ปลุกเสกฯ พุทธาฯ ณ ผ่านฟ้าลีลาศ

บทนำ

มีผู้กล่าวว่า “เราไม่ได้เกิดมาในโลกนี้เพียงเพื่อเอาตัวรอด ขณะที่ชีวิตของเพื่อนมนุษย์บริสุทธิ์ คนอื่นๆ กำลังเสี่ยงอันตรายกัน”

นัยนี้นับว่า มวลมหาประชาชนได้เดินมาถูกทางแล้ว แม้ยากลำบาก และระยะเวลาที่ยาวนาน พิสูจน์แนวทางสงบสันติอหิงสา เมื่อทำได้จริงก็เกิดธรรมฤทธิ์จริง แผ่ปกป้องคุ้มครองภัยได้จริง

นี้จึงไม่ใช่สงครามธรรมดาทั่วไป ที่เคยเกิดขึ้น มีมาช้านานแล้ว แต่คือธรรมาธรรมะสงคราม การต่อสู้ ระหว่าง ความดี ความชั่ว และแน่นอน "ธรรมะย่อมชนะอธรรม" เสมอ

ยืนยันว่า พุทธศาสนาที่ถูกตรง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธานุภาพ ที่ชาวพุทธสมควรใฝ่ศึกษา ปฏิบัติยึดถือ เป็นแนวทางในการดำรงชีวิต เพราะ "ตราบใดที่มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตราบนั้น โลกจะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์"

จากบทสัมภาษณ์ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เล่าถึงบรรยากาศงานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ ๓๘ บนถนนผ่านฟ้าลีลาศ และวันที่กองทัพธรรมถูกจู่โจม โดยกองทัพตำรวจ พลาดไม่ได้! กับภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ในวันนั้น และความในใจที่ลูกๆอยากรู้ ทำไมพ่อท่าน จึงยืนหยัดท้าทายห่ากระสุน บนเวที เทศน์ให้สติพวกเรา อย่างไม่เกรงใจลูกหลงเลยสักนิด!

งานพุทธาภิเษกฯ ปีนี้ ต่างจากที่เราจัดที่ไพศาลี
จังหวัดนครสวรรค์ อย่างไร ?

พ่อท่าน : จัดที่พุทธสถานศาลีก็ที่หนึ่ง ครั้งนี้จัดที่ถนนราชดำเนิน ผ่านฟ้าก็อีกที่หนึ่ง ต่างสถานที่กัน แล้วต่างกันที่บรรยากาศ ซึ่งเราเคยจัดของเรา ตามธรรมดาธรรมชาติ ตามประเพณีของเรา ที่พุทธสถาน อันเป็นที่ปฏิบัติธรรมอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งอะไรต่ออะไร ก็เป็นไปได้ด้วยดี ทีนี้เมื่อย้ายสถานที่จัด เราต้องลดหย่อนต้องอนุโลม เพราะคนมาก และมีงานอื่นที่เราทิ้งไม่ได้ คืองานประท้วง และงานกิจวัตรบางอย่าง ที่เราจำเป็นต้องมี ในเรื่องของการเมือง ที่เรามาช่วยทำงาน ก็ยังคาราคาซัง เราก็ต้องทำไปด้วย ต้องประยุกต์ ผสมผสาน เพื่อที่จะให้พอเป็นไปได้ ไม่ดูเสียผล ทั้งในทางการเมือง การศาสนา และการธรรมะ ก็ทำไปเพราะเราเคยผ่านมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานพุทธาภิเษกฯ ก็ดี ปลุกเสกฯ ก็ดี และงานประเพณีอื่นๆ ของเราก็ตาม เราก็เคยประยุกต์ เอาหลายงานมาทำรวมกัน เราก็เคยทำมาแล้ว  

