อัตตาภวตัณหาลึกๆ

เนื่องในงานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ ๑๗
เมื่อค่ำ วันมาฆบูชา ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก


เจริญธรรม ญาติโยม ผู้เป็นลูกพระพุทธเจ้าอยู่ ทั้งหลาย

วันนี้เป็นวันสำคัญ เป็นวันมาฆบูชา วันมาฆบูชาคือวันเพ็ญเดือน ๓ ซึ่งเป็นวันที่ตามประวัติของ พระพุทธเจ้า ก็รู้กันมาดี เป็นวันสำคัญ ในทางประวัติศาสตร์ ของศาสนาพุทธเรา เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ได้เทศนา สารัตถะของคำเทศนาสำคัญ พระอรหันต์เจ้าทั้งหมด ในวันนั้น ที่มาประชุมพร้อมกัน โดยไม่ได้นัดหมายกันเลย ๑,๒๕๐ รูป และเป็นพระอรหันต์ ที่พระพุทธเจ้า ท่านบวชให้เอง เป็นเอหิภิกขุ ทุกรูปด้วย ไม่ได้นัดหมายกัน ก็มาพร้อมกัน

ความจริงแล้วอาตมาเข้าใจ และรู้ลึกๆ ซึ่งเป็นเรื่องของ สภาพนามธรรม เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่ลึก ก็รู้อยู่ว่า ทำไม จึงเกิดเหตุการณ์นี้ อาตมาเคยอธิบาย ให้พวกเราฟังบ้าง แต่ก็คงยากที่จะเข้าใจ เพราะว่า เหตุปัจจัยอะไรก็ตาม เมื่อเราได้สั่งสม เมื่อเราได้ทำให้มันเกิดขึ้น สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น ค่อยๆสะสมขึ้นไป ตามลำดับๆ เมื่อเกิดขึ้นตามลำดับๆแล้ว มันก็จะเป็นสภาพนั้น ลงตัวได้สัดส่วน ที่พอเหมาะเช่นนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น คำนี้ทางโลก เขาเรียกว่า พรหมลิขิต เขาเรียกว่าดวง หนังจีนนี่เขาจะพูดบ่อยเลย โอ ฟ้าประกาศิต อะไรบ้าง สำนวน ฟ้าลิขิต เหตุไปตามฟ้าลิขิตแล้ว ความจริงไม่มีอะไร ที่มีอำนาจเหนือกรรม ฟ้าจะลิขิต จะเป็นไปอย่างนั้น จริงเลยนะว่า มันจะต้องตรงอย่างนี้ ต้องออกมารูปนี้ มาเป็นอื่นไปไม่ได้ ก็เพราะเหตุปัจจัย มันสมบูรณ์ เหตุปัจจัยนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะกรรม ได้สั่งสมมาอย่างนี้ เราจะระบุว่า นี้น่ะฟ้าลิขิต เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่แหละคือดวง นี่แหละคือ พรหมลิขิต นี่คือพระเจ้าสั่ง พระเจ้าประทาน พระเจ้ามีพระประสงค์ ให้เป็นเช่นนี้ คำพูดเหล่านี้ไม่ผิด แต่มันผิดตรงที่ว่า ถ้ามันไม่มีเหตุปัจจัย ครบสมบูรณ์แล้ว พระเจ้าก็สั่งอย่างนี้ไม่ได้ มันผิดตรงนี้ พรหมจะลิขิต ให้เป็นอย่างนี้ ก็ไม่ได้ ฟ้าจะลิขิต ให้เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ ดวงก็ไม่เป็นอย่างนี้ ถ้าเหตุปัจจัยแห่งกรรมนั้น ไม่สมบูรณ์ ไม่ลงตัว ไม่ครบ

ศาสนาพุทธเรา จึงไม่ได้อยู่ที่ฟ้าลิขิต ไม่ได้อยู่ที่พระเจ้าสั่ง ไม่ได้อยู่ที่ดวงอะไร ที่ลอยๆ ลม เพ้อๆ พกๆ แต่อยู่ที่กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ อยู่ที่กรรมของตนๆ ใครสั่งสม เหตุปัจจัยอย่างไร ก็เป็นวิบากอย่างนั้น

แม้แต่พระอรหันต์เจ้า ตั้งพันกว่าองค์นั้น จะมาเกิดอย่างนั้น จะมาประชุม ในวันมาฆบูชา พรั่งพร้อมกัน ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ ที่มันบังเอิญ ไม่ใช่เหตุการณ์ ที่มันเกิดใครสั่ง พระเจ้าไหนมาสั่ง ไม่ใช่ เหตุการณ์มันจะต้อง เป็นเช่นนั้น ลงตัวอย่างนั้น และไม่ใช่ครั้งเดียว พระพุทธเจ้า กี่พระองค์ๆ ก็มีวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันที่จะต้อง มีพระอรหันต์เจ้าทั้งสิ้น ไม่มีผู้คนอื่น ที่นอกเหนือ ความเป็นอรหันต์เลย ทุกพระองค์ เป็นพระอรหันต์หมด จะต่างกันอยู่บ้าง ตรงที่จำนวน พระอรหันต์ มากน้อยกว่ากัน ตามแต่บารมี ของพระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ บางองค์มีมาฆบูชา ถึงหลายครั้ง สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง ห้าครั้ง ในชั่วชีวิตของพระองค์ ของพระพุทธเจ้า บางพระองค์ ในประวัติศาสตร์ พระไตรปิฎกเล่าเอาไว้หมด เรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่อาตมาพูดเอง ในพระไตรปิฎก เล่าเอาไว้ทั้งนั้น

บางพระองค์นี่ วันมาฆบูชา มีพระอรหันต์เจ้า มาประชุมกัน ล้านองค์ เป็นล้านก็มี แล้วแต่ พระพุทธเจ้าบางพระองค์ แต่ไม่ได้หมายความว่า พระพุทธเจ้าองค์ที่มี พระอรหันต์เจ้า มาประชุม ตั้งล้านองค์นี่ จะเป็นพระพุทธเจ้าที่เก่งกว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดม ที่มีพระอรหันต์มาแค่ ๑,๒๕๐ องค์ ก็ไม่ใช่ ที่ไม่ใช่ตรงไหน ไม่ใช่ตรงที่ว่า ก็พระพุทธเจ้า องค์ที่ตรัสรู้ ในยุคที่มันง่าย ในยุคที่มีแต่คนดีๆ มีแต่คน ปัญญาดีๆ มีพระอริยเจ้า มีพระอรหันต์เยอะแยะ เทศน์ปั๊บเดียว บรรลุกันเป็นล้าน เทศน์ปั๊บเดียว บรรลุกัน เป็นหลายล้าน อย่างนั้นละก็ มีพระอรหันต์เจ้าเยอะ เพราะในยุคคนดี

ส่วนพระพุทธเจ้าสมณโคดม อยู่ในยุคคนชั่ว ตั้งมากตั้งมาย ปลายภัทรกัปแล้ว ได้๑,๒๕๐ รูป มานี่ ก็เก่งยอดแล้ว เพราะฉะนั้น แหม หืดขึ้นพระศอ ยากแสนยาก อาตมาไม่ประหลาดใจ อาตมาสอนพวกคุณยาก ไม่ใช่หืดขึ้นคอ มะเร็งขึ้นคอ หนักกว่าหืดขึ้นคอ ขนาดนั้น ยังไม่มีพระอรหันต์เจ้า สักองค์เลย แต่ก็มีได้
"จะพูดไปแล้ว พวกเราไม่มีอริยคุณ ถึงวันนี้ อาตมาประกาศอย่างนี่แหละ พูดอย่างนี่แหละ และก็ไม่ใช่เพิ่งพูด อาตมายิ่งมั่นใจ เพราะอาตมาบอก พูดซ้ำซาก บอกพวกคุณ ไม่รู้กี่ที อาตมาไม่เชื่อว่า คุณจะมา หลอกอาตมา ไม่เชื่อๆ พวกคุณจะมาหลอก มาแกล้ง ทำเป็นเอาใจอาตมา อดได้ ทนได้ ลดได้ ลดลาภ ลดยศ ทิ้งลาภ ทิ้งยศออกมาได้ ทิ้งสรรเสริญ ทิ้งโลกียสุข มาๆ อดๆ สิ่งอร่อย สิ่งหวานหอม สิ่งยั่วยวน ทางโลกีย์นี่ พยายามแกล้ง มาทำให้อาตมา หลงดีใจ แกล้งให้จนตายน่ะ แกล้งให้ได้จนตาย แกล้งดูเถอะ อาตมาไม่เชื่อจริงๆ ไม่เชื่อพวกคุณมาแกล้ง ไม่เชื่อว่าพวกคุณ มาจัดฉากให้อาตมา ใช้สำนวน ให้มันทันสมัยหน่อย สำนวนจัดฉาก เขาใช้ทันสมัย อาตมาไม่เชื่อ พวกคุณมาจัดฉาก หลอกอาตมา อาตมาเชื่อว่า พวกคุณจริงใจ และพยายาม ที่จะพากเพียร พยามที่จะอบรม ฝึกฝนให้ได้ ได้มาก ได้น้อยอะไร พวกคุณก็ทำ

