที่เป็นโลภะโมหะโทสะ ด้วยเหตุอย่างนี้ ด้วยปัจจัยอย่างนี้ ที่มันเป็นจิตประเสริฐ จิตตัวนั้นเกิดใหม่ จิตตัวที่มันขาด ขาดจากไอ้นั่น มันเป็นจิตสะอาดขึ้นมาตัวใหม่ และความเก่าที่เคยติด ความเก่าที่เป็นเชื้อสกปรก เป็นเชื้อที่มีความชั่ว มันดับสนิท ศาสนาพุทธนี้ อ่านชัดถึงจิต และมันดับสนิท มันไม่เวียนมาอีก มันรู้ด้วยปัญญาอันสูง ที่เรียกว่า อลมริยญาณทัสนวิเสโส ภาษาบาลี เรียกว่าอย่างนั้น เรียกว่า อลมริยญาณทัสนวิเสโส คือญาณทัสนอันวิเศษ เป็นชั้นปัญญา ที่มันแทงทะลุรอบ มันรู้แน่ๆในตัวเอง มันรู้มั่นใจในตัวเอง มันเห็นชัดในตัวเอง มันเห็นว่า เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยว จิตของเราไม่ต้องไปคลุกคลีอย่างนั้น ไม่ต้องไปดูดซึม ไม่ต้องไปเกี่ยวข้อง มันหมดความแสวงหา อย่างนี้จริงๆ ใจมันหมดอาลัยอาวรณ์ มันหมดอารมณ์ ที่จะเป็นสุขเป็นทุกข์

ยกตัวอย่างให้ฟัง ถ้าไม่ยกตัวอย่างแล้วไม่ได้ ต้องยกตัวอย่างเหตุประกอบ เช่น จิตของเรามันยังติด ในสิ่งบางสิ่ง เอาหยาบๆนะ เอาเรื่องหยาบๆต่ำๆ จะได้เห็นชัด เช่น จิตของเราบางคนไปติดเหล้า อย่างนี้นะ นึกว่าไปกินเหล้าแล้วมันอร่อย มันเป็นรสชาติสุข ถ้าเราไปเสพเข้าแล้ว มันสุขสบาย ถ้ามันอยากขึ้นมา ไม่ได้เสพแล้วทุกข์ นี่เราเป็นสุข เป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ พอจิตของเราอ่านชัด ด้วยปัญญาอันแจ้ง เห็นโทษเห็นภัยชัดเจน เอ๊! จิตของเรานี่มันยังโง่ มันอวิชชา มันไปหลงทำไม คนเขาไม่ติดก็มีเยอะแยะไป คนเขาไม่หลงก็มีเยอะไป คนเขาไม่ต้องไปทุกข์ ไปสุข เพราะเหล้า เหตุปัจจัยแค่เหล้านี่ เราเองไปติดอยู่ทำไม พิจารณาจนออกเห็นแจ้ง แล้วมันจะแทงตลอดว่า อ๋อ! เรานี่อวิชชาจริงหนอ เรานี่โง่จริงหนอ เรานี่ช่างหลงใหลจริงหนอ ไปหลงว่า มันเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ได้ ทั้งๆที่คนอื่น เขาไม่เห็นสุขเห็นทุกข์ด้วยเลย เอาเหล้ามากินเขาก็กินได้ แต่เขาไม่สุขไม่ทุกข์จริงๆ และไม่จำเป็นเขาก็ไม่กินด้วย ถ้าจำเป็น เขาเอาเหล้ามากิน ผสมยาไปผสมอะไรไป เขาก็กิน ถ้าไม่ต้องผสมยาแล้ว เป็นเหล้าจริงๆแล้ว ก็มันมีธาตุที่จะต้อง ไปทำปฏิกิริยากับเซลล์ แล้วอะไรต่ออะไรเสียหายอีก ก็ไม่เห็นต้องกินให้มันเสียเวลา เสียของทำไม กินแล้วเสื่อมด้วย อย่างนี้เป็นต้น มันเห็นชัดแจ้ง จิตนั้นเป็นญาณทัศนวิเศษ มันแน่ใจที่สุดเลย มันก็วางปล่อยเลย อ๋อ! ต่อไปนี้ ฉันจะไม่เป็นทาสเหล้า มันเป็นความหลงชนิดหนึ่ง ที่เราไปหลงว่า มันได้กินแล้วมันอร่อย มันได้กินแล้วมันเป็นสุข พอกินแล้วเสพติดอย่างหนึ่ง จิตมันจะถูก ปฏิกิริยาอย่างหนึ่ง เปลี่ยนแปรไป มีอารมณ์รำเรืองยังไง ไม่รู้แหละ อย่างที่กินเหล้าไป มีอารมณ์อย่างนั้น และก็ไปยึดถือว่า อันนั้นเป็นวิมาน เป็นอารมณ์ที่น่าเสพน่ามีน่าเป็น แล้วคนนั้นก็ไปทำตนเอง มีอารมณ์อย่างนั้น นี่มันเป็นทั้งภวตัณหา ทั้งกามตัณหา อย่างนั้น จะต้องเอามาแตะที่รสลิ้น และกินไปแล้ว จะต้องมีอารมณ์ อย่างนั้นอยู่ในใจ มีทั้งภวตัณหา กามตัณหา 

ถ้าผู้ใดอ่านออกชัดแล้วว่า โถ! อย่างนี้เราไม่ต้องอยากอีก ไม่ต้องไปแลกเหนื่อย ไม่ต้องไปเสียเงิน ไม่ต้องไปลงทุน ไม่ต้องไปลงแรง ไม่ต้องไปแสวงหาอีก ไม่ต้องไปเหน็ดเหนื่อย แม้แต่ใจจะอยาก ไม่ต้องอยากก็ได้ จิตอันนี้มันจะเห็นจริง เป็นจริงในจิต พอจิตเห็นอย่างนี้ปั๊บ มันปล่อยคลายเลย อันนี้เราวิมุติ สบายเลย ทีนี้เห็นเหล้าอีกก็เฉย คุณเฉย เคยเฉยกับสิ่งใดก็ตาม คุณไม่เคยสูบฝิ่น คุณเห็นฝิ่นแล้วก็เฉย นั่นแหละจิตว่าง จิตเฉย เพราะหลุดเหล้าแล้ว คุณก็จิตเฉยแบบนี้ เหมือนกับ คุณติดอย่างอื่น ติดบุหรี่ ติดหมากพลู ติดขนม ติดรูป ติดรส ติดกลิ่น ติดเสียง นึกว่าได้รูปอย่างนี้ มันสมใจว่า แหม มันเพลิดเพลิน อร่อย เป็นความสุข เสพติดอันนี้ขึ้นมา ได้รสอย่างนี้มากิน แตะลิ้นแล้ว แหม มันอร่อย ถ้าไม่ได้แล้วละก็ ถ้าหิวโหยขึ้นมา หรือถ้าไปนึกถึงขึ้นมา ต้องอยาก ต้องไปแสวงหา อย่างนี้เป็นกิเลส เป็นตัณหาอยู่นั่นแหละ พอได้อร่อยแล้ว ก็เสพสุขเวทนา ถ้าไม่ได้แล้วก็ทุกข์ นี้มันติดอย่างนี้ ติดอร่อย ตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่ติดอบายมุขอย่างนี้ และคุณทำให้ตรัสรู้ให้ได้ พอตรัสรู้ จิตมันรู้แจ้ง มันก็วางจริง การติดนั้นตาย ไม่ติดอีกแล้ว จิตที่เห็นชัดนั้นเกิดใหม่ ฟังดีๆนะ ฟังความเกิด ตรัสรู้ นิพพาน จะเป็นตัวเดียวกัน นี่เป็นเรื่องของจิต ส่วนกำหนดวันว่า วันประสูติ เนื้อหนังพระพุทธเจ้านั้น ก็วันหนึ่งนะวันเกิด พออายุ ๓๕ พรรษา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เมื่ออายุ ๓๕ และในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ในวันนั้นท่านก็ตรัสรู้ ส่วนท่านจะปรินิพพาน ตอนที่จะสิ้นอายุดับขันธ์ ไปในวันเพ็ญเดือน ๖ เหมือนกัน ท่านก็ตาย นั่นก็หมายความเอา กำหนดวันของวัตถุรูป หรือของร่างกาย รูปขันธ์นี้ นั่นก็อย่างหนึ่ง ส่วนในธรรม ธรรมในธรรม ธรรมะของธรรมะ เราก็รวมกันมาซะว่า เป็นอาการเกิด อาการตรัสรู้ อาการตาย นี่ เป็นอันเดียวกัน จนท่านพุทธทาส เอามาบรรยายว่า เอ๊ย ไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าเกิดวันนั้น แล้วก็มาตรัสรู้วันนี้ แล้วก็ไปตายเอาวันโน้น เป็นวันเดียวกัน ไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะ แต่อาตมาเชื่อ อาตมาไม่มีปัญหา อาตมาเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ อาตมาไม่มีปัญหา เรื่องนั้น 