เพราะฉะนั้น คราวนี้ ก็ไม่ยุ่งยากอะไรมากมายนัก มีหลายเวที แบ่งเบาไป เมื่อเราขอทำงาน ประเพณีนี้ งานอื่นเขาก็แบ่งเบาเฉลี่ยกันไป กิจกรรมที่เราจะต้องทำหนักร่วมกับเขา เขาก็อนุโลมให้เราเหมือนกัน ก็นี่แหละ เป็นเรื่องของสังคม ที่รู้หน้าที่รู้งาน รู้ผู้ที่จะต้องควรไม่ควร ขนาดไหน ก็แบ่งเฉลี่ยกันไปรับผิดชอบ ช่วยกันคนละนิดละหน่อย มันก็สวยงาม ใช้ได้  เราชวนวิทยากรมาพูด ก็ดีทั้งนั้น เราผสมผสาน แม้แต่งานพุทธาภิเษกฯ ของเรา ยังแถมการเมืองเข้าไป ในบางวาระในบางโอกาสเลย

พวกเรามากันน้อย

พ่อท่าน: คนมาน้อยไปหน่อยก็เป็นได้ มีผลกระทบบ้างเหมือนกัน เพราะบางคน เขาไม่ค่อยถนัด ในเรื่องของการเมือง แต่จะว่าไม่ถนัดก็ไม่ใช่ทีเดียว บางคนถึงขนาดถึงขั้น ไม่ค่อยชอบ มันก็มีจริงเป็นจริง เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ก็ถือโอกาส เมื่อไม่ใช่ที่ไม่ใช่ทาง ฉันก็ถือโอกาส ฉันจะขอเฝ้าโยงเฝ้าวัด เฝ้าชุมชน เขาก็ไม่มา มันก็เป็นไปตามธรรมดา แต่ก็มีคนนอก คนที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น เขาใฝ่หา เขาแสวงหาอยู่ ก็มารวมกัน ผสมผสานกันไปพอได้ มีตัวตายตัวแทน

เมื่อวันที่ ๑๘ ก.พ.'๕๗ กองทัพธรรม ที่ผ่านฟ้า ถูกตำรวจ นำกองกำลังเข้ามาสลาย พร้อมด้วยอาวุธปืน ระเบิด แก๊สน้ำตา ทั้งๆที่พวกเราไม่มีอาวุธ เราต่อสู้ด้วยวิธีสงบ สันติอหิงสา และสวดมนต์ ทำให้พวกเราหลายคนบาดเจ็บ เสียชีวิตในช่วงนั้น พ่อท่านและเหล่าสมณะ อยู่บนเวที พ่อท่านได้พูดเตือนให้สติ ทั้งตำรวจ อย่าทำรุนแรง และขอให้พวกเราอย่าตอบโต้ ขว้างปา ด่าทอ ตอบโต้ตำรวจ อยากทราบว่า ในช่วงเวลาวิกฤตนั้น พ่อท่านคิดอย่างไร และคาดหวังอะไร ในขณะที่หลายคน ห่วงใยความปลอดภัยของพ่อท่าน และเหล่าสมณะมาก?

พ่อท่าน :  อาตมาก็ระวังตัว มีสติรู้อยู่ ดูองค์ประกอบ ดูเหตุการณ์ว่า มีเหตุปัจจัยอะไรบ้าง ก็แก้ไขปรับปรุง ไม่ได้ผลีผลาม ไม่ได้ห่ามทำคะนองอะไรหรอก ทำไปพอสมเหมาะสมควร พูดถึงความรู้สึกของอาตมา จริงๆแล้ว เป็นการพิสูจน์ยืนยันธรรมะ ของพระพุทธเจ้าว่า เมื่อถึงเหตุการณ์จริง เราจะรู้สึกอย่างไร ก็ได้อ่านจิตอ่านใจตัวเองชัดว่า อาตมาไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้รู้สึกกลัวเกรง คะนองก็ไม่คะนอง คือสงบ แต่ก็รู้ว่าบรรยากาศมันรุนแรง บรรยากาศ มันอุกฤตต่างๆนานา เราต้องใช้สมรรถนะความสามารถ เท่าที่เรามี พยายามมากที่สุด ที่จะใช้อำนาจโดยธรรม อำนาจแห่งความสงบ สันติอหิงสา เท่าที่จะทำได้ ใช้ประสิทธิภาพตัวเอง ทำไปสุดทางตามที่เป็นไปจริง และที่ทำไปเหล่านั้น ก็เป็นทั้งสติ และอัตโนมัติ ที่เป็นไปได้ มันก็ออกมาอย่างที่เห็นนั่นแหละ อย่างที่มีหลักฐานยืนยัน นั่นเป็นความรู้สึกจริง

อาตมายังมีเจตนาเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง มีเจตนาช่วยสังคม ช่วยมวลมนุษยชาติ ไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย เจตนาอยากจะให้สำเร็จลงด้วยดี ทั้งๆที่เห็นรู้เลยว่า คณะตำรวจ เขามาพรักพร้อมจริงๆ มาทั้งมวล ปริมาณตำรวจ มีทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ มีทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ ก็เห็นกันทุกคนเลยว่า เขาพรักพร้อม ซึ่งเราก็ไม่ต้องเดา เขาลงทุนขนาดนี้ เขาก็ต้องการจะปราบให้ราบคาบไปเลย อาตมาก็มีเจตนา มุ่งมั่นอย่างเดียวว่า เราจะทำให้ดีที่สุด สงบสันติที่สุด ไม่ใช้อาวุธที่สุด สุภาพเรียบร้อย แม้เราจะต้องเสียสละ พระพุทธเจ้าท่านสอน เมื่อจำเป็นจะต้องเสียวัตถุ เพื่อรักษาอวัยวะ ก็ต้องเสียสละ เพราะฉะนั้น เขาจะมาทำลายวัตถุ ตำรวจเข้ามาหั่นฟันทุบ พังข้าวของ ทำลายต่างๆนานา เราจะทำอะไรได้  เราก็เตือนกัน อย่าไปผลีผลาม ไม่ไปผลักดัน ไม่ไปปลุกเร้า ไม่ไปตอบโต้อะไร ไม่บอกพวกเราให้เข้าไปสู้  พวกเราไม่สู้เลย มีแต่ให้หยุด ให้หลบๆ ให้นิ่ง ผู้ใดกลัวก็หลบไป ผู้ใดไม่กลัวก็พักลงนิ่ง ผู้ใดกล้าก็นั่งรวมกันอยู่นี่แหละ ซึ่งก็มีผู้ที่อยู่ ผู้ที่นั่งลงสวดมนต์ บางคนนั่งสมาธิ ไม่รับรู้ ปิดประตูปิดทวารเลยก็มี เท่าที่เขาทำได้

อาตมาก็เห็น เป็นสภาพของมนุษยชาติ ที่เข้าใจวิธีการนี้จริงๆ และได้ปฏิบัติจริง เมื่อเกิดการปฏิบัติจริง จนเป็นปฏิกิริยา การสังเคราะห์ขึ้นมาจริง ระหว่างความเลวร้ายรุนแรง กับความสงบสันติ อันมีคุณภาพ ถึงขั้นธรรมฤทธิ์ เกิดการบวกลบคูณหารกันจริงๆเลย ถึงที่สุด ผลออกมา ตำรวจยอมถอยไปหมดเลย สรุปก็คือ ตำรวจแพ้ ทั้งที่ตำรวจเอาจริงเอาจัง มีเจตนาที่จะกวาดล้าง แต่ทำไม่ได้ พวกเราก็ยืนยงได้ แม้จะมีการสูญเสียบ้าง ก็เป็นธรรมดา และแม้ที่สุด จะมีสิ่งที่คนก็ยังงงๆ สงสัยอยู่ พวกเราไม่ใช้ความรุนแรง บริสุทธิ์จริงหรือ เพราะว่ามีตำรวจตาย มีตำรวจบาดเจ็บอยู่บ้าง อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คน ข้องคาสงสัย ส่วนฝ่ายเรา บาดเจ็บล้มตาย ย่อมมีก็แน่ละ เพราะฝ่ายตำรวจเขามาจัดการ เราก็ต้องเจอแน่นอน

