อ่านฉบับ  129
บทความทั่วไป ตอน...
รอยด่างแห่งกาลเวลา
หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับที่ 128 เดือนมีนาคม 2544
หน้า 1/1

รอยด่างแห่งกาลเวลา

“ความหวังเปิดเปลือกตาแห่งชีวิตคนขึ้นมากับโลก
ความมุ่งหวังเติมเชื้อไฟแห่งการแสวงหาลุกโชน
ปีกแห่งความหวังสยายออก...แล้วบินไป
มิช้านัก กาลเวลานั้นก็หักปีก
ความหวัง-มักหักหลังคนเราเสมอ”

ตอนที่ ๑.

นางนั่งอยู่เมื่อไหร่? ไม่มีใครรู้...ตรงขอบประตูเข้าเพิงพักสลัม นั่งนิ่งดุจหุ่นขี้ผึ้ง มองเหม่อนัยน์ตาว่างเปล่า

หลายคนเดินผ่านอย่างไม่ไยดี นางเองไม่แยแสใครเช่นกัน ราวกับว่าอยู่อีกโลกหนึ่ง

โลกซึ่งเป็นของนางผู้เดียว

คนสลัม พวกเขารู้ดีว่าอะไร เกิดขึ้น ชีวิตในอดีต และปัจจุบัน มันจบลงอย่างไร...พวกเขา

รู้เห็น จึงไม่แปลกใจกับสภาพนางในตอนนี้

นรก...มันเป็นช่วงชีวิตโหดร้ายของนางกับสามี ในเพิงพักผุพังกลางสลัมแห่งนี้ เป็นชีวิตบัดซบที่ขมขื่น สยดสยอง ทุกข์ทรมาน

สตรีหนึ่งเดินมา ร่างเตี้ย ผอมเกร็ง ในชุดกรรมกรก่อสร้าง เธอหยุดยืนทักทาย

“คิดถึงผัวหรือไง อีบัวคำ?” เธอถาม “มันรีบตายน่ะดีแล้ว ผัวระยำ เอ็งน่าจะดีใจ ขืนมันยังอยู่ข้าว่าเอ็งนั่นแหละจะถูกผัวเหยียบตาย”

บัวคำไม่แสดงกิริยารับรู้ ...นั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน เพื่อนบ้านถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวเสริมอีกว่า

“บัวคำ เอ็งโชคร้ายเสียจริง ข้าเห็นใจว่ะ... แต่จนหนทางช่วยเอ็งได้ ลำพังข้าก็ไม่ต่างเอ็งหรอก เราคนจนทุกข์เหมือนๆ กัน บ้านพักเป็นสลัม มีผัวระยำเมาทีไรเป็นทุบตีเมีย เรามันชินชาเสียแล้ว ทำใจเสียเถอะบัวคำ”

ไม่มีคำตอบรับจากบัวคำ เพื่อนบ้านส่ายหน้าเวทนา แล้วผละตัวเดินจากไป...

นางนั่งนิ่ง...กรรมกรทยอยออกจากสลัมไปทำงาน พวกเขาสำรากคำหยาบคายใส่กันเป็นปรกติ กิริยาท่าทีแข็งกระด้าง เช่นเดียวกับวิถีชีวิตยากลำเค็ญ งานที่หนักสาหัสสากรรจ์

แดดอ่อนยามเช้าสาดมาต้องกาย สัมผัสอันอบอุ่น เปรียบประดุจมือที่คว้านางหวนคืนอดีตภาพแห่งความทรงจำย้อนกลับมาอีกครั้ง...

สิบกว่าปี นางจากท้องนามาอยู่เมืองกรุง หรืออาจนานกว่านั้น บัวคำไม่แน่ใจ กาลเวลาที่เลวร้าย ทำให้ความทรงจำเลือนลางไปมาก

ภาพที่ปรากฏในห้วงคำนึง...เขา - สามีนางยืนมองทุ่งนาเวิ้งว้าง เงียบงันเหมือนกำลังค้นหา อะไรสักอย่าง จากท้องทุ่งนาทำกินที่แห้งแล้ง ไร้ชีวิต...กอหญ้าบนคันนาใบเหลืองซีด ผืนดิน เลวร้ายถึงปานนั้น แม้หญ้ายังจำนน

นางยืนอยู่ข้างหลังเขา...แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบร่างเคียงคู่และทอดยาวทาบผืนดิน ซึ่งแตกระแหงเป็นแผ่นๆ เผยมุมงอนขึ้น ดุจ แย้มยิ้มหยันคนทั้งสอง