มาถึงวันนี้ ๒๐ ปี ๒ ทศวรรษมาแล้ว อาตมาได้มาขนาดนี้ พวกคุณได้ อริยคุณ อาตมาย้ำอีกว่า พวกคุณ ได้อริยคุณ ได้แต่ละบุคคล ส่วนใครที่ยังไม่ได้ หรือได้กด ได้ข่มอยู่ ยังไม่แน่ไม่นอน ก็ทำเอา อาตมา ก็ไม่ได้ไปบอก แต่ละบุคคล เพราะว่า การไปพยากรณ์คนนี่ มันยากจริงๆ

... ฯลฯ ...

อาตมาก็ไม่ได้พยากรณ์พวกเราด้วยซ้ำ แต่พวกเรา ก็รู้ตามภูมิ เพราะพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่สอน ให้ผู้นั้น ผู้นี้พยากรณ์ ท่านสอนให้รู้ด้วยตน ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ตนของตน รู้ได้ด้วยตน อาตมาก็แนะนำว่า อย่าให้ท่าน มาสอบญาณเรา ญาณเราก็ต้อง เป็นญาณของเรา ไม่ใช่คนอื่นมาสอบ และมาบอกว่า นี่ญาณ ๓ ญาณ ๔ ญาณ ๕ ญาณ ๘ นี่ญาณ ๖ ญาณอะไรก็ไม่ใช่ เราต้องรู้ว่า เรามีญาณ ญาณที่รู้ว่า กิเลสคืออะไร และเราก็ลดละกิเลส ได้หรือไม่ ลดกิเลสแล้ว เราจะเป็นสุขอย่างไร ซึ่งมันย้อนแย้ง มันทวนกระแส สังคมมาก ความเข้าใจของ พุทธศาสนา ทุกวันนี้ มันเพี้ยนไป มันเปลี่ยนไปเยอะ เข้าใจว่า พระอริยะนี่ กลายเป็นฤาษีชีไพร ที่มะงุมมะงาหลา ซื่อเซ่อ ไม่รู้เรื่องโลก หยุด เฉย หนักเข้า ตาก็ไม่ลืม นั่นแหละท่านสงบ ไปพูดกับท่าน ท่านก็ไม่ค่อยพูด อุ๊ย ท่าน ท่านสงบ ไม่พูดว่าใคร ไม่วิจารณ์ใคร แถมถาม รู้เรื่องอะไรไหม? ไม่รู้นั่นแหละอริยะ

และจะต้องอยู่ห่างผู้คนด้วย ต้องอยู่แต่ผู้เดียว ผู้อยู่แต่ผู้เดียว พาซื่อด้วย ไปอยู่ผู้เดียวจริงๆ ก็อาตมาเอาธรรม ของพระพุทธเจ้า มายืนยันแล้วว่าผิด ต้องอยู่กับหมู่ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี นี่แหละ เป็นทั้งสิ้น ทั้งหมด ของพรหมจรรย์ ของศาสนา และก็มีสูตร ต้องอยู่เข้าใกล้ ใกล้บัณฑิต ต้องอยู่ใกล้ศาสดา ใกล้ผู้รู้ ใกล้มิตรสหาย ที่จะนำพาให้เราดี หรือแม้แต่บอกว่าคำว่า อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสองนั้น ต่อให้อยู่ป่า แต่ผู้เดียว แต่มีกิเลส ผู้นี้มีเพื่อนสอง หรือไม่อยู่แต่ผู้เดียว ไม่ใช่เอกะ แต่ถ้าผู้ใด ที่ต่อให้อยู่กับหมู่ฝูง ต่อให้อยู่กับ ผู้ที่คลุกคลีเกี่ยวข้อง ทั้งหมดเยอะแยะ แต่จิตของเราสงบ จิตของเราว่าง จิตของเรา สะอาดจากกิเลส ผู้นี้คือ ผู้ที่อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง เดี๋ยวเถอะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป บรรยายไป ปลุกเสกนี่ จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ บทนี้ อาตมาก็เอามาพิสูจน์ล่ะ สูตรนี้อาตมา ก็เอายืนยัน ความมีเพื่อนสอง กับความที่อยู่ปกติผู้เดียว คืออะไร ท่านก็เอามา บรรยายไว้ชัดเจน แต่คนก็เข้าใจไม่ได้ เข้าใจว่า อยู่แต่ผู้เดียว มีปกติอยู่แต่ผู้เดียว ไปเป็นประเภท อยู่แต่ผู้เดียว เอาร่างกายไปอยู่ ซึ่งมันค้านแย้งนะ พระสูตรนี่ ยืนยันชัดนะ ต่อให้อยู่กับหมู่ฝูง ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้เอาจิต ไปอยู่กับหมู่ฝูง ก็หมายถึง อยู่กับหมู่ฝูงนี่แหละ อยู่คลุกคลีกับแม้แต่ ท่านบอกมหาอำมาตย์ ราชอะไรต่างๆ ท่านบอกอยู่กับเพื่อนสอง อยู่กับเพื่อน มหาอำมาตย์ อยู่กะอุบาสก อุบาสิกาเกลื่อนกล่น แต่จิตสะอาด นี่คือ ผู้อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง อย่างนี้เป็นต้น มันยาก คนเรานี่ มันพาซื่อ มันก็ฟังแต่ประโยคที่ตัวเองชอบ ไม่เอาอย่างครบครันนะ

ในหลายๆอย่าง ที่เอามาบรรยายกันแล้วนี่ ศาสนาพระพุทธเจ้านี่ มันเลยไม่เป็นประโยชน์ คุณค่า ต่อมนุษยชาติอย่างสูง เอาเถอะ เขาเข้าใจไม่ได้ อาตมาก็รู้ แต่อาตมาก็ต้องพูด พวกคุณเข้าใจได้ก็ดี และอาตมา จะพาพวกเรานี่แหละ พิสูจน์ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีประโยชน์คุณค่า ต่อมนุษยชาติ ต่อบุคคล เป็นสังคมมนุษยชาติ หลากหลาย พหุชนะหิตายะ เป็นประโยชน์ต่อ มวลมนุษย์ส่วนมาก ส่วนใหญ่ อย่างแท้จริง ยิ่งทุกวันนี้ อาตมาเห็นว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้า ทันสมัย ล้ำสมัย ยิ่งสังคมเป็นอย่างทุกวันนี้ โอ้โฮ ! อาตมายิ่งเห็นว่า ต้องเอาธรรมะ ของพระพุทธเจ้า มาปลูกฝัง ลงที่มนุษย์ แล้วให้มนุษย์ได้รับ คุณธรรมคุณภาพอันนี้ เมื่อได้คุณธรรม คุณภาพอันนี้ นี่ๆๆ แหละ มันจะยืนยันของเรา เริ่มได้ เริ่มมีสภาพจริง มีบุคคลรับได้จริง และมีบุคคล เป็นไปได้จริง ยังไม่มาก แต่มีรูปร่าง มีแล้วขณะนี้มี นี่กำลังเริ่มต้น ขึ้นไปเรื่อยๆ สองทศวรรษมานี่ มีรูปร่างของสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีพขึ้นมาได้ขนาดนี้ มันจะครบวงจร ขึ้นมาเรื่อยๆ มันจะมีรูปแบบ มันจะมีนามธรรม เป็นสภาพที่ชัดเจนว่า อ๋อ สังคมมนุษย์ ที่มีเนื้อหาของ ศาสนาพระพุทธเจ้า ในตนในคน เนื้อหาของใคร ก็แล้วแต่ ที่มีนี่ เป็นอย่างนี้เองหนอ มีชีวิตเป็นอย่างนี้หนอ เป็นอย่างไร