สำหรับวันนี้ เขาก็กำหนด ไม่เป็นไร เพราะเรื่องที่มันเหลือเชื่อ ที่มันพิสดาร มันมีเยอะในโลก เราไม่มีปัญหา เขาจะเกิดวันนี้ตรงกัน ตายวันนี้ตรงกัน ตรัสรู้วันนี้ตรงกัน ก็ไม่มีปัญหาอะไร ดีเสียอีก เราก็เอาวันนี้ มาเป็นฤกษ์ วันนี้เป็นวันสำคัญ มีมหาบุรุษคนหนึ่ง เกิดวันนี้ ตรัสรู้วันนี้ และก็ สิ้นชีพดับขันธ์วันนี้ เป็นมหาฤกษ์ เราก็ยึดไปเป็นประโยชน์เสีย เอ้า นี่แหละ เราเอามายึดเป็นประโยชน์ ศาสนาพุทธ จะต้องรู้จักสิ่งที่ควรยึด อะไรที่ควรยึด ยึดให้เป็นประโยชน์ นี่เราเอามายึดวัน กำหนดกัน วันกำหนดว่า มาทำบุญร่วมกัน มาทำกิจกรรม ที่จะให้มากที่สุด จะให้มาเป็นประโยชน์ในทางธรรม ร่วมกันให้ได้ เราก็เอา ทีนี้เราก็มาพิจารณาจิต ทีนี้จะเอาเกิด ตรัสรู้ นิพพาน นี้เป็นธรรมะ ทีนี้ไม่ใช่วัตถุแล้ว ไม่ใช่รูปแบบ ไม่ใช่วันเวลา ไม่ใช่เนื้อหนังมังสา แต่เป็นเรื่องของจิต จิตเลวดับไป ตายไป จิตดีเกิดขึ้นแทน จิตเราเองไม่ไปไหน จิตของเราเองนี่แหละ ในแท่งนี้ จิตวิญญาณ ในรูปร่างแท่งเก่านี่ เราชื่ออะไร ก็จิตดวงเก่า มันเกิดจิตตรัสรู้ขึ้นมา มันเกิดจิตที่เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ อย่างแน่ใจมั่นใจ เราไม่เอาอีกแล้ว

ถ้าใครมาวันนี้ มางานวิสาขมหาฤกษ์วันนี้ ณ สันติอโศกที่นี่ ตรวจตัวเองดู แล้วพิจารณา สิ่งที่ตัวเองติดอันใด เสียเลย ดูนิทรรศการวันนี้ อาตมาเป็นคนแสดงนรก ๖ ขุมนะ แสดงนรก นรกเป็นอย่างไร ไปดูสิ มีภาพ มีตัวหนังสือเขียนบอก แสดงศีล ๕ ให้รู้ว่าศีล ๕ หมายอย่างไร ศีล ๕ ไม่ใช่รับมาถือ ไปรับ มยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะ นัตถายะ แล้วพระก็ ปาณาติปาตา แล้วก็ท่องไป แล้วไม่รู้เรื่อง มีความหมายลึกกว่านั้นอีกไหม จะเอาไปประพฤติปฏิบัติได้อย่างไร เราจะพิจารณา จิตของเรา ในศีล ๕ นี่ ศีลข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ข้อ ๔ ข้อ ๕ หมายเอาอย่างไร ถ้าเราประพฤติแล้ว เราจะได้ธรรมะ แล้วจิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เดี๋ยวรับประทาน อาหารเสร็จแล้ว ไปดูกัน ตอนนี้ต้องขออภัย เพราะต้องนั่งอุดกันหน่อย ตอนนี้ ที่ของเรามีเท่านี้ บารมีของอาตมาได้เท่านี้ ได้กว้างแค่นี้ ก็เอากันแค่นี้ เพราะฉะนั้น งานมันอึดอัดกันไปหน่อย ก็ทนเอาหน่อยเถอะ ที่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราค่อยขยับขยายที่กัน

ทีนี้อาตมาก็ขอวกมาพิจารณาต่อที่จิต เมื่อจิตของเรารู้ คำว่าตรัสรู้ รู้คำว่าเกิด หมายเอาจิตเกิดนะ ไม่ได้หมายเอา การเกิดของกายรูปขันธ์ หมายเอาจิตเกิด เกิดจริงๆ เกิดใหม่ สำรอกเลย จนเปลี่ยนเป็นจิตดวงใหม่ เกิดเป็นจิต เราไม่เอาอีกแล้ว เรื่องไปติดไปยึดอย่างเก่า กิเลส ตัณหา ตายไปจริงๆนะ ที่อาตมายกตัวอย่างอย่างนี้ ยกตัวอย่างอย่างง่าย คุณติดการพนัน เห็นชัดเลยว่า เป็นโทษเป็นภัย ถ้าชีวิตไปพัวพันอยู่อย่างนี้ มีกิเลสหยาบ ไปเกิดรสอร่อยอยู่ ไปเล่นการพนัน แล้วเกิดรสอร่อย นึกว่าเป็นสุขเวทนา เลิกสุขเวทนาจริงๆ จิตไม่มีรสชาดต่อสิ่งนี้ จิตว่าง สบาย เบา ไม่ติดอีก เห็นการพนันก็เฉย นี่เรียกว่า เราบรรลุแล้ว บรรลุธรรม เราติดการพนัน เห็นการพนันอีก ยืนเฉย ถ้าจิตยังมีอารมณ์อยู่บ้าง ยังมีใจอยู่นิดๆ เรียกว่า อนาคามีจิต คือจิตมันยังมีรำเรืองๆ อุทธัจจะ มีการฟุ้ง มีการสะดุด ยังมีนิดๆ อย่างรู้สึกหน่อยๆ แต่ก็ไม่แรงพอ ที่จะให้เรากระโดด ไปในบ่อนการพนันได้ อย่างนี้เรียกว่า อนาคามีจิต

ถ้าจิตยัง พอไปเจอะอีกทีหนึ่ง แหม ห้ามใจไม่ได้ ลองไปครั้งสุดท้าย อีกทีเถอะน่า กระโดดเข้าไปลอง อีกทีหนึ่ง เสร็จแล้ว ก็รู้แล้ว ปัดโธ่ รสแค่นี้ เราไม่เอาอีกแล้ว ก็ดึงกลับ อย่างนี้เรียก สกิทาคามีจิต จิตเป็นสกิทาคามี ฟังดีๆนะ อาตมาอธิบายเรื่องจิตให้ฟังนะ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลนะ จิตกระโดดกลับไป อีกทีหนึ่ง เรียกว่า สกิทาคามีจิต แล้วก็เวียนกลับ ไปอีกชาติหนึ่ง อีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้ว ก็เข็ดหลาบมาได้ ไม่เอาอีกแล้ว โอ้ย! อร่อยแค่นี้ ติดแค่นี้เองเนาะ ไม่ต้องแล้ว ตะนี้ไม่เอา จนสุดท้าย ก็หลุดพ้นอีก นั่นเรียกว่า สกิทาคามีจิต