นางกับสามีลงแรงทำนามาหลายปี แต่ธรรมชาติดูจะโหดร้าย ผลผลิตที่ได้แทบไม่พอยาไส้ นับวันยิ่งเลวร้าย รายจ่ายสูงเกินรายได้

ห้าปีก่อน สามีนางกู้เงินธนาคารซื้อรถไถ ซื้อปุ๋ย ซื้อยาปราบศัตรูพืช ลงทุนทำนาเพื่อการค้า ปลูกข้าวขายไม่หวังเพียงแค่กินอยู่เองเหมือนเช่นอดีต

ปีแรกๆ ผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ดี ได้ขายข้าวเป็นเงินไม่น้อย แต่หักค่าปุ๋ยค่ายาต้นทุนจิปาถะแล้วเหลือเงินแค่พอใช้ปีต่อปี ไม่พอให้ใช้หนี้สินธนาคาร

ผืนนาที่ต้องเผชิญกับปุ๋ยและยาเคมี หลายปีเข้าดินเริ่มเสื่อม ผลผลิตลดลงเรื่อยๆ ซ้ำพ่อค้า ข้าวยังกดราคา ในขณะที่ค่าปุ๋ยค่ายาถีบตัวสูงขึ้นทุกวัน

มาปีนี้เหมือนผีซ้ำด้ำพลอย ธรรมชาติวิปริต ภัยแล้งคุกคามทุกท้องทุ่ง ข้าวกล้ายืนต้นตายไม่มีรวงให้เก็บเกี่ยว ทั้งสองได้แต่ยืนมองทุ่งนาหม่นเศร้า

“เราต้องไปจากที่นี่แน่แล้ว บัวคำ” สามีพูด ไม่หันมามองนาง

“ฉันไม่อยากไปเลยพี่...หดหู่ใจชอบกล” นางพูด

“เข้าใจ...พี่เข้าใจ” หันมาสบตา “แต่มันจำเป็น บัวคำ เราต้องไป ฟ้าดินให้เป็นไป”

“เราไม่มีทางอื่นเลยหรือ?”

“มันอับจนแล้วบัวคำ ผืนดินนี้มันตายแล้ว ลงแรงไปก็เสียเปล่า ซ้ำธรรมชาติยังปรวนแปรหนัก เรากำลังจะอดตาย ไม่มีอะไรงอกเงย นอกจากหนี้สินจะพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เราจะดันทุรังทำ

ต่อไปรึ”

นางก้มหน้าเงียบงัน ทอดถอนใจ เขาจึงเสริมอีก

“บัวคำ เราจะไม่ยอมอดตายที่นี่ เหมือนกอหญ้าแห้งพวกนั้น” เขาชี้ไปกอข้าวในนา “เราเป็นคนมือตีนยังดีอยู่ มีลมหายใจมันต้องสู้”

“ฉันกลัวนะพี่...เราโตมากับท้องนาไม่เคยไปไหน...จะอยู่อย่างไร? ไปทำอะไร?” เขาโอบร่างนางอย่างถนอมรัก นางสัมผัสได้ถึงไออุ่น รู้สึกปลอดภัยในวงแขนของเขา...

“พี่คิดเตรียมการไว้แล้ว” เขาพูดเบาๆ เหมือนรำพึง “เราจะขายนาผืนนี้ เงินส่วนหนึ่งใช้หนี้ธนาคาร ที่เหลือเก็บเป็นค่าเดินทาง เราจะไปสร้างชีวิตใหม่ให้ดีกว่านี้”

ภาพฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า ผุดขึ้นในห้วงความคิด นางรู้สึกเป็นสุข และอยากให้ถึงวันนั้นไวๆ

นางนั่งนิ่งอยู่ขอบประตูที่เดิม...เที่ยงวัน แดดร้อน แผ่นสังกะสีเปรอะสนิม คายไอแดดร้อนระอุปานจะหลอมละลาย

ทุกเพิงพักสลัมร้อนผ่าวปานเตาอบ

เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้า ไหลย้อยลงใต้คาง ริ้วรอยหม่นเศร้าบนหน้านาง น้ำเหงื่อมิอาจลบล้าง ออกได้

ตำรวจสองนาย เดินมาตามทางแคบๆ เหมือนรูหนู เพิงพักขนาบสองข้าง ฝูงแมลงวัน

หัวเขียวตีปีกบินว่อน ตลอดทางที่คนทั้งสองเหยียบย่างไปบนถิ่นน้ำครำโสโครก

และมาหยุดยืนข้างกายนาง...คนหนึ่งเตี้ยม้อต้อ อุ้มพุงพลุ้ย อีกคนสัดส่วนดูดี หน้าคมสัน

“เอ่อ...คุณครับ” ตำรวจเอ่ยทักถาม “รู้จักเมียของชายที่ถูกฆ่าตาย ในร้านหน้าปากซอยคืนวานมั้ยครับ?”