ส่วนฝ่ายตำรวจล้มตาย จะเป็นเพราะ อาวุธมันกระเด็นกระดอน ย้อนไปถูกฝ่ายเขาเอง อะไรก็แล้วแต่ ก็ยังพิสูจน์กันอยู่ เช่น วิถีของลูกระเบิดที่โยนมา กระทบเสาเต็นท์ แล้วมันกระเด็น กระดอนกลับคืนไป จนตำรวจ จะเตะกลับคืนมาอีก แต่เตะไม่ถูก มันก็ระเบิด ใส่เขาเอง นี่ก็ยังพิจารณา พิสูจน์วิถีกันอยู่ว่า โยนมาจากไหน ใครเป็นคนโยน วิถีทางเริ่มต้น มาจากไหน เรายังจับไม่ได้ หรือแม้แต่ จะมีผู้ที่ไม่ประสงค์ออกนาม และก็พรางตัว ไม่ให้เห็นหน้าเห็นตา ไม่ให้เห็นตัวตน แต่มีอาวุธยิงลงมาถูกตำรวจ อันนี้เราก็มั่นใจว่า ไม่ใช่พวกเราแน่นอน เพราะเรากวดขัน ตรวจตราอาวุธจริงๆ และไม่ทำรุนแรงจริงๆ

แต่ถ้ามีผู้ที่ผสมผสานเข้ามาช่วย เพราะเขาเมตตา ที่เห็นฝ่ายเราถูกรังแก ก็อาจเป็นได้ ซึ่งอาตมาก็อธิบายได้ว่า มันเป็นไปได้ในสังคม เพราะคนที่ถูกรังแก เป็นประชาชน ที่เขามาทำดี คนทำดีแท้ๆ อยู่ดีๆก็มีคนมารังแก ด้วยอาวุธต่างๆนานา ซึ่งประชาชนก็ไม่ได้ตอบโต้ ไม่ได้ทำอะไรเลย เขาก็สงสาร เขาก็เมตตา เขาก็ต้องการช่วยเหลือ จะเข้าไปยับยั้ง จะเข้าไปช่วยเหลือ เขาจะเอามือเปล่าไปช่วยไม่ได้ เขาก็ต้องใช้อาวุธนั่นแหละ มันเป็นความปรารถนาดีของผู้นั้นเขา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เราก็ต้องขอบคุณเขา เท่านั้นเอง จะไปบอกว่า คุณมาทำให้ฉันเสียภาพพจน์ สงบ สันติอหิงสา ฉันเองไม่ได้ไปต่อสู้  ไม่ได้ไปใช้อาวุธตอบโต้ คุณมาทำให้คนอื่นเห็นว่า เราทำไม่ถูกต้อง เราก็ทำไม่ได้ นอกจาก จะขอบคุณจิตใจอันดีงาม ในความกรุณาของเขา จะให้เราทำยังไง

ใครจะมองเรา เข้าใจผิดว่าเราไม่บริสุทธิ์แล้ว ก็ไม่รู้จะทำยังไง อาตมาว่า จุดนี้ก็เป็นข้อบกพร่อง ที่มันไม่สมบูรณ์ ตามสัจธรรม ซึ่งฝ่ายเราจะไปคิดในแง่ไม่ดีใดๆ ก็ไม่ควรคิดเช่นนั้น แต่ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้าม เขาสงสัยคลางแคลง ได้จริงๆเหมือนกัน เอาเถอะ ก็พิสูจน์ความจริงกันไป

สรุปผลแล้ว ถึงแม้จะบวกลบคูณหารกันจริงๆ อาตมาก็ว่าใช้ได้ อาตมาว่า สะอาดบริสุทธิ์ได้ เท่าที่เป็นเท่าที่ควร ดียิ่งกว่าทุกๆครั้ง ทุกๆคราว แล้วก็ใช้พฤติกรรม สงบสันติอหิงสา อย่างแท้จริง ให้เห็นเป็นรูปธรรม ไม่ใช่โมเม แล้วก็เป็นเหตุการณ์จริงด้วย ยิงมาถูกเรา ก็ตายจริง บาดเจ็บจริงกันหลายผู้หลายคน ไม่ใช่เรื่องเล่นลิเกละคร ซึ่งแสดงแล้วก็ไม่ได้เจ็บจริง เอาน้ำหวานผสมสีมาราด ไม่ใช่นะ นี่มันเรื่องจริง

เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ อาตมาเจตนามุ่งมั่นที่จะให้เกิดดี เรียบร้อย ช่วยให้เกิดเป็นผลการเมือง ที่ชอบธรรม ตามที่มวลมหาประชาชน และสากล เรียกร้องต้องการ แต่จะได้อะไรแค่ไหน เราก็ไม่ได้ไปยึดมั่น ไม่มีเจตนาเกินมุ่งหมาย เท่าที่ควร ไม่ได้มีความตะกละ ตะกรามอะไร ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ สุดวิสัยก็แล้วไป ซึ่งทั้งเจตนาและความรู้สึกตนเอง ก็บอกไปแล้ว ทำไปด้วยเจตนา ที่จะช่วยเหลือเฟือฟายขึ้นมาได้  ไม่ได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร

อีกมุมหนึ่งที่ว่า ห่วงอาตมา อาตมาก็ไม่ได้กังวล ไม่ได้กลัวเกรงย่อยั่น แต่ก็ไม่ได้คะนอง ห่าม ทำอะไรบ้าบิ่น ทำอะไรเกินควร ก็ไม่หรอก ก็อย่างที่เห็น ไม่ได้ไปทำอะไรมากมาย แต่บอกได้ว่า มันก็เห็นสัจจะที่จริง ถ้าจะให้พูดไปลึกกว่านั้น ธรรมะมีฤทธิ์

ที่เห็นฤทธิ์ชัดๆคือ ฝ่ายโน้นเขาข่มเราลงไม่ได้ ทั้งที่เราเองไม่มีทางสู้หรอก ส่วนฝ่ายเขา เอาจริงๆจังๆ ถ้ารบกันอย่างในสนามรบ ตำรวจชนะแน่นอน เพราะว่ากองทัพประชาชน กับกองทัพตำรวจ ที่มีอาวุธพร้อมครบ และยังได้ซักซ้อมฝึกฝนมา รู้วิธีในการรบการฆ่าการปราบ ประชาชนไม่มีอะไรมาเลย ต่อให้มีมวลมากกว่านี้ก็แพ้ เพราะฉะนั้น ทำให้เห็นได้ว่า นี่เป็นธรรมฤทธิ์ เพราะว่าเป็นเรื่องของประชาชน กับผู้มีอำนาจ และเป็นคน ในชาติเดียวกัน  และที่สำคัญก็คือว่า แม้แต่ฝ่ายตำรวจ กับฝ่ายคณะรัฐบาล ที่ให้มาปราบปราม อย่างจริง แต่จิตใจพวกเขา ก็ไม่อำมหิตเกินควร ถ้าอำมหิตเกินควรจริงๆ พวกเราก็เรียบร้อย ตายกันเป็นเบือหมด แพ้แน่ ฝ่ายเขาทำชนะ ชนะจริงๆ เพราะฉะนั้น นี่คือธรรมะ ที่มีทั้งสองฝ่าย เป็นสัจจะ  เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นไปด้วยธรรมฤทธิ์แท้ๆ เขารุนแรงมาอยู่มาก ในตอนต้น สุดท้ายเขาก็แพ้ภัยตัว ด้วยจิตดีของเขานั่นแหละ ถ้าไม่มีจิตดี จิตเลวกว่านี้นะ พวกเราแพ้ จะตายมากกว่านี้อีกเยอะ เสร็จเขาหมดเลย เรียบร้อย จบ

วันนั้นถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ สันติปฏิวัติได้ไหม?

พ่อท่าน : ถูกต้อง สรุปแล้วว่า เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เป็นเรื่องเป็นปาฏิหาริย์ เป็นสันติปฏิวัติ ด้วยอำนาจความสงบ ด้วยธรรมาวุธ หรือบุญญาวุธ ที่มีฤทธิ์แรง สามารถทำให้ชนะ ผู้ที่มาห้ำหั่น ที่เขามีทั้งปืน มีด ระเบิด อาวุธยุทธภัณฑ์ได้ แม้กำลังของทหารตำรวจ ของผู้ได้ฝึกซ้อมฝึกหัด เพื่อการต่อสู้รบราฆ่าฟัน ความสงบก็สู้ได้ เป็นปาฏิหาริย์ เป็นความมหัศจรรย์ เป็นธรรมฤทธิ์ที่แท้จริง เพราะที่สนามผ่านฟ้า ถือว่าเป็นสนามที่ ไม่ตอบโต้จริงๆ สงบยิ่งกว่าจริงๆ สงบได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า วิถีทางแห่งสงบ สันติอหิงสา สู้กับความรุนแรงจริงๆ ได้อย่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เป็นเรื่องสุดวิเศษ