ถ้าจิตยังจะต้องไปทดลองอีกถึง ๗ ครั้ง เป็นอย่างมาก แล้วก็หลุดพ้น จิตอย่างนั้นเรียกว่า จิตโสดาบัน แต่ถ้าจิตที่เลยกว่านั้นไปแล้ว กระโดดเลยไปอีก ๗ เที่ยว ก็ยังไม่รู้หลุด ๑๐ เที่ยวก็ยังไม่รู้หลุด ๑๐๐ เที่ยวไม่รู้หลุด นั่นจิตธรรมดา หรือว่าจิตปุถุชน มันกระโดดอยู่แล้วอยู่เล่า แม้จะรู้ว่าไอ้นั่นชั่ว แต่ก็ยังทนไม่ได้ กระโดดอยู่นั่น มันก็เป็นปุถุชนอยู่นั่นแหละ ไม่ได้มาเป็นพระอะไรหรอก

ถ้าผู้ใดไม่ต้องกระโดดอีกเลย บรรลุแล้ว ในเหตุปัจจัยด้วยทีนี้ เหตุปัจจัยต่ำ นี่อาตมาพูดแล้วว่า อบายมุข การพนันอย่างนี้ ต่ำๆอย่างนี้ คุณยังไม่มีปัญญารู้ ยังเห็นไม่ได้ว่าของต่ำ จิตก็ไม่ขาดมาเลย ก็ไม่รู้ว่าอย่างไร เพราะฉะนั้น เราจะเป็นพระอริยะขั้นต้น ก็ต้องเหตุปัจจัยต่ำๆ อย่างนี้ หยุดมาให้ได้เลย หยุดมาให้ได้เดี๋ยวนี้ ไป กลับไปบ้าน หรือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป วินาทีนี้ที่เข้าเป็นต้นไป การพนันนี้ไม่ต้อง ไม่ต้องไปพึ่ง ว่าจะต้องมีรายได้จากการพนัน จะต้องมียศมีเกียรติ เพราะการพนัน จะต้องมีความสุข เพราะการพนัน ได้รับการสรรเสริญ เพราะการพนัน อย่าเลย เลิกเสียเถอะ หรือแม้แต่สิ่งเสพติดที่หยาบๆ ฝิ่น เฮโรอีน เหล้า ยาอะไรต่างๆ ถ้าของผู้หญิง เรื่องการแต่งตัวที่จัดจ้าน เห็นไม่ได้ เรื่องแต่งตัว ละขึ้นหน้าเลย เสร็จแล้ว เปลืองยิ่งกว่าผู้ชายเขากินเหล้า เปลืองกว่าเขาหมดเลย อะไรมาใหม่ อะไรแพงไม่ว่า อดไม่ว่า หิวไม่ว่า มีเงินเท่าไร ก็ไปเสียให้มัน เพราะเขาหลอกนี่คุณ ห้ามเขาได้หรือ ในโลกนี้ ร้านแฟชั่น ร้านอะไร propaganda โฆษณาวิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ โฆษณาทุกทาง ที่จะให้โฆษณาได้ มันทำทุกอย่าง เพื่อหลอก เพื่อมอมเมาเรา

ถ้าเราเอง เราไม่มีปัญญา เราก็แพ้ เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นราคะ ติดในการแต่งตัว อาตมาถือการแต่งตัวของผู้หญิงนี้ เป็นการเสพติด อย่างหนักอันหนึ่ง เพราะฉะนั้น เรารู้การแต่งตัว พอเหมาะพอสม ไม่ต้องไปมาก ไปจัดไปจ้าน อันนี้ถือว่า ลดลงมาได้แล้วนะ พอประมาณอยู่ นี่เรื่องสิ่งเสพติด เรื่องราคะ ก็เป็นผัวเดียวเมียเดียวก็พอ ถ้าราคะจัดกว่านั้นถือว่า ไม่นับว่าเป็นมนุษย์อริยะ ถือว่ามนุษย์ยังหนาแน่นด้วยกิเลส เรียกว่าปุถุ ปุถุนี่แปลว่า หนาทึบ ยังหนาเตอะด้วยกิเลสอยู่ เรียกว่าปุถุชน ชนที่ยังหนาด้วยกิเลส ถ้าผู้ใดเป็นอริยะแล้ว ราคะก็ขนาดผัวเดียวเมียเดียว นี้ก็แสนทุกข์แล้ว อาตมากล่าวอย่างนี้นี่ ไม่ใช่ดูถูก มันทุกข์จริงๆ แต่พวกคุณนี่ เห็นทุกข์เฉยๆนะ เพราะฉะนั้น แนวโน้มของศาสนาพุทธ จึงออกมา แม้มีผัวเดียวเมียเดียว ทนไม่ได้ กิเลสตัณหาอะไรยังมาก ท่านก็อนุโลมให้ เอ้า! ผัวเดียวเมียเดียว ถ้าเราลดละได้ ผัวเดียวเมียเดียว ก็หน่ายคลายลงมา จนกระทั่ง ลดละ มาเป็นศีล ๘ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน ไม่ต้องยุ่งกันได้ เราก็อยู่ได้ทนได้ แม้จะมีอารมณ์ เราก็พยายามผ่อนปรน บ่ายเบี่ยงไปเป็น การออกกำลังกาย ไปทำงานอื่น เป็นการทำประโยชน์อื่น มันก็ลดหย่อนลงมา อารมณ์ลดลง จนกระทั่งเข้าใจได้ว่า มันไม่มีอารมณ์หรอก แม้แต่ผู้หญิงผู้ชาย ก็ไม่มีอารมณ์อะไร มันเหมือนต้นไม้ เกสรดอกไม้ ตัวผู้ตัวเมียมาผสมพันธุ์กัน มันก็เป็นอย่างนั้น มันไม่มีอารมณ์หรอก แต่เราสิโง่ ไปถูกเขาหลอก ไปสัมผัสเสียดสี แล้วก็มีรสชาติ เราโง่ อาตมาใช้คำว่าโง่ อันนี้คืออวิชชา มันโง่จริงๆ เป็นอวิชชา

ถ้าใครเห็นชัดเป็น อลมริยญาณทัศนวิเสโส มีปัญญาตรัสรู้ตัวนั้น ขึ้นมาจริงๆแล้ว มันเห็นจริงๆเลยว่า ปัดโธ่ ! โง่ เราไปถูกเขาหลอก จนกระทั่งว่ามีรส มันเป็นการสัมผัสเสียดสีธรรมดา มันไม่มีรสมีชาติอะไร มันสัมผัส ก็รู้ว่ามันสัมผัส มันสัมผัสกันนานก็ร้อน ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก แต่คนไม่รู้อย่างนี้ คนที่ยังไม่เกิดปัญญาเป็น อลมริยญาณทัศนวิเศษ อย่างนี้ จึงไปหลงเป็นรสชาติ ถ้าใครละกิเลสอันนี้ ออกมาได้ พิจารณาเห็นจริง ตัดออกมาได้ สบาย ลอยลำ ไม่ต้องแต่งงาน แต่เป็นคนที่มี อิสระมาก มีเสรีภาพอย่างมาก สามารถที่จะทำงานได้รอบตัว ช่วยเหลือเฟือฟายมนุษย์ มวลมนุษยชาติได้อย่างมาก ไม่ต้องมีภาระ ประเดี๋ยวจะต้องมีลูกมีหลาน มีอะไรจะต้องไปกังวล เป็นภาระอีกมาก ไม่ต้องมี ช่วยเหลือโลกได้อย่างดี นี่อย่างนี้เป็นต้นนะ