นางหันมองหน้าตำรวจไม่พูดจา...ตำรวจอีกนายจึงเสริมว่า

“เขาถูกฆ่าในร้านอาหาร เพราะเมาเหล้า มีเรื่องทะเลาะต่อยตีกับขี้เมาด้วยกัน ถูกมีดเสียบพุง สิ้นใจกองกับพื้น เรามาตามเมียเขาไปสอบปากคำ”

นางไม่ตอบ ปิดปากเงียบเหมือนไม่ได้ยิน แววตาว่างเปล่าไร้อารมณ์...

ตำรวจทั้งสองต่างมึนงง...คงไม่ใช่แน่ หากนางไม่รู้จักพวกเขา เพราะสลัมแห่งนี้พวกเขามากันบ่อย คนรู้จักดี

ผู้ก่อคดีมากมายซ่อนตัวอยู่สลัม บ่อยครั้งพวกเขาตะครุบตัวได้ที่นี่ นับแต่คดีเล็กน้อยไปถึงร้ายแรง สลัมเหมือนเป็นแหล่งผลิตอาชญากรรายใหญ่ของสังคมเมือง

“ท่าจะไม่ได้เรื่อง” ตำรวจพุงพลุ้ยพูด “สงสัยเธอจะไม่ปกติ”

“งั้นไปกันเถอะ อย่าเสียเวลากับคนบ้าเลย”

ว่าแล้ว ก็เดินต่อไป บ่นอุบอิบกับอากาศร้อนผ่าวชวนหงุดหงิดเต็มทน

นางหันกลับมาท่าเดิม ภาพคืนวันเก่าๆ ทยอยออกมาจากความทรงจำ...

เมื่อมาถึงเมืองกรุง...สามีพามาอยู่ในสลัม วันแรกที่เหยียบย่างเข้าห้อง ที่เหมือนกล่องลังไม้ เก่าผุ นางกวาดตามองห้องอันคับแคบอย่างสนเท่ห์

“ไม่ต่างรูหนู ให้ตายสิ อยู่กันได้หรือ?”

พื้นไม้สากเหมือนกระดาษทราย ผนังแปะด้วยเศษไม้และลังกระดาษ ปรากฏรูพรุน หัวตะปูสนิมจับเขรอะโผล่กันสลอน...นางถอนใจอย่างหน่วงหนักกับสภาพเพิงพัก เวทนาชีวิตตนเหลือแสน

“นอยู่ไปก่อนนะบัวคำ เก็บเงินก้อนได้เมื่อไหร่ จะมีบ้านที่น่าอยู่กว่านี้ ไม่ใช่ที่นี่” สามีโอบไหล่ปลอบใจนาง

“มันแย่มาก...” นางพูดอย่างจำนน ปลงใจกับชะตากรรม

ชีวิตและวิญญาณตะกายหาเงิน...นางกับสามีทำงานตัวเป็นเกลียว ปากกัดตีนถีบ สาหัสสากรรจ์ เพื่อหาเลี้ยงปากท้อง ทั้งสองฝันถึงชีวิตที่ดีขึ้น มีบ้านเป็นส่วนตัว กินอยู่สุขสบาย ไม่ต้องทำงานหนักแทบกระอักเลือดเช่นเป็นอยู่

ทั้งสองเรียนจบแค่ประถม ไร้ใบปริญญา ไม่มีสิทธิ์เลือกงาน เป็นได้เพียงกรรมกรก่อสร้าง

มันเป็นกฎสังคมเมือง กดขี่คนไม่มีการศึกษา ให้ตกเป็นเบี้ยล่างอย่างจำนน แล้วพวกปีศาจในคราบบัณฑิต...ใช้ปัญญาชาญฉลาดอย่างโสมม บงการคนจนยิ่งกว่าทาสในเรือนเบี้ย

ระบบทาสไม่เคยสาบสูญไปจากโลกนี้ เพียงโฉมหน้ามันเปลี่ยนไปตามกาล มีภาพลักษณ์ ซึ่งดูดีกว่าเก่า แต่เนื้อแท้การกดขี่ แบ่งชนชั้นมันสถิตอยู่เสมอมา ตราบคนยังเอารัดเอาเปรียบคนด้วยกัน ทาสสังคมยังคงอยู่ตราบนั้น

ชุมชนสลัม แออัดไปด้วยคนจนจากชนบท หนีความอดอยากมาขายแรงงานในเมืองกรุง หาเลี้ยงปากท้องไปวันๆ

ยามนั้น ภาพสามีนางยังแจ่มชัดในความทรงจำ ตอกตรึงกับวันคืนอันร้าวราน...