กถาวัตถุ ๑๐ มักน้อย มักน้อยไม่ได้แปลว่า ทำงานน้อยๆ ก็ฉันมักน้อย ฉันทำแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ใช่ ! ทำให้มากๆ แล้วเอาไว้น้อยๆ นั่นแหละมักน้อย ไม่เช่นนั้น จะยืนยันว่า คุณมักน้อยได้อย่างไร ก็คุณไม่ทำ คุณก็ไม่มี คุณก็ไม่เอา ก็คุณก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว ขี้เกียจ มีมากๆ เป็นสิทธิของคุณ คุณสร้างมากๆ มีฝีมือ มีความสามารถ สร้างได้มากๆ แต่คุณก็เอาไว้แต่น้อย พออาศัย หรือไม่เอาไว้เลย นั่นแหละ มักน้อยแล้ว มักน้อยเป็นอย่างไร ใจมันพอสันโดษ กถาวัตถุ ๑๐ นี่มันเกี่ยวเนื่องกัน สมังคี มักน้อย สันโดษ วิเวก

ปวิเวกะ สงบดี สงบไม่ได้แปลว่าอยู่นิ่งๆ สงบคือ กิเลสมันไม่ขึ้น สงบนี่คือใจมันหยุด กิเลสไม่เกิด ไม่ดีดดิ้น ในกิเลส แต่จิตนิ่งไหม นิ่ง, จิตคิดไหม คิด, คิดได้เร็ว รับรู้ได้มาก ประสิทธิภาพของจิต เต็มที่เลย รู้แจ้ง รู้รอบ รู้จริง รู้ลึก รู้กว้าง รู้อย่างรวดเร็ว ว่องไว มีปฏิภาณ ชาญฉลาดเร็วยิ่ง กิเลสก็ไม่เกิด มันซ้อนเชิง อยู่อย่างนี้

จิตที่ทำงาน เป็นปกติมนุษย์เลย ตื่น ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้รู้โลกเป็นพหูสูต ฉลาดเฉลียว แต่จิตนิ่ง จิตสงบ จิตวิเวก จิตเป็นอุปธิวิเวก คือไม่มีกิเลสเกิด องค์ประชุมของจิตสงบ ราบรื่นดี กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก ครบวิเวก ๓ ไม่ได้หมายความว่า วัตถุวิเวก เสนาสนวิเวก ไปอยู่ที่เงียบๆ ไปอยู่ที่สงบ แล้วก็หลับหูหลับตา อยู่นิ่งๆ ไม่ใช่ จิตสงบ ใจพอ มักน้อย อสังสัคคะ ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องกับกิเลส ไม่ดูดไม่ซึมกับกิเลส เกี่ยวข้องกับ คนมีกิเลส แต่ไม่เกี่ยวไม่เกาะกับกิเลส ของบุคคลที่เขามีกิเลส หรือ กิเลสของบุคคลอื่นๆ หรือไม่ยั่วยุ ให้เกิดกิเลส ท่านก็สะอาดบริสุทธิ์ อสังสัคคะไม่เกี่ยว กิเลสไม่เกี่ยว จิตของท่านไม่เกี่ยว แต่ท่านเที่ยวสัมพันธ์สร้างสรร ช่วยเหลือเกื้อกูลได้ ได้อย่างเก่งด้วย อสังสัคคะ

เพราะฉะนั้น คำว่าไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องนี่ มันลึกซึ้งมาก ไม่ใช่ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้อง หนีไม่คลุกคลีเกี่ยวข้อง อะไรเลย อย่างนี้ง่าย ธรรมะของพระพุทธเจ้า มันลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก ถ้าเรื่องง่ายๆ อย่างนี้ ไม่ต้องมี พระพุทธเจ้าตรัสรู้หรอก ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องนะ ใครไม่เข้าใจเหรอ อย่างนี้ไม่ต้องไปอาศัย พระพุทธเจ้าสอน อย่างนี้ใครๆ ก็สอนได้ ฤาษีสอนมาก่อนพระพุทธเจ้า ไม่ต้องคลุกคลี เกี่ยวข้องกับอะไรนัก ปลีกเดี่ยวไปเลย อยู่กับโน่น ป่าเขาถ้ำ โดดเดี่ยว ไม่ต้องคลุกคลีกับใคร ไม่ต้องวุ่นวายอะไร โลกเขาก็อยู่กับ โลกของเขา เราก็อยู่ของเรา ขุดรูอยู่ได้ยิ่งดี ใครก็เข้าใจอย่างนี้ ไม่ต้องอาศัย พระพุทธเจ้าสอนหรอก และเขาก็สอน มาก่อนด้วย ฤาษีทั้งหลายแหล่ หนีไปอยู่ภูเขาหิมพานต์ เยอะแยะ ต่างคนต่างมุดอยู่ ของใครของมัน มากมาย ไม่ต้องอาศัยความรู้ ระดับซับซ้อน ลึกซึ้งยาก ไม่ใช่ง่าย บอกแล้ว ทุรนุโพธา ทุททัสสา เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก เดาไม่ออก ถ้าไม่เป็นจริง ไม่มีจริงนี่ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่ได้จริงเป็นจริง ในสภาวะที่ลึกซึ้งอย่างนี้ ไม่เชื่อ ไม่ใช่ของง่ายๆ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร เป็นคนขยัน หมั่นเพียรอยู่ เห็นได้เลย ส่อถึงความเพียร ส่อถึงความขยัน ไม่ใช่เอาแต่นั่งเฉย ดูดาย ใครจะเป็นจะตาย ฉันว่างแล้ว ใครจะเป็นจะตาย ฉันไม่เกี่ยว เกี่ยวไปเดี๋ยวผิด ที่ท่านสอน ที่คลุกคลี ไปเกี่ยวข้อง ฉันก็ไม่เกี่ยว ง่ายๆ แบบนี่นะ โอ้โฮ มันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ได้ยินไหมว่าไม่ใช่ มันไม่ใช่

ท่านเป็นผู้ที่มีความเพียรเห็นได้ชัด ขยันสร้างสรรอยู่ ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อความไม่ขยัน ธรรมนั้น วินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต มีศีล กถาวัตถุข้อที่ ๖, มีสมาธิ ข้อที่ ๗, มีปัญญาข้อที่ ๘, มีวิมุติ ข้อที่ ๙, มีวิมุตติญาณทัสสนะ ข้อที่ ๑๐ กถาวัตถุทั้ง ๑๐ ข้อนี้ สมังคี เพราะเรามีศีล มีศีลอย่างไร แปลศีลว่าปกติ ปกติคนดื่มเหล้า ไอ้หมอนี่ มันดื่มเหล้าเป็นปกติ มีศีลแล้วหรือ ศีลท่านก็บอกว่า อย่าดื่มเหล้า คุณก็ต้อง มาเลิกดื่มเหล้า จนคุณเป็นปกติ ปกติถึงกายวาจา ปกติถึงใจ ใจเป็นปกติเลย ไม่ต้องฝืด ต้องฝืน ไม่ต้องลำบากลำบน เป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องเลิกขาด จิตไม่หลงใหลอาวรณ์ ไม่ติดไม่ยึด ไม่เสพ ไม่อยาก เหล้าไม่อยาก จิตเป็นปกติ กายวาจาก็ไม่ต้องไปเอามาดื่ม ไม่ต้องดื่มเหล้า อย่างนี้เป็นต้น นี่จึงจะเรียกว่า เป็นผู้มีศีล ที่ปฏิบัติประพฤติแล้ว ด้วยกายวาจาใจ บริสุทธิ์สะอาด จนเป็นปกติ