ถ้าผู้ใดพิจารณาไป จนกระทั่ง นี่อาตมาอธิบายราคะ มากไปหน่อยหนึ่ง ถ้าโสดาบันแล้วก็ ผัวเดียวเมียเดียวก็พอ โสดาบันนะ นี้เหตุปัจจัย ของโสดาบัน และก็เรื่องอื่นอีก เรื่องของมหรสพ การละเล่น เดี๋ยวนี้มอมเมากันเยอะ ยิ่งขณะนี้ ข่าวยิ่งออกไม่กี่วันนี่ หนังสือพิมพ์ก็ออกข่าวว่า ทางด้านอเมริกายอมรับแล้วว่า รายการโทรทัศน์ มอมเมาให้เด็กเสียคน เกิดจิตอำมหิต เสียสุขภาพ เสียสุขภาพทางจิต ทางกายนะ เสียหายหลายอย่าง ต้องไปให้ศาสตราจารย์ ทางอเมริกามาพูด ถึงค่อยเชื่อ ศาสนาพุทธ พูดจนปากจะฉีก ไม่ได้ยิน ไม่ฟัง ทางด้านอธิบาย อย่างกะอะไรดี โดยเฉพาะพวกเราอโศกนี่ อธิบายไปทางสื่อสารใดๆ ออกอากาศ บอกทางปาก ออกทางหนังสือ แจกจ่ายไป อ่านก็อ่าน แต่ไม่เชื่อ นี่เรียกว่า เรายังไม่เคารพปัญญา ยังไม่เชื่อ ในภูมิของพุทธศาสนา แต่ถือตัวว่า มีพุทธศาสนาเป็นเอก ใครมาลบหลู่ก็ไม่ได้ แต่ภูมิความรู้ของพุทธเอง ไม่เชื่อ พระพูดก็ไม่เชื่อนะ แล้วมานับถือศาสนา ได้อย่างไร นับถือพุทธได้อย่างไร พระสงฆ์นี่ถือว่า เป็นอริยะบุคคล ถือว่าเป็นผู้ที่มีปัญญา ไม่เชื่อ อย่างนี้มันน่าไหมนะ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ก็เอาเถอะ ไม่ว่ากระไร แม้ไม่ได้ยอมเชื่อ ก็ว่าไม่ยอม เราไม่ได้เชื่อกัน ก็เอาเถอะ ก็ขอให้ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ศาสนาพุทธ สอนมานานแล้ว สองพันกว่าปี ความรู้แค่นี้ เขาเพิ่งรู้

แต่ศาสนาพุทธ โดยเฉพาะพวกอาตมา ที่เป็นพระสงฆ์สาวก ของพระพุทธเจ้า อาตมายืนยันว่า อาตมารู้พวกนี้ เพราะภูมิธรรมของพุทธศาสตร์ ไม่รู้เพราะไปเรียนอะไร อย่างศาสตราจารย์ทั้งหลาย ทางโลกเขาเรียน ไม่ใช่ อาตมาเรียนทางพุทธศาสตร์ และรู้อันนี้แหละ ได้กล่าวอันนี้ไว้แล้ว ก่อนที่จะได้ข่าวกันมา พูดมานานแล้ว แต่เขาไม่ได้ยินกัน หรืออย่างไรก็ไม่รู้ หรือได้ยินแต่ไม่เชื่อ นั่นแหละ อาตมาเข้าใจอันนั้น เข้าใจว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ก็ดีแล้วละ ก็ไม่ว่าอะไร เมื่อเห็นตรงกัน เมื่อเห็นถูกแล้ว ก็ดีแล้วละ ช่วยกันระงับ โทรทัศน์ อาตมาเคยบอกว่า บ้านอารยชน ไม่มีโทรทัศน์ในบ้าน ซึ่งโทรทัศน์ทุกวันนี้ ยิ่งถ่ายทอดกันด้วย สถานที่ถ่ายทอดทุกวันนี่นะ อาตมาขอยืนยันว่า โทรทัศน์ ทุกวันนี้มอมเมา มีเปอร์เซ็นต์ที่ทำให้มนุษย์ โดยเฉพาะเด็ก เสียมากที่สุด แล้วอย่ามาโทษ อย่ามาโทษเด็กไม่ได้ เพราะเราเอง เราไม่กำหนดสิ่งแวดล้อมให้แก่เด็ก เรามอมเมาเด็กของเรา โดยความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์ เรานึกว่าเรานี่ เป็นอารยบุคคล หรืออารยชน ที่ต้องมีโทรทัศน์ ไว้ในบ้าน แต่คุณไม่รู้ว่า สาระของโทรทัศน์ ถ่ายออกมานั้นน่ะ เป็นของเสีย เป็นสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษ ประเดี๋ยววันนี้ เย็นนี้ จะพูดถึง สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ ถ่ายสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ มอมเมาเด็กของเรา โดยเราห้ามเด็กก็ไม่ได้ ไม่มีมาตรการห้ามเด็ก ไม่มีอำนาจพอ เด็กก็ต้องถูกรับ ซึมซาบ ถูกรับยัดเยียดให้เด็ก เด็กมันรับละเอียด รับไปแล้ว ก็สร้างเป็น concept สร้างเป็นสิ่งที่ ตราตรึงไว้ในใจ เด็กเสียแน่ เพราะฉะนั้น เด็กรุ่นหลังนี่ มันต้องอำมหิตแน่ เพราะหนัง ละคร ทั้งโป๊ ทั้งมอมเมาราคะโทสะ มีทั้งนั้นน่ะ มีสภาพราคะโทสะโมหะ ไปหมด ส่วนสาระนั้นมีบ้าง ก็ไม่ได้ปฏิเสธทีเดียวว่า โทรทัศน์ไม่มีสาระ

โทรทัศน์ถ่ายทอดทุกวันนี้ มีสาระบ้าง แต่ไม่วิเคราะห์ให้ดี สาระน้อย แต่สิ่งมอมเมานั้นมาก เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีตู้วิเศษ ที่จะถ่ายทอด กระจายรังสี กระจายรัศมีมามอมเมา เป็นการให้ความรู้แก่เด็ก แต่เป็นความรู้เหลวเป๋ว ไร้สาระมากกว่าสาระ เด็กเราเกิดมาได้อะไร ก็ได้ความไร้สาระมากกว่าสาระ โทษไม่ได้ ใครเป็นคนทำ เราออกสตางค์ ซื้อโทรทัศน์มาเอง เราเองมาตั้งไว้ในบ้านเองด้วย จ่ายค่าไฟเองด้วย เสียเมื่อไรซ่อม จ่ายค่าซ่อมเองด้วย เราเองเป็นคนสร้างเด็กเอง เราเองเป็นพระเจ้า ผู้กำหนดเด็ก โดยเราไม่รู้ว่า เราเอาอะไรไปกำหนด เอาวัตถุที่เลว ไปให้แก่เด็ก วัตถุนี้ก็กำหนดเด็กเขาด้วย โดยเราไม่รู้ด้วยปัญญา เราไม่มีจิตที่สูง จึงกลายเป็นการเพิ่มเติมที่ขาดทุน เพราะฉะนั้น อาตมาใช้คำพูดนี่ อาตมาออกจากงานมานี่ งานที่อาตมาทำ แต่ก่อนนี้ ออกจากบริษัท ไทยโทรทัศน์ แต่มาพูดนี่ เหมือนคนอกตัญญู ดูถูกโทรทัศน์ อาตมาไม่ได้ดูถูกด้วยภาษา หมิ่นเหม่หรอก ดูถูกจริงๆด้วย ดูมันถูกนะ เห็นมันถูก เห็นถูกว่า โทรทัศน์มอมเมา มากกว่าให้สาระ