ร่างสูงใหญ่ล่ำสัน อย่างหนุ่มชาวนา ที่จับคันไถพลิกดิน มาแต่เยาว์ ผิวคล้ำ เข้มขรึม

เขาสู้งานหนักเพื่อสร้างฐานะ แต่จนแล้วจนรอด ไม่มีอะไรดีขึ้น งานยังหนักหนาสากรรจ์ สังขารนับวันโทรมทรุด

“นรก เราเหนื่อยหนักแทบกระอักเลือด แต่ค่าแรงมันแทบไม่พอยาไส้

บรรลัย...ของใช้ของกินขึ้นราคาเป็นบ้าหลัง ค่าครองชีพถีบตัวสูงลิบลิ่ว แต่ค่าแรงเรากลับจมดิ่ง ให้มันได้งี้ซีวะ กรรมกรอย่างเราได้อดตาย กันหมดโคตร

ความเที่ยงธรรม...พับผ่าสิ โลกนี้มันมีมั้ย? ไม่มีใครเห็นใจคนจน ทุกคนจ้องกดขี่ เอาเปรียบหยามเหยียด...ชาตินี้คงต้องทำงานหนักไปจนตาย ไม่มีได้ลืมตาอ้าปากหรอก ไอ้พวกปีศาจมันบีบบี้ชีวิตเราเสียไม่มีดี ระยำ!”

ระบายอย่างเดือดดาล ความทุกข์ทรมาน การดิ้นรนเอาชีวิตรอด ความอยุติธรรมในสังคม

หลายปีผ่าน พฤติกรรมสามีนางเปลี่ยนไป เขาดื่มเหล้าหนักขึ้นทุกวัน เมาหัวราน้ำ ไม่เป็นผู้เป็นคน

ค่าแรงน้อยนิด หมดไปกับน้ำเมา... รายจ่ายทั้งหมดในบ้าน นางต้องแบกรับเสียเอง อย่างขมขื่น ฝืนทน

เขาไม่แยแสว่านางทุกข์ยากปานใด ซ้ำทำร้ายให้เจ็บปวดสาหัสสากรรจ์

“อีดอก! มึงเป็นเมียไม่ใช่แม่ ทำเป็นสอนกู” เขาสำรากใส่ ตบโต๊ะผางอย่างเกรี้ยวกราดทันที หลังนางฟื้นความหลังอยากให้เขาเป็นคนเดิม เหมือนก่อนเคยอยู่บ้านนาด้วยกัน

นางก้มหน้านิ่ง ร้องไห้กระซิก...ยกมือปาดน้ำตาอาบแก้ม

“อุวะอีนี่...ทำบีบน้ำตาออเซาะอยู่ได้ ไม่เจอตีนคงไม่หลาบจำ”

เขากรากเข้าหา มือหยาบใหญ่ขยุ้มผมกระชากเข้ามุมห้อง...นางหวีดร้องเจ็บปวด

โอดครวญวิงวอนขอให้ปล่อย สองมือน้อยๆ พยายามแกะกรงเล็บที่จิกหัว

แต่ไร้ผล...ผีห่าซาตานเข้าสิงเสียแล้ว

เขากระหน่ำฝ่ามือลงหน้านางไม่ยั้ง หน้าสะบัดตามแรงตบ ร่างถลาติดฝาห้องเสียงโครมลั่น

“จำไว้ อย่ายุ่งกับชีวิตกู ไม่งั้นเจอดีแน่” ตวาดเสร็จก็ก้าวปึงปังออกจากห้องไป

นางทรุดลงกองกับพื้น เลือดอุ่นๆ ทะลักกบปาก ปนกับน้ำตา เจ็บปวดทั้งใจกาย ระลอกคลื่น...นาวาแห่งชีวิตโคลงเคลงใกล้ล่มเต็มทน ความฝันถึงชีวิตที่ดี ยามนี้จมดิ่งก้นทะเลแห่งทุกข์ระทม

การดิ้นรน หนีความจน อดอยาก เอาชีวิตรอดในสังคมเมืองมันได้ฆ่าสามีที่รัก และแสนดีของนางเสียแล้ว...

(อ่านต่อฉบับหน้า)

 
  อ่านต่อฉบับ 129

รอยด่างแห่งกาลเวลา (เราคิดอะไร ฉบับ ๑๒๘ หน้า ๔๒–๔๕ มีนาคม ๒๕๔๔)