เพราะฉะนั้น ไปแปลว่าปกติดื้อๆ ซื่อบื้ออะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่ปกติที่เขาหมาย ความหมายแค่ปกติอย่างนี้ อาตมาก็เห็นว่า เขายังไม่เข้าใจกัน ต้องปรับเปลี่ยน ให้มาเป็นปกติ สอดคล้องที่พระพุทธเจ้า ท่านหมายว่า ต้องเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ สะอาดอย่างนี้มา เมื่อบริสุทธิ์สะอาด จนเป็นธรรมดา จนเป็นปกติ จนเป็นสามัญแล้ว เป็นเรื่องที่ ไม่ลำบากแล้ว แต่เป็นวิสามัญ จากปุถุชน วิสามัญจากคนส่วนมาก ส่วนใหญ่ แต่เป็นสามัญ เป็นธรรมดาแล้ว เป็นของง่าย เป็นอัตโนมัติด้วย เป็นตถตา เป็นเช่นนั้น จนกระทั่ง เป็นเองเลย เป็นปกติ เป็นเอง เป็นในตัว เป็นโดยไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องไปศึกษาอีก ไม่ต้องไปสำรวม ไม่ต้องไปสังวร มันก็เป็นอย่างนั้น ของมันเอง เรียกว่า ตถตา เพราะบริสุทธิ์แล้ว เป็นปกติแล้ว สะอาดแล้ว จึงเรียกว่า เป็นผู้มีศีล อันอเสขศีล ศีลอันไม่ต้องศึกษาอีก อเสขะ ศีลอันไม่ต้อง ประพฤติอีก ศีลอันไม่ต้องไปอบรม เรียนรู้อีกแล้ว เพราะจบแล้ว เสร็จแล้ว สมบูรณ์แล้ว เป็นอย่างนั้นเองแล้ว ตถตาแล้ว กิเลสก็สูญญตาแล้ว ตัวตนของกิเลส ก็หมดแล้ว อนัตตาแล้ว วิมุติแล้ว นิพพานแล้ว

ยกตัวอย่างเรื่องเหล้า ก็เรื่องเหล้าเป็นนิพพานแล้ว อนัตตาแล้ว เป็นตถตาแล้ว สูญญตาแล้ว เรื่องอื่นใด ก็แล้วแต่ ถ้าเรายัง อ่านจิตไม่เป็น อ่านอาการ อ่านอารมณ์เกี่ยวข้อง กับสิ่งอย่างนี้ๆ แล้วก็เกิดอารมณ์ เกิดอาการอยู่ จนมันไม่เกิดจริงๆเลย ญาณของเรารู้เองเลยว่า มันไม่มีกิเลสในเรื่องนี้ ที่เกี่ยวข้องเมื่อไหร่ สัมผัสเมื่อไหร่ จิตของเราก็ ไม่มีกิเลสเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ได้หมายความว่า อสังสัคคะ คือไม่ต้องเกี่ยวข้องแล้ว หรือเราไม่ต้องเกี่ยวข้อง ด้วยกายวาจา เกี่ยวข้องกัน สัมผัสสัมพันธ์อย่างไร ได้ มีอายตนะ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสอยู่ มีอายตนะนอก อายตนะใน วิญญาณ ซึ่งเป็นผัสสะ เมื่อเจอผัสสะแล้ว เกิดเวทนา อย่างไร เมื่อเกิดเวทนาอย่างไร แล้วแยกวิเคราะห์เวทนา ที่เป็นเคหสิตะ เป็นเนกขัมมะออก ลดเคหสิตะ จนเป็น เนกขัมมะ จนสูงเป็นอุเบกขา เนกขัมมสิตอุเบกขา จนจิตวาง จิตเฉย จิตว่าง จิตปราศจากกิเลสนั้น อ่านอาการ ของจิตออกเลย เหตุปัจจัยอันนี้หมด เราหมดกิเลส เหตุปัจจัยนี้ยังอยู่ ต่อให้เหตุปัจจัยอันนี้แรง ยั่วยุ กระแทก

คนบางคนสู้แรงของเหตุที่เป็นเหตุแห่งกิเลส ทำให้เกิดกิเลส เหตุนี่แรงนะ จัดจ้าน โอ้โฮ ถ้าคนมีอินทรีย์พละอ่อน สู้ไม่ได้แพ้ แต่ผู้ที่หลุดพ้นแล้วนี่ ไม่มีแพ้ ที่อธิบายไปแล้ว เกี่ยวเนื่องกับสมาธิแล้ว ที่อธิบายไปแล้ว เกี่ยวเนื่อง กับปัญญาไปแล้ว ปัญญาคือญาณ ปัญญาหรือญาณ ต้องเห็น ต้องอ่านรู้ รู้ในตัวเรา รู้ว่าเราเอง เราได้ปฏิบัติประพฤติ เข้าหลัก สัมมาอริยมรรคหรือไม่ ถึงปรมัตถ์หรือไม่ ปรมัตถ์คือ รู้จักจิต เจตสิก ของเราเอง และก็มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ รู้ว่าเราวิจัยกิเลสออกหรือไม่ อาการของกิเลส เป็นอย่างไร ระงับกิเลส ลดกิเลส ทำให้กิเลส มันอ่อนแรง จนกระทั่ง มันตาย กิเลสยิ่งตาย จิตยิ่งใสสะอาด จิตยิ่งมีประสิทธิภาพ จิตยิ่งรู้ยิ่งรอบ ยิ่งเร็วยิ่งแรง จิตยิ่งเก่ง ไม่ใช่จิตยิ่งฝ่อ จิตยิ่งไม่รู้เรื่อง จิตยิ่งโง่ จิตยิ่งทึบ ยิ่งหยุด ไม่ใช่ !

จิตยิ่งแคล่วคล่องๆ จิตเป็นผู้ตื่นเต็ม ประสิทธิภาพของจิต ยิ่งวิเศษ แล้วก็จะรู้โลกกว้างเพิ่มขึ้น เป็นโลกวิทู เป็นพหูสูต เป็นผู้ที่มีความรู้ ที่แท้จริง ไม่ใช่ความรู้แต่แค่ปริยัติ แต่แค่ทฤษฎี แต่แค่ความรู้ความหมาย เป็นเหตุ เป็นผล เป็นตรรกศาสตร์ ไม่ใช่ ! เป็นการรู้ความจริง ตามความเป็นจริง ของจริงที่ปรากฏ ของจริงที่ท่านรู้ของท่าน ได้ของตนเอง นั่นแหละ รู้ของตนเอง ที่เกิดที่มี ไม่ใช่ไปยืมรู้ ของคนอื่น ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา แล้วก็เพ่งรู้ของคนอื่น ไม่ใช่ ! ต้องรู้ของตนในตน เป็นสันทิฏฐิโก ตนเองควรปฏิบัติเอง และได้เอง จนเกิด ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ ตนเองเป็นบัณฑิต เวทิตัพโพ ก็คือผู้รู้ หรือบัณฑิต วิญญูชน วิญญูหิ ปัจจัตตัง ตนของตน รู้ในตน

เพราะฉะนั้น ลักษณะ กถาวัตถุ ๕ อันหลังนี่ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุตติญาณทัสสนะ นี่สัมพันธ์กัน ร้อยเรียงกันไปหมด ปฏิบัติแล้ว ศีลขัดเกลา กายวาจาใจ

ญาณ ตามรู้ๆๆ จิตกิเลส วิมุติๆๆๆ ญาณก็สูงขึ้นมาเป็น วิมุตติญาณทัสสนะ คือญาณ เข้าใจถึงวิราคะ เข้าใจถึงวิมุติ เข้าใจถึง การละจางคลาย วิราคะ เข้าใจจนกระทั่งถึงจบ วิมุติหลุดพ้น มีญาณที่รู้จักวิมุติ คืออย่างนี้ หลุดพ้นแล้ว ดับสนิทแล้ว กิเลสหมดแล้ว หมดอัตตา หมดอัตนียา ของกิเลสแล้ว ไม่มีตัวตน ของกิเลสแล้ว และเป็นอย่างไร คนๆนี้ก็เป็นผู้ที่ มักน้อยได้ ทำไมคนต้องมักน้อย เพราะคนคนนี้ ไม่เปลือง คนๆ นี้ ไม่ต้องอาศัยอะไร มาบำเรอตนมาก เพราะฉะนั้น คนเรานี่ อะไรก็ต้องมาก ที่อยู่นี่ก็ต้องใหญ่ สมบัติอะไร ก็ต้องมีมาก ไม่อย่างนั้น ศักดิ์ศรีขายขี้หน้าเขา มีน้อยไม่ได้หรอก โลกเขาบอกนี่ พวกที่ประสบ ผลสำเร็จนี่ ต้องมีมากๆ มีบ้านช่องเรือนชาน ทรัพย์ศฤงคาร