การที่เขายกพลมาที่เรามาก ทั้งที่พื้นที่เราสงบกว่าที่อื่น เพราะเขาต้องการขู่ ให้พวกเรากลัวลาน และรีบวิ่งหนีไปเลย แต่พวกเราก็มีธรรมะ ไม่กลัว สู้ด้วยความสงบ กล้าหาญ อันนี้เป็นธรรมฤทธิ์ จิตใจมนุษย์ ถ้าไม่มีธรรมะ กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวเสียต่างๆ มันก็กลัวทั้งนั้นแหละ ทำให้คนไม่มีกำลังสู้ แต่เรามีความกล้า ไม่ได้กล้าบ้าบิ่น เขาต้องการเอาอำนาจพวกนี้มาขู่ ทั้งที่เจตนาลึกๆ เขาก็คิดว่า ไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย บาดเจ็บเหมือนกัน เขาก็ไม่อยากทำ ก็เอามาขู่ด้วยพลทัพ กองทัพตำรวจ อาวุธก็มีซุกซ่อนไว้ ตอนแรกๆ ก็ยังไม่เอามาเปิดเท่าไรเลย ค่อยๆทยอยออกมาเท่านั้น คือมันเป็นเรื่องจิตลึกๆ ของคนยังมีธรรมะอยู่บ้าง แต่มีธรรมะที่คนละชั้น คนละระดับเท่านั้น

สงครามจะสงบเมื่อไร?

พ่อท่าน : เราพยากรณ์ไม่ได้ แต่เราก็มีความเห็น เท่าที่เห็นๆ ประเมินกันว่า ความจริงก็ไม่น่าจะนาน มันเคี่ยวข้น มันขอด มันงวดลงมามากแล้ว มันก็ควรต้องจบ ต้องหยุด ต้องถึงที่สุด ก็เห็นอย่างนั้นอยู่ แต่มันก็ยังไม่ถึงสักที แสดงว่า โอ้โฮ... มันดื้อด้านดึงดัน พยายามที่จะยึดอยู่ ให้นานที่สุด เท่าที่เขาจะหาวิธีการ ด้านดึงดันอะไรก็แล้วแต่ เขาทำได้ อย่างสุดฤทธิ์สุดเดช ของเขาจริงๆเลย ซึ่งอาตมาว่าเขายิ่งทำ คนที่เขามีปัญญา มีความเข้าใจชัดๆ ก็ยิ่งเห็นว่า มันไม่ชอบธรรม มันยิ่งหยาบ มันยิ่งด้านหนาหนัก มันยิ่งผิดมากขึ้น มันเป็นเรื่องซับซ้อนอย่างนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นสัจธรรม ที่ไม่น่าจะกังวลอะไร

มาถึงขั้นนี้แล้ว อาตมาไม่ได้พยากรณ์หรอก อาตมาว่ามันเป็นสัจจะ จบอย่างไร มันต้องจบ อึ่งอ่างพองลม แล้วท้องแตกตายเอง มันจบอย่างนั้นจริงๆ

ชัยชนะที่แท้จริง ในธรรมาธรรมะสงครามครั้งนี้คืออะไร?