เมื่อเราไม่มีมาตรการที่จะควบคุม ถ้าคุณมีโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน คุณควบคุมได้ ให้เด็กดูแต่รายการที่เป็นสาระแท้ คุณเองเป็นตัวเซ็นเซอร์ เป็นกองเซ็นเซอร์เอง และเด็กไม่มี นอกเวลานั้น จะมาดู มอมเมาไม่ได้ จึงมีโทรทัศน์ไม่ว่า แต่คุณทำได้ไหมละ ถ้าคุณทำไม่ได้ อย่าไปมีเลยโทรทัศน์ มันซึมซาบ ทุกวันนะคุณ ไม่ใช่น้อยๆนะ ทุกวันๆ เด็กไม่เป็นอันดูหนังสือหนังหา เด็กไม่เป็นอันทำงานทำการอะไร งานในบ้านก็ขี้เกียจ หนังสือหนังหาก็ไม่ดู แล้วแถมไปนั่งดูสิ่งที่มอมเมา สิ่งที่ไร้สาระด้วย ขาดทุน ตั้งร้อยเบี้ยพันเบี้ย ขาดทุนมหาศาลเลย ฟังดีๆ เพราะฉะนั้น สื่อสารต่างๆนี่ ต้องพยายามนะ

ขนาดนี้สื่อสารมวลชน ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือต่างๆ หรือแม้แต่สื่อสาร ที่มาในรูปแบบอะไรก็ตาม แต่ต้องพิจารณาให้มาก ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นมหรสพ การเล่น มอมเมาชีวิตเรา มอมเมาชีวิตเด็กๆของเราด้วย และน่าสงสาร เพราะเราเอง เป็นคนทำให้เด็กของเราเสีย โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สิ่งเหล่านี้ ถ้าจิตของเรา มันไม่ติดเอง เราเอาไว้เพราะเราคิด ถ้ามีโทรทัศน์ เราจะได้ดูบันเทิง เราจะได้ดูสิ่งมอมเมา ที่ตัวเองคิดเอง เราแย่เองมาตั้งแต่ต้น ลูกเต้า ก็ได้เชื้อเค้าอันเดียวกัน ได้อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราต้องฝืนใจตัวเราด้วย ถ้าเรายังไม่หลุดพ้น เราก็ต้องฝืนใจ ไม่เอาหละอันนี้ ไม่ต้องอยากดูอยากเห็น เราห้ามเด็ก ก็ห้ามไม่ได้อย่างนี้ หนังละครทุกวันนี้ตามโรง อาตมาชี้ว่า เป็นขุมนรก

โรงหนังทุกวันนี้ อาตมาตราหน้าโดยไม่กลัวตาย เจ้าของโรงหนัง เขาจะมาฆ่าอาตมา เพราะว่าไปต่อต้านเขา หาว่าเป็นขุมนรก และอาตมา พูดอย่างไม่ต้อง กระมิดกระเมี้ยน ไม่ต้องสะเทิ้นสะท้าน ไม่ต้องอาย ไม่ต้องเหนียมด้วย พูดตรงๆ ซื่อๆนี่ ย้อมใจอำมหิต ๒. เร่งราคะ ถ้าไม่มีกองเซ็นเซอร์ มันจะโป๊ มันจะเลี่ยงมาทุกประตู ที่จะให้โป๊ เร่งราคะตลอดเวลา และไม่อย่างนั้น ก็เป็นหนังอีกเชิงหนึ่งก็คือ เชิงโมหะ เชิงบ้าๆบอๆ ไม่เคยมี แล้วก็คิดขึ้นมาบ้าๆบอๆ ตลกโปกฮา อะไรก็ไม่รู้ เลอะเทอะ ไร้สาระ เพ้อเจ้อ เป็นสัมผัสปลาสทั้งสิ้น ดูแล้วเปล่าดาย เสียเวลา เสียทุนรอน เสียแรงกาย แรงปัญญาไปนั่งดู อาตมาถึงตราว่า เป็นโรงหนังที่ไม่ให้สาระเลย จะว่าไม่มีก็มีบ้าง ถ้าจะคิดเอานะ ให้ประโยชน์ ให้เราไปคิดเอาเอง ตีกลับอย่างกะพวกคุณ ฉลาดแสนฉลาด ดูแล้วก็ไปรู้สึกนึกๆอยู่เอาเองได้ ไม่จริง คุณดูแล้ว คุณก็จะติดรส และพยายามยั่วเย้าให้คุณ แหม บู๊สุด มันสุดต่อ ต่อยสุดเตะ ราคะโอ้โห! สุดรักหวานจ๋อย ตลกโปกฮา ลึกลับซับซ้อน แปลกประหลาด นอกโลก ในโลก เรื่องผีเรื่องสาง เรื่องอะไรที่มันไม่มีเลย แต่เขาก็มาสร้างมอมเมาคุณ เป็นโมหะ ซึ่งไม่ได้เรื่องอะไร เพราะฉะนั้น โรงหนังพวกนี้ อาตมาถึงไม่ไว้หน้า มีเปอร์เซ็นต์นิดหนึ่ง ที่จะเป็นสาระ ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ หรือ ห้าเปอร์เซ็นต์ แล้วเรื่องอะไร เราจะไปเสียเวลา เพราะฉะนั้น โรงหนังพวกนี้ อาตมาตราไว้เลย นี่แหละ เป็นโรงนรก ขุมนรกที่ใหญ่ที่สุด และมันจะพรางตาคุณ หลอกตาคุณว่า อัครฐาน ให้สวยให้งาม มอมเมาฉาบพอกไว้ ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวคุณรู้ตัว ว่าเป็นขุมนรก มันจะต้องพยายาม เอาอื่นมาแก้ แหม เย็นสบายนะ หอม บันเทิง นุ่ม นิ่ม อะไรทุกอย่าง มันหลอกคุณไว้ทั้งนั้นแหละ สวยนะ อะไรต่างๆ แล้วคุณก็ไปตกขุมนรกเหล่านี้

เรามาช่วยกัน ถ้าใครเข้าใจ ฟังแล้วชัดแจ้งแล้ว อ้อ นรกขุมอย่างนี้ ไม่ต้องไปตก คุณก็เป็นมนุษย์เจริญ โลกไม่ต้องติด มันจะหลอกอีกกี่หลอก มันจะสร้าง มามอมเมา อีกกี่มอมเมา ไม่ต้องไปเสียสตางค์ คุณเมินเฉยได้ จิตว่างได้ มันจะบอกว่า หนังสุดสนุก สุดเผ็ด สุดมัน สุดยอด ถ้าใครไม่ดู เสียชาติเกิด แล้วจะประโคมกันอย่างนี้ว่า ยอดหนัง โอย! เรื่องนี้คนอัดกันไปดูนี่ จองบัตรล่วงหน้านี่ ห้าแสนแล้ว เอาเถอะ ยอดรักยอดใคร่ ยอดสนุกอย่างไรก็เถอะ มันเรื่องหลอกคุณทั้งนั้น มอมเมาทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณก็ไปดูอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าคุณเชื่อ เกิดอลมริยญาณทัศนวิเศษ ขึ้นมาในใจเดี๋ยวนี้ คุณตรัสรู้เดี๋ยวนี้นะ จิตนั้นก็ตาย ย้อมอย่างไรคุณก็ไม่ขึ้น หรือ รู้แล้วละ อย่างดีคุณก็บอกว่า สนุกแบบ รสชาติแบบนั้นแหละ เป็นโลกียรสอย่างนั้น เข้าใจแล้ว คุณไม่ต้องเสียสตางค์ นี่เรียกว่า จิตเราขาด จิตเราตาย จิตเราดับสนิท ยั่วไม่ขึ้น ยุไม่ขึ้นอีกแล้ว จิตนี้ดับ จิตนี้ตายสนิท เพราะจิตตรัสรู้มันเกิด มันมีตัวเกิด จิตมันเกิด และตัวตรัสรู้ นี่แหละเป็นตัวกลาง และมีตัวตาย