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ โดยการหาแผ่นดิน เป็นเจ้าแผ่นดิน ให้แก่พ่อแม่ ทรัพย์ศฤงคาร ในระดับเป็นเจ้าแผ่นดิน เจ้าแว่นแคว้นเลย ก็ยังไม่ใช่การตอบแทน บุณคุณพ่อแม่เลย ในสูตรนี้ ที่ท่านหมาย หรือการอุ้มชูพ่อแม่ อันนั้น คือทรัพย์ศฤงคาร ในประเด็น ของแง่ใคร จะตอบแทน บุญคุณพ่อแม่ หาทรัพย์ศฤงคาร หาบ้านหาเมือง บ้านช่องเรือนชาน แผ่นดินเลย ให้ถึงขนาดหาแผ่นดินให้ ให้เหมือน ให้พ่อแม่นั่น เป็นพระเจ้าแผ่นดินเลย เป็นแว่นแคว้นหนึ่ง ลูกนี่สร้างแว่นแคว้น ให้พ่อแม่ ไปปกครองดูแล ไปเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ของแว่นแคว้นนั้น เรียกว่าใหญ่น่ะ หาแว่นแคว้นให้ ก็ยังไม่ชื่อว่า ตอบแทน บุญคุณพ่อแม่ ไม่ใช่เรื่องหาทรัพย์ศฤงคาร

เลี้ยงดูอุ้มชูพ่อแม่ เลยไปเอามาไว้บนบ่า บ่าซ้าย บ่าขวา เลี้ยงขนาดไหน ท่านสมมุติให้หนำใจเลย ท่านสมมุติ ให้ถึงขั้นเลย ต่อให้ดูแล ไม่ให้คลาดสายตา ไม่ใช่ว่า ไม่คราดสายตาเท่านั้น แบกไว้บ่าขวา บ่าซ้ายนี่ จะคราดสายตาอะไร ขี้รดเยี่ยวรด ดูแลประคบประหงมกัน ขนาดนั้น นี่เป็นประเด็น อีกประเด็นหนึ่ง ทรัพย์ศฤงคาร เอาใจใส่ดูแล กตัญญูกตเวที แบกเลี้ยงดู เจ็บป่วยได้ไข้ จะไม่คราดเลย จนกระทั่ง ขี้รด เยี่ยวรดอยู่อย่างนี้ แหมเป็นคนที่บูชา สุดยอดสูงส่ง ก็ยอด ที่จริงก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้หาทรัพย์ ให้พ่อแม่ ไม่ใช่ ! ต้องหาให้เหมือนกัน ดูแลอุ้มชู จะประคบประหงมท่าน ควรจะเช็ดขี้ เช็ดเยี่ยว ควรจะช่วยเหลือ เกื้อกูลอย่างไร ก็ต้องทำอยู่ดี นั่นแหละ แต่ขนาดอย่างนั้นๆๆ ท่านสมมุติ ถึงขนาด แบกเอาไว้บ่าซ้ายบ่าขวาเลย ก็ยังไม่ชื่อว่า ทดแทนบุญคุณ ที่วิเศษๆนั้น จะต้องให้พ่อแม่นั่น ได้รับอริยทรัพย์ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ให้พ่อแม่มีศรัทธา ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง ศรัทธา ไม่ใช่เชื่องมงาย อย่างทุกวันนี่ ศรัทธาพระพุทธ ก็ไม่รู้พระพุทธคืออะไร เดี๋ยวนี้พระพุทธ ก็บานออกไป เป็นพระเครื่อง กันเยอะ ล่ากันซื้อกันขายกัน ทำแจก ทำอะไรกัน ไม่แจกธรรมดาหรอก ขายตั้งราคา ถ้าแจ้าไหน ปั๊มออกมา ราคาสูง นั่นแหละวิเศษ พระพุทธก็ไม่พอแล้ว เดี๋ยวนี้ปั๊มพระสงฆ์เลย อีกหน่อย ก็จะปั๊มพระสงฆ์นั่นแหละ มากกว่าพระพุทธอีก ทุกวันนี้ยังปั๊ม พระพุทธอยู่บ้าง พระสงฆ์อยู่บ้าง ใหญ่กันเหลือเกิน วิเศษวิเสโส เหลือเกิน ไม่ได้เข้าใจว่า พระพุทธคืออะไร พระสงฆ์คืออะไร งมงายกันไปหมด

เพราะฉะนั้น ถ้าให้พ่อแม่ได้ศรัทธา ได้มีปัญญาเข้าใจ ในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ และศรัทธาถูกพระพุทธ ถูกพระธรรม พระสงฆ์ก็ถูกพระอริยสงฆ์ ศรัทธาจริงๆ ศรัทธาอย่างมีปัญญา เมื่อศรัทธาแล้ว ก็จะมามีศีล ศรัทธาแล้ว ก็จะมาประพฤติศีล ก็เมื่อศรัทธาพระสงฆ์ ก็ถูกพระอริยสงฆ์ อริยสงฆ์ก็จะสอน ให้ประพฤติศีลถูกทาง

เมื่อประพฤติศีลได้ ก็จะต้องเกิดอวิปปฏิสาร เมื่อประพฤติศีลแล้ว ก็จะเกิดพหูสูต เมื่อประพฤติศีลแล้ว ก็จะเกิดอวิปปฏิสาร เกิดปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สุข วูปสโมสุข และเกิดสมาธิ เป็น สัมมาสมาธิ

ในพระสูตรตรัสไว้ว่า สัมมาสมาธิเกิด สัมมาสมาธิไม่ใช่สมาธิธรรมดา ศีลจะเกิดนี่แหละ ก็คือปฏิบัติศีล จะเกิดจิตมาเรื่อยๆ เกิดจิตมา จนกระทั่งถึง สมาธินี่ ปฏิบัติศีล ศีลก็จะทำให้เกิดสมาธิ แล้วสุดท้าย มาเป็นปัญญา เกิดชัดเจนอย่างนี้ ถ้าพ่อแม่เกิดศรัทธา ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ก็ได้คบอริยสงฆ์ ได้มาฟังธรรมถูกทาง เป็นสัมมาทิฐิ ประพฤติปฏิบัติ ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ถูกทางก็จะเกิด จาคะ ศีลจะทำให้เกิดการจาคะ เกิดการลดความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่แหละ เกิดจิต อวิปปฏิสาร เพราะว่า ไม่ติดไม่ยึด ไม่หลงไม่ใหล ไม่หวงไม่แหน ไม่โลภไม่โกรธ เมื่อไม่โลภ จิตใจก็ผ่องแผ้ว จิตใจก็เบิกบาน ร่าเริงดี จิตใจก็เจริญ จะพ้นความวิปปฏิสาร พ้นการกังวล เดือดร้อนวุ่นวาย วิปปฏิสาร

อวิปปฏิสาร ก็คือ ลดความกังวลวุ่นวายเดือดร้อน พ้นความเดือดร้อน มาเรื่อยๆ ศรัทธา ศีล จาคะ เกิดจริงๆ ปัญญาตัวที่ ๔ ก็จะเกิดปัญญาที่จริง ปัญญานี่ลึกซึ้งมาก ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด แบบโลกเลย ขอยืนยัน ตั้งเท่าไร เขาก็ไม่เชื่อ

อาตมาก็ยกตัวอย่างมาสองคำ ปัญญาหนึ่ง เศรษฐีหนึ่ง สองคำนี้ เศรษฐีไม่ได้หมายถึง คนร่ำรวย เศรษฐีนี่หมายถึง คนจน พูดอย่างนี้ ใครจะเชื่อ โลกไหนเขาจะเชื่ออาตมา เศรษฐีไม่ได้หมายถึง คนร่ำรวย แต่เขาแปล ร่ำรวย พจนานุกรมบาลี แปลว่าร่ำรวยเลย เศรษฐีทั้งๆที่มาจาก รากศัพท์ เสฏฐะ เสฏโฐ อะไรพวกนี้ แปลว่า ผู้ประเสริฐ เป็นผู้ที่ละได้ จาคะได้ ก็จาคะเสียสละออกไป มันจะไปเหลืออะไร มาเป็นคนร่ำรวย มาเป็น กระฎุมพี กระฎุมพี แปลว่า เป็นผู้ร่ำรวย มันจะไปมั่งไปมีอะไร