พ่อท่าน : นี่แหละเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องลึกล้ำ แต่ลึกลับ สำหรับผู้หยั่งไม่ถึงเหตุ อิทัปปัจจยตา อันละเอียด สุขุมลุ่มลึกจริง ทุกอย่างมีเหตุ มาแต่เหตุ ผู้ไม่มีภูมิรู้ ก็รู้ไม่ได้ ถือเป็นอจินไตย เป็นเรื่องของธรรมะที่ชนะอธรรม เราชนะด้วยเมตตา ชนะด้วยใจไม่โหดเหี้ยม ใจไม่คิดร้าย มีแต่อโหสิ มีแต่อภัย และความไม่เอาโทษเอาภัยเขา คราวนี้ ถ้าใครมาร่วม ช่วยประท้วง มาช่วยร่วมรบสามารถทำใจในใจ ทำใจตนเองเป็น คือเราต้องอย่ามีอาการโกรธ อาฆาต รู้สึกไม่ดีกับศัตรูผู้ทำร้ายเรา เพราะคนที่ทำร้ายเรา คนนั้นเขาก็บาปแล้ว เขาอกุศลแล้ว เขาซวยแล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องไปซ้ำเติม ไม่จำเป็นต้องไป ใจไม่ดีกับเขา ควรจะต้องมีใจดีกับเขา พระพุทธเจ้าสอนว่า เราจะต้องเอาชนะความไม่ดี ด้วยความดี ชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ ต้องทำอย่างนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าใครทำใจให้เกิด ความเมตตา ไม่เอาเรื่อง อภัย อโหสิ ได้จริงๆเลย นั่นคือทรัพย์  นั่นคือผลประโยชน์ นั่นคือกำไรที่เราได้

แรงงานเราเสีย เงินทองเราเสีย เวลาเราเสีย วัตถุเราจ่าย เราจ่ายเราเสีย แต่นี้คือทรัพย์อันยิ่งใหญ่ เรียกว่า อาริยทรัพย์ของคน เราได้ ใจของเราเป็นกุศล ใจของเราไม่เกิดอกุศลเลย มีแต่เกื้อกูล มีแต่อโหสิ ใครทำได้ คนนั้นเกิดผลในใจ นี่คือธรรมะของพระพุทธเจ้า เรียกว่า มนสิการ การทำใจในใจ ใครทำเป็นทำได้ เรียกว่า โยนิโสมนสิการ ทำใจในใจของเราอย่างถ่องแท้ อย่างถูกต้อง คนใดทำได้ คนนั้นได้ผล ได้กำไร

เรามารบคราวนี้ เราจ่ายแรงงาน เราจ่ายวัตถุ เราจ่ายเวลา เราจ่ายเรี่ยวแรงต่างๆนานา เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ความสุขสบาย ความสะดวกสบาย เราก็ไม่ค่อยมี แต่ผลที่จะได้ คือจิตใจนี่แหละ คือทรัพย์อันยิ่ง เพราะฉะนั้น ทุกคนพยายามเอาให้ได้ ทำได้ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทำได้ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ทุกลมหายใจเข้าหายใจออก เรียกว่า อานาปานสติ มีสติแล้วทำอย่างนี้ได้ นี่แหละ ผู้นั้นได้ประโยชน์

    บทสรุป

กฎแห่งกรรมเที่ยงตรงที่สุด
และคือความยุติธรรมของทุกคน
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เมื่อคนชั่วคือ ภัยร้ายของแผ่นดิน
หน้าที่ของคนไทย ต้องลุกออกมาขับไล่
เมื่อเขาอวิชชาก่อบาปกรรมหนัก
หน้าที่ของศาสนา ต้องออกมาชี้ถูกชี้ผิด
เราทำหน้าที่ถูกแล้ว ทำให้สมบูรณ์เถอะ
แม้เหน็ดเหนื่อยหนักหนาแสนสาหัส
จงภาคภูมิตนเองเถิดในความกล้าหาญเสียสละ  
ในความรักชาติ มีความอดทนและมีน้ำใจ
อาริยทรัพย์ที่เราทำได้ให้แก่ตัวเอง
เป็นรางวัลในตัวของมันเอง
ที่คนดี ทำดีได้ดีตามสัจจะอัตโนมัติ
ไม่มีใครกั้นได้ และแถมให้ก็ไม่ได้
จริงเท่าจริง น้อยมากเท่าที่เป็นจริงทำจริง.

สารอโศก อันดับ ๓๓๓ เดือน มกรา-มีนา ๒๕๕๗ หน้า ๕๒-๖๑ สิบห้านาทีกับพ่อท่าน