นี่เรียกว่าธรรมะ ๓ ตัวนี่ เป็นอันเดียวกัน เกิด ตรัสรู้ ตาย หรือปรินิพพาน เป็นอันเดียวกัน มีนิพพานแล้ว คุณสงสัยตัวเองไหม เปรียบดูเอาเอง อันนี้เราจะตัดได้ไหม เรื่องใดที่คุณติด ตั้งแต่อบายมุข อาตมา ขอชี้ไล่เท่านั้น จะไม่อธิบายต่อ การพนัน สิ่งเสพติด เดี๋ยวดูได้เลยนี่ เดี๋ยวดูให้ชัดแจ้งเลย มีสีสันโอ้โฮ ดูกันชัดเลยนะ สิ่งเสพติด แล้วก็มีเรื่องราคะ ผู้หญิง ผู้ชาย เรื่องมหรสพการละเล่น เที่ยวกลางคืน คบมิตรชั่ว เกียจคร้าน ถ้าเราไม่เป็นมนุษย์อย่างนี้ มีศีล ๕ เราก็บริสุทธิ์ด้วย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดโกหก และไม่ติดสิ่งเสพติด มันคืออบายมุข นี่แหละเป็นสิ่งเสพติดขั้นต่ำ เพราะฉะนั้น สิ่งเสพติดขั้นสูงไปอีก เป็นพระสกิทาคามี

คุณยิ่งติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ติดในลาภยศสรรเสริญ สิ่งที่ละเอียดไปอีก คุณก็ค่อยๆไล่ไป ความเป็นสกิทาคามี พวกนี้เป็นเหตุปัจจัยของ พระสกิทาคามี ค่อยๆไล่ไป ถ้าคุณไม่ติดโลกแบบนี้แล้ว ยังเหลือจิตที่ละเอียด ที่คุณจะไปติดอีก เป็นขั้นอนาคามีบุคคล ฟังดีๆนะ อาตมาแยกคำว่า อนาคามีจิต กับ อนาคามีบุคคล คนละภาษานะ หมายคนละอย่าง บุคคลหมายรวมตัวเอาเลย ทั้งตัว ถ้าใช้คำว่าบุคคล ถ้าใช้คำว่าจิตก็คือ ตัวจิตจริงๆ ซึ่งนี่ อาตมาอธิบายไปแล้วจิต ทีนี้ จิตบุคคลนี่หมายความว่า ทั้งตัวเรา เราเป็นบุคคลที่ไม่ติดอบายมุข ไม่ติดลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ติด ไม่ทุกข์ ไม่สุข เพราะลาภยศ สรรเสริญ ไม่ทุกข์ ไม่สุข เพราะรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ได้แล้วก็เป็น อนาคามีบุคคล อนาคามีบุคคลอย่างนี้ จะมาเรียนเรื่องจิต ที่ละเอียดอีกเยอะ ละเอียดเป็นอุปกิเลสต่างๆ ยึดในความดี ยึดในความชั่ว ประมาณจิต ชั่งตวง วัดจิตต่างๆเอง อันนี้มากไป อันนี้น้อยไป มาติดส่วนนี้ ส่วนนี้ ซึ่งไม่ต้องไปวุ่นวายกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนอกๆ ไม่แล้วเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว แต่มันยังทุกข์ ยังสุข ยังโกรธ ยังโลภอยู่ ในเรื่องของจิตในตัวเรา คนนี้ทำอย่างนี้ไม่ชอบใจ เพราะว่าขัดกับความนึกคิดของเรา ขัดกับความเห็นของเรา นี่เป็นตัวจิต ความเห็นของเรา ไม่เห็นด้วยอย่างนี้ แต่เราก็โกรธอยู่ในใจ เคืองอยู่ในใจ ไม่ชอบใจ ไม่ร่วมมืออยู่ในใจ อันนี้เป็นเรื่องจิตอีก นี่พระอนาคามี จะมาศึกษาอันนี้ เป็นชั้นสูง เพื่อเป็นพระอรหันต์นะ

ขั้นนี้อาตมาอธิบายไม่ไหวหละนะ ต้องขอยกไว้ เพราะฉะนั้น ยังคิดในอัตตา จิตอย่างนี้เขาเรียกว่า อัตตา หรืออาตมัน จะต้องมาละตัวตนของจิต อย่างนี้อีก เป็นขั้นสุด เพราะฉะนั้น โสดาบันได้แล้ว สกิทาเป็นได้แล้ว อนาคามีเป็นแล้ว ค่อยมาล้างอัตตาอนาคามีนี่อีก นี่เป็นชั้นสูง ไม่ใช่ว่ามาละตัวตน แล้วบอกว่าเราว่าง จิตอะไรก็ไม่ติด พอเห็นรูป รส กลิ่น เสียง ก็ไปเสพมันด้วยจิตว่าง อย่างนี้ มันเอาปากพูด อย่างนั้นมันใช้ไม่ได้ มันต้องมีการไม่ติดจริงๆ โกหกตัวเองไม่ได้หรอก และยังเอร็ดอร่อย ยังเป็นจิตสุขเวทนา ทุกขเวทนาอยู่ มันก็เป็น แต่ผู้บรรลุแล้ว มันไม่สุข มันไม่ทุกข์จริงๆ หมดสุขหมดทุกข์ ถึงเรียกว่านิพพาน หมดสุข หมดทุกข์ หมดรสชาติทางโลกียรส มีจิตตรัสรู้ ว่าเป็นอย่างนี้ มันมีจริ

อาตมาขอยืนยันว่ามีจริง อาตมาได้ศึกษามา อาตมาได้ปฏิบัติมา อาตมาได้เรียนรู้มาชัด รู้เกิด อลมริยญาณทัศนวิเศษ อย่างนี้ เห็นเข้าไปว่า มีการเกิด การตายอย่างนี้ จึงเอามาเล่าสู่ญาติโยมฟัง ญาติโยมจะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ไปพิจารณาเอา ถ้าเห็นด้วย อยากจะลองไปปฏิบัติอย่างนี้ก็เอา กล้าชั่ว หรือกล้าไปคลุกคลีโลกียะ ยังกล้าได้ กล้ามาละโลกียะนี่ ซึ่งเห็นว่ามันเป็นของสูง นี่ขนาดเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกประคบประหงมไปด้วยกาม มีลาภทรัพย์ศฤงคารต่างๆ มียศฐา ถึงขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ยังทิ้งมาชัดๆ คนขนาดนั้น ยังทิ้งมาแล้ว เราก็ยอมรับนับถือ ว่าเป็นศาสดา จอมศาสนา ที่เรากราบไหว้อยู่ ทุกวันนี้ ยกให้เป็นยอด เหนือเศียรเหนือเกล้า ยังกล้าทิ้ง

ทำไมคุณไม่หัดกล้าอย่างท่านมั่งนะ ทำไมคุณไม่หัดกล้า อย่างนั้นบ้าง กล้าไปแย่งลาภ แย่งยศ บางทีขนาดฆ่ากันตาย ยังกล้าเสี่ยง ถึงฆ่ากันตายนะ ยังกล้าไปแย่งกามารมณ์ ถึงขนาด ลงหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่หวาดไม่ไหว ทุกวันนี้กล้าเสี่ยงชีวิต ติดคุกติดตะราง เสี่ยงชีวิต แม้กระทั่งตัวเอง ต้องถูกยิงเป้าตายด้วยบางที ทำไมถึงกล้านักนี่ มันน่าคิดนะ ทำไมถึงกล้า แต่กล้ามาปฏิบัติธรรมอย่างนี้ เพื่อความสูงอย่างนี้ เพื่อละโลกียะอย่างนี้ ทำไมไม่เสี่ยงดูบ้าง มันเป็นยังไง ลองคิดดูซิ มันควรเสี่ยงไหม ควรนา อาตมาว่าควรนะ คุณกล้าไปเสี่ยงพวกนั้น ไปแล้วก็รู้ว่า ทิศทางนั้นไปแล้ว ไม่รอดอะไรนักหนา ไม่ได้ดิบไม่ได้ดี ประเสริฐอะไรนักหนา ยังกล้าเสี่ยง ทำไมมากล้าสละปฏิบัติดูซิ มันจะตายง่ายๆไหม มันไม่ตายง่ายนะคน อาตมาจะหาคนปฏิบัติธรรมตาย เพื่อจะลงหนังสือปก ของธรรม