เพราะฉะนั้น ความจริงพวกนี้ แม้เราไม่มั่งมีร่ำรวย แต่เราก็อวิปปฏิสาร ไม่กังวล ไม่เดือดร้อน เพราะเรามีศีล พึ่งศีลของเราได้ เชื่อไหม (เชื่อค่ะ) พิสูจน์ได้จริงๆ หลายเหลี่ยมหลายมุม อาตมาพยายาม ที่จะอธิบาย ให้รอบถ้วน ชอนไช ให้เห็นชัด ให้ครบ ยิ่งปฏิบัติมันจะยิ่ง สอดคล้องกันไปหมด เมื่อจาคะแล้ว จะไปหาความร่ำรวยอะไร แต่ร่ำรวย เราก็ไม่มีปัญหา เพราะจาคะ มันก็ไม่รวย เมื่อจาคะแล้ว ศีลก็ยิ่งดีขึ้น เพราะแสดงความไม่โลภ ศีลก็คือความไม่โลภ ถ้าปฏิบัติศีล ได้บรรลุเป็นผลสำเร็จในศีล ก็ไม่โลภ ก็ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องกอบโกย ไม่ต้องหวงแหน แล้วอยู่ได้ไหม อยู่ได้ เบิกบานร่าเริงด้วย อยู่ได้อย่างมั่นใจด้วย

ขนาดกลุ่มเรานี่ อโศกเล็กๆนี่ อาตมาว่ายังเล็กๆนะ หรือใครว่าใหญ่แล้ว อโศกเรานี่ ใครว่าใหญ่แล้ว มีไหม ยังเล็กๆอยู่ กระจิบเดียว เทียบกับคนทั้งโลกนี่ด้วย โอ้โฮ ธุลีละออง นี่คนอย่างชาวอโศกนี่ กลุ่มนิดเดียว จริง มั่นใจหรือ จะอยู่ไปได้หรือ

ที่อาตมา หยิบเอามาอธิบาย มายืนยันนี่ ยืนยันกับจิตใจ ของแต่ละคน ของพวกคุณนี่แหละ คุณจริงแค่ไหน คุณมีปัญญาแค่ไหน ต้องมีปัญญาด้วยน่ะ ไม่ใช่งมงาย ฟังอาตมาพูด ต้องเข้าใจ ต้องเห็นญาณ ต้องเห็นของจริง ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เข้าใจเฉยๆน่ะ คือปัญญาไม่ใช่นะ เห็นของจริงตามความเป็นจริง ว่าใจเราสะอาดขึ้น หรือใจเรานี่ ลดน้อยลงแล้ว ว่าโลกอย่างนี้ อยู่อย่างนี้ มักน้อยขนาดนี้ สันโดษอย่างนี้ อาตมาไม่แกล้งนะ พาคุณไปอย่างนี้ คุณจะเป็นฆราวาส หมดเนื้อหมดตัวเลยยิ่งดี ใครรู้ตัวแล้วว่า ตายละหว่า รีบวิ่งหนีนะ เอ้า จริง ไม่ได้พูดเล่น แต่ถ้าใครจะเอา ก็มาพากเพียร ที่อาตมาพูดนี่ ก็ไม่ได้ไปยุแหย่ ให้พวกคุณไปถึงกับ เทกระบะทิ้ง โอ๋ ไม่เอาแล้ว เอาซิ กล้าก็ทำซิ ถ้ากล้า แต่อาตมาก็ไม่ยุแหย่ ให้งมงายอย่างนั้น ก็ต้องไปพิสูจน์จริงๆเลย ไปเรียนรู้ ไปกับหมู่กลุ่ม เรามีความดีกับหมู่กับกลุ่ม หมู่กลุ่ม จะเหม็นหน้าเราไหม ถ้าคุณอยู่กับหมู่กับกลุ่ม หมู่กลุ่มเหม็นหน้าคุณนี่นะ หรืออย่าว่าแต่หมู่กลุ่ม เหม็นหน้าเลย คุณเองนั่นแหละ หยิ่งผยอง ข้าไม่เอาแล้ว กับหมู่กลุ่มนี่ อย่างนั้น ไม่มีปัญหาเลย เพราะคุณ สมัครใจของคุณเอง ว่าคุณไม่เอากับหมู่กลุ่มนี้ ไม่เห็นจะเป็นอะไรละ เพราะคุณเอาไม่ได้ เพราะหมู่กลุ่มนี้ ไปอยู่กะเขาแล้ว คนนั้นก็ติก็เตียนเรา คือ คนที่มีอัตตามานะมากๆนี่ไง ประเด็นนี้ อาตมาก็ไม่รู้ จะพูดอย่างไรนะ อยู่กับหมู่นี่ อยู่ไปๆคนนี้ติมั่ง คนนี้ห้ามกั้น ไม่ให้เราทำอย่างนี้บ้าง ไม่พอใจ ไม่พอใจแล้ว ฉลาดเฉโกนะ นี่เราปรารถนาดีกันนี่ นี่เป็นพระนี่ เราก็จะช่วยนะนี่ เราจะช่วยศาสนานะ และ ไม่ให้เราทำอย่างนี้ คือมั่นใจว่า ตัวเองถูก มั่นใจว่าตัวเองดี แล้วไปมองคนอื่นเขาผิด เมื่อมองผิด และตัวเอง ก็ไปโกรธเขา และไม่รู้ตัวเองว่า ตัวเองโกรธเขานะ ตัวเองไม่เอาแล้วคนนี้ เพราะอะไรล่ะ อะไรละ แล้วก็มองเขาว่าต่ำ มองเขาว่าผิด ตัวเองหยิ่งผยอง อยู่อย่างนั้นน่ะ เสร็จแล้วหนักเข้าบอก ฉันจะไปสร้าง ศาสนาพุทธ ที่อื่นดีกว่า เราปรารถนาดี พวกนี้ไม่มีปัญญารับหรอก ปล่อยให้โพธิรักษ์ งมงายอยู่กับ คนพวกนี้ไป ก็แล้วกัน ฉันจะออกไปข้างนอก ไปสร้างศาสนาที่อื่น คนเดียวก็ได้วะ พูดเหมือน อย่างกับอาจารย์สุนีย์ซะเลย อาจารย์สุนีย์ สินธุเตชะ แกพูดวะโว้ยเก่งจริงๆ ผู้หญิงคนนี้พูด ยกให้แกเลย แกพูดเก่งจริงๆ เรายังพูดเก่งไม่เท่าแก แกพูด ฟังดูดีเหมือนกันนะ ถึงไม่หยาบ แต่ก็ฟังมันๆ คันๆดี ก็คิดจะแยกไป

อาตมาก็ว่า โถ อาตมาก็ถามไม่รู้กี่ที กลุ่มไหนดีกว่ากลุ่มนี้ พูดแล้วก็เหมือน ยกตัวยกตน หลงตัวหลงตน เหมือนกัน แต่อาตมาถามพวกเรา นี่แหละ อาตมาไม่กล้า ไปถามข้างนอกเขาหรอก เดี๋ยวจะเอาแบน ก็ถาม พวกคุณนี่แหละ คุณเชื่อไหมละ ว่ากลุ่มนี้ดี เชื่อ พอตอบก็ว่าเชื่อ ก็ไม่มีกลุ่มไหนดี ไม่ดีก็จะไปอยู่คนเดียวเอง อัตตามานะ มันใหญ่ถึงขนาดนี้นะ อาตมาก็ชี้ๆให้ฟัง ทำไมคุณไม่มองตน ถ้าคนไหน เขาไม่รับ ที่เราเสนอ เราก็มองว่า ควรจะปรับตัวอย่างไร ไม่ใช่ไปหยิ่งผยองอยู่ว่า ฉันสร้างศาสนานะ ฉันจะช่วย พวกคุณนี่แหละ เปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ คุณจะทำอย่างนี้ เป็นฆราวาสนะ จะให้พระเปลี่ยนแปลง ไปตามตัวเอง ทำที่ตัวเองคิดน่ะ โอ้โฮ เขาไม่รู้ตัวว่าใหญ่นะ ไม่รู้ตัวเองว่าใหญ่ อาตมาก็ไม่รู้ จะช่วยอย่างไร อาตมาก็จนปัญญาจริงๆ เหนื่อยๆ เสร็จก็เศร้าหมองงุดงิด อยู่ในภพ ของตัวเองคนนั้น ก็พึ่งไม่ได้แล้ว ฉันก็ช่วยไม่ได้แล้วด้วย คือพึ่งไม่ได้ พึ่งไม่ได้หมายความว่า องค์นี้ประโลมใจตัวเองนี่ จริงๆ ไม่ใช่พึ่งไม่ได้ ฉันจะสอน ท่านขัดใจฉัน ฉันถูกนะ อย่ามาขัดใจฉัน ฉันนะถูก เพราะท่านน่ะไม่ดี ฉันก็ให้ท่านดี ฉันช่วยศาสนานะ ฟังดีๆนะ ท่านน่ะไม่ถูก ฉันน่ะถูก และฉันจะให้ท่านแก้ไข ท่านไม่แก้ไข ท่านมาเล่นงานฉันเรื่อยเลย ฉันจะช่วยสร้างศาสนา ท่านบกพร่อง ท่านต้องแก้ไข ตามที่ฉันเห็นฉันว่า นี่น่ะ ท่านอย่ามาเถียงฉันซิ คนนี้เขาไม่รู้ตัวอย่างนี้ อาตมาก็โอ้โฮ อาตมา เมื่อไหร่จะเก่ง ที่จะพูดให้เขารู้ตัว มันซ้อนลึกอย่างนี้ อาตมาก็สงสารๆจริงๆ อาตมาพูดสงสาร อาตมาก็ไม่รู้ จะทำอย่างไร อัตตามานะ มันซ่อนอย่างนี้

ก็ขอสรุปว่า คนๆนี้ควรทำอย่างไร คนๆนี้ควรมองตนแก้ไขตน ต้องแก้ไขให้ได้ คือแก้ไขตัวเอง ต้องทำให้ได้ แก้ไขตัวเอง ท่านองค์นั้น ท่านจะเป็นอย่างไร ก็ช่างท่านเถอะ ท่านจะชั่ว มันก็ชั่วของท่าน ตัวเราเอง ควรจะแก้ไขอย่างไร จะลดตัวเองอย่างไร จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร แล้วก็ประสาน สมานคน ที่ท่านไม่ดีนี่แหละ เพราะเป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ในหมู่นี้แล้ว ปฏิเสธไม่ได้แล้ว หมู่นี้ดีที่สุด แล้วก็ประสาน กับหมู่นี้ให้ได้ นั่นคือ ผลดีของเรา

แต่ตราบใดที่เราเอง ยังไม่หมดหมอง เราเองก็อึดอัด เราเองก็ว้าเหว่ เราเองก็ คนนี้ก็พึ่งไม่ได้ คนโน้นก็พึ่งไม่ได้ หรือคนนี้ กูช่วยเขาไม่ได้ ใหญ่ แต่ไม่รู้ว่ากูใหญ่ อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเลย โอ้โฮ สุดที่จะอธิบาย และก็นึกว่า ตัวเองฉลาดๆนะ อ่านพระไตรปิฎก อ่านตำรา อ่านอะไร ก็รู้หมดเลย เข้าใจ เสร็จแล้ว ก็เอามาสอน ใครต่อใคร และก็เอามาทำ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ช่วยแก้ไขคนนั้นคนนี้ ช่วยคนโน้น คนนี้มากมาย นึกว่าตัวเองแน่ แต่เสร็จแล้ว ก็ไม่รู้อัตตามานะ ของตนเอง ไม่วางใจเสียให้สบาย เออท่านไม่ดี หรือท่านดี ก็มีหน้าที่อยู่แล้ว อย่างน้อยก็มีอาตมา ช่วยดูแลอยู่แล้ว หรือว่าพี่ๆน้องๆ เป็นสมณะ เป็นคนโน้น คนอื่น คนไหน เขาก็ดูแลอยู่แล้ว ก็เราเอง ท่านก็ไม่เชื่อเราแล้วน่ะ ก็ท่านไม่ได้เชื่อเรา เพราะใหญ่ ถ้าท่านเชื่อเรา ท่านก็ไม่ใหญ่นะซิ ก็ท่านไม่เชื่อเราน่ะ

เพราะฉะนั้น ลองเชื่อดูเถอะ เราไม่ใหญ่จริงก็ดูที่เรา แก้ไขที่เรา ปรับปรุงที่เรา และเราก็ไม่ต้อง ไปหม่นหมอง เราไม่ต้องไปเสียใจ นี่ก็คือ การลดอัตตา ถ้าไม่อย่างนั้น เราก็หมาน้อยตัวหนึ่ง เดี๋ยวนี้ไม่ใช่หมาน้อยแล้ว เดี๋ยวเป็นหมาใหญ่แล้ว หมาตัวนี้พูดกันถึงนานแล้ว เสียใจ น้อยใจ ว้าเหว่ อยู่อย่างนี้ โดดเดี่ยวเหลือเกิน พึ่งใครก็ไม่ได้ จะพูดกับใครก็ไม่เชื่อกู ไม่รู้กูมันใหญ่ขนาดไหน แล้วก็พอไม่มีทาง ไม่เอาแล้ว งานก็ไม่อยากทำ อยู่กับใครก็ไม่ได้ หนีจากหมู่นี้ดีกว่า อาตมาก็ย้อนถามอีก และหมู่ไหนดีกว่านี้ ไม่มีหมู่ไหน ดีกว่านี้ อยู่คนเดียวก็ได้ใช่ไหม เพราะอัตตามันใหญ่ขนาดไหน ไปอยู่คนเดียวก็ได้ ไปอาละวาด กับคนอื่นก็ได้ คนอื่นก็ซูฮกให้กูนี่หว่า เห็นไหมว่า มันไม่ยอมลด อัตตามานะ ที่อธิบายตัวนี้น่ะ เจอใครๆ ก็รับเอา ยังมีอยู่เยอะ ในหมู่เรานี้ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่

วันนี้ต้องการเปิดเผยตัวนี้ มาฆบูชานี้ ต้องการเปิดเผย อัตตามานะตัวนี้ ผู้ที่ได้ฐานะนี่จะซ่อน แล้วจะไม่รู้ตัวง่าย ฆราวาส จะรู้ตัวได้ง่ายกว่า

ผู้ที่ได้ฐานะสมณะแล้วนี่ จะซวยหน่อย เอ้าจริง เพราะผู้ที่จะตักเตือน จะว่านี่ น้อย และ คนเขายกให้ ว่าเราใหญ่แล้ว ก็เลยค่อยบรรเทา กูก็ใหญ่จริง เขาก็กราบกูทุกวัน ไหว้กูทุกวัน เคารพ พูดอะไรหน่อย เขายอมให้ตามสมมุติ ตามฐานะ ที่ได้เป็นสมณะแล้ว

เพราะฉะนั้น จะไม่ค่อยชัด ก็ขอเตือน สมณะก็ดี นักบวชก็ดี สิกขมาตก็ตาม ขอเตือนนะ ประเดี๋ยวจะหาว่า อาตมาให้แต่ฆราวาส ลำเอียง ตอนนี้ให้สมณะ ให้นักบวช ให้สิกขมาต ให้สมณุทเทสด้วย พอได้ฐานะมาแล้วนี่ มันเป็นสิ่งที่ เป็นทั้งสองคม ดีอย่างหนึ่ง แต่ก็ร้ายอย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่ทันมันนะ เพราะมันก็ได้บำเรอ อัตตามานะอยู่บ้าง แต่เป็นฆราวาสนี่ เขาไม่ค่อย บำเรออัตตามานะ เท่าไหร่ โดยเฉพาะสมณะ และสมณะ ยังไม่ยอมเลย คิดดูซิ ฆราวาส หันกลับไปหาฆราวาสอีก สมณะยังไม่ยอมเลย และมันจะไป ขนาดไหนนะ เพราะฉะนั้น ในหมู่พวกกันเองก็เถอะ