ถ้าใครตายเพราะ ปฏิบัติธรรมะนี่ตาย อาตมานี้ตั้งใจอยู่ว่า จะทำหนังสือ ปกทองคำ ลงชื่อ นาย ก นามสกุล อ ฮ ได้ตายเพราะได้ปฏิบัติธรรม สิ้นลมหายใจ เมื่อวันนั้น เวลานั้น ปฏิบัติอาการอย่างนั้น ถึงตาย เพราะปฏิบัติธรรมตาย อาตมาอยากได้ชื่อว่า สลักลงในสมุดทองคำ จะมีสักคนให้อาตมาได้ลงไหมนี่ คนปฏิบัติธรรมตายนะ นี่ยังไม่ได้ แต่คนไปตายเพราะโลก โอ้โฮ ! นายสุวาน กับ นายสุวรรณ ลงบัญชีกันไม่ไหว ไปตายเพราะไปหลงโลกีย์ ฆ่ากันตาย เพราะแย่งลาภ แย่งยศ แย่งสรรเสริญ แย่งกาม โอ้โฮ นายสุวรรณกับนายสุวาน จดกันไม่หวาดไหว ตายกันมา ไม่รู้กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้าน ใช่ไหม มาทางนี้ อาตมาจะได้ขอลงบัญชีบ้าง สมุดทองคำแท้เลย ใครจะลงชื่อ เป็นคนแรกนี่ปฏิบัติธรรมะตาย สิ้นลมหายใจจริงๆ เพราะปฏิบัติธรรมนะ อยากได้สักคนหนึ่งบ้าง นี่มันยังไม่ได้ ยังไม่กล้าจริงสักคนหนึ่งเลย แต่มากล้า จริงแล้ว มันไม่ตายเสียด้วย มันกลับตายเหมือนกัน มันตายจากโลกโน้น มาสู่โลกนี้ ตายมาแล้วหลายศพ นี่ขึ้นมานี่ หลายศพแล้ว นี่ไล่กันขึ้นมาเรื่อยๆนี่ มันกลับตายอีกอย่างหนึ่ง นี่อันนี้ซิ ตายดิ้นไปสิ้นซาก สิ้นร่าง สิ้นขันธ์นี่ไป สิ้นเนื้อเน่านี่ มันยังไม่ได้ลงบัญชี แต่มีแต่ตายแบบนี้ และได้มากอบกู้ศาสนาซะด้วย นี่มีอย่างนี้มี

วันนี้อาตมาพูดคำว่าตาย ไปซะหลายตาย ฟังดีๆนะ ตายไหน หมายเอาอันไหน หลายตายนะอันนี้ เกิดก็พูดแล้วว่าเกิด อะไรคือเกิดเนื้อหนัง เกิดอะไร คือเกิดของสาระธรรม หมายเอาจิตเกิด เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดเห็นแจ้งจริง แล้วไปละเลิกเอา อาตมาพูดไปแล้วเมื่อกี้ ขั้นโสดา สกิทา อนาคา พูดไปพอสมควร ขอให้พวกคุณเข้าใจ วันวิสาขะนี้ให้ได้ ในช่วงแรกนี้ แสดงธรรม หรือแสดงสัมโมทนียกถา ก่อนจะฉันอาหารนี้ นี่เป็นสาระสุดยอด เป็นสาระสำคัญ ที่อาตมาเทศน์ นี่เป็นสาระสำคัญ หมายใจเอาให้ได้

ต่อไปนี้ เราจะเอาอาหารหวานคาว มามาก จะได้รับประทานกัน บางคนจะได้เพ่งไว้ แหม วันนี้เอาทุเรียนชอบ อายๆหน่อย ลองระมัดระวัง ตั้งกฎไว้ในใจเสีย ศีลนี่เราละอายต่อบาปมั่งนะ ถึงจะชอบซาละเปา ชอบเงาะ ชอบทุเรียน ชอบอันโน้นอันนี้ กระมิดกระเมี้ยนหน่อย อย่าประเจิดประเจ้อนัก เราจะอดทนหน่อย มันเป็นกิเลสนะ จะหัดฆ่ากิเลสตัวนี้มั่งซิ ไม่กินมันจะตายไหม ลองดูซิ ตัวนี้ชอบนักนี่ วันนี้เยอะ วันนี้จะไม่กินมันดูซิ มันจะตายไหม กินอื่น ของที่ไม่ค่อยชอบ อาหารวันนี้ อาตมาเห็นว่า คงไม่มีอะไรเป็นยาพิษหรอก ลองกินแทนมันดูซิ สิ่งที่ชอบนี่ ไม่กินมัน วันนี้ลองดู นี่เป็นการปฏิบัติธรรม

ทีนี้ประกาศกรรมฐานให้ฟัง พวกอโศกเรานี้ มีกรรมฐาน กิน อยู่ หลับ นอน กรรมฐานของชาวอโศก ฟังดูแล้วอะไรกัน นี่แหละ เราปฏิบัติธรรม ด้วยการกิน เราปฏิบัติด้วยการเป็นอยู่ ด้วยการงาน และ ปฏิบัติธรรม ด้วยการหลับนอน ถึงขั้นนอนด้วย เราจะปฏิบัติธรรม แม้แต่ขั้นนอน เราก็ปฏิบัตินะ กิน อยู่ หลับนอนเลย ทีเดียวนะ รวมไปหมด บางคน ปฏิบัติธรรมแต่โดยเฉพาะ ตอนนั่ง ตอนยืน เดิน,  ตอนหลับนอน ตอนกิน ตอนไปทำงาน ไม่มีปฏิบัติธรรม ไม่ทัน ไม่ทัน ไม่ทันซาตาน ไม่ทันผี ผีเอาไปกินหมด เพราะฉะนั้น ปฏิบัติธรรมเท่านั้น อาตมาไม่เอา

อาตมาพาปฏิบัติธรรมทุกเวลา ขณะใดกินก็ปฏิบัติธรรม ขณะใดเป็นอยู่ จะเป็นอยู่ด้วยยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถ แม้ในการเดิน ก็ให้รู้ว่า สำรวมกาย เดินไปก็เดินไป เป็นกิจกรรมการเดิน การนั่งก็นั่งสำรวม นั่งทำงานอะไรก็ทำ ทำงาน เดินอยู่ก็ทำตอนเดิน ทำงานยืนอยู่ก็ทำตอนยืน บางงาน นอนทำด้วย ทำตอนนอนนะ อย่างงานที่พักผ่อน อย่างนี้ เราทำตอนนอน เราจะนอนพักผ่อนอย่างนี้

แล้วมาฟังอาทิตย์หน้า จะบรรยายธรรมะ กรรมที่มีกฎ อาทิตย์ต่อไป จะบรรยายธรรมะ จะหลับลงได้อย่างไร ชื่อหัวข้อธรรมะ จะอธิบายวันนั้น ชื่อเพลงเขาน่ะ อาตมาก็ไปเก็บตกเขามา จะหลับลงได้อย่างไร ฟังดูซิ อาตมาจะสอนเรื่องนอน เรื่องหลับ เรื่องตื่น ให้มากๆหน่อย จะเน้นหัวข้อ เพราะฉะนั้น วันนั้นก็มาฟังธรรมะ นี่เราจะอธิบายธรรมะ ให้เป็นการปฏิบัติธรรมไปหมด กิน อยู่ หลับนอน ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง นี่เราปฏิบัติธรรม มันถึงจะทันผี เดี๋ยวนี้ผีเยอะ ลากเราลงนรก ลงอเวจี เยอะแยะ ทุกข์ทรมาน เพราะฉะนั้น ปฏิบัติเพื่อไม่ให้ผีมาเอาไปสู่ทุกข์ เราจะเป็นผู้ที่เบิกบานแจ่มใส เบิกบานเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นอย่างแท้จริง อยู่กับโลกเขาได้ด้วยเหนือโลก อะไรมาล่อไม่ได้ แม้แต่ทำเป็นรูปอาหารมานี่ มาล่อ อาตมาไม่ตกหลุมแล้ว ประเดี๋ยวก็ปนเละๆ แล้วเดี๋ยวนี้ รูปสวยๆมา ขออภัยด้วย ทำลายรูปแล้วในนี้หมด รส ปนมาหวานมั่ง เปรี้ยวมั่ง เดี๋ยวก็ขออภัย เดี๋ยวนี้ปนลงในนี้แหละ รูป รส กลิ่น กลิ่นอย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวก็เละอยู่ในนี้ ตักออกมาแล้ว ยังไม่รู้เลยว่า อยู่นี้เหมือนข้าวหมู หรือข้าวคนนะ แล้วอาตมาก็กิน พวกเราก็ปฏิบัติ คุณก็ปฏิบัติด้วยได้ ถ้าคุณทำได้