เพราะฉะนั้น ขนาดสมณะยังไม่ยอม แล้วฆราวาสด้วยกันหรือ ฮือ ถึงไม่มีหมู่ ถึงไม่มีเพื่อนไง เพราะมันใหญ่ คับบ้านคับเมือง แต่ดูเผินๆ เหมือนมีเพื่อน ก็พูดได้ คบหาได้ แต่ลึกๆแล้วไม่ได้ ถ้าเป็นธรรมะ ถ้าเป็นเรื่องนั่นเรื่องนี่ เป็นอะไรสำคัญ ไม่ได้ แต่บอกแบ่งกินแบ่งใช้ แบ่งโน่นแบ่งนี่อยู่ เอ้า โอภาปราศัยอะไร กันธรรมดา สามัญตามโลกๆนี่นะ เนื้อถูกได้ อะไรได้ ไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าเรื่องธรรมะแล้ว อย่าเชียวนะ ในแง่เชิง ให้เรื่องของศักดิ์ศรี ในเรื่องอะไรพวกนี้แล้ว ข้านี่แหละใหญ่ ข้านี่แหละ จะสร้างศาสนา ถ้าไม่มีข้าสักคนนี่ฮึ แต่ก็ไม่ถึงขนาด นึกอย่างนั้นหรอก ไม่นึกขนาดนั้น เพราะจริงๆ ยังรู้ตัวอยู่เหมือนกัน มันมีซ้อนเชิง อยู่ในใจเหมือนกัน รู้เหมือนกันว่า อยู่ในใจนั่นแหละ แต่มันก็รู้ เหมือนคนเมา ไอ้บท จะบ้าขึ้นมาก็บ้า พอคลายบ้า ก็ค่อยยังชั่วไปหน่อย ไม่นานนักบ้าใหม่ โอ๊ บ้าไม่รู้แล้ว อาตมาจะทำยังไง มันก็เมื่อยนะ จริงๆ แหม อย่าหลายคนเลยนะ คนอาการอย่างนี้ คนเดียว ก็แสนเหนื่อยแล้ว หลายคน อาตมาจะเหนื่อยแค่ไหน ขออายุยืนๆ หน่อยเถอะ นี่ก็เป็นนัย ที่อาตมาบรรยาย ลีลาของอาตมาบรรยาย ให้คุณฟังแหละนะ โดนใครๆ ก็รับให้เต็มลำเถอะ ใครรู้สึกว่า ด่าเราคนเดียว ใครรู้สึกอย่างนี้บ้างไหม โอ ด่าเอาเราคนเดียว คือมันก็ มีมุมนะว่า เรานี่รักศาสนา เราก็รักศาสนา เราก็มาทางนี้ เราจะช่วยศาสนาน่ะ เราพยายามศึกษา เราก็รู้มาก ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ยิ่งรู้นะ แต่มันไม่รู้ อัตตามานะของตัว เห็นไหมว่ามันลึก อัตตามานะนี่ มันลึกๆ มันลึกซึ้ง และมันก็ลึกซ่อนด้วย คนอื่นเห็นหมด แต่ตัวเองไม่เห็นๆ มันน่าสมเพช เวทนานะ อาตมาก็ไม่รู้ จะทำอย่างไร เอ้าก็ช่วยกันไป อาตมาก็ ตัวเองไม่เก่งกว่านี้ แหม อยากเก่งกว่านี้นะ มันไม่เก่งกว่านี้ มันก็ได้เท่านี้ ช่วยกันไป ยังมีอีกมาก ในเรื่องของอัตตามานะ ที่พึงเรียนรู้ เยอะจริงๆ ภวตัณหา ภวตัณหานี่ คือ อัตตามานะ

ในเรื่องกามตัณหา ว่าเรื่องของกามตัณหา กามตัณหาก็เรื่องของกามภพ ภวตัณหาก็ภวภพ มันซ้อนเชิง มากมาย ก่ายกอง เรื่องภวตัณหานี่ ในศาสนามากศาสนา ไม่รู้จักภวตัณหา นอกจากไม่รู้จัก ภวตัณหาแล้ว ติดภวตัณหา หลงภวตัณหา พวกฤาษีนี่ ทั้งฤาษีกรุง ทั้งฤาษีป่า ฤาษีป่าไม่รู้เรื่องเลย นั่งอยู่ในภพไปๆ แล้วก็ศึกษา ให้มันหยุด ให้มันนิ่งสงบ หลับตาแล้วก็อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งสุดท้าย มันจะทิ้งโลกหมดเลย ไม่เอาแล้วโลกนี้ มันทุกข์มันยาก มันร้อน มันอยู่ภพนี่สบาย ก็ยิ่งพยายาม ฝึกฝนสมาธิ แบบสะกดจิต ให้มันนิ่ง ให้มันว่าง จะว่างแบบไหน ก็แล้วแต่ ว่างแบบมืด หรือว่างแบบสว่าง มีสองอย่างเท่านั้นในจิต มีว่างแบบมืด ว่างแบบสว่าง แบบมืดก็คือ หยุดคิดนิ่งสนิทเลย นิดหนึ่งน้อยหนึ่ง ไม่คิดอะไร สุดยอดก็ อากิญจัญญายตนะ หรือ อสัญญี นิ่งดิ่งเป็นพรหมลูกฟัก ดับดิ่งมืด ส่วนอีกอันหนึ่งก็คือ อากาสานัญจายตนะ หรือ อาโลกสัญญา สว่างไปหมด สว่างเฉยนั่นน่ะ อากาสา หรือ อาโลกสัญญา สว่างโล่ง ว่างโล่ง ไม่ต้องยุ่ง ไม่ต้องเกี่ยว กับอะไรเลย อิสรเสรีที่สุด และประคองสภาพเช่นนั้น ไปให้ได้ นานที่สุด นานที่สุดเท่าที่ จะรักษาอัตตา มโนมยอัตตา ชนิดนั้น แสงสว่างโล่ง ให้มันอยู่ได้นาน นานที่สุด เท่าที่จะนานได้ ตัวเองก็อยู่ไปสบาย สงบ ไม่มีอะไรเข้ามา เกี่ยวข้องเลย ตัวเองทิ้งทุกอย่างในโลก ในอะไร ไม่รับรู้สึกอะไร กับใครหมด ฝึกมาก มองข้างนอกไม่รับรู้สึกจริงๆ ต่อให้เอาไฟมาเผาๆ ก็ตายไปเลย ร่างกายไม่รับรู้สึก แม้แต่ร้อนหนาวอะไร ไม่รู้เรื่อง จะเป็นภพที่ดับสนิท ดับดำมืดไปหรือสว่าง ดังกล่าวนี้ก็ตาม มีสองทิศนี้ เท่านั้น ในฌาน รูปฌาน อรูปฌาน สองทิศนี่ สรุปแล้ว แต่มันมีรายย่อย อีกเยอะแยะต่างๆ ที่อาตมาอธิบายไม่หมด ในเรื่องฌาน เป็นอุตริมนุสธรรม ฌานนี่ เป็นอุตริมนุสธรรม ถ้าไม่รู้จริง ก็พูดกันเลอะ เสร็จแล้ว ผู้ที่ หลงฌาน ในนี้มีเยอะๆ ในโลกของศาสนาทุกวันนี้ พวกมาจากอเมริกา จากยุโรป อะไรต่ออะไร แม้แต่ญี่ปุ่น ต่างชาตินี่ มาหาฌานอย่างนี้ทั้งนั้น จะเข้าใจศาสนาพุทธ นั้นน้อย สมาธิก็มาเรียนสมาธิแบบนี้ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ อย่างที่อาตมากำลัง เผยแพร่กับพวกคุณ แต่คนอื่นด้วย แต่คนอื่นฟัง ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง พวกคุณรู้เรื่อง ก็ฝึกฝนเอา เพราะฉะนั้น คือสร้างภพ ภวตัณหาแล้ว เขาจะไม่รู้เรื่องภพ ภวตัณหา เขาจะไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องพูดถึงวิภวตัณหา วิภวตัณหานี่ จะต้องรู้ภพ แล้วจะต้องรู้ในสิ ภวภพ แล้วจะต้องรู้ วิภวภพ รู้ในตัณหา ที่เป็นตัณหาอุดมการณ์ ที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในเรื่องราวภพ หรือภวตัณหานี่ ในเรื่องฌาน รูปฌาน อรูปฌาน พวกนี่คนเขาศึกษา ก็จบอยู่อย่างนั้น

ทุกวันนี้ก็ยังพูดกัน ไม่ค่อยรู้เรื่อง ข้างนอกนี่

(อ่านต่อหน้า ๒)