บางคนทำแล้ว แหม ทุกข์ ผะอืดผะอมกินไม่ลง เพราะคุณยังติดอยู่ ติดไปในเชิงรูป ติดไปในเชิงรส ติดไปในเชิงกลิ่น ติดไปในเชิงสัมผัสต่างๆ นั่นแหละไม่มีอื่น มาหัดดูบ้าง เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าคุณมาคลุกคลี ในสถานที่นี้ วันอาทิตย์ เรามีวันพระ มาฉันอาหาร มารับประทานอาหารร่วมกัน เราจะมีคนบางคน เขากินให้เราดู แหม คนนี้กินเหลือเกิน เคร่งจัดเลย กินโอ้โฮ! นะ มันจะดึงเราเอง จะมีมุมดึงเรา มันจะซึมซาบเอง แล้วจะได้ประโยชน์ เรามาร่วมฝึกฝน เรามาร่วมหากรรมวิธีต่างๆ เป็นอิทธิวิธี เป็นวิธีที่เก่ง อิทธิวิธี หมายความว่า วิธีที่เก่ง อย่าไปเข้าใจอิทธิวิธีคือ กันปืน มหานิยม อะไรนั่นนะ วิธีอย่างนั้น มันเดรัจฉานวิชา ไม่ใช่พุทธวิชา พุทธวิชาคือ วิธีที่เก่ง ที่จะทำให้เราตัด ละ หน่าย คลาย ตัดกิเลส ปลง วาง นี่ อิทธิวิธีของพุทธ

เรามานี่ เราจะมาเสริมอิทธิวิธีทุกวัน ทุกครั้งที่เรามาหาพระ พระหมู่เรานี่ จะสอนอิทธิวิธี ในการที่จะตัดกิเลส ไม่ใช่อิทธิวิธีอย่างที่เขาบอกว่า จะไปกันปืน กันมีด กันยา กันอะไรก็ไม่รู้ หรือว่าไปเที่ยว ไปโลภ มหานิยม ถ้ามีคาถา หรือมีวิธีอิทธิวิธีเก่งกว่านี้ แล้วก็ไปหลอกเอาเงินคนอื่นได้ ไม่เอา เราไม่หลอกเอาเงินใคร ถ้าเราจะได้ ได้โดยกำลังธรรม การกระทำงาน ได้มามากมาแจกด้วย เผื่อแผ่ด้วย ไม่ขี้เหนียวด้วย นี่มันถึงจะเก่ง

ขี้เหนียวเก่ง ฮื้อ ไม่ต้องไปสอนเขาหรอก คนขี้เหนียวเก่ง หวงไว้ หวงไว้นะ มีเกือบทุกคนที่หวงนะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องไปศึกษา ไม่ต้องไปฝึกฝน แต่มาหัด ไม่หวงนี่ซิ อันนี้ต้องฝึกฝน ต้องศึกษา มันต้องหัดกล้าให้ ให้จนหมดตัวได้ ลองดูนะ นี่ศาสนา จะสอนอย่างนี้ หมู่กลุ่มอโศกพวกเรานี้ ทำงานศาสนา แล้วก็เห็นมรรคเห็นผล ว่าการ ว่างาน การไม่มีโลภ การไม่มีโทสะ การไม่มีหวง ไม่มีขี้เหนียว ไม่ติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ มันประเสริฐสุด แม้แต่ตัวเราเอง จิตเรามีดี เรารู้ดี พยายามแจกดี ให้รู้จักขั้นตอนของความดี ไม่ติดสงบ ไม่ใช่ได้สงบ แล้วก็หาถ้ำ หาเขาไปอยู่ ไม่ใช่ แล้วก็ไม่ติดต่อกับใคร ไม่ใช่ แต่เราจะเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ขวนขวาย มาสัมพันธ์ ทำมนุษยสัมพันธ์กับมนุษย์ ไปบิณฑบาต หรือว่าไปปักกลด หรือว่าไปเขตแคว้น ตรงนั้นตรงนี้ เพื่อจะได้เห็นกัน เพื่อจะได้ให้เกิดคนมาพบพระ เมื่อคนมาพบพระแล้ว พระจะได้แสดงธรรม บอกกล่าวส่วนที่คุณทุกข์ หรือส่วนที่คุณควรแก้ไข แจกอิทธิวิธีต่างๆ เพื่อให้คุณได้มีวิธีประพฤติ ปฏิบัติกันนี่ พระของศาสนาพุทธ จะออกแจกอิทธิวิธีต่างๆ จริงๆ อย่างนี้ทำ นะ

อาตมาได้สาธยายธรรมะต่างๆ มาพอสมควรแก่เวลา เราก็ชักจูงกัน เพราะฉะนั้น ก็มา ผู้ที่มาใหม่ ก็บอกกล่าวให้รู้ว่าที่นี่ วันพระคือวันอาทิตย์ ไม่ได้นับแรมค่ำ เพราะว่าแรมค่ำ ไม่มีประโยชน์แล้ว ถึงแรมค่ำอย่างไร คุณก็ไปทำงาน คุณไปหยุดวันอาทิตย์ แล้ววันอาทิตย์เดี๋ยวนี้ ผีมาตั้งโรงอบายมุข ไว้หลอกคุณไปหมด อาตมาต้องแย่งสนามม้า ต้องแย่งโรงฮอลล์ต่างๆ ที่มันจูงคุณไปนี่น่ะ เพราะฉะนั้น อาตมาก็ตั้งโรง ขึ้นเหมือนกัน วันอาทิตย์มานี่ มาคุยกัน มาให้ทางธรรมะ มันดูดซึมเข้าไป ในเนื้อตัวบ้าง อย่าไปให้โลกีย์มันดูดเลย มันแย่แล้วนะ ใน ๖ วัน คุณก็แย่แล้ว ยังวันอาทิตย์ แถม เอาไปหนักกว่าเก่า ไปเอาขั้นอบายมุข เข้าไปอีกเลย ซวยตาย อีแบบนั้นขาดทุนมาก เพราะฉะนั้น วันอาทิตย์บอกกล่าวกัน ที่นี่พยายามจะปลูกฝังให้ร่มเย็น มาที่นี่อย่างน้อย ก็เย็นกาย เย็นใจ เย็นสถานที่ มีอิทธิวิธี มีข้อ หลักเกณฑ์ ประพฤติปฏิบัติ เพื่อความเย็น เย็นอันนี้คือสันติ เย็นสนิทชิดใจ มาเถอะ ชักจูงกันมา บอกกันเนาะ

เอาละสำหรับวันนี้ อาตมาก็ขอเอวัง ในการแสดงธรรม ช่วงเช้านี้



 

จัดทำโดยโครงงานถอดเทปธรรมะฯ
ถอดโดย นางพรทิพย์ วิไลลักษณ์ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๐
ตรวจทานครั้งที่ ๑ โดย สิกขมาตุปราณี ปึงเจริญ ๒ ตุลาคม ๒๕๓๐
ตรวจทานครั้งที่ ๒ โดย สิกขมาตุปราณี ปึงเจริญ ๕ พฤษภาคม ๒๕๓๑
บันทึกข้อมูล โดย ทีมงานคุณกัญญา พุ่มวัฒนา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
พิสูจน์อักษร-พิมพ์ออกโดย วรรณประภา ชัยประสิทธิกุล สิงหาคม ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

วันวิสาขบูชา ๒๕๒๐